วันเวลาปัจจุบัน 16 เม.ย. 2024, 23:25  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 05:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าเราอยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา
พิจารณาสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริงแล้ว
ท่านก็จะเป็นสุขของท่านเอง
แม้จะไม่มีใครให้พรให้ท่านเป็นสุข ท่านก็จะเป็นสุข
แม้ใครจะแช่งท่านให้เป็นทุกข์ ท่านก็จะไม่ทุกข์
เพราะท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆที่เกิดขึ้น

ท่านมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงว่า
เป็นของว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่ควรจะยึดถือไว้
ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา นั่นแหละคือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
เป็น "ยอดสุขในทางพระพุทธศาสนา" :b8: :b51:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ค. 2009, 10:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.ค. 2009, 16:10
โพสต์: 298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอบคุณค่ะได้รับประโยชน์มากมายจริงๆ :b20: :b20:

ขออนุโมทนาบุญด้วยนะค่ะ :b8: :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 00:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุ :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 00:57 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


damjao เขียน:
ถ้าเราอยู่ด้วยสติ ด้วยปัญญา
พิจารณาสิ่งทั้งหลายให้ถูกต้องตามสภาพที่เป็นจริงแล้ว
ท่านก็จะเป็นสุขของท่านเอง
แม้จะไม่มีใครให้พรให้ท่านเป็นสุข ท่านก็จะเป็นสุข
แม้ใครจะแช่งท่านให้เป็นทุกข์ ท่านก็จะไม่ทุกข์
เพราะท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นในสิ่งใดๆที่เกิดขึ้น

ท่านมองเห็นสิ่งทั้งหลายตามสภาพที่เป็นจริงว่า
เป็นของว่างเปล่า ไม่มีอะไรที่ควรจะยึดถือไว้
ว่าเป็นตัวตน เป็นเรา เป็นเขา นั่นแหละคือสิ่งที่พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า
เป็น "ยอดสุขในทางพระพุทธศาสนา" :b8: :b51:


ขออนุโมทนาครับ

มีคำถามนิดว่า..ที่มองสิ่งทั้งหลายตามความเป็นจริงว่าเป็นของว่างเปล่า ไม่ใช่ตัว ไม่ใช่ตน ของเรา อยากรู้ว่า..จนถึง หรือมีอาการอย่างไร จึงรู้ว่า เห็นจริงแล้ว ครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 04:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การมองตามความเป็นจริง ก็คือ
การมองตามพุทธพจน์ ที่ว่า...

ภิกษุทั้งหลาย รูป...เวทนา... สัญญา...สังขาร...วิญญาณ เป็นอนัตตา

1.สังขารทั้งปวง ไม่เที่ยง............
2.สังขารทั้งปวง เป็นทุกข์...........
3.ธรรมทั้งปวง เป็นอนัตตา..............

1 หลักอนิจจตา แสดงความไม่เที่ยง ความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ และดับไปของสิ่งทั้งหลาย
2.หลักทุกขตา ทุกข์ที่เป็นธรรมดาของสังขาร
3.หลักอนัตตตา การรู้สิ่งทั้งหลายตามที่มันเป็นอย่างแท้จริง เพราะสิ่งทั้งหลายไม่มีตัวตน :b8:


แก้ไขล่าสุดโดย damjao เมื่อ 14 ก.ค. 2009, 11:24, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 09 ก.ค. 2009, 12:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 20:12
โพสต์: 791

แนวปฏิบัติ: พุทโธและสัมมาอรหัง
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
สิ่งที่ชื่นชอบ: ใต้ร่มโพธิญาณ
อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




beautiful_buddha_lamp.jpg
beautiful_buddha_lamp.jpg [ 9.64 KiB | เปิดดู 3024 ครั้ง ]
โลกธรรม 8 (worldly conditions)

โลกธรรม คือ ธรรมดาของโลก, เรื่องของโลก, ธรรมที่ครอบงำโลก หรือธรรมที่มีประจำโลก หมายถึง ธรรมที่ครอบงำสัตว์โลกและสัตว์โลกต้องเป็นไปตามธรรมนี้ หรือทุกคนในโลกนี้ย่อมถูกโลกธรรมนี้กระทบทั้งนั้น ไม่มีใครพ้นไปได้เลย ยกเว้นพระอรหันต์ผู้อยู่เหนือโลกเท่านั้น โลกธรรมมี 8 ประการแบ่งออกเป็น 2 ฝ่าย ฝ่ายแรกฝ่ายที่น่าปรารถนาและพึงพอใจ (อิฏฐารมณ์) และฝ่ายที่ไม่น่าปรารถนา
ที่ 1 ได้ลาภ เสื่อมลาภ ลาภ หมายถึง การให้มาซึ่งสิ่งที่พึงพอใจ เช่น เงินทอง สิ่งของ บุคคล เป็นต้น เมื่อได้มาแล้วยังมีทุกข์ติดตามแอบแฝง ซ่อนเร้นมากับลาภนั้นอีก บางคนต้องเสียชีวิตเพราะมีลาภและป้องกันลาภ ครั้นเมื่อสิ่งที่ได้มาแล้วมีอันต้องวิบัติสูญหายไปหรือถูกแย่งชิงไป เช่น เสียเงินเสียทอง เสียที่อยู่อาศัย เสียสิ่งที่รักที่หวงแหน หรือสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก เรียกว่าเสื่อมลาภ จิตใจก็เป็นทุกข์

ผู้ที่ไม่ได้ศึกษาเรื่องโลกธรรมตามความเป็นจริง ย่อมมีพฤติกรรมเกี่ยวกับลาภในทางที่ผิด เช่น มุ่งแสวงหาในทางทุจริต เกิดความโลภหรือความต้องการไม่มีสิ้นสุด จึงก่อให้เกิดการกระทำที่ไม่ดีไม่ถูกต้องเพื่อให้ได้มาซึ่งลาภที่ตนต้องการ และหากสูญหายไปก็เกิดความเศร้าโศกเสียใจ เป็นทุกข์จนเกินเหตุ หากเข้าใจก็พึงแสวงหามาได้ตามกำลังความสามารถและสติปัญญาของตน ไม่โลภมาก หากสูญหายไปก็ถือว่าเป็นธรรมดาของสรรพสิ่งทั้งหลายย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด ทำให้เกิดความสบายใจ เข้าใจกฎของธรรมชาติในข้อนี้ ดุจดังสังขารในขันธ์ 5 ที่ปรุงแต่งขึ้นมา ย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด

คู่ที่ 2 ได้ยศ เสื่อมยศ ยศ แปลว่า ความยิ่ง ความเด่น ซึ่งหมายถึง ความยิ่งของคน ความเด่นของคน ยิ่งด้วยความเป็นใหญ่ เรียกอิสริยยศ ยิ่งด้วยชื่อเสียงคุณความดี เรียก เกียรติยศ ยิ่งด้วยบริวาร พวกพ้อง เรียกบริวารยศ ทั้ง 3 ยศ หากมีความกระหายต้องการให้ได้ได้ยศมา ก็เกิดความวิตกกังวล เกิดความทุกข์ เพราะเกิดทั้งความโลภ เมื่อไม่ได้มาก็เกิดความโกรธ เมื่อมีแล้วก็เกิดความหลง ดังนั้นจะต้องเข้าใจว่ายศเหล่านี้มีวันเสื่อมสลายไปในที่สุด เรียกว่า เสื่อมยศ หากเราไม่เข้าใจหลักธรรมข้อนี้ก็จะเกิดความหลงมัวเมาเมื่อมียศ เกิดความวิตกกังวล คับข้องใจ และเป็นทุกข์เมื่อเสื่อมยศ เป็นต้น

คู่ที่ 3 สรรเสริญ นินทา สรรเสริญ ได้แก่การกล่าวขวัญถึงความดี จะต่อหน้าหรือลับหลังก็ตาม การได้ฟังคำสรรเสริญ คำยกย่องคำชมเชย ทำให้ใจเบิกบาน มีความสุข ในทางตรงกันข้าม หากใครถูกนินทา หรือการพูดให้ร้ายหรือพูดในทางที่ไม่ดีในที่ลับหลัง ก็เกิดความไม่พึงพอใจ เกิดความโกรธ ทั้งสองประการนี้ หากไม่เข้าใจหลักธรรมเช่นนี้ ก็เกิดความลุ่มหลงมัวเมา หลงระเริง ทำให้เกิดความลืมตัว ก่อให้เกิดความเห็นผิด หลงตนเอง เมื่อคนอื่นสรรเสริญ และเกิดความไม่พึงพอใจ และทุกข์ใจในที่สุดเมื่อถูกนินทา เป็นต้น ดังนั้นเมื่อเข้าใจหลักธรรมนี้จะช่วยให้เกิดหลักของความอุเบกขา คือ ไม่แสดงอาการใด ๆ เมื่อถูกสรรเสริญ หรือนินทา ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก

คู่ที่ 4 สุข ทุกข์ โลกธรรมคู่นี้เป็นคู่รวบยอด คือสภาพความเป็นอยู่ของคนเราเมื่อกล่าวโดยรวมยอดแล้วมี 2 สภาพคือ สุขและทุกข์เป็นสภาพที่มนุษย์เราจะต้องเผชิญทั้ง 2 ประการ ดังนั้นพึงเข้าใจว่าเราจะดำเนินวิถีชีวิตอย่างไรให้มีความสุขมากกว่าทุกข์ นั่นก็คือจะต้องใช้ปัญญาพิจารณาถึงความดับทุกข์ ซึ่งทางพระพุทธศาสนาได้นำเสนอหลักของอริยสัจ 4 เป็นหลักธรรมในการแก้ไขปัญหาที่เกิดจากความทุกข์ที่เกิดขึ้น
สรุปก็คือโลกธรรมทั้งสองฝ่ายคือ ฝ่ายอิฏฐารมณ์ และอนิฏฐารมณ์ เมื่อเกิดมาแล้ว มันไม่เที่ยง ไม่คงทนถาวร ไม่แน่นอน ย่อมเสื่อมสลายไปในที่สุด ดังนั้นจึงไม่ให้ยึดมั่นถือมั่น จะก่อให้เกิดความทุกข์ในที่สุด

.....................................................
ข้าพเจ้าขออาราธนาพระบารมี 30 ทัศ ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่เสด็จนิพพานไปแล้ว มากยิ่งกว่าเม็ดกรวดเม็ดทรายในท้องมหาสมุทรทั้ง 4 ด้วยเดชะพระพุทธานุภาพ พระธรรมมานุภาพ พระสังฆานุภาพ พระบารมีพระโพธิสัตว์ พระปัจเจกโพธิสัตว์เจ้า พระอรหันต์ทั้งหลายและพระบารมีขององค์พระสมณะโคดมบรมครู ขอได้ส่งพลังมายังตัวข้าพเจ้า จงดลบันดาลให้ข้าพเจ้าหายจากโรคภัยไข้เจ็บและสรรพเคราะห์ทั้งหลายในกายของข้าพเจ้า จงหายไปสิ้นทั้งหมดขอให้ข้าพเจ้าเป็นผู้ชนะต่ออุปสรรคและมารทั้งหลาย
แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 6 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร