วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 17:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 22:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 ส.ค. 2009, 19:41
โพสต์: 17

แนวปฏิบัติ: วาง
งานอดิเรก: สารพัด
สิ่งที่ชื่นชอบ: ตัวกูของกู
อายุ: 0
ที่อยู่: คลองสาม คลองหลวง ปทุมธานี

 ข้อมูลส่วนตัว




pratudong.jpg
pratudong.jpg [ 20.37 KiB | เปิดดู 6898 ครั้ง ]
คนเราเกิดมาทำไม เป็นคำถามในใจหลายคนเวลาเหงาหว้าเหว่ สิ้นหวังคล้ายว่าเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบหรือไม่มีคำตอบอาจจะมีคนตอบได้แต่ก็ไม่อาจยืนยันว่าเป็นคำตอบที่แท้จริง tongue :b11: :b4: :b9:
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ส.ค. 2009, 10:13 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ค. 2008, 14:07
โพสต์: 285

อายุ: 0
ที่อยู่: ประเทศไทย

 ข้อมูลส่วนตัว


ตอบสั้นๆ คนเราที่ต้องเกิดมา เหตุเกิดจาก อวิชชา ความไม่รู้ของจิต
จะดับอวิชชาได้ ก็ต้องลองมาให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา

ลองมาภาวนาก่อน แล้วจะค่อย ๆ รู้ๆ ไปเรื่อยๆ ครับ

.....................................................
"ใครเกิดมา ไม่พบพระพุทธศาสนา ไม่เลื่อมใส ไม่ปฎิบัติ ไม่เกิดประโยชน์อะไรเลย เป็นโมฆะตลอด ตั้งแต่วันเกิดจนวันตาย"

"ให้พากันหมั่นให้ทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา"

พระอาจารย์มหาบัว ญาณสัมปันโน วัดป่าบ้านตาด จ.อุดรธานี
http://www.luangta.com/

"ทำสมาธิมากเนิ่นช้า คิดพิจารณามากฟุ้งซ่าน หัวใจของการปฏิบัติคือการมีสติในชีวิตประจำวัน"
หลวงปู่มั่น

"ดูจิต...ด้วยความรู้สึกตัว"
หลวงพ่อปราโมทย์ สวนสันติธรรม ชลบุรี
http://www.wimutti.net


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 07:31 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เราเป็นพุทธบริษัท ก็ต้องมีหน้าที่ที่จะต้องทำตนให้เป็นพุทธบริษัท
พุทธบริษัทต้องเป็นผู้รู้ ต้องเป็นผู้ตื่น ต้องเป็นผู้มีความเบิกบานแจ่มใสอยู่ตลอดเวลา

หน้าที่ในฐานะที่เกิดมาเป็นมนุษย์ เรามีหน้าที่ที่จะทำตนให้เป็นมนุษย์
คือให้เป็นผู้มีจิตใจสูง อย่าเป็นผู้อยู่อย่างคนใจตำ
ให้อยู่เหมือนดอกบัวซึ่งเกิดในสระนำ
นำไม่เปื้อนดอกบัว โคลนไม่เปื้อนดอกบัว
ดอกบัวเป็นดอกไม้ที่สะอาดถึงจะอยู่ในที่สกปรก มันก็สะอาด
ฉันใด เราก็ควรมีชีวิตอยู่อย่างสะอาด ไม่สกปรก ไม่เศร้าหมอง ฉันนั้นเหมือนกัน

เมื่อใด อัตตา หมดไป อนัตตา ก็เกิดขึ้นแทน
ซึ่งแปลว่า วิชชา หรือแสงสว่างเกิดขึ้นถึงที่สุด
ก็หมดทุกข์โดยประการทั้งปวง
เนื่องจากเป็นผู้เห็นคำตอบอย่างแจ่มแจ้งของปัญหาชีวิต
ทุกข้อทุกกระทง คนเราคืออะไร? เกิดมาทำไม? ชีวิตคืออะไร?
จะครองชีวิต หรือทำในใจต่อโลกนี้อย่างไร?

เราเกิดมาเพื่อทำหน้าที่ เราเกิดมาเพื่อสร้างบารมี

ขอกราบอนุโมทนาบุญ สาธุ....... :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 19:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดมาเพื่อเรียนรู้ว่าตน(อัตตา)ไม่ใช่สิ่งที่อยู่ค้ำฟ้า...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ส.ค. 2009, 19:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2007, 15:22
โพสต์: 603

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ไปเวปพลังจิต

แล้วท่านจะรู้

ว่าแต่คำสอนของพระพุทธเ้จ้านั้นมีคำตอบ

ไยท่านไม่ค้นคว้าศึกษาเล่า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 16 ส.ค. 2009, 00:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ย. 2008, 22:30
โพสต์: 222

ที่อยู่: เวียนว่ายในวัฏสงสาร (-_-!)

 ข้อมูลส่วนตัว


:b12: กระผมเกิดมาใช้กรรม และสะสมบุญต่อไปให้ถึงนิพพานขอรับ



:b6: ว่าแต่......นิพพานไปทางไหนใครรู้วานบอกทีขอรับ....จะได้เรียก taxi ไปส่งถูก :b19:

.....................................................
ขอประสบความสุขทั้งทางโลกและทางธรรม


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 13:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 18 เม.ย. 2008, 13:18
โพสต์: 1367

ที่อยู่: bangkok

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเกิดมาเพื่อสร้างบารมี.... :b8:

.....................................................
ตั้งสติไว้ มองความจริงตามความเป็นจริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 13:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 มิ.ย. 2008, 22:40
โพสต์: 1769

แนวปฏิบัติ: กินแล้วนอนพักผ่อนกายา
งานอดิเรก: ปลุกคน
สิ่งที่ชื่นชอบ: Tripitaka
ชื่อเล่น: สมสีสี
อายุ: 0
ที่อยู่: overseas

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดมาเพื่อรับผลกรรมเก่า ทั้งกรรมดี และกรรมชั่ว...และในขณะเดียวกันเพราะยังมีกิเลส เมื่อในขณะรับผลกรรมเก่าอยู่ก็สร้างกรรมใหม่ขึ้นมาอีก
หากได้รับอารมณ์ที่ดีอันเกิดจากผลบุญในอดีต เราก็ดีอกดีใจ เราก็ทำบาปกับความโลภความยินดีพอใจกันต่อไปอีก
หากได้รับอารมณ์ที่ไม่น่าพอใจเพราะบาปในอดีตส่งผล เราก็โกรธ ไม่พอใจ เราก็ทำบาปโทสะกันใหม่อีก
เวียนไปเวียนมาอย่างนี้ทั้งชาติ หลายๆชาติ ตลอดทุกชาติก็เป็นอย่างนี้..เมื่อทำกรรมใหม่เข้าแล้ว ก็ต้องเกิดมารับผลกรรมอีก แล้วเมื่อรับผลกรรมเพราะมีกิเลสก็ต้องทำกรรมใหม่อีก เมื่อทำกรรมใหม่ ก็ต้องรับผลในอนาคตอีก จึงเรียกว่า วัฏฏะ เพราะหมุนเป็นวงกลมเป็นสาย หาเงื่อนต้นไม่ได้ หาเบื้องปลายไม่เจอเลย
เกิดมาเป็นชาวพุทธแล้วก็ต้องฟังธรรม อย่างน้อยหากจะทำกรรมใหม่ ก็เลือกทำแต่กุศลกรรมดีเข้าไว้ เพื่อผลคือวิบาก จะไม่เป็นทุกข์เดือดร้อน

.....................................................
ศีล ๕ รักษาตนไม่ให้เกิดในอบายภูมิ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ส.ค. 2009, 14:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คนเราเกิดมาทำไม เป็นคำถามในใจ



คำตอบ ก็ต้องเป็นคำตอบในใจ ... กล่าวเป็นวาจาออกไปไม่ได้ :b32:

ล้อเล่นครับ





เอาเป็นว่า ไปฟังพระผู้รู้กันดีกว่า


เกิดมาทำไม

http://www.dhammajak.net/book-chayasaro/4.html


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 10:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 09:31
โพสต์: 639

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดมาใช้กรรมค่ะ แต่พิเศษอีกหน่อย คือ สร้างบุญเพื่อบรรเทากรรมที่จะมีติดตัวไป สร้างบุญที่เปรตหรือเทวดามีโอกาสทำน้อยกว่าค่ะ

หน้าที่ของคนตามหลักธรรมก็คือ ทำดีให้กับทั้งตัวเองและผู้อื่น โดยยึดเจตนาที่บริสุทธิ์เป็นหลัก ทำโดยไม่ทำให้เกิดทุกข์กับตัวเอง แต่การจะไม่เกิดทุกข์ก็มาจากเราเข้าใจธรรม เข้าใจสิ่งที่เกิดแล้ววางเฉยได้ ก็ไม่ทุกข์

ปฏิบัติโดยทำตามมรรคแปด ถือศีล ทำสมาธิ แล้วรอปัญญาเกิด แล้วจะรู้เองว่า ทำไมจุฬาภินันท์เรียกสามอย่างนี้เป็นมรรคแปด

เชื่อจุฬาภินันท์หรือไม่ก็ได้ เพราะจุฬาภินันท์ไม่ทำให้ตัวเองทุกข์ค่ะ ไม่ทุกข์เพราะวางกิเลสได้น่ะค่ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 16:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 ก.ค. 2008, 08:42
โพสต์: 67

ที่อยู่: สังขตธาตุ

 ข้อมูลส่วนตัว


เพราะ ความไม่รู้ (อวิชชา)

เพราะไม่รู้ว่า มีอะไรมากไปกว่าจิต จะเป็นอย่างไร(สังขาร)

.....................................................
เราคือใจที่บริสุทธิ์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 19:22 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ม.ค. 2009, 11:50
โพสต์: 147

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เกิดมาเพื่อตั้งอยู่แล้วก็ดับไป มันเป็นของมันแบบนี้ ไม่อยากเกิด
มันก็มาเกิดของมันเอง ไม่อยากดับ(ตาย)มันก็ตายของมันเอง บังคับมัน
ไม่ได้ซักที่ ชาติที่แล้วก็เป็นแบบนี้ ชาตินี้เอาอีกแล้ว ตอนนี้กำลังหาทาง
อยู่ พอรู้วิธีบ้างแล้ว นี่ก็ลงมือทำไปบ้างนิดหน่อย กะว่าอีกซักร้อยชาติคงไม่
ต้องเกิดละมั้ง :b12:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 ส.ค. 2009, 21:44 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ก.ค. 2009, 23:02
โพสต์: 157

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


.......................................................
เนื่องจากเกิดเป็นคนขึ้นมา ก็ไม่รู้ว่าเกิดมาทำไม? เกิดมาศึกษาเอาอะไร? หน้าที่สำคัญที่มีค่ายิ่งสุดคืออะไร? ไม่รู้ว่าชีวิตควรอุตสาหะพากเพียรสู้ทนเพื่ออะไร?

อะไรคือจุดยอดที่คนเกิดมาแล้วควรจะได้?

คำตอบจริงๆของคำถามที่ว่า “คนเกิดมาทำไม? นั้น คือ.... คนเกิดมาทำงาน พร้อมกับสร้าง “ความประเสริฐความดี” ให้สูงสุด ให้ได้จุดยอดที่สุดที่คนเกิดมาแล้วควรจะได้

คือ..... “ความประเสริฐความดี”


แล้วทำไมคนจึงไม่ตั้งหน้าตั้งตาอุตสาหะทำเอา “ความดีความประเสริฐ” นั้นๆกันละ??
คนไม่ตั้งหน้าตั้งตาทำเอา เพราะหลงผิดใน “ความดีความประเสริฐ” อยู่(โมหะ)
เพราะเข้าใจยังไม่ได้ หรือเพราะ “รู้ไม่จริง-รู้อย่างไม่ยืนยันมั่นแท้” (อวิชชา)
ว่า... “ความดีความประเสริฐ” ของคนคืออะไร?
ถ้างั้น “ความดีความประเสริฐ” ของคน คืออะไรกันแท้ที่สุด?

คือ แชมป์ในเกมส์อบายมุขอย่างไดอย่างหนึ่ง หรือต้องเป็นแชมป์ทุกอย่างหรือ?
คือ ความมีเงินทองทรัพย์ศฤงคารมหาศาลที่สุดกว่าใครๆหรือ?
คือ ความมียศศักดิ์ล้นฟ้ามหาสถานหรือ?
คือ ความมีอำนาจสามารถชี้นิ้ว หรือประกาศิตจนคนกลังเกรงได้ทั้งโลกหรือ?
คือ ความสรรเสริญเยินยอ จนปราศจากคำตำหนิติติงจากคนได้อย่างเด็ดขาดหรือ?
คือ การได้เสพโลกียสุขทุกชนิด เช่นเสพสมสุขจากทวาร ๕ และเสพสมสุขทางจิต ทวารทางภวังค์ ไม่ขาดตกบกพร่องเลย ตามที่อยากที่ต้องการตลอดชีวิตหรือ?
คือ ความเก่งในฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์เสกเป่าเนรมิต เหาะเหิน เดินน้ำได้อย่างวิเศษ เป็นต้น จนแปลกประหลาดมหัศจรรย์ น่าทึ่ง น่าฉงนของคนทั่วไปหรือ?
คือ สภาพมีความฉลาดเยี่ยมยอด สามารถรอบรู้ถ้วนทั่วในสรรพศาสตร์ สรรพวิชาการ สรรพสิ่งลึกลับในมหาจักรภพครบมหาจักรวาลนี้กระนั้นหรือ?


คำตอบที่ถูกต้องที่สุด คือ.....
เปล่าเลย หาใช่สิ่งที่กล่าวแล้วนั้นๆใดๆไม่เลย ! !
คนเลิกเด็ดขาด ไม่แตะต้องอบายมุขเด็ดขาด จนจิตหลุดพ้นอบายมุขได้จริงแท้ นั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้นำตนเข้ามาพิสูจน์เด่นชัดให้ได้แท้ด้วยตนเองว่า ไม่เป็นทาสเงินทรัพย์ศฤงคารเลยนั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้ไม่เป็นทาสยศศักดิ์ ไม่เห่อเหิม ไม่หลงใหล ไม่ลบหลู่ หรือไม่ติดดียึดดีในยศศักดิ์นั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้ไม่หลงอำนาจ ไม่ข่มใครด้วยอำนาจแม้จะมีอำนาจโดยสัจจะธรรมคุณงามความดีที่แท้ก็ไม่ใช้อำนาจบาตรใหญ่ ไม่ช่างชี้ใช้ แต่กลับเป็นผู้มีเมตตาเกื้อกูล จนคนอื่นยินดีจะรับใช้เกรงใจ นอบน้อมเองด้วยยินดีนั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้ไม่หลงในสรรเสริญเลย แม้จะมีคำตำหนิก็ยินดีรับฟังรับพิจารณาอย่างตั้งใจจริง ไม่อคติเข้าข้างตน รู้อนุโลมปฏิโลม นั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้ลดละล้าง จนไม่มีโลกียสุขเลย ไม่หลงเสพสมสุขสมจากทวารทั้ง ๕ ไม่หลงเสพสมสุขสมทางจิตทวารหรือในภวังค์ เป็นผู้ใจพอในความสงบจากรสโลกียสุขทั้งปวงได้จริง(วูปสมสุข) ไม่อยากไม่ต้องการเสพโลกียสุขใดๆอีกเลย ทั้งในกามภพ ทั้งในภวังค์ (รูปภพ-อรูปภพ) นั่นต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ” ที่ยิ่งสูงยิ่งยอด

คนผู้ไม่หลงทึ่ง ไม่เห็นมหัศจรรย์ แปลกประหลาดในความเก่ง ฤทธิ์เดชปาฏิหาริย์เสกเป่าเนรมิต เหาะเหิน เดินน้ำ ฯลฯ เป็นต้นและ ไม่ยินดีไม่สนใจจะส่งเสริมจะศึกษาในเดรฉานวิชาเหล่านี้ แถมแม้ตนเองจะเกิดจะได้จะเป็นจะมีความเก่งเหล่านี้ เพราะมันเป็นบารมีของตน ก็ไม่หลงยินดีไม่หลงแสดง จะเข้าใจด้วยปัญญาอันยิ่งด้วยซ้ำว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงห้ามภิกษุไม่ให้แสดงสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นความถูกต้อง เป็นความเจริญ เป็นความเป็นอยู่ผาสุกของคนของสังคมอย่างแท้จริง คนผู้เป็นเช่นที่กล่าวมานี้ต่างหาก คือ คนมี “ความดีความประเสริฐ”

คนผู้ไม่หลงใหลในสรรพความรู้ สรรพศาสตร์ สรรพวิชาการ สรรพสิ่งลึกลับในมหาจักรภพครบมหาจักรวาลใดๆแต่ก็ไม่ได้ลบหลู่ ไม่ได้ด้อยความรู้เหล่านั้น ไม่ได้ไร้ความสามารถฝีมือในสรรพศาสตร์ต่างๆเหล่านั้น ทว่ากลับรู้แจ้งในความจริงที่พอเหมาะพอควร สร้างสรรค์ขยันพากเพียรเสียสละให้แก่สังคมมนุษยชาติอยู่จริงๆ

ที่สำคัญคือ รู้แจ้งสภาพที่เฉลียวฉลาดแต่ทว่าเอาเปรียบ(เฉโก) รู้แจ้งสภาพไม่หมดความเห็นแก่ตัว ที่มีอยู่ละเอียดสุขุมนักในตน (เฉโก) ว่าแตกต่างกับ ความเฉลียวฉลาดแต่ซื่อสัตย์เสียสละที่แท้ (ปัญญา) จนไม่เหลือเศษความเห็นแก่ตัว ซึ่งต้องมีแต่ความเมตตาขวนขวายช่วยเหลือเกื้อกูลผู้อื่นอย่างบริสุทธิ์แท้(ปัญญา)

แล้วผู้นั้นก็พากเพียรประพฤติอบรมตน จนได้เป็นคนเฉลียวฉลาดซื่อสัตย์เสียสละที่จริงหมดความเห็นแก่ตัวจริงจนได้อย่างสะอาดหมดจดมั่นคงเที่ยงแท้ (นิยม, นิยต)มีสภาพนั้นเป็นความถาวรประจำตนอยู่ตราบชีวิตจะหาไม่

นั่นต่างหาก คือ คนผู้มี “ความดีความประเสริฐ” ที่สูงยิ่ง-ยิ่งสูง

จากส่วนหนึ่งของหนังสือ สัมมาสิกขาฉบับพิมพ์ครั้งแรก พ.ศ. ๒๕๓๑

.....................................................
มาตามหา เพื่อนร่วมทาง

ประโยชน์สูง-ประหยัดสุด > > ต้องทำให้ได้ คือแก้ไขตนเอง > > ฝึกหยุด-ไม่หยุดฝึก >
ไม่มีเวลาสำหรับความชั่วบาปอีกแล้ว. ." ทุกวินาทีเป็นวินาทีแห่งบุญ "
เราจะฝึกฝนตนเพื่อไปถึงจุดนั้นให้ได้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 13 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 44 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร