วันเวลาปัจจุบัน 17 เม.ย. 2024, 04:30  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 181 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 13  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2009, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เอรากอน เขียน:
ถ้าท่านมหา ไปใช้บาลีที่กระทู้ไหน
คุณเช่นนั้น ช่วยตามไปถอดความเป็นภาษาระดับสามัญ ให้คนระดับปัญญาสามัญ ยัน ต่ำกว่าสามัญ
ได้อ่านแล้วเข้าใจได้รึเปล่าคะ...



องค์ธรรม สภาวะธรรมและมัคคผลนิพพานในพระพุทธศาสนา เป็นสภาวะธรรมใหม่ไม่มีในภาษามนุษย์อยู่เดิมครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงตรัสรู้สภาวะธรรมเหล่านี้ ทรงตรัสเรียกสภาวะธรรมต่าง ๆ เป็นภาษาบาลี แต่พระองค์ก็ทรงมีคำอธิบายในพระไตรปิฎก พระเถระเจ้าทั้งหลายจึงนิยมใช้ทับศัพท์เดิมเอาไว้
เพราะถ้าแปลเป็นคำนิยามอย่างอื่นย่อมผิดเพี้ยนได้ง่าย

ผมจึงยังคงใช้ทับศัพท์ต่อไปครับ เพื่อคงความเป็นพระพุทธพจน์ให้มากที่สุดครับ
ใช้คำบาลีบ่อย ๆ เดี๋ยวก็จะคุ้นเคยไปเองครับ
พระพุทธศาสนาบอบช้ำเพราะการใช้คำใหม่ ๆ ในปัจจุบันนี้แหละครับ


ไม่เข้าใจเรื่องอะไรสามารถตั้งกระทู้ถามเป็นเรื่อง ๆ ไปได้ครับ
ในเว็ปนี้มีผู้รู้มากมายครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 02 ธ.ค. 2009, 14:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


กรัชกาย เขียน:
ที่เปลี่ยนมิใช่เพื่อความสะใจ เพื่อต้นกล้าอาชีพ เพื่อชุมชนเข้มแข็ง ด้วยว่ารากแก้วหยั่งลึก

ดูท่าจะมั่นคงกว่ารากหญ้า ซึ่งอยู่ผิวๆดินดูอ่อนแอเกินไปจ๋าจ้ะ :b9: :b32:


อ้าวเหรอ

ผมละนึกว่า รากแก้ว เป้นส่วนหนึ่งของ รากหญ้า
เพราะในรากหญ้า ก้มีรากแก้ว
รากแก้ว เป็น sub set ของ รากหญ้า ว่างั้นเถอะ

อุๆๆๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 08:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




100_3666_resize_resize.JPG
100_3666_resize_resize.JPG [ 73.97 KiB | เปิดดู 4078 ครั้ง ]
tongue สวัสดี มีความสุขกันทุกๆท่านนะครับ เป็นพิเศษสำหรับคุณมหาราชันย์ด้วยนะครับ
ขอบคุณอนุโมทนากับท่านกรัชกาย ท่านชาติสยาม ท่านโคตรภู ที่เมตตามาร่วมแจม (นี่ลูกทุ่งละยังครับคุณเอราก้อน) บนเวทีกระทู้นี้


อ้างคำพูด:
แบบว่าชอบเจตนารมย์ของคุณอโศก น่ะ... ที่นึกถึงคนระดับรากหญ้า อย่างเสี่ยวจิ้ง...

ขอบคุณคุณเอราก้อนมากๆครับ ที่จับประเด็นได้ว่าผมมีเจตนาอย่างไรในการมาแสดงความคิดเห็นในลานธรรมจักรแห่งนี้และทุกๆแห่ง

ผมก็อยู่ติดดินติดหญ้านี่แหละแสดงความคิดเห็น มิได้อยู่บนหอคอยงาช้างคอยตอบและติติงผูใด
:b8:
ผมพยายามที่จะมองแต่มุมบวกของทุกๆคน ค้นหาแต่ประโยชน์ ไม่เอาโทษและความเศร้าหมองจากข้อเขียนของทุกๆท่าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านมหาราชันย์ซึ่งมีเมตตากับผมมากด้วยลึกๆในจิตของท่านที่กลัวว่าผมจะมาปฏิรูปพระสัทธรรม ความห่วงใยอันนี้ผมอยากจะกราบเรียนว่า ขอให้หายห่วงได้เพราะผมเข้าใจทราบซึ้งดีและพยายามอิงหลักธรรม หัวใจธรรม อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา โอวาทปาติโมกข์โดยตลอด แต่เป็นการอิงเชิงปฏิบัติ นะครับ ไม่ใช่เชิงปริยัติ
:b27:
แต่สิ่งที่ผมห่วงมากกว่าก็คือการทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้ากลายเป็นเรื่องยากขึ้นๆ ด้วยศัพท์แสงและบาลีอันวิจิตรพิสดาร ลึกล้ำ จนยากจะเข้าใจได้สำหรับปุถุชนคนธรรมดา ชาวรากหญ้า หรือรากแก้วที่คุณกรัชกายว่า
ัตัวอย่างที่เห็นกันจะๆ ก็มีอยู่ในลานธรรมจักรนี้แล้ว เพราะจะเห็นกระทู้ แสดงเรื่องญาณ เรื่องฌาณ การเข้าพละสมาบัติ นิโรธสมาบัติ ฯลฯ เยอะแยะเต็มไปหมด โดยมิรู้ว่าท่านที่ยกเรื่องญาณตั้ง 70 กว่าญาณมาพูดนั้น ท่านผ่านญาณทั้งหลายนั้น มาด้วยประสบการณ์จริงหรือยัง หรือจำเอาจากปริยัติในตำรามาพูดเพื่อแสดงภูมิรู้ แม้แต่การเข้าพละสมาบัติ นิโรธสมาบัติ ที่เล่าลำดับมาโดยละเอียดนั้น ท่านได้ไปลองชิมดูจริงๆแล้วหรือยัง ถึงเอามาพูดได้เป็นตุเป็นตะ

:b12:
ผมมีปณิธานและเจตจำนงที่จะทำยากให้เป็นง่าย ทำมากให้เป็นน้อย ทำหนักให้เป็นเบา เพื่อชาวรากหญ้าปราถนาจะเอาธรรมมะคำสอนของพระพุทธเจ้ามาทำให้ดูง่าย เข้าใจง่าย ด้วยภาษาธรรมดา ๆ ให้มากที่สุด เอาปริยัติแค่เท่าที่จำเป็นสำหรับการปฏิบัติจริง เอาความรู้ชั้นพื้นฐาน (Basic ๆ ๆ ๆ) เพื่อการปฏิบัติจิงมาเล่าสู่กันฟัง และชักชวน เฃื้อเชิญให้พิสูจน์ ทดลอง ลงมือปฏิบัติ ทันที เมื่อทุกคนได้สัมผัสสภาวะ ปรมัตถธรรม ความจริงในกายและจิตบ้างแล้ว การสนทนาธรรมในเรื่องที่สูงๆ ขึ้นไป ก็จะเข้าใจง่ายขึ้นเพราะมีสภาวะรองรับเป็นฐานบ้างแล้ว สมมุติบัญญัติ ศัพท์แสงที่ใช้จึงอาจจะขัดตา ขัดใจ ของนักปริยัติไปบ้างก็ต้องกราบขออภัยนะครับ

:b8:
วันนี้ผมได้เห็นคำเขียนสั้นๆ ของคุณ โคตรภูแล้วดีมาก คุณโคตรภูบอกว่า "ทำสัญญา ให้เป็นปัญญา" ลึกซึ้งนะครับคำนี้ ผมคิดว่าผมเข้าใจนะครับ คุณมหาราชันย์จะตีความออกไหมครับเนี้ยะ อนุโมทนากับคุณโคตรภูมาก
:b12:
สำหรับท่านมหาราชันย์ วันนี้มีสิ่งที่ท่านเขียนและเป็นเหตุให้ต้องคุยจากข้อความที่ท่านกล่าวว่า


อ้างคำพูด:
สวัสดีครับคุณอโศกะ
คุณอโศกะต้องการทราบปฏิบัติเรื่องอะไรก่อนละครับ
ผมจะได้จัดให้ครับ
เพราะการปฏิบัติมีหลากหลายวัตถุประสงค์ หลากหลายวิธี และหลากหลายญาณครับ


เอาเลยนะครับ ผมจะตั้งโจทย์เพื่อให้ท่านอธิบายวิธีปฏิบัติ อย่างนี้ว่า

ถ้าท่านมหาราชันยได้อ่านข้อความในกระทู้บางกระทู้ แล้วเกิด ปฏิฆะ ขัดเคือง ขุ่นมัว ไมพอใจขึ้น หรืออาจจะถึงขนาดโกรธขึ้นมาก็ได้ หรือจะพูดสั้นๆ ว่า ถ้าเรามีความขุ่นมัว หรือ โกรธขึ้นมาในจิต ท่านจะปฏิบัติอย่างไร ท่านจะนำเอาปริยัติคำสอนของพระพุทธเจ้าข้อใดมาใช้บ้าง ใช้ทำอบ่างไร ในกายในจิตของท่าน เอาธรรมมะทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องลึกละเอียด มาแก้ไขอย่างไร อธิบายมาเป็นลำดับๆ โดยมีข้อแม้นิดหนึ่งว่า กรุณาใช้ภาษาง่ายๆ ที่คนไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏกมาก่อนก็สามารถเข้าใจ นำไปทดลองปฏิบัติได้ทันทีนะครับ


ขอบพระคุณมากในเมตตาของท่านกรััชกาย ในเรื่องนี้
:b27:
ส่วนเรื่องคุณความสามารถของท่านที่ท่านเล่า กล่าวอ้าง รับรองมาทั้งหมด ผมเชื่อ และถูกต้องตามสัญญาของท่านทั้งหมดครับ อนุโมทนา
:b20:
คนที่จะจำและยกข้อความในพระไตรปิฎก มาแยกแยะ อ้างอิง แนะนำผู้คนได้ตรงกับประเด็นปัญหาความอยากรู้ของผู้คนได้ ในโลกยุคปัจจุบันนี้ ก็เป็นสิ่งที่หายาก ท่านมหาราชันย์ก็มีคุณสมบัติอันนี้อยู่จึงนับเป็นครูบาอาจารย์ได้ท่านหนึ่ง

แต่ที่ผมสังเกตกระทู้ของท่านในลานธรรมจักร ผมเห็นเป็นความรู้เชิงปริยัติ แทบทั้งหมด
ที่ยกข้อความมาจากปิฎกน่าจะถูกต้อง แต่ความเห็นประกอบส่วนตัวของท่านอาจถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง จึงยังต้องมีเรื่องให้ถกเถียง วิตก วิจารณ์กันอยู่ และควยังจะต้องถกกันไปอีกนาน ถ้าไม่เกิดนิพพิทา เบื่อกันขึ้นมาเสียก่อน

ส่วนความรู้ในเชิงปฏิบัติ ประสบการณ์ในการปฏิบัติ ความคิดเห็นในเชิงปฏิบัติ ยังไม่ค่อยเห็นท่านมหาราชันย์แสดงออกมา เพราะคนที่ปฏิบัติมากมากนั้น เขาจะพูด อธิบายได้หลายแง่หลายมุม ในตำราก็ได้ นอกตำราก็ได้ โดยไม่เสียอรรถ เนื้อหาสาระและประเด็นแห่งธรรม

:b16:
อุปมาเหมือนคน 2 คน คนหนึ่งเรียนจบดอกเตอร์ทางการเกษตร เป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย สมมุติว่าเป็นท่านมหาราชันย์ อีกคนหนึ่งไม่จบปริญญาอะไร มีความรู้แค่พออ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น มีอาชีพทำนา ทำสวน ทำไร่ ปลูกไม้ผล สมมุติว่าเป็น อโศกะ

วิชาเกษตรกรรมนั้นเป็นความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ดอกเตอร์น่าจะรู้มากกว่า เกษตรกรชาวบ้านธรรมดาแน่ๆ แต่ถ้าให้คน 2 คนนี้มาลงมือทำนา ปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูกไม้ผล พร้อมๆกัน ทุกๆท่านลองช่วยกันวิเคราะห์และให้ความเห็นซิว่า ใครจะได้ข้าว ได้ผัก ได้ผลไม้มารับประทานก่อนกัน เพราะเหตุใด แสดงความเห็นมาทุกด้านทุกแง่ทุกมุมกันดูนะครับ



เวทีของกระทู้นี้เปิดกว้างสำหรับความเห็นที่หลากหลาย เพื่อประโยชน์ให้เกิด ความรู้ที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่
ความ

เห็นถูกต้อง

คิดถูกต้อง

ทำถูกต้อง

ได้สิ่งที่ถูกต้อง

เป็นคนถูกต้อง

แล้วก็จักได้พูดและถ่ายทอดสิ่งที่ถูกต้อง สืบต่อกันไปไม่มีสิ้นสุด

สาธุ ๆ ๆ ธรรมจักษุจงพึงบังเกิดมีแก่กัลยาณชนทุกท่านทุกคนเทอญ
smiley

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 12:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
ขอให้หายห่วงได้เพราะผมเข้าใจทราบซึ้งดีและพยายามอิงหลักธรรม หัวใจธรรม อริยสัจ 4 มรรค 8 อนัตตา โอวาทปาติโมกข์โดยตลอด แต่เป็นการอิงเชิงปฏิบัติ นะครับ ไม่ใช่เชิงปริยัติ



สวัสดีครับคุณอโศกะ
การอ้างอิงการปฏิบัติของคุณอโศกะ ก็จะต้องอ้างอิงให้ตรงกับปริยัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าด้วยครับ
ไม่ใช่ทำอะไรผิด ๆ รู้อะไรมาผิด ๆ แล้วลงมือทำไปผิด ๆ ตามอย่างนั้นแล้วบอกชาวบ้านชาวเมืองเขาว่าฉันปฏิบัตินะ แล้วเอาสิ่งผิดเหล่านั้นมาอวด มาแสดงว่าที่ฉันทำนี่นะถูกต้องนะ เชิญทุกคนเดินตามฉันเถิด


ข้อความนี้ของคุณอโศกะจึงเป็นการรู้มาผิด เข้าใจผิดอย่างแรง ผิดจากคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วครับ


พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงรู้แจ้งโลก ทรงจำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ไว้ดีแล้ว เราชาวพุทธเพียงปฏิบัติตามพระธรรมเทศนาที่พระองค์ทรงแสดงไว้จะดีกว่า คุณอโศกะเพิ่งจะมาลองปฏิบัติด้วยความไม่รู้และรู้มาผิด ๆ คุณยังไม่มีพระสัพพัญญุตญาณที่จะจำแนกธรรมว่าสิ่งใดผิด สิ่งใดถูก สิ่งใดประโยชน์ สิ่งใดไม่ใช่ประโยชน์ สิ่งใดเหตุ สิ่งใดผล ญาณของคุณยังไม่แก่กล้า แล้วจะมาอ้างการปฏิบัติที่ผิดทางของคุณ ว่าพระพุทธเจ้าทรงตรัสรู้อย่างคุณรู้มา ปฏิบัติมาย่อมเป็นไปไม่ได้ครับ


คุณกำลังกล่าวตู่คำสอนและบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ
ปัจจุบันคุณยังละเหย้าเรือนไม่ได้ ยังบริโภคกามอยู่ กิเลสหยาบ ๆ คุณยังละไม่ได้ แต่อวดปัญญาเทียบเท่าปัญญาพระพุทธเจ้า มันเกินความสามารถของคุณอโศกะครับ คุณไม่ได้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แต่กำลังทำสิ่งถูกให้เป็นสิ่งผิด กำลังทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก กำลังทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก กำลังชักนำคนเดินถูกทางให้หลงออกนอกเส้นทางมัคคผลครับ ไม่ได้อิงอรรถอิงธรรม แต่กำลังบิดเบือนอรรถธรรมครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 13:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ย. 2009, 00:37
โพสต์: 86

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


cool

สวัสดีครับคุณอโศกะ ขอนุโมทนากับเจตจำนงของท่านครับ

แต่ผมว่าท่านลืมเลื่อนอะไรไปบ้างอย่างนะครับ เส้นทางเดินสำหรับผู้นับถือพุทธศาสนา มีแน่นอนและชัดเจนอยู่แล้วใน คณกโมคัลลานะสูตร
(http://larndham.net/cgi-bin/tread.pl?st ... yte=103791)
พระพุทธองค์ตรัสกล่าว ตรัสบอกไว้ชัดเจนแล้ว สำหรับทางสายตรง ซึ่งเป็นหลักฐานที่ชัดเจน ท่านเคยเข้าไปตรวจสอบเส้นทางเดินของท่านหรือยังละครับ รวมทั้งการปฏิบัติด้วย ดังนั้น การที่จะปฏิบัติให้ถูกต้องจริงๆ คงต้องอาศัยที่จารึกไว้ในพระไตรปิฎิกแหละครับ เป็นตัวตรวจสอบตนเอง

อนุโมทนากับความคิดของท่านครับ แต่อย่างไร อย่าลืมว่าถ้าไม่ยึดตาม หรือรักษาพระไตรฯ ไว้ นานวันเมื่อหมดคุณอโศกะที่คอยถ่ายทอด หรือเผยแพร่ ไป อะไรจะเกิดขึ้นละครับ แล้วคนที่รับจากคุณไป จะเพี้ยนไปอีกเท่าไรละครับ ในเมื่อคนที่เผยแพร่ไม่ศึกษา ไม่อ่านในพระไตรฯ จากพุทธดำรัสจริงๆ คนรุ่นต่อไปไม่ต้องพูดถึงหรอกครับ ไม่อ่านเหมือนกันแน่นอน ด้วยเหตุผลที่ว่าอ่านยาก อ่านแล้วไม่เข้าใจ

ปัจจุบัน เราอ่าน เราฟัง แต่บทความ คำสอนของ ครู อาจารย์ชั้นหลังๆ เพราะง่ายเข้าใจดี แต่ไม่เคยเข้าไปดูว่าพระพุทธองค์มีความเห็น หรือคำสอนอย่างไรบ้างกับเรื่องนั้นๆ บางท่านกลัวว่าเป็นการลบหลู่ ครู อาจารย์ ขวางทางนิพพาน ผมว่าตลกดี สำหรับผมเองก็เริ่มจาก อ่านและฟัง ครู อาจารย์ชั้นหลังๆ เมื่อวิเคราะห์แล้วยังเห็นความขัดแย้งในคำสอนของครู อาจารย์ชั้นหลังๆ ถึงต้องกลับไปหาของจริง (พระไตรฯ) หรือบางครั้งกลับไปทบทวนพบว่าการอ่านจากพระไตรฯ แม้อ่านยากในแรกๆ แต่ได้ภาพรวมที่ชัดเจนกว่าเยอะและเป็นไปตามภุมิธรรมที่เรามีอยู่ด้วย กลับไปอ่านใหม่อีกครั้ง กลับได้มุมมอง ความละเอียดในสภาวะธรรมมากกว่าเก่าอีก

ที่สำคัญท่านอโศกะ ปริยัติไม่น่ารังเกียจขนาดนั้นหรอกครับ ความรู้ กับการปฏิบัติ เกื้อหนุนซึ่งกันและกันครับ ความรู้ไปสู่การปฏิบัติ หรือการปฏิบัติไปสู่ความรู้ ก็แล้วแต่ความถนัดหรือจริตของแต่ละบุคคลจะดีกว่าไหมครับ

เจริญในธรรมครับ

.....................................................
....ถ้าไม่ทำสัญญาให้เป็นปัญญา ทำอย่างไรก็เป็นกามสัญญา......


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 13:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
แต่สิ่งที่ผมห่วงมากกว่าก็คือการทำให้คำสอนของพระพุทธเจ้ากลายเป็นเรื่องยากขึ้นๆ ด้วยศัพท์แสงและบาลีอันวิจิตรพิสดาร ลึกล้ำ จนยากจะเข้าใจได้สำหรับปุถุชนคนธรรมดา ชาวรากหญ้า หรือรากแก้วที่คุณกรัชกายว่า
ัตัวอย่างที่เห็นกันจะๆ ก็มีอยู่ในลานธรรมจักรนี้แล้ว เพราะจะเห็นกระทู้ แสดงเรื่องญาณ เรื่องฌาณ การเข้าพละสมาบัติ นิโรธสมาบัติ ฯลฯ เยอะแยะเต็มไปหมด โดยมิรู้ว่าท่านที่ยกเรื่องญาณตั้ง 70 กว่าญาณมาพูดนั้น ท่านผ่านญาณทั้งหลายนั้น มาด้วยประสบการณ์จริงหรือยัง หรือจำเอาจากปริยัติในตำรามาพูดเพื่อแสดงภูมิรู้ แม้แต่การเข้าพละสมาบัติ นิโรธสมาบัติ ที่เล่าลำดับมาโดยละเอียดนั้น ท่านได้ไปลองชิมดูจริงๆแล้วหรือยัง ถึงเอามาพูดได้เป็นตุเป็นตะ



ข้อนี้เป็นความรู้ผิด เป็นความเข้าใจผิดของคุณอโศกะแล้วล่ะครับ
ผมเคารพเทอดทูลในพระพุทธเจ้า
ผมเคารพเทอดทูลในพระธรรม
และผมเคารพเทอดทูลในพระสงฆ์

ในญาณ 73
ญาณ 67 ญาณเบื้องต้นเป็นญาณของพระสาวก
ญาณ 6 ญาณเบื้องปลายเป็นญาณเฉพาะของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ
ปัญญาผมเป็นเพียงเมล็ดงา ไม่อาจเอาไปเทียบพระปัญญาพระพุทธเจ้าซึ่งสูงใหญ่เทียมเขาพระสุเมรได้หรอกครับ

ญาณแต่ละญาณที่ยกมาแสดงนั้น ผมลอกเขามาทั้งดุ้นครับ
พระสัมมาสัมพุทธเจ้าและพระอรหันตเจ้าทรงแสดงไว้ดีแล้วอย่างไร ผมก็ยกมาแสดงอย่างนั้น
เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้รู้ ได้เห็น ได้อ่านว่า ญาณที่ถูกต้องตามคำสอนในพระพุทธศาสนานี้นั้นเป็นอย่างไร
เทียบกับญาณที่นักประพันธ์รุ่นใหม่อย่างคุณอโศกะพยายามแสดงมานั้นแตกต่างกันอย่างไร ใครแสดงธรรมจริงหรือเท็จจะได้รู้กัน


เวลาปฏิบัติผมก็ปฏิบัติตามคำสั่งสอนในญาณ 73 เหล่านี้ ปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่คิดวิธีขึ้นมาใหม่ ไม่ใช้ภาษาใหม่ ไม่คัดค้านคำสอนของพระพุทธเจ้า แสดงธรรมตามที่พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงแสดงหรือพระอรหันต์แสดงไว้ เอาพระไตรปิฎกเป็นปทัฏฐานในการปฏิบัติธรรมและแสดงธรรม


ญาณ 73 ผมจะได้หรือไม่ได้ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องเอามาอวดอ้างเด่นดังกับใคร
คุณอโศกะและท่านผู้อ่านทราบแต่เพียงว่าผมเป็นผู้ปฏิบัติธรรมคนหนึ่ง และลอกพระไตรปิฎกมาให้อ่านประกอบการสนทนา รู้เท่านี้ผมว่าก็เพียงพอแล้วครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 13:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
วันนี้ผมได้เห็นคำเขียนสั้นๆ ของคุณ โคตรภูแล้วดีมาก คุณโคตรภูบอกว่า "ทำสัญญา ให้เป็นปัญญา" ลึกซึ้งนะครับคำนี้ ผมคิดว่าผมเข้าใจนะครับ คุณมหาราชันย์จะตีความออกไหมครับเนี้ยะ อนุโมทนากับคุณโคตรภูมาก



ข้อความนี้ผมเข้าใจได้ดีครับ และผมรู้จักคุณภาพจิตของคุณโคตรภูเป็นอย่างดีด้วยครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 14:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
เอาเลยนะครับ ผมจะตั้งโจทย์เพื่อให้ท่านอธิบายวิธีปฏิบัติ อย่างนี้ว่า

ถ้าท่านมหาราชันยได้อ่านข้อความในกระทู้บางกระทู้ แล้วเกิด ปฏิฆะ ขัดเคือง ขุ่นมัว ไมพอใจขึ้น หรืออาจจะถึงขนาดโกรธขึ้นมาก็ได้ หรือจะพูดสั้นๆ ว่า ถ้าเรามีความขุ่นมัว หรือ โกรธขึ้นมาในจิต ท่านจะปฏิบัติอย่างไร ท่านจะนำเอาปริยัติคำสอนของพระพุทธเจ้าข้อใดมาใช้บ้าง ใช้ทำอบ่างไร ในกายในจิตของท่าน เอาธรรมมะทั้งเบื้องต้น เบื้องกลาง และเบื้องลึกละเอียด มาแก้ไขอย่างไร อธิบายมาเป็นลำดับๆ โดยมีข้อแม้นิดหนึ่งว่า กรุณาใช้ภาษาง่ายๆ ที่คนไม่ได้ศึกษาพระไตรปิฏกมาก่อนก็สามารถเข้าใจ นำไปทดลองปฏิบัติได้ทันทีนะครับ



ได้ครับคุณอโศกะ

ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน ผมทรงจิตไว้ที่ฌานที่ 2 มีคาถาธรรมบทเป็นอารมณ์อบรมปัญญาตลอดวัน
อะไรมากระทบจับแล้วก็วาง ในขณะทำการงาน
จิตผมสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายเป็นปกติอยู่แล้วครับ


การที่คุณอโศกะกล่าวว่า
ผม...ได้อ่านข้อความในกระทู้บางกระทู้ แล้วเกิด ปฏิฆะ ขัดเคือง ขุ่นมัว ไมพอใจขึ้น หรืออาจจะถึงขนาดโกรธขึ้นมาก็ได้ หรือจะพูดสั้นๆ ว่า ถ้าเรามีความขุ่นมัว หรือ โกรธขึ้นมาในจิต....

ข้อนี้เป็นความรู้ผิด เป็นการเข้าใจผิดของคุณอโศกะแล้วครับ

ผมมาตอบกระทู้ในแต่ละวันผมมีปีติสุขในธรรมทานครับ
ทำเพื่อสืบพระพุทธศาสนายุกาลให้ยืนยาวสืบไปครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 ธ.ค. 2009, 14:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
แต่ที่ผมสังเกตกระทู้ของท่านในลานธรรมจักร ผมเห็นเป็นความรู้เชิงปริยัติ แทบทั้งหมด
ที่ยกข้อความมาจากปิฎกน่าจะถูกต้อง แต่ความเห็นประกอบส่วนตัวของท่านอาจถูกบ้าง ไม่ถูกบ้าง จึงยังต้องมีเรื่องให้ถกเถียง วิตก วิจารณ์กันอยู่ และxxxังจะต้องถกกันไปอีกนาน ถ้าไม่เกิดนิพพิทา เบื่อกันขึ้นมาเสียก่อน

ส่วนความรู้ในเชิงปฏิบัติ ประสบการณ์ในการปฏิบัติ ความคิดเห็นในเชิงปฏิบัติ ยังไม่ค่อยเห็นท่านมหาราชันย์แสดงออกมา เพราะคนที่ปฏิบัติมากมากนั้น เขาจะพูด อธิบายได้หลายแง่หลายมุม ในตำราก็ได้ นอกตำราก็ได้ โดยไม่เสียอรรถ เนื้อหาสาระและประเด็นแห่งธรรม


อุปมาเหมือนคน 2 คน คนหนึ่งเรียนจบดอกเตอร์ทางการเกษตร เป็นอาจารย์สอนอยู่ในมหาวิทยาลัย สมมุติว่าเป็นท่านมหาราชันย์ อีกคนหนึ่งไม่จบปริญญาอะไร มีความรู้แค่พออ่านออกเขียนได้ คิดเลขเป็น มีอาชีพทำนา ทำสวน ทำไร่ ปลูกไม้ผล สมมุติว่าเป็น อโศกะ

วิชาเกษตรกรรมนั้นเป็นความรู้เกี่ยวกับการปลูกพืช เลี้ยงสัตว์ ดอกเตอร์น่าจะรู้มากกว่า เกษตรกรชาวบ้านธรรมดาแน่ๆ แต่ถ้าให้คน 2 คนนี้มาลงมือทำนา ปลูกข้าว ปลูกผัก ปลูกไม้ผล พร้อมๆกัน ทุกๆท่านลองช่วยกันวิเคราะห์และให้ความเห็นซิว่า ใครจะได้ข้าว ได้ผัก ได้ผลไม้มารับประทานก่อนกัน เพราะเหตุใด แสดงความเห็นมาทุกด้านทุกแง่ทุกมุมกันดูนะครับ



เวทีของกระทู้นี้เปิดกว้างสำหรับความเห็นที่หลากหลาย เพื่อประโยชน์ให้เกิด ความรู้ที่ถูกต้อง อันจะนำไปสู่
ความ

เห็นถูกต้อง

คิดถูกต้อง

ทำถูกต้อง

ได้สิ่งที่ถูกต้อง

เป็นคนถูกต้อง

แล้วก็จักได้พูดและถ่ายทอดสิ่งที่ถูกต้อง สืบต่อกันไปไม่มีสิ้นสุด

สาธุ ๆ ๆ ธรรมจักษุจงพึงบังเกิดมีแก่กัลยาณชนทุกท่านทุกคนเทอญ




รับรองว่าผมทำการเษตรได้ดีกว่าคุณอโศกะแน่นอนครับ
เพราะผมสามารถทำงานทดลองวิจัยตามหลักวิชาการ แก้ปัญหาทางการเกษตรได้โดยไม่ต้องวิ่งไปถามใครครับ ผมมีแผนการดำเนินงานที่ถูกต้องตามหลักวิชาการตั้งแต่การเพาะปลูก การบำรุงรักษา การเก็บเกี่ยวผลผลิต การถนอมรักษาคุณภาพผลผลิต และการตลาด ผมมีกำไรประสบความสำเร็จในการทำเกษตรแน่นอนครับ


ทั้งทฤษฎีและปฏิบัติไม่ว่าทางโลกหรือทางพระพุทธศาสนาผมมีพร้อมมูล ศึกษาและปฏิบัติทดลองมาแล้ว ยืนยันถึงความถูกต้องแห่งอรรถ ธรรม นิรุติและปฏิภาณได้ทุกเมื่อครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 10:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว




100_3731_resize_resize.JPG
100_3731_resize_resize.JPG [ 66.85 KiB | เปิดดู 4056 ครั้ง ]
cool
อ้างคำพูด:
ได้ครับคุณอโศกะ
ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน ผมทรงจิตไว้ที่ฌานที่ 2 มีคาถาธรรมบทเป็นอารมณ์อบรมปัญญาตลอดวัน
อะไรมากระทบจับแล้วก็วาง ในขณะทำการงาน
จิตผมสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายเป็นปกติอยู่แล้วครับ

การที่คุณอโศกะกล่าวว่า ผม... ได้อ่านข้อความในกระทู้บางกระทู้ แล้วเกิด ปฏิฆะ ขัดเคือง ขุ่นมัว ไมพอใจขึ้น หรืออาจจะถึงขนาดโกรธขึ้นมาก็ได้ หรือจะพูดสั้นๆ ว่า ถ้าเรามีความขุ่นมัว หรือ โกรธขึ้นมาในจิต....

ข้อนี้เป็นความรู้ผิด เป็นการเข้าใจผิดของคุณอโศกะแล้วครับ

ผมมาตอบกระทู้ในแต่ละวันผมมีปีติสุขในธรรมทานครับ
ทำเพื่อสืบพระพุทธศาสนายุกาลให้ยืนยาวสืบไปครับ


tongue สวัสดี มีสุขในฌาณนะครับท่านฤาษีมหาราชันย์

เริ่มกันตรงนี้ก่อนนะครับ เพราะการเรียนถามธรรมมะภาคปฏิบัติจากท่านก็เพื่อให้ท่านอธิบายวิธีการนำเอาความรู้หรือปริยัติทางธรรมทั้งหมดที่ท่านมีในสัญามาใช้งานจริง โดยให้อธิบายเป็นภาษาง่ายๆ เป็นลำดับจากหยาบไปหาละเอียด เพื่อให้ผู้ที่ได้อ่าน ได้รู้วิธีการและข้อธรรมที่จะนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงด้วยตนเองได้
:b8:
โจทย์ที่ผมตั้งมิได้ตั้งเป็นเงื่อนไขให้ท่านแสดงความสามารถของท่านแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ
:b12:
แล้วจากคำตอบที่ท่านให้มาผมวิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ท่านกำลังดำรงตนและใช้ชีวิตเหมือนฤาษี คือพยายามรักษาจิตของตนอยู่ในฌาณ 2 เหมือนคนขี้กลัว ผลุบโผล่ วิ่งเข้าวิ่งออก รับอารมณ์แล้วกลับไปอยู่ในฌาณ ๆ
ไม่กล้าสู้หน้ากับความเป็นจริง ทำอย่างนี้โอกาสที่จะค้นพบสมุทัย และถอนเหตุทุกข์ที่แท้จริงจะเนิ่นช้าเหมือนมหาดาบสทั้ง 3 ในครั้งพุทธกาลที่ไปติดกัปป์อยู่ขณะนี้

:b3:
จะไม่ลองมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญ เผชิญหน้ากับผัสสะและเวทนาตามธรรมชาติ เพื่อจะได้มีโอกาสเจอกับ ตัณหาและ อัตตา สู้กับตัณหาอัตตาและมานะทิฐิ กันซึ่งๆหน้า จนกว่าจะตายดับจากกันไปข้างหนึ่งทันในปัจจุบันชาตินี้ ปัญญาความรู้ทางปริยัติระดับท่านมหาราชันย์นี้ยังยินดีกับพรหมสุขอยู่หรือครับ

วิสุัยของชาวพุทธที่แท้จริงหรือพุทธสาวกนั้น ย่อมจะเจริญมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนาอยู่ในชีวิตจริงตลอดเวลาที่ระลึกไดและมีโอกาส เมื่อปฏิฆะหรือโทสะเกิดขึ้นในจิต ย่อมจะมีสติรู้ทันปัจจุบันอารมณ์นั้น แล้วจะมีปัญญาเข้าไปดู ไปสังเกตพิจารณาอารมณ์นั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้เจอตัวสมุทัย ที่จะมาก่อให้เกิดตัณหาอยู่เนืองๆ

พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแนะนำไว้ดีแล้ว วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ทุกเวลา ทุกโอกาส ซึ่งก็หมายถึง การเจริญสติปัฏฐาน 4 อันเป็น 1 ใน 8 ข้อ ของมรรค 8 อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ไปหลบอยู่ในฌาณ 2 อย่างที่ท่านมหาราชันย์กำลังยึดถือปฏิบัติอยู่ขณะนี้

นี่เป็นตัวอย่างของการอธิบายวิธีปฏิบัติธรรม ซึ่งจะะเห็นว่าผมวิเคราะห์และแจงให้ดูว่า จะโยงเข้าสู่วิปัสสนาภาวนาและการเจริญมรรค 8 อันเป็นหลักธรรมสำคัญของพุทธศาสนาอย่างไร จริงๆแล้ว ผมจะตอบโจทย์ที่ผมตั้งไว้ให้ท่านมหาราชันย์เป็นการเปรียบเทียบ ว่าผมจะใช้ธรรมมะบทใหนบ้างมาแก้ไข ปฏิฆะและโทสะที่เกิดขึ้นในจิต ซึ่งเป็นปัญหา่และสามัญวิสัยของปุถุชนในโลกนี้ อันจะต้องมาเรียนรู้วิธีแก้ไขที่ถูกต้อง จากพุทธธรรม แต่ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาอันควร อยากจะให้ท่านมหาราชันย์แสดงภูมิปฏิบัติของท่านให้ผู้คนทั้งหลายได้ทราบว่าจะเป็นไปดังที่ท่านได้กล่าวอวดอ้างไว้หรือไม่นะครับ

มีประเด็นอื่นอีกมากมายในข้อเขียนของท่านมหาราชันย์ ผมจะพยายามหาเวลามาวิเคราะห์ วิจารณ์ ตอบให้อ่านอีกนะครับ

สำหรับคำแนะนำของท่านโคตรภู ขอบพระคุณมากครับ ผมจะมาสนทนาแยกอีกต่างหากภายหลัง

ส่งท้าย ที่ท่านมหาราชันย์กล่าวไว้ท่อนหนึ่งอันประดุจจะประมาทจ้วงจาบ คนที่ยังไม่ได้บวชออกจากเรือน เหมือนกับจะบอกว่า คนที่ครองเรือนอยู่นั้นไม่มีสิทธิ์หรอก มรรค ผล นิพพาน หรือการอธิบายธรรมลึกซึ่ง ตรงนี่แหละที่ผมสามารถจะใช้คำว่าท่านมหาราชันย์ ผิดแล้ว ผิดธรรม เพราะ มรรค ผล นิพพานนั้นเป็น อกาลิโก และไม่จำกัด กาล เวลา สถานที่ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ศาสนา เพศ วัย( 7 ขวบขึ้นไป) ระดับการศึกษา เครื่องแบบหรือการแต่งกาย

ศีล 5 โสดาบันนะครับ สกิทาคา อนาคาศีล 5 ศีล 8 ก็บรรลุได้ ใส่เสื้อ 2 แขน ไม่โกนหัวนุ่งเหลืองก็บรรลุได้ ไม่มีคัมภีร์บ่งไว้ว่าหมดสิทธิ์นะครับ ระวังนะครับ อริยุวาตันตราย ปิดกั้นมรรคผลในชาตินี้ได้เหมือนกันนะครับ ถ้าสัมปชัญญะยัังไม่กลับคืนมาโดยสมบูรณ์และขอขมา

เจริญทั้งโลกและธรรมนะครับ สาธุ


(ออกนอกประเด็นกระทู้มาไกล ยังไม่มีท่านใดวิจารณ์แผ่นภาพข้างต้นให้ฟังบ้างเลยครับ เรียนเชิญนะครับ ขอบพระคุณ)

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 16:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ไม่มีโกรธในโลกนี้มีสองจำพวก

1. พระอรหันต์
2. ผู้ไม่เห็นความโกรธ กล่าวคือ"ผู้ไม่รู้"

ปุถุชนใดที่กล่าวว่าเป้นผู้ไร้โกรธนั้น เป้นไปไม่ได้

ธรรมดาความโกรธนั้น เดี๋ยวมี เดี่ยวหาย
แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า "ไร้ความโกรธ"
หรือพูดให้ชัดไปเลยว่า "ไม่โกรธอีกแล้ว" นั้น เป็นไปไม่ได้

คุณมหาเห็นด้วยไหมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 22:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาติสยาม เขียน:
ปุถุชนใดที่กล่าวว่าเป้นผู้ไร้โกรธนั้น เป้นไปไม่ได้....

ธรรมดาความโกรธนั้น เดี๋ยวมี เดี่ยวหาย
แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า "ไร้ความโกรธ"
หรือพูดให้ชัดไปเลยว่า "ไม่โกรธอีกแล้ว" นั้น เป็นไปไม่ได้

คุณมหาเห็นด้วยไหมครับ



สวัสดีครับคุณชาติสยาม

เห็นด้วยในกามาวจรบุคคลครับคุณชาติสยาม
แต่ไม่เห็นด้วยในปุถุชนผู้ทรงฌาน มีฌานไม่เสื่อมครับคุณชาติสยาม
ถ้าคุณชาติสยามบรรลุฌานสมาบัติแล้วมีความโกรธไม่เรียกจิตนั้นว่าฌานด้วยครับคุณชาติสยาม
ผู้มีความโกรธก็ไม่อาจบรรลุฌานได้ครับคุณชาติสยาม


เมื่อคุณชาติสยามบรรลุฌานสมาบัติ ผมเชื่อมั่นว่าคุณชาติสยามปราศจากความโกรธแน่นอนครับ
คุณชาติสยามเห็นด้วยกับผมไหมครับ ??



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 23:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
สวัสดี มีสุขในฌาณนะครับท่านฤาษีมหาราชันย์

เริ่มกันตรงนี้ก่อนนะครับ เพราะการเรียนถามธรรมมะภาคปฏิบัติจากท่านก็เพื่อให้ท่านอธิบายวิธีการนำเอาความรู้หรือปริยัติทางธรรมทั้งหมดที่ท่านมีในสัญามาใช้งานจริง โดยให้อธิบายเป็นภาษาง่ายๆ เป็นลำดับจากหยาบไปหาละเอียด เพื่อให้ผู้ที่ได้อ่าน ได้รู้วิธีการและข้อธรรมที่จะนำมาใช้ปฏิบัติในชีวิตจริงด้วยตนเองได้

โจทย์ที่ผมตั้งมิได้ตั้งเป็นเงื่อนไขให้ท่านแสดงความสามารถของท่านแต่เพียงอย่างเดียวนะครับ

แล้วจากคำตอบที่ท่านให้มาผมวิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ท่านกำลังดำรงตนและใช้ชีวิตเหมือนฤาษี คือพยายามรักษาจิตของตนอยู่ในฌาณ 2 เหมือนคนขี้กลัว ผลุบโผล่ วิ่งเข้าวิ่งออก รับอารมณ์แล้วกลับไปอยู่ในฌาณ ๆ
ไม่กล้าสู้หน้ากับความเป็นจริง ทำอย่างนี้โอกาสที่จะค้นพบสมุทัย และถอนเหตุทุกข์ที่แท้จริงจะเนิ่นช้าเหมือนมหาดาบสทั้ง 3 ในครั้งพุทธกาลที่ไปติดกัปป์อยู่ขณะนี้



สวัสดีครับคุณอโศกะ


จากข้อความนี้ของคุณเป็นการยืนยันความรู้ของคุณอโศกะได้เป็นอย่างดีครับ ว่าคุณอโศกะไม่รู้จักพระพุทธศาสนาที่แท้จริง ความรู้ที่คุณมีเป็นความรู้ผิด เป็นความเข้าใจผิด ศึกษามาไม่ดี เรียนมาไม่ดี

พระสัมมาสัมพูทธเจ้าเป็นฤๅษีครับ เรียกพระองค์ว่า มหาฤๅษี เป็นฤๅษีผู้เลิศกว่าฤๅษีทั้งหลายครับ



มหาราชันย์ เขียน:
ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน ผมทรงจิตไว้ที่ฌานที่ 2 มีคาถาธรรมบทเป็นอารมณ์อบรมปัญญาตลอดวัน
อะไรมากระทบจับแล้วก็วาง ในขณะทำการงาน
จิตผมสงัดจากกามสงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลายเป็นปกติอยู่แล้วครับ




ปัญญาในการอ่านข้อความที่ผมแสดงธรรมคุณยังไม่มีปัญญาเข้าใจได้เลยครับ ปัญญาที่คุณมีนี้เป็นปัญญาที่ทุรพลครับ สิ่งที่ผมบรรลุอยู่มันเกินภูมิปัญญาของคุณครับ

ข้อความนี้ในพระพุทธศาสนาหมายถึงสภาวะธรรมแบบนี้ครับ



ที่ชื่อว่า ฌาน ได้แก่ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน

ที่ชื่อว่า วิโมกข์ ได้แก่ สุญญตวิโมกข์ อนิมิตตวิโมกข์ อัปปณิหิตวิโมกข์

ที่ชื่อว่า สมาธิ ได้แก่ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิตสมาธิ

ที่ชื่อว่า สมาบัติ ได้แก่ สุญญตสมาบัติ อนิมิตตสมาบัติ อัปปณิหิตสมาบัติ

ที่ชื่อว่า มัคคภาวนา ได้แก่ สติปัฏฐาน ๔ สัมมัปปธาน ๔ อิทธิบาท ๔ อินทรีย์ ๕
พละ ๕ โพชฌงค์ ๗ อริยมรรคมีองค์ ๘

ที่ชื่อว่า การทำให้แจ้งซึ่งผล ได้แก่การทำให้แจ้งซึ่งโสดาปัตติผล การทำให้แจ้งซึ่ง
สกทาคามิผล การทำให้แจ้งซึ่งอนาคามิผล การทำให้แจ้งซึ่งอรหัตตผล

ที่ชื่อว่า การละกิเลส ได้แก่การละราคะ การละโทสะ การละโมหะ


มหาราชันย์ เขียน:
ส่วนใหญ่ในชีวิตประจำวัน ผมทรงจิตไว้ที่ฌานที่ 2 มีคาถาธรรมบทเป็นอารมณ์อบรมปัญญาตลอดวัน



คาถาธรรมบท เป็นสมาธิ ได้แก่ สุญญตสมาธิ อนิมิตตสมาธิ อัปปณิตสมาธิครับ





อโศกะ เขียน:
แล้วจากคำตอบที่ท่านให้มาผมวิเคราะห์แล้ว เห็นว่า ท่านกำลังดำรงตนและใช้ชีวิตเหมือนฤาษี คือพยายามรักษาจิตของตนอยู่ในฌาณ 2 เหมือนคนขี้กลัว ผลุบโผล่ วิ่งเข้าวิ่งออก รับอารมณ์แล้วกลับไปอยู่ในฌาณ ๆ
ไม่กล้าสู้หน้ากับความเป็นจริง ทำอย่างนี้โอกาสที่จะค้นพบสมุทัย และถอนเหตุทุกข์ที่แท้จริงจะเนิ่นช้าเหมือนมหาดาบสทั้ง 3 ในครั้งพุทธกาลที่ไปติดกัปป์อยู่ขณะนี้



ข้อนี้เป็นความรู้ผิด เป็นความเข้าใจผิด เป็นการปฏิบัติผิดของคุณอโศกะอย่างมหันต์เลยครับ

การค้นพบทุกข์สมุทัย ไม่ใช่อยู่ที่การสร้างอกุศลมูล อันเป็นที่เกิดของตัณหาแบบที่คุณอโศกะกำลังปฏิบัติอยู่นะครับ การปฏิบัติตรงนี้ของคุณอโศกะคือการปฏิบัติที่ผิดทางตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างสิ้นเชิงครับ

พระพุทธเจ้าสอนให้ละตัณหาและอกุศลมูลอันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ แต่คุณอโศกะกลับยินดีในการสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ ปฏิบัติในเหตุให้เกิดทุกข์ ทำเหตุให้เกิดทุกข์เกิดขึ้นสืบไป อวดอ้างว่าตนเองกล้าหาญในการสร้างอกุศลกรรมเหตุให้เกิดทุกข์ การปฏิบัติของคุณอโศกะทำให้วัฏฏะของคุณอโศกะยาวออกไปเรื่อย ๆ ด้วยอกุศลวิบากครับ

การทรงฌาน เป็นการกำจัดความกลัวครับ ผมเป็นคนกล้าหาญครับ กล้าที่จะกำจัดตัณหาและอกุศลมูลอับเป็นเหตุให้เกิดทุกข์ครับ ผมมีความเพียรเผากิเลสให้เร่าร้อน ถอนตัณหาอุปาทานทั้งกลางวันกลางคืน
ผมเจริญมรรคปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ห่างไกลออกมาจากตัณหาอุปาทาน

ในขณะที่คุณอโศกะยังมัวยินดีในการกลับไปสร้างเหตุให้เกิดทุกข์ ไม่ห่างจากตัณหา เอาจิตไปเกลือกกลั้วอยู่กับตัณหาต่อไป


คุณยอมรับความจริงได้แล้วครับคุณอโศกะ ว่าคุณรู้มาผิด เข้าใจมาผิด คุณกำลังปฏิบัติผิดแนวทางคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 23:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ส.ค. 2009, 20:26
โพสต์: 1589

แนวปฏิบัติ: อรหัตตมัคค
สิ่งที่ชื่นชอบ: พระไตรปิฎก
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อโศกะ เขียน:
จะไม่ลองมาใช้ชีวิตอย่างคนธรรมดาสามัญ เผชิญหน้ากับผัสสะและเวทนาตามธรรมชาติ เพื่อจะได้มีโอกาสเจอกับ ตัณหาและ อัตตา สู้กับตัณหาอัตตาและมานะทิฐิ กันซึ่งๆหน้า จนกว่าจะตายดับจากกันไปข้างหนึ่งทันในปัจจุบันชาตินี้ ปัญญาความรู้ทางปริยัติระดับท่านมหาราชันย์นี้ยังยินดีกับพรหมสุขอยู่หรือครับ

วิสุัยของชาวพุทธที่แท้จริงหรือพุทธสาวกนั้น ย่อมจะเจริญมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนาอยู่ในชีวิตจริงตลอดเวลาที่ระลึกไดและมีโอกาส เมื่อปฏิฆะหรือโทสะเกิดขึ้นในจิต ย่อมจะมีสติรู้ทันปัจจุบันอารมณ์นั้น แล้วจะมีปัญญาเข้าไปดู ไปสังเกตพิจารณาอารมณ์นั้นอย่างละเอียดถี่ถ้วนเพื่อให้เจอตัวสมุทัย ที่จะมาก่อให้เกิดตัณหาอยู่เนืองๆ


ข้อนี้เป็นความรู้ผิด เป็นความเข้าใจผิด เป็นการปฏิบัติผิดจากคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ
คนธรรมดาสามัญคือคนที่จิตเป็นกามาวจรกุศล หรือกามาวจรอกุศล หรือวิบากครับ
ปุถุชนเจริญมรรคมีองค์ 8 เจริญแล้วบรรลุรูปฌาน 4 หรือรูปาวจรกุศลจิต 4 และบรรลุอรูปฌาน 4 หรืออรูปาวจรกุศล 4 หรือวิบากในปุถุชนครับ

การสู้กับตัณหาอยู่ที่การละตัณหาครับ ไม่ใช่อยู่ที่การสร้างตัณหาครับ คุณรู้มาผิด คุณเข้าใจผิด คุณปฏิบัติผิดทางครับ

การละตัณหาอุปาทานเสียได้ด้วยโลกุตตระฌานหรือโลกุตตระกุศลจึงจะบรรลุโสดาปัตติผล สกทาคามีผล อนาคามีผล และอรหัตตผลครับ





อโศกะ เขียน:
พระพุทธเจ้าท่านก็ทรงแนะนำไว้ดีแล้ว วิเนยยะ โลเก อภิชฌา โทมนัสสัง เอาออกเสียให้ได้ซึ่งความยินดียินร้ายในโลก ทุกเวลา ทุกโอกาส ซึ่งก็หมายถึง การเจริญสติปัฏฐาน 4 อันเป็น 1 ใน 8 ข้อ ของมรรค 8 อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ไปหลบอยู่ในฌาณ 2 อย่างที่ท่านมหาราชันย์กำลังยึดถือปฏิบัติอยู่ขณะนี้


ข้อนี้เป็นความรู้ผิด เป็นความเข้าใจผิดในเรื่องฌาน เป็นการปฏิบัติผิดทางของคุณอโศกะในเรื่องฌานครับ

เพราะจิตบรรลุฌานได้ กุศลมูลจึงเกิดขึ้น อภิชฌา และโทมนัสจึงถูกกำจัดเสียได้ นิวรณ์ 5 เกิดขึ้นไม่ได้

การเจริญสติปัฏฐาน 4 เกิดขึ้นก็ต่อเมื่อเจริญฌานเป็นโลกุตตระครับ






อโศกะ เขียน:
ส่งท้าย ที่ท่านมหาราชันย์กล่าวไว้ท่อนหนึ่งอันประดุจจะประมาทจ้วงจาบ คนที่ยังไม่ได้บวชออกจากเรือน เหมือนกับจะบอกว่า คนที่ครองเรือนอยู่นั้นไม่มีสิทธิ์หรอก มรรค ผล นิพพาน หรือการอธิบายธรรมลึกซึ่ง ตรงนี่แหละที่ผมสามารถจะใช้คำว่าท่านมหาราชันย์ ผิดแล้ว ผิดธรรม เพราะ มรรค ผล นิพพานนั้นเป็น อกาลิโก และไม่จำกัด กาล เวลา สถานที่ เชื้อชาติ เผ่าพันธุ์ วรรณะ ศาสนา เพศ วัย( 7 ขวบขึ้นไป) ระดับการศึกษา เครื่องแบบหรือการแต่งกาย

ศีล 5 โสดาบันนะครับ สกิทาคา อนาคาศีล 5 ศีล 8 ก็บรรลุได้ ใส่เสื้อ 2 แขน ไม่โกนหัวนุ่งเหลืองก็บรรลุได้ ไม่มีคัมภีร์บ่งไว้ว่าหมดสิทธิ์นะครับ ระวังนะครับ อริยุวาตันตราย ปิดกั้นมรรคผลในชาตินี้ได้เหมือนกันนะครับ ถ้าสัมปชัญญะยัังไม่กลับคืนมาโดยสมบูรณ์และขอขมา


คุณอโศกะอ่านข้อความข้างล่างให้ดีครับ

มหาราชันย์ เขียน:
คุณกำลังกล่าวตู่คำสอนและบิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้าครับ
ปัจจุบันคุณยังละเหย้าเรือนไม่ได้ ยังบริโภคกามอยู่ กิเลสหยาบ ๆ คุณยังละไม่ได้ แต่อวดปัญญาเทียบเท่าปัญญาพระพุทธเจ้า มันเกินความสามารถของคุณอโศกะครับ คุณไม่ได้ทำเรื่องยากให้เป็นเรื่องง่าย แต่กำลังทำสิ่งถูกให้เป็นสิ่งผิด กำลังทำสิ่งผิดให้เป็นสิ่งถูก กำลังทำเรื่องง่ายให้เป็นเรื่องยาก กำลังชักนำคนเดินถูกทางให้หลงออกนอกเส้นทางมัคคผลครับ ไม่ได้อิงอรรถอิงธรรม แต่กำลังบิดเบือนอรรถธรรมครับ


ผมระบุชื่อว่าเป็นคุณอโศกะคนเดียวครับ
ข้อความง่าย ๆ แค่นี้คุณอโศกะยังไม่มีปัญญาวินิจฉัยให้เข้าใจให้ถูกต้องได้เลยครับ
คุณไม่เอาฌาน นิวรณ์ 5 ยังมีเต็มในจิตคุณ

แค่นิวรณ์ 5 คุณยังอนุรักษ์เอาไว้ไม่ยอมกำจัดออกไป สำหรับคุณอโศกะในตอนนี้อย่าว่าแต่จะเป็นพระอริยะเจ้าเลยครับ ปุถุชนผู้บรรลุฌานโลกีย์คุณยังไม่สามารถเป็นได้เลยครับ ผมยืนยันคำพยากรณ์นี้ครับ ว่าคุณอโศกะไม่ใช่พระอริยะเจ้าจริงแท้แน่นอนครับ


ยอมรับได้แล้วครับว่าปัญญาคุณทุรพล รู้มาผิด เข้าใจมาผิด ปฏิบัติผิดทาง


ด้วยความหวังดีครับ อย่าเสียเวลาไปกับการจำคำสอนจอมปลอมนอกพระพุทธศาสนาเหล่านั้นของคุณอโศกะอีกเลยครับ



เจริญในธรรมครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 ธ.ค. 2009, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3835

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


มหาราชันย์ เขียน:
ชาติสยาม เขียน:
ปุถุชนใดที่กล่าวว่าเป้นผู้ไร้โกรธนั้น เป้นไปไม่ได้....

ธรรมดาความโกรธนั้น เดี๋ยวมี เดี่ยวหาย
แต่ไม่สามารถบอกได้ว่า "ไร้ความโกรธ"
หรือพูดให้ชัดไปเลยว่า "ไม่โกรธอีกแล้ว" นั้น เป็นไปไม่ได้

คุณมหาเห็นด้วยไหมครับ



สวัสดีครับคุณชาติสยาม

เห็นด้วยในกามาวจรบุคคลครับคุณชาติสยาม
แต่ไม่เห็นด้วยในปุถุชนผู้ทรงฌาน มีฌานไม่เสื่อมครับคุณชาติสยาม
ถ้าคุณชาติสยามบรรลุฌานสมาบัติแล้วมีความโกรธไม่เรียกจิตนั้นว่าฌานด้วยครับคุณชาติสยาม
ผู้มีความโกรธก็ไม่อาจบรรลุฌานได้ครับคุณชาติสยาม


เมื่อคุณชาติสยามบรรลุฌานสมาบัติ ผมเชื่อมั่นว่าคุณชาติสยามปราศจากความโกรธแน่นอนครับ
คุณชาติสยามเห็นด้วยกับผมไหมครับ ??



เจริญในธรรมครับ


ไม่เห็นด้วยเลยคุณมหา


ฌาน เป็นสมาธิ ไม่ใช่ปัญญา

สิ่งล้างกิเลสคือปัญญา ไม่ใช่สมาธิ


ปุถุชน ต้องมีโกรธสิ
ปุถุชนทรงฌาน จะไม่มีกิเลสได้ยังไง
ก็ปุถุชนนั่นแหละแปลว่าเป็นคนมีกิเลสครบทั้ง 10 อย่าง รวมถึงความโกรธ

แต่ไม่แปลกนะ ถ้าผู้ทรงสมาธิ เก่งในสมาธิ วันหนึ่งจะพูดว่าไม่เห็นกิเลสในตน
มันเป็น"เรื่องเก่า"ที่มีมา"นานมาก"

แต่พึงมีธัมวิจัยบ้างสักนิดเถิด
ว่าสังโยชน์นั้นมันเป้นของที่"เป็นลำดับ"
จะลัดไปลัดมานั้น เป็นไปไม่ได้
ผู้หมดโกรธ คืออริชนชั้นไหนจงพิจารณาดูเอาเถิดพ่อคุณ
ถ้าละโกรธได้จริง อย่างน้อยๆชัดๆ ต้องละสักกายทิฐิได้ก่อน


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 181 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2, 3, 4, 5 ... 13  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 11 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร