วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 10:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ธ.ค. 2008, 04:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
ผู้จัดการ
ผู้จัดการ
ลงทะเบียนเมื่อ: 27 มี.ค. 2006, 17:34
โพสต์: 7781

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

สมถะและวิปัสสนาในชีวิตประจำวัน

พระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล
เจ้าอาวาสวัดนาป่าพง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี


ส่วนหนึ่งของธรรมบรรยาย ณ อาคารอัมรินทร์ พลาซา
ย่านราชประสงค์ กรุงเทพฯ (กิจกรรมชมรมคนรู้ใจ)



“สมถะ” กับ “วิปัสสนา” จริงๆ แล้วทั้งสองคำเป็นลำดับขั้นตอนที่เกื้อหนุนกัน

คือ “สมถะ” เป็นการอบรมใจให้สงบ (มีสมาธิ) ให้หยุดนิ่ง เป็นอารมณ์เดียว ใจจดจ่ออยู่กับสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เช่น การกำหนดลมหายใจเข้า-ออก คำบริกรรมคาถา เป็นต้น ส่วนการ “วิปัสสนา” หมายถึงการอบรมปัญญาให้เกิด โดยการปฏิบัติธรรมแล้วใช้ปัญญาพิจารณาสภาวธรรม ทำให้เกิดการรู้แจ้งเห็นจริง จนมี “จิต” ที่เป็นอิสระ ไม่ถูกครอบงำด้วยกิเลสและความทุกข์

หากปฏิบัติทั้งสองอย่างควบคู่กันไปจะเกื้อหนุนกัน คือ ผลของสมถะจะทำให้เกิดวิปัสสนาปัญญาได้ง่ายขึ้น และผลของวิปัสสนา (ความปล่อยวาง, ความไม่ยึดมั่น) ก็ทำให้นิวรณ์ (สิ่งขวางกั้นสมาธิ) เกิดน้อยลง ทำให้สมาธิเกิดได้ง่ายขึ้น

หลายคนมองว่าภาวะปัจจุบันนั้นยากในการจะปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลย ขอเพียงมีกายมีจิตอยู่ตลอดเวลา หากใครเคยศึกษาพุทธศาสนามาบ้าง อาจเคยได้ยินเรื่อง “ม้ากระจอก” กับ “ม้าอาชาไนย” ที่พระพุทธเจ้าเคยตรัสเปรียบเปรยไว้

“ม้ากระจอก” ผูกไว้ใกล้รางข้าวเหนียว ก็จะมองเห็นแต่ข้าวเหนียวว่าเป็นข้าวเหนียว เพราะเพ่งเพียงรูปลักษณ์ภายนอก ไม่ได้เพ่งอย่างลึกซึ้งเเละไม่ได้ใช้ปัญญาในการคิดต่อถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้น แตกต่างกับ “ม้าอาชาไนย” ถูกผูกไว้ใกล้รางข้าวเหนียวเหมือนกัน แต่จะไม่คิดว่าข้าวเหนียวเป็นเพียงข้าวเหนียว แต่จะคิดว่าวันนี้เจ้าของจะให้ทำอะไร เราจะทำสิ่งใดเป็นการตอบแทน

“เรื่องนี้ก็คล้ายกันกับคนเรา ไม่ว่ามนุษย์จะอยู่สถานที่ใด จะเป็นอยู่ที่ป่าก็ดี อยู่ที่โคนต้นไม้ก็ดี หรืออยู่เรือนว่างเปล่าก็ดี ไม่มีจิตอันกามราคะรุมเร้าแล้ว ย่อมรู้ถึงวิธีสลัดกามราคะที่เกิดขึ้นแล้วตามความเป็นจริง ย่อมไม่มีจิตอันพยาบาท ซึ่งคล้ายกับเป็นการบอกว่าไม่ว่าจะเป็นใคร อยู่ที่ใด ก็สามารถทำสมถะ-วิปัสสนาได้”

ในชีวิตประจำวันเราสามารถปฏิบัติสมาธิ วิปัสสนาที่ไหนก็ได้ ขอเพียงมีกายมีจิตตลอดเวลา มีวิธีง่ายๆ อยู่หลายวิธี เช่น เมื่อมีเวลาว่างให้ลองคิดทบทวนถึงการดำเนินชีวิตที่ผ่านมา ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน

“ทบทวนช้าๆ ไม่ต้องรีบร้อน แล้วพยายามทบทวนถึงความรู้สึกที่เกิดขึ้นในแต่ละเหตุการณ์ ให้มองให้ชัดเจนว่าความสุขที่ได้รับจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมา กับความทุกข์ที่ต้องเผชิญมันคุ้มกันหรือไม่ การกระทำของเราในขณะนั้น เป็นไปตามความปรารถนาของเราอย่างแท้จริง หรือว่าเราควบคุมมันไม่ได้ ความสุขความทุกข์นั้นอยู่กับเราได้นานเพียงใด ที่สำคัญคือต้องทำจิตใจให้เป็นกลาง และต้องมองให้ลึกทุกแง่มุม

ความสำเร็จ ความภาคภูมิใจในอดีต ถ้าภายหลังทำไม่ได้ หรือมีใครมาพูดให้กระทบกระเทือนจนสูญเสียความมั่นใจ ก็อาจทำให้เราเป็นทุกข์อย่างมากมายก็ได้ แต่อย่ามองแง่เดียว เพราะสิ่งที่มีคุณอนันต์ก็มักจะมีโทษมหันต์เช่นกัน ในการดำเนินชีวิตในแต่ละวันลองคอยสังเกตความรู้สึกที่เกิดขึ้นในขณะนั้นๆ ให้มากที่สุด เท่าที่จะทำได้ ถ้าเผลอไปก็ไม่เป็นไร พยายามสังเกตให้ได้มากที่สุด จนเคยชินเป็นนิสัย มีสติรู้ทันความรู้สึกตลอดเวลา

การสังเกตนั้นเพื่อศึกษาธรรมชาติของร่างกายของจิตใจของเราเองว่า มีสุขมีทุกข์มากน้อยเพียงใด เกิดความแปรปรวนเพราะอะไรบ้าง บังคับได้หรือไม่ได้ ตั้งแต่ตื่นนอนจนถึงเข้านอน จนกระทั่งหลับไปในที่สุด คือรู้ตัวเมื่อไหร่ก็สังเกตเมื่อนั้น แล้วสิ่งที่ท่านคิดว่า คือ ‘เรา’ นั้น ก็จะแสดงธรรมชาติที่แท้จริงให้เห็นมากขึ้นเรื่อยๆ”

อย่าลืมว่า “พระพุทธศาสนาสอนให้เรากล้าเผชิญหน้ากับปัญหาและความเป็นจริง แทนที่จะหลบลี้ไปจากความจริง ทรงพบว่าเพียงการหันเหจิตใจจากความทุกข์เฉพาะหน้าไปสู่สิ่งอื่น ในส่วนลึกของจิตนั้นเรายังคงรู้สึกถึงความทุกข์อยู่ และยังสร้างสังขารหรือความคิดปรุงแต่งของจิต ให้เกิดโลภะ (ความโลภ) โทสะ (ความโกรธ) หรือโมหะ (ความหลง) ขึ้นมาอีก ทำให้ต้องทนทุกข์ทรมานมากขึ้น

‘การปฏิบัติสมถะวิปัสสนา’ จะช่วยให้เราเพ่งเพียรในอารมณ์ เพราะเราจะรู้สิ่งใดอย่างแท้จริง เราก็ต้องเฝ้าดู เพ่งดูซึ่งสิ่งนั้น” เจ้าอาวาสวัดนาป่าพงย้ำถึงหลักคำสอนของพระพุทธศาสนา

หลายคนเวลามีความทุกข์เกิดขึ้นในชีวิต มีความเดือดเนื้อร้อนใจ จนไม่อาจจะทนทุกข์อยู่ต่อไปได้ ก็อยากจะหนีความทุกข์นั้นไปให้พ้น อาจจะไปดูหนัง ดูละคร หรือไปสถานบันเทิงต่างๆ แต่สิ่งเหล่านี้ก็ช่วยให้หลบไปจากความทุกข์ได้เพียงชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น เป็นเพียงการหันเหความสนใจไปจากความทุกข์เป็นการชั่วคราว แล้วก็นึกเองว่าได้พ้นจากความทุกข์นั้นแล้ว แต่ความเป็นจริงนั้นไม่ได้หลุดพ้นจากความทุกข์

ในทางตรงกันข้าม ความทุกข์กลับจะเพิ่มพูนขึ้น การหนีไปจากความทุกข์จึงมิใช่เป็นการแก้ปัญหา

คำบรรยายของพระอาจารย์คึกฤทธิ์ โสตฺถิผโล ซึ่งมีเนื้อหาที่ใกล้เคียงกับชีวิตประจำวันของคนเรา เรื่องของทุกข์-สุข เรื่องของจิตใจ เป็นเรื่องที่ทุกคนสามารถพิสูจน์ได้ด้วยตัวเองว่า ความสุขที่แท้จริงนั้น ไม่ต้องหาสิ่งใดมาปรุงแต่ง ไม่ต้องใช้ตัวช่วยที่แลกมาด้วยความสิ้นเปลือง

และพระพุทธศาสนานี่เองที่สอนให้รู้ว่า “ขอเพียงสร้างความรู้เท่าทันให้เกิดขึ้นในจิตใจด้วยตัวเอง ไม่ให้ถูกครอบงำด้วยความมืดดำแห่งกิเลสแล้ว ชีวิตก็นับว่าได้สัมผัสกับความสุขที่แท้จริง”


:b8: คัดลอกมาจาก : http://www.matichon.co.th/

.....................................................
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นกฎตายตัว


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 มิ.ย. 2009, 11:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8: :b20:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 18:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ก.ค. 2006, 06:25
โพสต์: 2058


 ข้อมูลส่วนตัว


สาธุครับ :b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 19:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 ก.พ. 2009, 20:49
โพสต์: 3979

แนวปฏิบัติ: พอง-ยุบ
งานอดิเรก: อ่านหนังสือ
ชื่อเล่น: นนท์
อายุ: 42
ที่อยู่: นครสวรรค์

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

อนุโมทนาสาธุด้วยครับ

:b8: :b8: :b8:

.....................................................
แม้มิได้เป็นสุระแสงอันแรงกล้า ส่องนภาให้สกาวพราวสดใส
ขอเป็นเพียงแสงแห่งดวงไฟ ส่องทางให้มวลชนบนแผ่นดิน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ก.ค. 2009, 20:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ค. 2009, 17:25
โพสต์: 281

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ผมเคยไปนั่งฟังอาจารย์ท่านบรรยายธรรม ท่านมีเมตตาครับอยากบวชที่นั้นจริงๆ

.....................................................
เราจะเดินให้สุดทาง http://www.thai.dhamma.org


แก้ไขล่าสุดโดย เว็บมาสเตอร์ เมื่อ 01 ม.ค. 2010, 06:02, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2011, 17:47 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ส.ค. 2010, 07:51
โพสต์: 132

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 ส.ค. 2011, 14:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 ต.ค. 2010, 12:11
โพสต์: 5013


 ข้อมูลส่วนตัว


smiley smiley smiley

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2011, 21:30 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ย. 2011, 09:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 เม.ย. 2011, 01:57
โพสต์: 324

แนวปฏิบัติ: อริยสัจ4
อายุ: 27
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: ขอบคุณครับ

.....................................................
ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นคือความจริง การฝืนความจริงทำให้เกิดทุกข์ การเห็นและยอมตามความจริงทำให้หายทุกข์

คนที่รู้ธรรมะ มักจะชอบเอาชนะผู้อื่น แต่คนเข้าใจธรรมะ มักจะเอาชนะใจตนเอง

สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ยะทา ปัญญายะ ปัสสะติ
เมื่อใดบุคคลเห็นด้วยปัญญาว่า, ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา

อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข เอสะ มัคโค วิสุทธิยา
เมื่อนั้น ย่อมเหนื่อยหน่ายในสิ่งที่เป็นทุกข์ ที่ตนหลง,
นั่นแหละเป็นทางแห่งพระนิพพานอันเป็นธรรมหมดจด

.....ติลักขณาทิคาถา.....


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 9 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 18 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron