วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง





กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ชั่วโมงแห่งความคิดดี
โดย พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก

วัดป่าสุนันทวนาราม
บ้านท่าเตียน ต.ไทรโยค อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี



คำนำ

หนังสือชั่วโมงแห่งความคิดดี ซึ่งจัดพิมพ์ครั้งแรกในเดือนตุลาตม พ.ศ. 2545 ได้รับความสนใจจากพุทธศาสนิกชนเป็นจำนวนมาก จนทำให้มีการจัดพิมพ์อย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด นับถึงปัจจุบันมียอดจำนวนพิมพ์รวมทั้งสิ้น 80,000 เล่ม

การจัดพิมพ์ครั้งที่ 9 นี้ เป็นวาระเดียวกับที่ได้มีการแปลหนังสือชั่วโมงแห่งความคิดดีเป็นภาษาอังกฤษ และภาษาญี่ปุ่น เพื่อเผยแผ่หลักธรรมคำสอนให้แก่ชาวต่างชาติ ได้ใช้เป็นแนวทางในการปฏิบัติเพื่อความสุขและความมีสุขภาพใจดี โดยใช้ชื่อฉบับภาษาอังกฤษว่า “The 7 Practices for a Healthy Mind” ในโอกาสดังกล่าว ท่านพระอาจารย์มิตซูโอะจึงมีดำริให้เพิ่มเติมและแก้ไขต้นฉบับบางบทให้มีความละเอียดสมบูรณ์มากขึ้น เพื่อให้ผู้อ่านสามารถเข้าใจได้ชัดเจนยิ่งขึ้น โดยเฉพาะสำหรับผู้ใหม่ที่เพิ่งเริ่มต้นศึกษาพระพุทธศาสนา

คณะผู้จัดทำ หวังว่าการจัดพิมพ์หนังสือชั่วโมงแห่งความคิดดี จะเป็นส่วนหนึ่งของการเผยแผ่พระธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เพื่อเป็นแนวทางให้แก่ผู้อ่านได้นำไปปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ทางใจ หรืออย่างน้อยก็เพื่อเข้าถึงความมีสุขภาพใจดี


มูลนิธิมายา โคตมี

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


สารบัญ

๏ ชั่วโมงแห่งความคิดดี
๏ ทำไมต้องเจริญอานาปานสติ
๏ จิตของเรา
๏ ความหมายของอานาปานสติ
๏ ผู้สนใจเจริญอานาปานสติควรทำอย่างไร
๏ ข้อปฏิบัติ 7 ประการ เพื่อสุขภาพใจดี
1. ลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร
2. ลมหายใจยาวๆ เป็นปฐมพยาบาลทางจิตใจ
3. เจริญอานาปานสติอย่างน้อย 20 นาที เป็นการภาวนา
4. มีสัมมาวาจา
5. พยายามแก้ไขตนเอง
ความโกรธ และวิธีระงับความโกรธ
6. ทำความดีเพิ่มอย่างน้อยวันละ 1 อย่าง
7. กำหนดชั่วโมงแห่งความคิดดี
๏ อิริยาบถแห่งอานาปานสติ
* ยืน
* เดิน
* นั่ง
* นอน
๏ ถาม–ตอบ ปัญหาการปฏิบัติ
๏ การฝึกจิตคล้ายกับการฝึกสัตว์ป่า
๏ นิวรณ์ 5 : คบคนพาล พาลพาใจไม่สงบ
๏ เจริญอานาปานสติ : การเลือกคบกัลยาณมิตร ทำให้ไม่ติดอารมณ์
๏ ชีวิตทั้งหมดให้อยู่ด้วยอานาปานสติ

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ ชั่วโมงแห่งความคิดดี

เมื่อพูดถึงเรื่องชีวิต เรามักนึกถึงความสุขเป็นเรื่องสำคัญ เพราะสิ่งที่ทุกคนปรารถนาในชีวิต คือความสุข เราพยายามหาวิธีแสวงหาความสุข และหนีให้พ้นจากทุกข์กันทั้งนั้น ครอบครัวญาติพี่น้องต่างปรารถนาให้เรามีความสุข นักมานุษยวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ ปรารถนาความสุขแก่มวลมนุษยชาติ แต่ปัญหาอยู่ที่ว่า คนเรามักไม่พบความสุขที่ต่างกำลังแสวงหาอย่างแท้จริง เพราะโดยส่วนใหญ่ เรามักแสวงหาความสุขจากภายนอก เป็นความสุขจากวัตถุ ลาภ ยศ สรรเสริญ ตามแบบฉบับวัตถุนิยม เราอาจรู้สึกเพลิดเพลินไปกับความสะดวกสบายต่างๆ ในชีวิตที่ไม่เที่ยงแท้แน่นอน โดยไม่ได้พิจารณาถึงความสุขจากภายใน อันเกิดจากจิตใจที่ได้รับการอบรมขัดเกลา เป็นจิตที่มีความสงบสุข

ตามธรรมดาเรามักทุ่มเทเอาใจใส่กับร่างกาย บำรุงเลี้ยงด้วยอาหารชั้นดี จัดสรรเวลาสำหรับออกกำลังกาย ดูแลรักษาความสะอาด และตกแต่งด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์สวยงาม แต่มองข้าม หรือให้ความสำคัญกับเรื่องของจิตใจเป็นอันดับสุดท้าย โดยลืมคิดถึงความจริงที่ว่า ใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า เมื่อใจดี คิดดี ทำดี ก็จะมีความสุข ซึ่งเป็นความสุข ที่ทุกคนมีศักยภาพที่จะเข้าถึงได้

หนังสือเล่มนี้จัดทำขึ้น โดยมีวัตถุประสงค์สำคัญเพื่อสร้างค่านิยมที่ถูกต้อง เพื่อให้ผู้อ่านได้หันกลับมาสำรวจดูจิตใจของตัวเองมากขึ้น วิธีปฏิบัติในหนังสือ เป็นสิ่งที่ทุกคนสามารถทำได้ และเป็นสิ่งที่พึงกระทำ เพราะเป็นวิถีทางแห่งความสุขที่เราสามารถบ่มเพาะให้เกิดขึ้นในจิตใจได้ โดยเริ่มต้นปฏิบัติที่ตนเอง ด้วยการคิดดี รักษาสุขภาพใจดี และสร้างกำลังใจให้เข้มแข็ง มั่นคง อดทน และมีเมตตา อันจะเป็นประโยชน์สุขต่อการดำเนินชีวิตของผู้ปฏิบัติเองและต่อสังคมโดยรวมสืบไป


(มีต่อ 1)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ ทำไมต้องเจริญอานาปานสติ

1. เพื่อศึกษาชีวิต

เมื่อมีใครถามว่าทำไมต้องปฏิบัติธรรม เราอาจตอบได้ว่า เพื่อศึกษาพระพุทธศาสนา คือศึกษาชีวิตเรา ชีวิตเขา ถ้าลองสังเกตดูตัวเองแล้วจะพบว่าไม่ว่ากายหรือใจเรา มักมีเรื่องทุกข์กันทั้งนั้น ไม่มีใครสมบูรณ์ในทุกด้าน ชีวิตเรามักขาดไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง จนเป็นทุกข์กันทุกคน บางคนมีเงินทองพอใช้ไม่เคยเดือดร้อนแต่ขาดความอบอุ่นในครอบครัว บางคนร่ำรวยแต่เป็นทุกข์เพราะอกหัก ขาดความรัก บางคนร่ำรวย มีครอบครัวอบอุ่นดี มีบริวารดี การศึกษาดี ดูแล้วพรั่งพร้อมทุกด้าน แต่กลับมีปัญหาสุขภาพถูกโรคภัยไข้เจ็บเบียดเบียน หากจะกล่าวว่าทุกคนในโลกมีทุกข์กันทั้งนั้น ไม่มียกเว้นแม้สักคนเดียวก็คงจะไม่ผิด เพราะเราไม่เข้าใจตามความเป็นจริงของกายและใจ การเจริญอานาปานสติ ก็เพื่อค้นหาตนเอง เข้าใจตนเองถูกต้องได้มากเท่าไร ก็แก้ปัญหาและบรรเทาทุกข์ได้มากเท่านั้น

การเข้าใจตัวเองในที่นี้ หมายถึง เราจะค่อยๆ เข้าใจในการกระทำของตัวเองว่า เมื่อสร้างเหตุดี คิดดี พูดดี ทำดี ก็ได้ผลดี คือมีความสุข ตรงกันข้ามเมื่อคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ผลก็ไม่ดี คือ มีความทุกข์ เมื่อเราเข้าใจตามความเป็นจริงดังนี้แล้ว เราจะค่อยๆ ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของเราไปในทางที่ดีขึ้น เคยฆ่าสัตว์ เบียดเบียนชีวิตสัตว์ก็เลิก เคยมีนิสัยขี้ขโมย เมื่อเห็นโทษก็หยุด เคยประพฤตินอกใจภรรยา สามี เคยเที่ยวกลางคืน ก็ไม่ทำอีก เคยมีนิสัยพูดโกหก ก็เลิก เคยดื่มสุราก็เลิก เรียกว่านิสัยเก่าๆ ที่ไม่ดี พัฒนาชีวิตใช้ชีวิตเรียบง่าย รักษาศีล 5 ชีวิตก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ประพฤติดีงามทั้งกาย วาจา ใจ จิตใจพัฒนาสูงขึ้น ใช้หลักศีล สมาธิ ปัญญา เป็นแนวทางในการละเหตุให้เกิดทุกข์ ทำให้ชีวิตมีความสบายใจ สุขใจ ผล คือ ความดับทุกข์หรือทุกข์น้อยลง รู้จักปล่อยวาง จิตใจก็มีความสงบ สบายใจ

2. เพื่อสุขภาพใจ

สำหรับฆราวาสที่มีภาระในครอบครัวและสังคมมากจนทำให้มีอารมณ์ขี้บ่น ขี้ฟุ้งซ่าน ขี้สงสัย ขี้น้อยใจ ขี้อิจฉา ขี้กลัว ขี้เกียจ ซึ่งเป็นลักษณะของสุขภาพใจที่ไม่ดี เป้าหมายของการปฏิบัติธรรมการเจริญอานาปานสติ คือ ให้มีสติระลึกรู้ ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก เบาๆ สบายๆ จะยืน จะเดิน จะนั่ง จะนอน ถึงแม้ว่าตาเห็นอะไร หูได้ยินเสียงอะไรไม่ให้ยินดียินร้ายกับสิ่งภายนอก หมายความว่า เมื่อกระทบอารมณ์ทุกชนิดไม่ว่าดีหรือไม่ดี พอใจ ไม่พอใจ น้อยใจ อิจฉา โกรธ ฯลฯ กำหนดรู้เท่าทันได้ มีกำลังสติ สัมปชัญญะ มีสมาธิ ปัญญา อาศัยความอดทน อดกลั้น พอที่จะรักษาจิตใจเป็นโอปนยิโก คือ น้อมเข้ามาหาใจ ดูจิต ดูอารมณ์ของตน

ถึงแม้ว่าทุกข์ขนาดไหน ก็ทำใจได้ วางใจให้สงบได้ ไม่คิดปรุงแต่ง ฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์ยินดียินร้าย หรือหากจะคิด ก็คิดดี คิดถูก คิดด้วยสติปัญญา ไม่ใช่คิดปรุงแต่งไปตามกิเลส เราจะไม่หลงอารมณ์ ไม่ยอมให้อารมณ์มีอิทธิพลเหนือพฤติกรรมของเรา เราจะสามารถรักษากาย วาจา ใจ เรียบร้อย มีสติกลับมาระลึกรู้ที่ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ไม่ไปยึดติดกับสิ่งภายนอก แต่มองเห็นอารมณ์ภายใน ควบคุมอารมณ์ ควบคุมความคิดได้ รักษาสุขภาพใจดีได้

3. เพื่อสร้างกำลังใจ

ใจเป็นประธาน ใจเป็นหัวหน้า เมื่อใจดี คิดดี พูดดี ทำดีก็เป็นสุข เมื่อมีกำลังใจดี ถึงแม้จะเสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ก็ทำใจได้ แต่ถ้ากำลังใจไม่ดี คิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำไม่ดี ก็เป็นทุกข์ แม้ว่าจะมีลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ก็ยังเป็นทุกข์ การเจริญอานาปานสติเป็นการสร้างกำลังใจ อันได้แก่ ศรัทธา วิริยะ สติ สมาธิ ปัญญา

ศรัทธา หมายถึง เชื่อในสิ่งที่ควรเชื่อ เป็นความเชื่อที่ประกอบด้วยปัญญา เช่น บุญคุณของพ่อแม่มีจริง ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เชื่อในหลักอริยสัจ 4 เชื่อมั่นว่าเราสามารถปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์ได้

วิริยะ หมายถึง ความขยันหมั่นเพียรในการละความชั่ว ทำความดี และทำจิตใจให้บริสุทธิ์

สติ หมายถึง ความระลึกรู้ ระลึกถึงความเป็นมนุษย์ ว่าคือ ผู้มีใจสูง รู้ว่าสิ่งใดเป็นประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ รู้จักผิดชอบชั่วดี มีสติปัญญาเลือกทำในสิ่งที่ถูกที่ควร รักษาศีล 5 รักษาระเบียบวินัย มีสติระลึกถึงหน้าที่ที่เรามีต่อครอบครัว สังคม ประเทศชาติและทำหน้าที่นั้นๆ ให้สมบูรณ์ ฐานของสติที่แท้ คือ สติปัฏฐาน 4 หรือการระลึกรู้ในกาย เวทนา จิตและธรรมว่าเป็นอนัตตา ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน ไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา เป็นสักแต่ว่ากาย สักแต่ว่าเวทนา สักแต่ว่าจิต สักแต่ว่าธรรม จิตใจก็เป็นอิสระ สงบสุข ไม่มีความเห็นแก่ตัว ไม่มีทุกข์

สมาธิ คือ ความสงบของจิตที่ตั้งมั่น เป็นจิตที่คล่องแคล่วควรแก่การงาน ไม่ว่าจะทำการงานทางโลกหรือทางธรรมก็ทำได้ดี

ปัญญา คือ ความฉลาดรอบรู้ตามความเป็นจริง ที่สุดของปัญญา คือ รู้ตามอริยสัจ 4 นั่นเอง

หากเรามีกำลังใจตามที่กล่าวนี้แล้ว เราจะมีความสุขได้ในทุกสถานการณ์ ไม่ว่าจะมีปัญหา มีทุกข์มากขนาดไหน ก็จะผ่านพ้นอุปสรรคเหล่านั้นไปได้ด้วยดี ที่สุดของกำลังใจดีคือ ถึงแม้จะกำลังจะตาย ก็ไม่หวั่นไหว ปล่อยวาง ยอมรับความตายด้วยความสงบ สบายใจ

4. เพื่อไม่ประมาท

ในช่วงระยะเวลา 45 พรรษา หลังจากพระพุทธเจ้าตรัสรู้ พระองค์ทรงประกาศพระธรรมวินัย ถึง 84,000 พระธรรมขันธ์ ในวาระสุดท้ายก่อนที่จะเสด็จปรินิพพาน พระองค์ทรงแสดงพระธรรมเทศนากัณฑ์สุดท้าย ซึ่งเป็นสาระแห่งธรรมที่สรุปรวบยอดไว้ว่า “ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย สังขารทั้งหลายย่อมมีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา เธอทั้งหลายจงยังประโยชน์ของตน และประโยชน์ของผู้อื่นให้ถึงพร้อมด้วยความไม่ประมาทเถิด”

การถึงพร้อมด้วยประโยชน์ในที่นี้ หมายถึง การเจริญอานาปานสติ 16 ขั้นให้สมบูรณ์ เพื่อเข้าถึงอริยมรรค อริยผล และพระนิพพาน ตามที่พระพุทธองค์ได้ตรัสไว้ว่า

“ธรรมะอย่างหนึ่งที่บุคคลกระทำให้สมบูรณ์แล้ว จะทำธรรมะ 4 ประการให้บังเกิดขึ้น
ธรรมะ 4 ประการที่บุคคลกระทำให้บริบูรณ์แล้ว จะทำธรรมะ 7 ประการให้บังเกิดขึ้น
ธรรมะ 7 ประการที่บุคคลกระทำให้บริบูรณ์แล้ว จะทำธรรมะ 2 ประการให้บังเกิดขึ้น”

ธรรมะอย่างหนึ่งนั้นคือ อานาปานสติ จะทำให้เกิดธรรมะ 4 ประการคือ สติปัฏฐาน 4
สติปัฏฐาน 4 ที่สมบูรณ์ จะทำให้เกิดโพชฌงค์ 7
เมื่อโพชฌงค์ 7 สมบูรณ์ ย่อมเกิดธรรมะ 2 ประการ คือ วิชชา และวิมุตติ
คือ จิตที่หลุดพ้นจากอำนาจของกิเลส เข้าถึงอริยมรรค อริยผล และนิพพาน


(มีต่อ 2)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ จิตของเรา

ชีวิตของคนเราดูแล้วหลากหลายแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน
ชีวิตของคนแก่เฒ่ากับคนหนุ่มสาว คนรวยเป็นมหาเศรษฐีกับยาจก
คนเก่งระดับดอกเตอร์กับคนไม่รู้หนังสือ อ่านไม่ออกเขียนไม่ได้
คนดีที่ได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพ หรืออาชญากรชั่วร้ายที่มีแต่คนสาบแช่ง
ไม่ว่าคนเราจะมีสถานะภายนอกที่แตกต่างกันมากขนาดไหน
ไม่ว่าคนเราจะนับถือศาสนาใด ผิวขาวผิวดำ เชื้อชาติไหน พูดภาษาไหนก็ตาม
แต่ธรรมชาติของจิตสำหรับมนุษย์เราทุกคนที่มีความเหมือนกัน คือ ประภัสสร
สะอาด สงบ ผ่องใสก็มีอยู่แต่ดั้งเดิม เหมือนน้ำใสสะอาดที่มีอยู่ตามธรรมชาติ


เปรียบธรรมชาติของจิตกับน้ำ น้ำที่ใสสะอาดมีอยู่แต่เดิม แต่เมื่อผสมเป็นน้ำชา กาแฟ น้ำผลไม้ น้ำซุป เมื่อนำมาบริโภคก็ให้รสชาติ กลิ่น สี แตกต่างกันไปตามสิ่งที่นำมาผสม ตรงกันข้าม น้ำใสสะอาดที่ถูกเจือปนด้วยสิ่งสกปรก เป็นน้ำซักผ้า น้ำล้างจาน เป็นน้ำเน่า ก็มีสีส่งกลิ่นเหม็น ทั้งสองกรณีนี้ไม่ว่าจะถูกเจือปนด้วยอะไรก็ตาม น้ำที่เจือปนด้วยสี กลิ่น รส อยู่ที่ไหน น้ำที่ใสสะอาดก็อยู่ที่นั่น เปรียบกับจิตใจ จิตที่เศร้าหมอง ทุกข์ ไม่สบายใจอยู่ที่ไหน จิตที่ประภัสสร สะอาด สงบ สบายใจก็อยู่ที่นั่น

จิตกับอารมณ์ จิต ผู้รู้ ธาตุรู้ สภาวะรู้ คือ สิ่งเดียวกัน จิตทำหน้าที่รับรู้อารมณ์ คำว่าอารมณ์ในภาษาธรรม หมายถึง สิ่งที่ถูกรับรู้ผ่านอายตนะภายในทั้ง 6 คือ ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ดังนั้น อารมณ์จึงได้แก่ รูป เสียง กลิ่น รส สิ่งสัมผัสทางกาย และธรรมารมณ์หรืออารมณ์ทางใจ เช่นเมื่อตามองไปเห็นตุ๊กแก รูปตุ๊กแกก็เป็นอารมณ์ที่ปรากฏทางตา เมื่อได้ยินเสียงตุ๊กแกร้อง ก็เป็นอารมณ์ที่ปรากฏทางหู เมื่อเรานึกคิดปรุงแต่งไม่ว่าจะดี ชั่ว หรือ เป็นกลางๆ ความนึกคิดปรุงแต่งเหล่านั้นก็เป็นอารมณ์ที่ปรากฏทางใจ เป็นต้น อารมณ์ที่เกิดขึ้นกับใจ ได้แก่ ความยินดีพอใจ (สุขเวทนา) ความยินร้ายไม่พอใจ (ทุกขเวทนา) หรือเกิดความรู้สึกเป็นกลางวางเฉย (อทุกขมสุขเวทนา)

การดำเนินชีวิตของคนเรา สิ่งที่เรามีประสบการณ์ทั้งพอใจและไม่พอใจ มีเหตุปัจจัยจากโลกธรรม 8 โลกธรรมฝ่ายน่าปรารถนา ได้ลาภ ได้ยศ สรรเสริญ สุข ทำให้เกิดยินดี พอใจ โลกธรรมฝ่ายไม่น่าปรารถนา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ทำให้เกิดยินร้าย ไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม ความยินดียินร้ายเป็นอารมณ์ที่เกิดจากกิเลสตัณหา คือ โลภ โกรธ หลง ที่เข้ามาปรุงแต่งจิต แต่ไม่ใช่จิตซึ่งเป็นสภาวะที่รู้อารมณ์ตามความเป็นจริง เป็นสภาวะของผู้รู้ เป็นธาตุรู้ ที่มีแต่รู้ๆๆ รู้แล้วปล่อยๆ วางจากอารมณ์นั้น

มนุษย์ทุกคนล้วนมีประสบการณ์ของความทุกข์ ไม่ใช่เราเพียงคนเดียวที่มีทุกข์ บางคนทุกข์มากถึงกับฆ่าตัวตาย แต่จริงๆ แล้ว ที่คนเราเป็นทุกข์กันอยู่ทุกวันนี้ ปัญหาครอบครัว ปัญหาสังคม ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นในโลก ล้วนเกิดขึ้นเพราะเรามีความยึดมั่นถือมั่นกับอารมณ์ กันทั้งนั้น ดังนั้น การดำเนินชีวิตของเราจึงควรระมัดระวัง ไม่หลงในอารมณ์ ไม่ปล่อยให้อารมณ์มามีอิทธิพลครอบงำจิต

วิธีการหนึ่งที่จะช่วยให้เราสามารถค้นหาตัวผู้รู้ ที่อยู่เหนืออารมณ์ เพื่อสัมผัสกับสภาวะแห่งการรู้ ตื่น และเบิกบานที่มีอยู่ในตัวเราทุกคน คือ การปฏิบัติธรรมตามหลักของอานาปานสติ คือ การมีสติสัมปชัญญะ อยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอยู่กับเราทุกคนตลอดเวลา จึงไม่ใช่เรื่องยากจนเกินไปที่จะใช้ลมหายใจเป็นเครื่องมือในการสร้างความรู้สึกตัวที่ชัดเจน เมื่อมีสติสัมปชัญญะอยู่กับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก จนจิตใจสงบแล้ว เราจะสัมผัสกับสภาวะของจิตที่เป็นปกติ เห็นจิตแยกต่างหากจากอารมณ์ เห็นจิตเป็นจิต เห็นอารมณ์เป็นอารมณ์ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เป็นอนัตตา ทำให้เราเข้าถึงธรรมชาติจิตใจของตัวเองที่มีความเป็นปกติ สะอาดผ่องใส เป็นสภาวะจิตของผู้รู้ ที่ไม่มีทุกข์ ไม่มีอุปาทานยึดมั่นถือมั่น ปล่อยวางความเห็นแก่ตัว ไม่มีความยินดียินร้าย หรืออย่างน้อยก็จะทำให้เราเข้าถึงสุขภาพใจที่ดี


(มีต่อ 3)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ ความหมายของอานาปานสติ

อานาปานสติ ตามศัพท์

อานะ (อัสสาสะ) ลมหายใจเข้า
อาปานะ (ปัสสาสะ) ลมหายใจออก
อานะ + อาปานะ อานาปานะ
สติ ความระลึก การกำหนดรู้
อานาปานสติ คือ การระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออกในปัจจุบันแต่ละขณะ

อานาปานสติ โดยพฤตินัย

ถ้าเราระลึกถึงอะไรอยู่ ทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
ก็เรียกว่า อานาปานสติ ได้ทั้งนั้น


* เช่น ตัวลมหายใจก็ดี ความรู้สึกนึกคิดก็ดี อารมณ์ที่พอใจ ไม่พอใจ ดีใจ เสียใจ น้อยใจ หงุดหงิด กลัว โกรธ หรือหัวข้อธรรมะข้อใดข้อหนึ่งที่นำมากำหนด กระทำไว้ในใจ ใคร่ครวญ พินิจ พิจารณา เห็นอยู่ในใจ ทุกครั้งที่หายใจเข้า หายใจออก ก็เรียกว่า อานาปานสติ

* กำหนดลมหายใจขณะวิ่งเพื่อสุขภาพ ฝึกโยคะ รำมวยจีน หรือ ยืน เดิน นั่ง นอน ก็เรียกว่าอานาปานสติ

* สมถกรรมฐาน วิปัสสนากรรมฐาน สติปัฏฐาน 4 เมื่อปฏิบัติตามหลักอานาปานสติสูตร ก็เรียกว่า อานาปานสติ
__________

อรรถกถาพระสูตรแปล อัสสาสะว่าหายใจเข้า ปัสสาสะว่าหายใจออก (วิสุทธิ.2/58) ส่วนอรรถกถาวินัย แปลกลับกัน อัสสาสะว่าหายใจออก ปัสสาสะว่าหายใจเข้า ในที่นี้แปลตามอรร๔กถาพระสูตร
__________

สมัยหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงปลีกวิเวกออกจำพรรษาแต่พระองค์เดียว ครั้นออกพรรษาแล้ว ได้ตรัสในที่ประชุมสงฆ์ว่า “ถ้าพวกนักบวชในศาสนาอื่นถามว่า พระสมณโคดมอยู่จำพรรษา ด้วยธรรมข้อใดเป็นเครื่องอยู่โดยมาก พึงตอบว่า ทรงอยู่ด้วยสมาธิอันประกอบร่วมด้วยอานาปานสติ เมื่อภิกษุจะกล่าวธรรมอันเป็นเครื่องอยู่ของพระอริยเจ้าบ้าง พรหมบ้าง พระตถาคตบ้าง พึงกล่าวถึงสมาธิอันประกอบร่วมด้วยอานาปานสติว่าเป็นเครื่องอยู่ ภิกษุผู้ยังเป็นเสขะ ยังไม่บรรลุอรหัตตผล ภิกษุเหล่านี้ย่อมเจริญอานาปานสติ เพื่อความสิ้นไปแห่งอาสวะ ภิกษุผู้เป็นพระอรหันต์ ย่อมเจริญอานาปานสติเพื่อความผาสุกในปัจจุบัน และเพื่อสติสัมปชัญญะฯ”

(สังยุตตนิกาย มหาวารวรรค)


(มีต่อ 4)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ ผู้สนใจเจริญอานาปานสติควรทำอย่างไร

1. ปรับชีวิตประจำวันให้เหมาะแก่การเจริญอานาปานสติ

* ใช้ชีวิตอย่างสมถะ คือ ลดหรือเลิกทำกิจที่ไม่จำเป็น เช่น การกิน การทำงาน การท่องเที่ยว และงานเลี้ยงต่างๆ ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีเพื่อน เพื่อนเก่าๆ ส่วนหนึ่งจะหายไป แต่เราจะมีกัลยาณมิตรเป็นเพื่อนใหม่

* เอาใจใส่ในการทำหน้าที่ของตนให้สมบูรณ์

* ให้เวลากับสิ่งสำคัญในชีวิตให้มากขึ้น คือ การหาเวลาว่างเพื่อศึกษาและปฏิบัติธรรม

* พยายามสำรวมกายและวาจาให้เรียบร้อย โดยการรักษาศีล 5
และรักษาใจให้เป็นปกติ

2. เตรียมสถานที่

ถ้าจัดหาสถานที่สงบ สะอาด ได้ก็ดี โดยจัดให้เป็นห้องหรือมุมสงบเฉพาะตัวที่ซึ่งคนอื่นไม่รบกวนเรา

3. เตรียมร่างกายให้เรียบร้อย

จัดทำภารกิจภายนอกที่ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่นให้เสร็จเรียบร้อย อาบน้ำชำระกายให้สะอาด ไม่ให้หิวเกินไป หรืออึดอัดเกินไป อาจจะบริหารร่างกายพอสมควร เพื่อสะดวกในการนั่งได้นาน และสบาย

4. เตรียมใจ

ถามใจตัวเองว่า มีอะไรที่ต้องคิดไหม สิ่งใดที่ต้องคิด คิดให้เสร็จ ถ้าจำเป็น ก็ต้องจดไว้ในกระดาษ เช่น พรุ่งนี้ต้องติดต่อกับใคร หรือต้องสั่งงานกับใคร เรื่องอะไร เป็นต้น จนไม่มีอะไรที่จะกังวล ทั้งสิ่งภายนอก ภายใน แล้วจึงตั้งใจปล่อยวาง ทำใจกลางๆ สงบๆ สบายๆ

5. กำหนดอานาปานสติ

การปฏิบัติเบื้องต้น ให้พยายามรักษาความรู้สึกที่ดี หรือกุศลจิตเอาไว้ตลอดเวลาทุกลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน ทำความรู้สึกกับลมหายใจ ทำให้สนิทสนมกลมกลืน เสมือนหนึ่งกัลยาณมิตร เป็นเพื่อนที่ดี เพื่อนรัก

มีสติ สัมปชัญญะความรู้สึกตัวทั่งถึงลมหายใจเข้า ลมหายใจออก
มีความรู้สึกตัวที่จิต ถึงแม้ว่ามีอาการพอใจ ไม่พอใจก็ตาม
ไม่ให้ติดอยู่ในอารมณ์ ไม่ให้คิดไปตามอารมณ์ ตามตัณหา
หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ สบายๆ
กำหนดรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ติดต่อกันต่อเนื่องกัน
รักษาจิตสงบ เบา สบายๆ



(มีต่อ 5)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:50 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


๏ ข้อปฏิบัติ 7 ประการ เพื่อสุขภาพใจดี

1. ลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร
2. ลมหายใจยาวๆ เป็นปฐมพยาบาลทางจิตใจ
3. เจริญอานาปานสติอย่างน้อย 20 นาที เป็นการภาวนา
4. มีสัมมาวาจา
5. พยายามแก้ไขตนเอง
6. ทำความดีเพิ่มอย่างน้อยวันละ 1 อย่าง
7. กำหนดชั่วโมงแห่งความคิดดี

ฝึกอานาปานสติ คล้ายหัดขี่จักรยาน

“หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ” ช่วยให้เกิดความรู้สึกตัวชัดเจน
หลักมีอยู่ว่า ความรู้สึกอยู่ที่ไหน จิตก็อยู่ที่นั่น
เริ่มจากหายใจหยาบๆ ยาวๆ ก่อน คล้ายกับการหัดขี่จักรยาน
ระยะแรก 3-4 เมตร ขี่ไม่ได้ แต่เมื่อพยายามหัดไป จนขี่จักรยานได้ 8-9 เมตร
ก็จะดีใจและตื่นเต้น ไม่นานก็ขี่ได้เป็นสิบๆ เมตร เพิ่มเป็น 100 เมตร 200 เมตร
จนในที่สุด สามารถขี่จักรยานในระยะทางยาวเป็นกิโลเมตรได้อย่างสบาย
ถ้ามีสติสัมปชัญญะในการหายใจหนึ่งครั้งได้แล้ว
ต่อไป 1 นาที 2 นาที ก็ไม่ยาก
ต่อไป 10 นาที 20 นาที ก็ทำได้
ในที่สุดสุขภาพใจดีเป็นปกติ
ไม่ฟุ้งซ่าน สงบ สบายใจ มีลมหายใจ เป็นกัลยาณมิตรตลอดไป

ผู้ขี่จักรยาน คือ สติ
จักรยาน คือ จิต
ถนน คือ ลมหายใจ


ผู้ขี่มีหน้าที่ควบคุมจักรยาน
ให้แล่นไปในทิศทางที่ถูกต้องบนถนน ฉันใด
เราก็ต้องเอาสติผูกจิตไว้กับลมหายใจ ฉันนั้น
เมื่อสติรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก จิตก็อยู่ที่นั่น
ไม่คิดฟุ้งซ่านไปตามกิเลส ตัณหา


(มีต่อ 6)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


1. ลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร

สะดวกเมื่อไรกำหนดลมหายใจเข้าออกเมื่อนั้น ด้วยการเจริญสติสัมปชัญญะเพื่อรักษาจิตใจให้สงบ มีสุขภาพใจดี พยายามทำอยู่บ่อยๆ เท่าที่จะทำได้ อย่างน้อย เริ่มจากกำหนดลมหายใจ 3-4 ครั้งให้ติดต่อกัน เมื่อเราชำนาญแล้ว การกลับมามีสติระลึกรู้อยู่กับลมหายใจจะเป็นไปเองตามธรรมชาติ สิ่งที่พวกเราฝึกในเบื้องต้น คือ ทำอย่างไรที่จะมีสติสัมปชัญญะกับการหายใจเข้า หายใจออกแต่ละครั้ง เราต้องเข้าใจว่า อาการที่สติสัมปชัญญะในการหายใจหนึ่งครั้งเป็นอย่างไร

มีความรู้สึกตัว เบื้องต้น ท่ามกลาง และ สุดท้ายของการหายใจเข้า
มีความรู้สึกตัว เบื้องต้น ท่ามกลาง และ สุดท้ายของการหายใจออก
สังเกตได้ตรงเห็นลมหายใจชัดเจน และที่จิตไม่ฟุ้งซ่าน สบายใจ
คือ ไม่คิดไปตามอารมณ์ ไม่คิดปรุงแต่งเป็นเรื่องเป็นราว มีเรา มีเขา

ถ้าสามารถทำได้สมบูรณ์ใน 1 ครั้ง ของการกำหนดลมหายใจเข้า-ออก ต่อไปก็ไม่ยากที่จะทำครั้งที่ 2-3-4 และต่อเนื่องกันหลายๆ นาที จนทำติดต่อกันได้นานๆ

มีสติระลึกรู้ลมหายใจเข้า ลมหายใจออก สม่ำเสมอ
เห็น ได้ยิน ได้กลิ่น รู้ อะไรก็ตาม
ไม่ยินดี ยินร้าย
เอาลมหายใจเป็นกัลยาณมิตร
รักษาใจสงบ เป็นสุขภาพใจดี


ดีเป็นคนละคน

นายตำรวจคนหนึ่ง ปฏิบัติธรรมในวัดป่า 3-4 วัน แล้วกลับออกมาทำงาน
ตามปกติ ผ่านไป 2-3 เดือน นายตำรวจคนนี้ก็กลับไปเยี่ยมพระอาจารย์ที่วัด
แล้วเล่าประสบการณ์หลังจากที่กลับไปที่บ้านว่า ปฏิบัติที่วัดป่าดีมาก
พอกลับไปปฏิบัติที่บ้าน ภรรยาชมว่าดีเป็นคนละคนเลย
ภรรยาทำอะไรไม่ถูกใจ ก็อดทนไว้
ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพูด ยิ้มในใจน้อยๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
ภรรยาพูดอะไรไม่น่าฟัง ไม่เข้าหู ก็อดทนไว้
ไม่ต้องคิด ไม่ต้องพูด ทำหน้าสบายๆ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ

ปฏิบัติตามนี้ ก็จะเข้าใจอารมณ์ว่า
ความรู้สึกไม่ถูกใจ ไม่พอใจนี้
ถ้าเราอดทนไว้นิดหน่อย คิดดี พูดดี
ไม่นานความรู้สึกนี้ก็จะหายไป


ไม่กี่วันภรรยาก็ผิดสังเกต สามีของตัวเองเรียบร้อย
อารมณ์ดี ชมว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคน
เมื่อถูกชมก็ดีใจ มีความสุข ต่างคนต่างคิดดี
พูดคุยกันดีๆ มีความสุขด้วยกัน


(มีต่อ 7)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


2. ลมหายใจยาวๆ เป็นปฐมพยาบาลทางจิตใจ

ธรรมชาติของจิตดั้งเดิมนั้นประภัสสร บริสุทธิ์ ผ่องใสโดยธรรมชาติ แต่จิตเศร้าหมอง เพราะอุปกิเลสครอบงำจิต โลกธรรมฝ่ายน่าปรารถนา มีลาภ มียศ สรรเสริญ สุข ทำให้เกิดอารมณ์พอใจ ยินดี โลกธรรมฝ่ายไม่น่าปรารถนา เสื่อมลาภ เสื่อมยศ นินทา ทุกข์ ทำให้เกิดอารมณ์ไม่พอใจ ยินร้าย อารมณ์พอใจ ไม่พอใจ ยินดี ยินร้าย ขี้เกียจ ขี้ฟุ้งซ่าน ขี้น้อยใจ ขี้อิจฉา ขี้โกรธ ขี้กลัว เหล่านี้เป็นอาการของโรคทางใจ

ทุกข์ ไม่สบายใจเกิดขึ้นเมื่อไร เราควรมีความเห็นถูกต้องว่า ความไม่สบายใจทุกข์ใจนี้ ไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เพราะธรรมชาติของจิตแท้จริงนั้น ผ่องใส ทุกข์ไม่สบายใจเกิดขึ้น ก็ให้รักษาด้วยการ “หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ” เมื่อมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่วถึงลมหายใจเข้ายาว ลมหายใจออกยาวแล้ว อารมณ์พอใจ ไม่พอใจ ก็ตั้งอยู่ไม่ได้ เป็นการรักษาสุขภาพใจดีของเรา เป็นปฐมพยาบาลให้แก่จิตใจของเรา)
_____

จิต คือ สภาวะที่รับรู้อารมณ์
อารมณ์ คือ รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส ธรรมารมณ์

สิ่งที่เรามีประสบการณ์ทางอารมณ์มี 2 ประเภท คือ

1. อารมณ์ในภาษาธรรม หมายถึง ผัสสะ คือ การรับรู้ผ่านทวารทั้ง 6 ได้แก่
ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจเวทนา คือ ความรู้สึก ได้แก่ สุขเวทนา ทุกขเวทนา อทุกขมสุขเวทนา ตัณหา คือ ความทะยานอยาก ได้แก่ กามตัณหา ภวตัณหา และวิภวตัณหา อุปาทาน คือ ความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน มีเรา มีเขา ภพ คือ การนึกขึ้นมา หลังจากนั้นจึงเกิดเป็นอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ

2. อารมณ์ในความหมายทั่วไป คือ การเกิดอารมณ์พอใจ ไม่พอใจ ยินดี ยินร้าย ดีใจ เสียใจ การเกิดของอารมณ์เริ่มตั้งแต่การรับรู้ เช่น เมื่อได้ยินคนอื่นว่าร้ายใส่เรา (ผัสสะ คือ ได้ยิน) เกิดความรู้สึกทุกข์ (ทุกขเวทนา) ไม่อยากฟัง (วิภวตัณหา) เกิดความรู้สึกยึดมั่นถือมั่น (อุปาทาน) นึกถึงคำพูดของเขา (ภพ) และคิดปรุงแต่งจนเกิดความไม่พอใจ น้อยใจ โกรธ อาฆาต พยาบาท มีเรา มีเขา เป็นเรื่องเป็นราวขึ้น (เป็นชาติ ชรา มรณะของอารมณ์)
_____

การทำสมาธิเป็นการบำบัดทางจิต

ในช่วงทศวรรษ 1970 ดร.เฮอร์เบิร์ต เบนสัน แพทย์โรคหัวใจแห่งคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ได้ศึกษาผู้ทำสมาธิแบบ Transcendental Meditation (TM) ผู้ที่ฝึกสมาธิแบบนี้จะนั่งหลับตาบริกรรมคำว่า มนตรา อยู่ในห้องที่เงียบสงัดวันละ 2 ครั้ง ครั้งละครึ่งชั่วโมง ดร.เบนสัน สังเกตเห็นว่า ระหว่างการทำสมาธิ ผู้ฝึกจะมีระดับการเต้นของหัวใจและการหายใจช้าลง ทั้งยังมีความดันโลหิตลดลงด้วย ยิ่งกว่านั้น ขณะฝึกสมาธิ ผู้ฝึกจะผ่อนคลายอย่างยิ่งแต่ก็ตื่นตัวอย่างเต็มที่ ดร.เบนสัน เรียกภาวะนี้ว่า “ภาวะตอบสนองต่อการผ่อนคลาย” การศึกษาต่อมายังแสดงว่า การทำสมาธิ สามารถเปลี่ยนแปลงปฏิกิริยาตอบสนองต่อความเครียดของแต่ละคนได้ ดร.เบนสัน ยอมรับว่าการทำสมาธิมีประโยชน์ต่อร่างกาย จึงนำไปปรับเป็นวิธีการทำสมาธิแบบตะวันตก และแนะนำให้ผู้ป่วยความดันโลหิตสูงลองนำไปปฏิบัติ และต่อมาได้มีแพทย์สาขาอื่นๆ นำไปใช้อย่างแพร่หลาย

โครงการประกันสุขภาพแห่งเมืองควีเบค ประเทศแคนาดา ออกมาแถลงว่า จากผลการศึกษาต่อเนื่องยาวนานถึง 6 ปี พบว่าชาวควีเบคในโครงการประกันสุขภาพที่ทำสมาธิทุกๆ วันๆ ละ 20 นาที ไปใช้บริการที่โรงพยาบาลน้อยครั้งกว่าคนในกลุ่มทดลองที่ไม่ได้ทำสมาธิอย่างเห็นได้ชัด ทำให้รัฐควีเบคสามารถลดเงินค่ารักษาพยาบาลในโครงการประกันสุขภาพลงถึงร้อยละ 13

จากการวิจัยทางการแพทย์ มีการรับรองผลว่าการทำสมาธิกระตุ้นให้สมองหลั่งสารแห่งความสุข คือ สารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ซึ่งเป็นสารเคมีที่ส่งผลต่อการทำงานของร่างกาย ทำให้สมองปลอดโปร่ง คลายความเครียดทั้งร่างกายและจิตใจ ขณะเดียวกันความสงบของจิตใจ อันเกิดจากการทำสมาธิก็จะช่วยทำให้สมองลดการหลั่งสารเคมีที่เป็นพิษต่อร่างกาย คือ สารแห่งความทุกข์ที่เรียกว่า อดรีนาลีน (Adrenalin) อันเป็นตัวการทำให้เกิดความผิดปกติของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นระบบการหายใจ ระบบย่อยอาหาร ระบบขับถ่าย ฯลฯ


(มีต่อ 8)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


3. เจริญอานาปานสติ
อย่างน้อย 20 นาที เป็นการภาวนา


ปกติเราต้องชำระร่างกายด้วยการอาบน้ำ วันละ 1-3 ครั้ง ถ้าไม่ได้อาบน้ำก็รู้สึกไม่ค่อยสบายตัว จิตใจก็เหมือนกัน วันหนึ่งกระทบอารมณ์ที่ไม่พอใจ หดหู่ กลัว เศร้าหมอง ไม่สบายใจ ดังนั้นต้อง ชำระใจด้วยอานาปานสติ เมตตาภาวนา วันละ 1-3 ครั้ง ครั้งละประมาณ 20 นาที ให้เป็นกิจวัตรประจำวันไม่ให้ขาด

ตั้งใจกำหนดอานาปานสติ หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ ให้มีสติ และสัมปชัญญะกับลมหายใจเข้า ลมหายใจออก ปล่อยวางอดีต ไม่ต้องคิดถึงเรื่องเก่าๆ ที่ผ่านมาแล้ว ไม่ต้องคิดถึงอนาคตที่ยังไม่มาถึง ระลึกรู้แต่ปัจจุบัน สิ่งที่เป็นสมมติก็ปล่อยวาง เช่น เราเป็นชาย หญิง เป็นพ่อ แม่ เป็นผู้น้อย ผู้ใหญ่ สิ่งเหล่านี้ต้องปล่อยวางทั้งหมด แม้แต่ตัวเรา ปล่อยวางกาย ปล่อยวางความรู้สึก ปล่อยวางความนึกคิด สัญญาต่างๆ

จิตของเรานี้มีพลัง คิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ตั้งใจอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ถ้าเราต้องการความสุขเดี๋ยวนี้ ที่นี่ เราสามารถเข้าถึงความสุขได้

นึกสว่างสะอาด สว่างสะอาดก็จะเกิดขึ้น
นึกปีติสุข ปีติสุขก็จะเกิดขึ้น

หายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ เมื่อจิตตั้งมั่นเป็นสมาธิแล้ว ก็จะสัมผัสปีติสุข ตามที่เรากำหนด หรืออย่างน้อยก็จะเข้าถึงความสงบทางใจ สบายใจ สุขภาพใจดี

โทษของการพูดโกหก

สมัยก่อนเมื่อพระอาจารย์เป็นเด็ก แม่ชอบเล่าให้ฟังบ่อยๆ ว่า
นานมาแล้ว มีเด็กคนหนึ่งชอบพูดโกหก เขามักจะตะโกนเสียงดังๆ
ร้องว่า “โอ๊ย เสือมาแล้ว ช่วยด้วย ช่วยด้วย”
เมื่อชาวบ้านพากันมาช่วยแล้ว จึงรู้ว่าไม่มีอะไร
เป็นเพียงเด็กโกหกเท่านั้น
เด็กคนนี้ชอบโกหกซ้ำๆ ร้องว่า “เสือมาแล้ว เสือมาแล้ว”
เมื่อเห็นชาวบ้านพากันออกมาช่วย ก็ดีใจ ทำอยู่หลายครั้ง
ในที่สุด ชาวบ้านก็รู้ว่า เด็กคนนี้ชอบโกหก

วันหนึ่ง มีเสือมาจริงๆ เด็กคนนี้ ร้องว่า
“เสือมาแล้ว เสือมาแล้ว ช่วยด้วย ช่วยด้วย” แต่ไม่มีใครเชื่อ
ในที่สุด เด็กคนนี้ ต้องถูกเสือตะครุบจนพิการเกือบเสียชีวิต

เรื่องนี้เป็นอุทาหรณ์สอนใจเรา
ถ้าเราเป็นคนชอบโกหก
จะทำให้ไม่มีใครเชื่อถือ
ไม่มีใครอยากคบเป็นเพื่อน
และเมื่อเราตกทุกข์ได้ยาก
ต้องการความช่วยเหลือจากคนอื่น
ก็จะไม่มีใครช่วยเหลือเรา
ดังนั้น จงอย่าพูดโกหก



(มีต่อ 9)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


4. มีสัมมาวาจา

เมื่อเราสำรวจดูชีวิตของเราตั้งแต่วัยเด็กจนถึงทุกวันนี้ จะเห็นว่า “คำพูด” ของเราหลายๆ ครั้งสร้างปัญหา ทำให้แตกแยก ทำลายมิตรภาพ บางครั้ง แม้เจตนาดี แต่คำพูดทีดีของเรา ให้ผลออกมาเป็นร้ายก็มี ไม่เจตนาแต่เผลอพูดไปเพียงไม่กี่คำ ทำให้เขาเจ็บใจก็มี บางคนคำพูดของพ่อ แม่ หรือ สามี ภรรยา ที่ทำให้เจ็บใจ ผ่านไปแล้วสิบๆ ปี ก็ยังฝังลึกอยู่ในใจก็มี คำพูดของเรามีอิทธิพลต่อชีวิตของเราอย่างมาก เพราะฉะนั้น เราควรสำรวมระวังในคำพูดของตัวเองให้เป็นสัมมาวาจา คือ เว้นจากการพูดไม่จริง เว้นจาการพูดส่อเสียด เว้นจากการพูดคำหยาบ และเว้นจากการพูดเพ้อเจ้อ คนโบราณสอนว่า ก่อนที่จะพูดให้พิจารณา 3 รอบ แล้วจึงพูด พยายามพูดไม่ให้เกิดโทษ ไม่เบียดเบียนตนเองและผู้อื่น หรือในบางสถานการณ์ การไม่พูด ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมที่สุด

ในแต่ละวัน ให้ทบทวนดูการกระทำและคำพูดของเราที่ผ่านมา หากผิดพลาดก็ควรแก้ไข พูดดี พูดไพเราะ เป็นปิยวาจา ตั้งใจพูดสัมมาวาจาทุกเช้า ตั้งใจคอยติดตามสำรวจคำพูดของตัวเองเป็นอารมณ์กรรมฐานในตัว
_____

ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย วาจาประกอบด้วยองค์ 5 ประการ เป็นวาจาสุภาษิต ไม่เป็นทุพภาษิต และเป็นวาจาไม่มีโทษ วิญญูชนไม่ติเตียน องค์ 5 ประการเป็นไฉน คือ

1. เป็นวาจาที่กล่าวถูกกาล
2. เป็นวาจาที่กล่าวเป็นสัจ
3. เป็นวาจาที่กล่าวอ่อนหวาน
4. เป็นวาจาที่กล่าวประกอบด้วยประโยชน์
5. เป็นวาจาที่กล่าวด้วยเมตตาจิต

(วาจาสูตร)
_____

สอนใจตัวเอง

ในช่วงเทศกาลปีใหม่ เมื่อหลายปีมาแล้ว มีโยมคนไทยได้พาเพื่อนชาวญี่ปุ่น มากราบพระอาจารย์ที่วัดเป็นครั้งแรก เพราะเพื่อนคนนี้สนใจพระพุทธศาสนา พระอาจารย์ถามว่า สนใจอย่างไรบ้าง เขาก็เล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนชีวิตเขาก็ปกติดี แต่พอประสบอุบัติเหตุ ต้องนอนรักษาตัวในโรงพยาบาล ตั้งแต่นั้นมาก็กลายเป็นคนขี้หงุดหงิด โกรธง่าย อยากให้พระอาจารย์ช่วยเทศน์และให้คำแนะนำด้วย ในวันนั้น พระอาจารย์ก็ได้พูดคุยถามทุกข์สุข รวมทั้งเทศน์สั้นๆ เรื่องความโกรธและวิธีระงับความโกรธ ให้เขาฟังประมาณ 10-15 นาทีเท่านั้น เขาก็ลากลับไปประเทศญี่ปุ่น ปีที่ 2 พอถึงปีใหม่ พวกเขาก็มาเยี่ยม มากราบพระอาจารย์ที่วัด พอถึงปีที่ 3 ที่พวกเขามาวัด โยมคนไทยก็ถามพระอาจารย์ว่า เขาพาเพื่อนมาเป็นปีที่ 3 แล้ว อยากรู้ว่าเขาได้อะไร เพื่อนชาวญี่ปุ่นที่ตามมาด้วยอีกคนหนึ่งก็เล่าให้ฟังว่า

เพื่อนของเขาคุยกับพระพุทธรูปทุกวัน
พระอาจารย์นึกสงสัย เลยถามว่า คุยอะไร
เขาตอบว่า เห็นพระพุทธรูปแล้วก็เห็นพระอาจารย์
และนึกว่าพระอาจารย์สอนอะไร
การออกเสียงเหมือนกับการสอนใจตัวเอง
เขาบอกว่ามีประโยชน์และดีมากๆ

จึงเห็นได้ว่าชาวญี่ปุ่นคนนี้ แม้ไม่มีโอกาสมาวัด เพื่อปฏิบัติธรรมหลายๆ วัน แต่การฟังเทศน์ของเขาเพียง 10 นาที 15 นาทีนี้ เขาก็เห็นคุณค่า เขามีความตั้งใจจริงที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเองทุกวัน และนำคำสอนไปใช้ ให้เกิดประโยชน์ในชีวิตประจำวัน


(มีต่อ 10)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


5. พยายามแก้ไขตนเอง

เมื่อเราสังเกตดูจิตใจ ความคิดของตนเองแล้ว จะเห็นว่าจิตใจของเราคิดแต่เรื่องของคนอื่นเป็นส่วนใหญ่ ว่าเขาดี เขาไม่ดี น่ารัก น่าชัง ฯลฯ คิดเรื่องคนอื่นมากกว่า 90% คิดเรื่องของตนเองน้อยกว่า 10% อยากให้คนอื่นละความชั่วที่ไม่ถูกใจเรา อยากจะให้คนอื่นทำความดีเพื่อให้ถูกใจเรา อยากให้คนอื่นทำจิตใจให้บริสุทธิ์เพื่อจะไม่กระทบเรา แต่จิตของเรากลับปล่อยให้ขุ่นมัว เศร้าหมอง เครียด ฟุ้งซ่าน

“โทษผู้อื่นเห็นเป็นภูเขา โทษของเรา และไม่เห็นเท่าเส้นผม
ตดคนอื่นเหม็นเหลือทน ตดของตน ถึงเหม็นไม่เป็นไร”

สนใจ เอาใจใส่ ดูตนเองเพิ่มขึ้น มากขึ้น จนดูตนเอง 90% ดูคนอื่น 10%
เราดูคนอื่นเพื่อประโยชน์ในการพัฒนาตัวเอง
เห็นตัวเองในคนอื่น และเห็นคนอื่นในตัวเอง
เพราะไม่มากก็น้อย เราก็เหมือนๆ กับคนอื่น
เป็นการเจริญสติ สัมปชัญญะ ทำให้มีเมตตากรุณา
ตำหนิติเตียนคนอื่น ดูหมิ่น ดูถูกคนอื่น น้อยลง
ตำหนิติเตียนตนด้วยสติปัญญา แก้ไขพัฒนาตนมากขึ้น

ความคิดที่จะปรับปรุงแก้ไขตนเองนี้ เป็นกุศลกรรม
เมื่อสำรวจตัวเองแล้วพบว่า มีข้อที่คิดว่าน่าจะแก้ไข
ให้ตั้งใจทุกวัน พยายามแก้ไขอยู่อย่างนั้น
ผิดพลาดไปเป็นร้อยเป็นพันครั้งก็ช่างมัน
พยายามคิดตั้งใจจะแก้ไขอยู่อย่างนั้นก็ใช้ได้

ความโกรธ

ความโกรธเกิดขึ้นในกรณีต่างๆ ดังนี้

เขาพูดจริงโดยหวังดีต่อเรา แต่ไม่ถูกใจเรา เราโกรธ
เขาพูดธรรมดา แต่ไม่ถูกใจเรา เราโกรธ
เขาไม่พูด ไม่ถูกใจเรา เราโกรธ
เราคิดว่าเขานินทาเรา (ที่จริงเขาไม่ได้นินทาเรา) เราโกรธ
เขาว่าเรานินทาเขา (แต่เราไม่ได้นินทาเขา) เราโกรธ
เราเข้าใจผิดว่าเขาทำผิด (ทั้งๆ ที่เขาทำดี) เราโกรธ
เขาเข้าใจผิดว่าเราทำผิด (ทั้งๆ ที่เราทำดี) เราโกรธ
เขาหน้าบึ้ง ใจไม่ดี เรารู้สึกว่าเขาไม่พอใจเรา เราโกรธ

เหตุปัจจัยทางกายที่ทำให้เรารู้สึกหงุดหงิดก็มี อารมณ์โทสะครอบงำจิตใจของเรา เรารูสึกหงุดหงิดก็มี อย่างไรก็ตามเมื่อเรารู้สึกหงุดหงิด เราจะรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่าง ใครจะอยู่รอบตัวเรา น่าโกรธทั้งนั้น เราจะรู้สึกว่า เขาคิดไม่ดี พูดไม่ดี ทำอะไรก็ไม่ดี น่าโกรธ สมควรโกรธ.....ครูบาอาจารย์สอนไว้ว่า เหตุที่สมควรโกรธนั้นไม่มี อย่าเชื่อความรู้สึก อย่าเชื่อความคิด เพราะมันไม่แน่

ความโกรธเปรียบเหมือนอาหารที่ไม่อร่อย
หากมีใครนำมาให้เราแล้วเราไม่รับ ผู้ที่นำมาให้ก็จะต้องรับกลับไปเอง
ความโกรธก็เช่นเดียวกัน เมื่อเขาโกรธเรา แล้วเราเฉยๆ ก็เท่ากับเขาโกรธตัวเอง
หากเราโกรธตอบ ก็เหมือนกินอาหารไม่อร่อยนั้นด้วยกัน

เมื่อเกิดอารมณ์โกรธ โมโห การหายใจเข้าลึกๆ หายใจออกยาวๆ
จนมีสติสัมปชัญญะ มีความรู้สึกตัวทั่งถึงลมหายใจแล้ว อารมณ์โกรธก็ตั้งอยู่ไม่ได้
จึงเปรียบเหมือนการที่เราไม่กินอาหารที่ไม่อร่อยที่เขาปรุงมาให้
เขาก็ต้องยกอาหารนั้นกลับไป

วิธีระงับความโกรธ

พระพุทธเจ้าทรงเปรียบเทียบความโกรธเป็นไฟไหม้ป่า ที่ทำลายทุกสิ่งทุกอย่างที่ขวางหน้า ความโกรธเผาทั้งตัวเรา ตัวเขา ทั้งคนที่รักเราและคนที่เรารัก ถูกเผาทั้งหมด ไม่มีอะไรเหลือ เหมือนตกนรก ทั้งเป็น มีแต่โทษ ไม่มีคุณเลยแม้แต่นิดเดียว

ปกติ เมื่อเราเกิดอารมณ์โกรธ ถ้าเราสังเกตดูจะพบว่า ลมหายใจเกิดการเปลี่ยนแปลงก่อน เป็นลมหายใจแรงๆ สั้นๆ ต่อมาจึงเกิดความคิดโกรธ แล้วเป็นความรู้สึกโกรธ สำหรับผู้ที่ยังใหม่ต่อการปฏิบัติธรรม คงจะเป็นเรื่องยากที่จะห้ามความรู้สึกโกรธ แต่การปรับเปลี่ยนลมหายใจนั้น ใครๆ ก็ทำได้ เพราะไม่ยากจนเกินไป ขอให้มีความเข้าใจอย่างถูกต้องเท่านั้น

การหายใจออกกับการหายใจเข้า ใช้ระบบประสาทที่แตกต่างกัน สามารถแยกแยะได้ตามความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับจิตใจของเราเอง การหายใจออก มีลักษณะผ่อนคลาย ให้ความรู้สึกสบายใจ ส่วนการหายใจเข้านั้น มีลักษณะของความตั้งใจ หรือความเคร่งเครียด ดังนั้น เมื่อจะระงับอารมณ์โกรธ จึงเน้นที่ลมหายใจออก ด้วยการปรับเปลี่ยนลมหายใจ ดังนี้

ตั้งสติ หายใจออกยาวๆ สบายๆ หายใจเข้า ปล่อยตามธรรมชาติ หายใจออกยาวๆ สบายๆ เพื่อคลายความรู้สึกที่ไม่ดีออกไปพร้อมกับลมหายใจออก หายใจเข้า ปล่อยตามปกติ ให้ลมหายใจเข้า ช้าๆ ลึกๆ พอสมควร หายใจออก ตั้งใจให้เป็นลมหายใจยาวๆ สบายๆ เมื่อทำช้ำๆ อยู่เช่นนี้ ก็จะรู้สึกสบายกาย สบายใจ เกิดความสงบเย็นใจ แล้วก็เกิดความละอายต่ออารมณ์โกรธ จนกระทั่งความโกรธไม่กล้าโผล่หน้ามาให้เห็นอีก

สำหรับคนที่มีนิสัยขี้โกรธมากๆ การห้ามไม่ให้โกรธเลย อาจจะเป็นไปได้ยาก หรือยิ่งพยายามระงับยิ่งเครียด ถ้าเป็นเช่นนี้ ก็ปล่อยให้โกรธได้ตามปกติ แต่พยายามให้ความรู้สึกโกรธนั้น หายไปเร็วๆ ปล่อยวางให้เร็วขึ้น จากเคยโกรธ 3 วัน ก็ให้เหลือ 2 วัน 1 วัน 1 ชั่วโมง แล้วก็ปล่อยวางไปในที่สุด

ชมรมทำความสะอาดห้องสุขา

เมื่อพระอาจารย์ไปประเทศญี่ปุ่น ได้พบปะพูดคุยกับประธานบริษัทใหญ่ มีชื่อเสียงคนหนึ่ง เขาเป็นสมาชิกชมรมทำความสะอาดห้องสุขา สมาชิกเป็นคนชั้นสูง เป็นประธานบริษัทใหญ่ๆ หรือ ผู้ใหญ่ในสังคมกันทั้งนั้น กิจกรรมของเขา คือ ทำความสะอาดห้องสุขา ตามโรงเรียนต่างๆ และห้องสุขาสาธารณะเดือนละครั้ง เพื่อเป็นการละตัวตน เพื่อพัฒนาจิตใจตนเอง

ชมรมนี้ตั้งมาหลายสิบปีแล้ว เมื่อก่อนจะเข้าไปขออนุญาตตามบ้าน เพื่อทำความสะอาดห้องสุขา แต่ทุกวันนี้เลือกเฉพาะที่สาธารณะเป็นส่วนใหญ่ เช่น ห้องสุขาในโรงเรียนประถม มัธยม ห้องสุขาสวนหย่อม ห้องสุขาสวนสาธารณะ ทำความสะอาดแต่ละครั้งใช้เวลาเกือบ 2 ชั่วโมง ขัดถูทำความสะอาดทุกส่วนของห้องน้ำ บางครั้งถูกคนจรจัดที่อาศัยอยู่ใกล้ๆ กันด่าว่าต่างๆ นานา

กิจกรรมสร้างสรรค์นี้ นับว่ามีประโยชน์
ช่วยฝึกนิสัยให้ไม่เห็นแก่ตัว
รักความสะอาด ขยันทำงาน
แม้เป็นผู้ชาย เมื่ออยู่บ้านก็ยินดีช่วยทำงานบ้าน
และที่สำคัญ ช่วยฝึกจิตใจให้ละทิฏฐิมานะ
ละอัตตาตัวตน ขัดเกลากิเลส
เป็นการฝึกปฏิบัติพัฒนาจิตใจได้อย่างดีทีเดียว
เสมอเหมือนการเจริญกรรมฐาน
สำหรับบางคนอาจจะได้ผลดีกว่าการนั่งสมาธิ


(มีต่อ 11)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ
พระอาจารย์มิตซูโอะ คเวสโก


6. ทำความดีเพิ่มอย่างน้อยวันละ 1 อย่าง

คอยคิดดู หาดู อย่างสม่ำเสมอ เราทำความดีอะไรได้บ้าง จะเป็นการช่วยเหลือคนอื่น เล็กๆ น้อยๆ ก็ได้ ทั้งต่อหน้าหรือลับหลังก็ได้ ความตั้งใจที่จะกระทำความดีเป็นการพัฒนากุศลจิต กุศลกรรม ถึงแม้ว่าเรายังไม่ได้ลงมือทำจริงๆ ความตั้งใจดีนี้ เป็นการสร้างมโนกรรมที่เป็นกุศล สร้างนิสัยที่จะพัฒนาตัวเอง และสร้างสรรค์สังคมของเราให้มีสันติสุข เราสามารถทำความดีโดยการบำเพ็ญทาน 10 ประการ ในวาระโอกาสต่างๆ ดังนี้

1. ให้ทานด้วย ทรัพย์สินเงินทอง
2. ให้ทานด้วย สายตาที่เมตตา
3. ให้ทานด้วย ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
4. ให้ทานด้วย วาจาที่ไพเราะน่าฟัง
5. ให้ทานด้วย แรงกายโดยการให้ความช่วยเหลือผู้อื่น
6. ให้ทานด้วย การอนุโมทนายินดีเมื่อผู้อื่นทำดี
7. ให้ทานด้วย การให้อาสนะ (ที่นั่ง)
8. ให้ทานด้วย การให้ที่พักอันสะดวกสบาย
9. ให้ทานด้วย การให้อภัย
10. ให้ทานด้วย ธรรมะ

ตรวจสอบความคิด

วิธีตรวจสอบ การคิดดี คิดถูก ให้สมมติว่าเรามีเครื่องขยายเสียงพิเศษ ตั้งไว้ใกล้ๆ ทำให้ความคิดของเรากลายเป็นเสียงที่ดังออกมาข้างนอกได้ เพื่อนๆ หรือ ผู้ที่กำลังนึกถึงอยู่หลายๆ คนสามารถได้ยิน

ถ้าเราคิดดี ไม่ต้องอาย ไม่ต้องเขิน
คนที่ฟังก็สบายใจ
ตรงกันข้าม ถ้าเราคิดไม่ดี
คิดว่าเราไม่ดี เขาไม่ดี
คิดดูถูกดูหมิ่นเขา
คิดสาปแช่ง คิดในทางลบ
คนที่ฟังก็ไม่สบายใจ


ดังนั้น ถึงแม้มีปัญหา ก็ให้คิดในทางบวก หรือแม้ตัวเรามีประสบการณ์ไม่ดี ก็ให้มองในแง่ดี คิดในทางบวก เช่น เกิดอุบัติเหตุ รถเสียหายก็ไม่ต้องเสียใจ ตัวเราไม่เป็นอะไรก็ดีแล้ว หรือไม่สบายทำงานไม่ได้ ก็ไม่เป็นไร ให้คิดว่าจะได้มีเวลาพักผ่อน เพื่อจะได้ศึกษาธรรม หรือถ้ามีโรคประจำตัว อย่าคิดว่าไม่ดี ให้คิดว่าใจเป็นแม่ ร่างกายเป็นลูก เมื่อลูกไม่สบาย ถ้าแม่พูดว่าลูกไม่ดี จะยิ่งทำให้แย่ลง ควรจะพูดว่าเดี๋ยวก็หาย ไปโรงเรียนได้ ให้คิดในทางที่ดี เป็นต้น


(มีต่อ 12)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ก.ย. 2009, 18:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 พ.ค. 2004, 19:46
โพสต์: 2305

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


7. กำหนดชั่วโมงแห่งความคิดดี

ในแต่ละวัน กำหนดเวลาสักช่วงหนึ่ง อาจจะ 1 ชั่วโมง หรือครึ่งชั่วโมง ถ้าฝึกใหม่อาจจะ 10 หรือ 15 นาทีก็ได้ พักอิริยาบถสบายๆ นั่งโซฟาสบายๆ ดื่มน้ำผลไม้ก็ได้ แต่ไม่ควรดูทีวี อ่านหนังสือ ฟังวิทยุ หรือคุยกัน ให้อยู่ในอาการที่สะดวกในการติดตามความรู้สึกนึกคิดของตัวเองต่อเนื่องกัน พยายามรักษาไว้ซึ่งความคิดดี คิดถูก ใจดี ค้นหา ตรวจสอบความคิด ไม่ให้มีคำว่าความทุกข์ หรือไม่สบายใจ พยายามไม่ให้คิดว่าใครไม่ดี อะไรไม่ดี คือ ไม่คิดเบียดเบียนตนเองและผู้อื่น จึงเรียกว่า คิดดี คิดถูก ใจเมตตา

ถ้าเป็นความคิดในกามคุณ แล้วคิดในขอบเขตศีล คิดสะอาดๆ ธรรมดาๆ พออนุโลม เช่น อยากจะกิน อยากจะฟังเพลง อยากจะเที่ยว แต่ไม่ให้คิดลามก ข้อสังเกต คือ คนที่อยู่รอบข้าง ฟังความคิดนี้ได้โดยที่เราไม่ต้องอาย รักษาให้อยู่ในระดับนี้

การคิดเป็นมโนกรรม ทุกครั้งที่คิดมีความหมายเป็นมโนกรรม สร้างเหตุ เหมือนหว่านพืชอย่างไร ออกผลอย่างนั้น

หยดน้ำหยดเดียว ดูเหมือนมีกำลังน้อย แต่ถ้าติดต่อกัน ต่อเนื่องกัน สามารถทำให้โอ่งใหญ่ๆ เต็มได้ สามารถกัดเซาะหินให้เป็นร่องได้ฉันใด ความคิดของเราก็เหมือนกัน หากคิดๆๆ ต่อเนื่องกันก็สามารถเป็นกำลังใหญ่ได้

การคิดว่า อะไรไม่ดี ทำให้จิตใจเราไม่ดี และส่งพลังที่ไม่ดีออกไป
การคิดว่า ใจดี มีเมตตา ทำให้สุขภาพกาย สุขภาพใจดีขึ้น
ความสบายใจ สุขใจ จะเกิดขึ้นแก่เรา และส่งพลังที่ดีออกไป
ทำให้ครอบครัว สังคม และประเทศชาติมีสันติสุข



(มีต่อ 13)

.....................................................
ศรัทธาในพระพุทธศาสนายิ่ง...ปรารถนาจะช่วยสืบต่ออายุพระพุทธศาสนา


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 43 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร