วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:31  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ส.ค. 2009, 14:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

การแก้แค้น เป็นพฤติกรรมที่ติดมากับมนุษย์ตั้งแต่ยุคดึกดำบรรพ์ก็ว่าได้
มันเป็นยิ่งกว่าปฏิกิริยา “สู้หรือหนี”
อันเป็นสัญชาตญาณดั้งเดิมของสัตว์ทุกชนิดเมื่อเผชิญกับภัยคุกคาม
คนเราไม่ได้อยากแก้แค้นเพียงเพราะโกรธที่ถูกทำร้ายเท่านั้น
หากยังเพราะมีความอาฆาตพยาบาทซึ่งหล่อเลี้ยงด้วยความทรงจำ
สัตว์บางชนิดอาจมีความอาฆาตพยาบาทเช่นเดียวกับมนุษย์
แต่นั่นเพราะมันหรือลูกของมันถูกทำร้าย
ส่วนมนุษย์นั้นเพียงแค่เสียหน้าหรือถูกดูหมิ่นศักดิ์ศรี
ก็เป็นเหตุผลมากพอแล้วที่จะลงมือล้างแค้นจนถึงตาย

อย่างไรก็ตามการแก้แค้นไม่ใช่เป็นเรื่องของอารมณ์ความรู้สึกล้วนๆ
มนุษย์ตั้งแต่ยุคบรรพกาลมีเหตุผลที่ต้องแก้แค้น
ไม่ใช่เพื่อความสะใจเท่านั้น แต่เพื่อส่งสัญญาณให้คู่กรณีรวมทั้งคนอื่นๆ
ได้รู้ว่าตนจะไม่ยอมถูกกระทำฝ่ายเดียว ใครที่มาล่วงล้ำ กล้ำเกิน
หรือทำร้ายตน ย่อมถูกโต้ตอบกลับคืน
กล่าวอีกนัยหนึ่งนี้เป็นวิธีป้องปรามหรือกลไกป้องกันตัวอีกแบบหนึ่ง
ซึ่งจำเป็นในยุคที่ผู้คนอยู่กันด้วย “กฎป่า” หรือใช้ความรุนแรงเป็นเครื่องมือ
การไม่แก้แค้น หมายถึง การแสดงความอ่อนแอ
ซึ่งเท่ากับเชื้อเชิญให้ใครต่อใครมาเอาเปรียบเบียดเบียนไม่หยุดหย่อน

การป้องกันตนเองด้วยวิธีการดังกล่าวมิใช่เป็นสิ่งจำเป็น
สำหรับความอยู่รอดของปัจเจกบุคคลและครอบครัวเท่านั้น
แต่ยังจำเป็นสำหรับกลุ่มชนหรือเผ่าพันธุ์ด้วย
เผ่าจะอยู่รอดไม่ได้หากคนอื่นนิ่งดูดายปล่อยให้เพื่อนพ้องในเผ่าถูกทำร้าย
การแก้แค้นให้กับเพื่อนร่วมเผ่าเป็นทั้งการป้องปรามไม่ให้ใครมาทำเช่นนั้นอีก
ขณะเดียวกันก็เป็นการส่งสัญญาณแสดงถึงความสามัคคีกลมเกลียวของเผ่าตน
ด้วยวิธีนี้เผ่าจึงจะมีโอกาสอยู่รอดและปลอดพ้นจากภัยคุกคามได้

คงเพราะเหตุนี้จึงมีการส่งเสริมค่านิยมการล้างแค้นในหมู่เผ่าพันธุ์
และกลุ่มชนต่างๆ จนกลายเป็นวัฒนธรรมไปทั่วโลก
และในบางแห่งก็ถึงกับกลายเป็นข้อบัญญัติหรือเป็นที่รับรองของศาสนาด้วยซ้ำ
มองในแง่นี้ก็เหมือนกับจะยืนยันว่าการล้างแค้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์
ที่ติดมาในยีนเลยก็ว่าได้ แต่มองอีกมุมหนึ่งการที่หลายชุมชนหลายเผ่าพันธุ์
พยายามตอกย้ำเหตุการณ์อันน่าขมขื่นเจ็บปวดในอดีต
(ผ่านบทเพลง บันทึกประวัติศาสตร์ และเรื่องเล่าปากต่อปาก ฯลฯ)
เพื่อกระตุ้นให้เกิดความอาฆาตพยาบาทและอยากแก้แค้นนั้น
ทำให้เกิดคำถามขึ้นมาว่า ถ้าการแก้แค้นเป็นสัญชาตญาณของมนุษย์จริง
ทำไมจึงต้องตอกย้ำและปลุกเร้าให้เกิดความโกรธเกลียด
และอาฆาตพยาบาทไม่หยุดหย่อน ราวกับกลัวว่าผู้คนจะลืมเหตุการณ์เหล่านั้น
หรือไม่อาฆาตพยาบาทมากพอ

มีผู้คนเป็นอันมากที่พยายามหล่อเลี้ยงความอาฆาตพยาบาท
ด้วยการเตือนตนให้ระลึกถึงความเจ็บแค้นในอดีต
เช่น นึกถึงมันบ่อย ๆ หรือบันทึกเอาไว้ บ้างก็ถึงกับทำรายชื่อศัตรู
เหมือนกับจดรายการจ่ายตลาด ทั้งนี้ก็เพราะเขากลัวลืม
แต่ยิ่งนึกย้ำซ้ำทวนก็ยิ่งถูกไฟโทสะเผาลนจิตใจ
การพยายามปกป้องตนเองด้วยการแก้แค้น
กลับกลายเป็นการบั่นทอนทำร้ายตนเอง ตั้งแต่เริ่มคิดแก้แค้นด้วยซ้ำ

แต่การแก้แค้นก่อผลเสียยิ่งกว่านั้น มันสามารถชักนำครอบครัว
และกลุ่มชนของตนให้ตกอยู่ในวังวนแห่งความรุนแรง
ติดกับดักแห่งการแก้แค้นไม่รู้จบ เพราะอีกฝ่ายย่อมไม่อยู่นิ่งเฉย
หากพยายามแก้แค้นเอาคืน การแก้แค้นให้กับคน ๆ หนึ่งที่ถูกฆ่าตาย
อาจตามมาด้วยการสังหารผู้คนอีกเกือบ ๓๐ คน
(ดังที่เกิดกับ ๒ ชนเผ่าในนิวกีนีเมื่อหลายปีก่อน)
หรือมีการจองล้างจองผลาญติดต่อกันนานถึง ๒๗๐ ปี
(ดังกรณีที่เกิดในอัลเบเนีย) แต่นั่นก็ยังเทียบไม่ได้กับการแก้แค้น
ระหว่างเซิร์บกับเติร์กซึ่งยืดเยื้อมา ๖๐๐ ปี
หรือระหว่างยิวกับอาหรับซึ่งสาวไปได้ถึงพันปีที่แล้ว

ทุกวัฒนธรรมที่ส่งเสริมการแก้แค้นย่อมรู้ดีว่าการแก้แค้น
ที่ปล่อยให้เกิดขึ้นตามอำเภอใจย่อมนำมาซึ่งความโกลาหลวุ่นวาย
ทำลายความสามัคคีและบั่นทอนเสถียรภาพของสังคม
จึงพยายามสร้างกติกาหรือข้อกำหนดขึ้นมา เพื่อให้การแก้แค้นอยู่ในขอบเขต
(เช่น อนุญาตให้แก้แค้นได้ภายใน ๒๔ ชั่วโมง
หรือกันเด็ก ผู้หญิง ชายชราจากหน้าที่แก้แค้น หรืออนุญาตให้ดวลปืน
ยิงกันด้วยกระสุนนัดเดียว) แต่นั่นก็ไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาที่ดีที่สุด
หลายชุมชนจึงหันมาส่งเสริมการปรับหรือเรียกค่าสินไหมแทนการแก้แค้น
หรือไม่ก็มอบหมายให้รัฐหรือผู้ปกครองทำการแก้แค้นแทน
โดยมีมาตรการต่างๆ ตั้งแต่ปรับ จำคุก ไปจนถึงประหารชีวิต
(ในอดีตอนุญาตให้รัฐใช้วิธีทรมานได้ด้วย)

แต่ความรุนแรงควรยุติด้วยการแก้แค้นเท่านั้นหรือ?
หากเราไม่ลงมือแก้แค้นเอง เราควรพอใจที่รัฐแก้แค้นแทนเราเท่านั้นหรือ?
มีวิธีอื่นที่ดีกว่านี้หรือไม่ที่เราสามารถทำได้ ?
คำตอบคือมี ได้แก่ “การล้างแค้นอย่างสร้างสรรค์”
คือ การล้างแค้นด้วยการยกระดับตัวเองแทนที่จะไปเหยียบย่ำคนอื่นให้ตกต่ำลง
เมื่อเราโกรธหรือเกลียดใครสักคน เราอยากทำกับเขาเหมือนกับที่เขาทำกับเรา
หากเขาด่าว่าเรา เราก็ต้องด่าเขากลับคืน
หากเขาทำร้ายเรา เราก็ต้องเล่นงานเขาให้สาสม
วิธีนี้ก็คือการทำตัวเองให้ต่ำลงเหมือนเขา
แต่ผู้ที่มีปัญญาย่อมรู้ดีว่าการทำให้เขาเจ็บปวดที่ดีกว่านั้น
ก็คือการทำตน ให้ดีกว่าเขา เก่งกว่าเขา ประสบความสำเร็จมากกว่าเขา
หรือเป็นสุขเบิกบานใจยิ่งกว่าเขา

อย่างไรก็ตามการล้างแค้นแบบสร้างสรรค์สามารถนำความทุกข์มาให้แก่เราได้
ตราบเท่าที่เรายังไม่เก่งกว่าเขาหรือประสบความสำเร็จมากกว่าเขา
เบื้องหลังการล้างแค้นดังกล่าวคือความโกรธเกลียด
ซึ่งสามารถเผาลนจิตใจเราได้ตลอดเวลา


ด้วยเหตุนี้จึงมีวิธีที่ดีกว่านั้นอีก นั่นคือ การให้อภัย
การให้อภัยมิได้หมายถึงยอมรับการกระทำไม่ดีของเขา
แต่หมายถึงการปลดเปลื้องความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาท
ออกไปจากจิตใจของเรา แม้เราจะยอมรับการกระทำของเขาไม่ได้
แต่เราสามารถยอมรับเขาในฐานะมนุษย์ได้ การฆ่า การหลอกลวง
หรือการดูหมิ่นเหยียดยาม เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องวันยังค่ำ
แต่คนเราอาจทำสิ่งนั้นเพราะความพลั้งเผลอ เพราะความไม่รู้
เพราะความเข้าใจผิด หรือเพราะอารมณ์ชั่ววูบ
เขาอาจทำเพราะแรงบีบคั้นจากความเจ็บปวดในอดีต
หรือเพราะเคยถูกกระทำย่ำยีมาก่อนก็ได้ ในฐานะที่เป็นเพื่อนทุกข์
เขาควรได้รับการให้อภัยจากเรา ในฐานะที่เรามีหน้าที่ทำตนให้เป็นสุข
เราควรปลดเปลื้องความอาฆาตพยาบาทไปจากจิตใจ

มิใช่แต่การล้างแค้นเท่านั้นที่อยู่คู่กับมนุษย์
การให้อภัยและการสมานไมตรีก็เป็นส่วนหนึ่งของมนุษยชาติมาช้านาน
อย่าว่าแต่คนเลย แม้แต่สัตว์ก็รู้จักคืนดี
นักสัตววิทยาที่สังเกตพฤติกรรมของลิงในสวนสัตว์และป่าธรรมชาติพบว่า
เมื่อลิงทะเลาะเบาะแว้งกัน จะมีความพยายามคืนดีกันเสมอ
หากไม่ “วาน”ตัวกลางให้ช่วยไกล่เกลี่ย
คู่กรณีตัวใดตัวหนึ่งก็จะเป็นฝ่ายริเริ่มเข้าหา งอนง้อ หรือทำดีด้วย
ไม่ว่าอีกฝ่ายจะเคยกราดเกรี้ยวคู่กรณีเพียงใด
แต่ในที่สุดก็จะคืนดีด้วยการเกาหลังให้กันและกัน


มนุษย์ไม่ได้มีแต่ความโกรธเกลียดเท่านั้น เรายังมีเมตตา กรุณา
และความเข้าใจด้วย ความสามารถในการให้อภัยจึงอยู่ในใจของเราทุกคน
จะว่าไปการให้อภัยเป็นกลไกอย่างหนึ่งในการปกป้องตนเอง
มิใช่ปกป้องจากศัตรูภายนอก แต่ปกป้องจากศัตรูภายใน
ได้แก่ความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทนั่นเอง
หากความโกรธเกลียดและอาฆาตพยาบาทคือมีดกรีดใจ
การให้อภัยก็คือยาสมานใจนั่นเอง ใจที่ไร้ยาสมานย่อมมีแผลเรื้อรัง
ชีวิตที่ให้อภัยไม่เป็นย่อมหาความสุขได้ยาก

เราจะสุขหรือทุกข์มิใช่เพราะมีใครมาทำให้ หากอยู่ที่ใจของเราเอง
ไม่มีใครทำลายศักดิ์ศรีของเราได้นอกจากตัวเราเอง
ถึงที่สุดแล้วเราต้องเลือกว่าเราจะมีชีวิตอยู่อย่างไร
ระหว่างการหล่อเลี้ยงความโกรธเกลียดเอาไว้
หรือการบ่มเพาะเมตตาและกรุณา
ผู้คนเป็นอันมากเลือกอย่างแรกจึงจมปลักอยู่ในความทุกข์
ส่วนผู้มีปัญญาเลือกอย่างหลังจึงเป็นสุขอยู่เสมอ


ความอาฆาตพยาบาทนั้นมีความทรงจำเป็นตัวหล่อเลี้ยง
แต่ก็มิได้หมายความว่าเราต้องลืมก่อนถึงจะให้อภัยได้
การให้อภัยมิได้เกิดจากการหลงลืม
แต่เกิดจากความตระหนักรู้ถึงโทษของความโกรธ
ที่สำคัญก็คือเกิดจากความเข้าใจในคู่กรณี
โดยเฉพาะเมื่อเห็นถึงความเป็นมนุษย์ของเขาซึ่งไม่ต่างจากเรา
อีกทั้งเห็นถึงความทุกข์ของเขาด้วย เราสามารถจะให้อภัยโดยไม่ลืมได้

คิม ฟุค ถูกไฟจากระเบิดนาปาล์มของอเมริกาเผาลวกทั้งตัวจนเกือบเอาชีวิตไม่รอด
อีกทั้งยังสูญเสียลูกพี่ลูกน้อง ๒ คนจากเหตูการณ์
แม้แผลจะหายหลังจากผ่าตัดถึง ๑๗ ครั้ง แต่ความแค้นฝังใจเธอร่วม ๒๐ ปี
แต่ในที่สุดเธอก็ให้อภัยทหารอเมริกันเมื่อเธอประจักษ์แก่ใจว่า
“การบ่มเพาะความเกลียดเอาไว้สามารถฆ่าฉันได้”
เธอพบว่าสิ่งที่ทำร้ายเธอจริง ๆ มิใช่ใครที่ไหน
หากได้แก่ความเกลียดที่ฝังแน่นในใจเธอนั่นเอง

อาซิม กามิซา สูญเสียทาริก ลูกชายคนเดียววัย ๑๔ ปี
เพราะความคิดชั่วแล่นของวัยรุ่นอีกคนหนึ่งที่ต้องการอวดความเก่งกล้า
สามารถของตนให้เพื่อนร่วมแก๊งได้เห็น แม้จะเจ็บปวดแต่เขาก็ให้อภัยวัยรุ่นคนนั้น
เพราะเห็นว่า “การแก้แค้นไม่อาจช่วยอะไรได้ เอาชีวิตทาริคกลับมาได้ไหม
การแก้แค้นมีแต่จะทำให้ความรุนแรงที่คร่าชีวิตทาริคยืดยาวต่อไป”
เขาพบว่าตัวการที่ฆ่าลูกเขาไม่ใช่ใครอื่น
หากคือวัฒนธรรมแห่งความรุนแรงในหมู่วัยรุ่นต่างหาก
เขาจึงต้องต่อสู้กับความรุนแรงนี้ด้วยการตั้งมูลนิธิในนามลูกของตน
เพื่อส่งเสริมให้คนหนุ่มสาวเห็นโทษของความรุนแรงในการแก้ปัญหา

ในทำนองเดียวกันเมื่อแม่ของสิบเอกสามารถ กาบกลางดอน
ต้องสูญเสียลูกชายในเหตุการณ์นองเลือดที่ปัตตานี (ซึ่งโยงกับกรณีกรือเซะ)
เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน ๒๕๔๗ แทนที่จะเรียกร้องการล้างแค้น
เธอกลับให้อภัยฝ่ายตรงข้าม เพราะไม่ต้องการให้คนอื่นต้องเจ็บปวดเช่นเดียวกับเธอ
“ฉันไม่อยากเห็นสิ่งอย่างนี้เกิดขึ้นอีกต่อไป
ไม่ว่ากับใครอีกเราควรจะหยุดฆ่ากันได้แล้ว นี่เป็นความสูญเสียของทุกฝ่าย
ฉันก็เสียลูกชายเหมือนแม่คนอื่นๆ อีกหลายคน”

“เวรย่อมไม่ระงับด้วยการจองเวร แต่ระงับด้วยการไม่จองเวร”
นี้มิใช่เป็นแค่คำสอนทางพุทธศาสนา
หากเป็นความจริงที่อยู่เหนือกาลเวลาและเป็นสากล
การแก้แค้นไม่เคยชำระปัญหาให้จบสิ้น อีกทั้งไม่สามารถนำความสุขมาสู่ชีวิต
การให้อภัยต่างหากที่ทำให้ปัญหายุติได้
ต่อเมื่อชำระใจให้ปลอดจากความแค้น
เมื่อนั้นชีวิตจึงจะพบความสงบเย็นอย่างแท้จริง”



โดย… พระไพศาล วิสาโล
มติชน ฉบับวันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2552
ที่มา... http://www.peacefuldeath.info/article/?p=144


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ต.ค. 2009, 13:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ม.ค. 2009, 20:45
โพสต์: 1094

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จิตใจไม่ได้มีไว้เก็บกักความแค้น :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 พ.ย. 2009, 19:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ม.ค. 2009, 18:00
โพสต์: 64


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 พ.ย. 2009, 10:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 พ.ย. 2009, 15:28
โพสต์: 307

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ่านหนังสือของท่านแล้วหายเครียดครับ
อนุโมทนาครับ
:b8: :b8: :b8:

.....................................................
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ธรรมโฆษ และ บุคคลทั่วไป 20 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร