วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 06:10  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=28



กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2009, 20:35 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พระคาถาชินบัญชร (โต พรหมรังสี )

กำเนิดพระคาถาชินบัญชร

กำเนิดพระคาถาชินบัญชร เรียบเรียงโดยคุณปัญญา นี้ได้คัดลอกมาจากหนังสือ พระคาถาชินบัญชร

เมื่อครั้งนั้น สมเด็จ (โต) ได้มีโอกาสเดิทางไปยัง จังหวัดกำแพงเพชร ท่านได้เดินทางไปที่วัดเก่าแห่งหนึ่งซึ่งมีกรุโบราณ ที่นั่นท่านได้พบคัมภีร์โบราณผูกหนึ่งฝังอยู่ในเจดีย์หัก สมเด็จจึงนำคัมภีร์ผูกนั้นมาเก็บไว้ที่กุฏิ ขณะนั้นสมเด็จ (โต) ท่านมีจิตดำริที่จะสร้างพระเครื่องเพื่อมอบให้แก่เจ้าปิยะ (ร.5) หรือพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เพื่อเป็นสมบัติในยุคสมัยครองราชย์ ระหว่างครุ่นคิดสมเด็จ (โต) ท่านก็ได้จำวัดหลับไป

ในคืนนั้นราวๆประมาณตี 3 สมเด็จ (โต) ได้นิมิตว่าท่านได้ตื่นขึ้น เห็นชายหนุ่มรูปงามรูปหนึ่งมายืนอยู่ที่หัวนอนในชุดนุ่งขาวห่มขาว มีรูปลักษณ์งดงามหาที่ติมิได้เลย สมเด็จ(โต) ท่านก็มองขึ้นตามกำหนดของจิต ทราบว่าหนุ่มรูปงามนี้คงจะไม่ใช่มนุษย์อย่างแน่นอน

สมเด็จ (โต) จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ การที่อาตมาได้มีโอกาสชมท่านนับว่าเป็นขวัญตาเหลือเกิน ท่านมาในสถานที่แห่งนี้ มีสิ่งใดที่อาตมาปฏิบัติผิดพลาดในหลักพระพุทธศาสนาเล่า ? ขอให้ท่านจงประสาทประทานการสอนให้อาตมาแจ่มแจ้งในพระธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเถิด"

ชายหนุ่มผู้นั้นจึงกล่าวขึ้นด้วยคำพูดที่เย็นกังวาน "ท่านโต วิธีการที่ท่านดำเนินงานอยู่นี้คล้ายกับองค์สมณะโคดมอยู่ แต่การที่ท่านคิดจะสร้างพระให้เป็นสิ่งที่ระลึกของมนุษย์นั้น สร้างแล้วสิ่งนั้นจะต้องดี ท่านโตเชื่อในเรื่องวิญญาณ เพราะฉะนั้นควรจะปฏิบัติตามกฏของโลกวิญญาณ คือวิธีการตั้งให้ถูกหลักการในการปลุกเสก"

สมเด็จ(โต) ท่านจึงกล่าวว่า "ท่านผู้เจริญ ขรัวโตนี้รับฟังความคิดเห็นของทุกคนหากแม้นท่านโปรดข้านี้ ขอได้โปรดบอกมาเถิด จะด่าว่าตักเตือนเราก็ไม่ว่า"

หนุ่มรูปงามผู้มีความสงบแลดูเป็นที่เลื่อมใส จึงได้แนะวิธีการต่างๆในเรื่องทิศทางว่าทิศใดเป็นทิศมงคล ในการวาง เทียน ธูป ดอกไม้ เทียนชัย ให้ตรงตามหลักของกฏระเบียบแห่งโลกวิญญาณ เรียกว่าเทวบัญญัติ หรือพรหมบัญญัติ
ระหว่างนั้นสมเด็จ (โต) ยังคุมสติสัมปชัญญะอยู่ทุกเมื่อ จึงได้ถามหนุ่มรูปงามนั้นว่า "ท่านผู้รูปงามท่านนี้มีนามว่ากระไรหรอ?"

"หม่อมฉันนี้คือลูกศิษย์องค์พระโมคคัลลานะ หม่อมฉันสำเร็จเป็นอรหันต์เมื่ออายุ 7 ขวบ แต่ด้วยทิ้งสังขารก่อนอายุขัยจึงมิได้สู่แดนอรหันต์ คงยังอยู่ในแดนพรหมโลก เพราะหม่อมฉันไม่อยากติดสตรีมิชอบสตรี เพราะสตรีทำลายพรหมจารีย์ของหม่อมฉัน หม่อมฉันจึงทิ้งสังขารก่อนอายุขัย ทางโลกวิญญาณถือว่าสิ้นก่อนอายุขัย จึงอยู่รูปพรหม ถ้าท่านโตต้องการปรึกษาจากหม่อมฉัน ก็จงระลึกถึงชินนะบัญจะระ" มานพหนุ่มรูปงามกล่าวต่อสมเด็จ (โต) อย่างสำรวม

ต่อมาไม่ว่าสมเด็จ (โต) จะทำงานสิ่งใด จึงมักระลึกถึง ท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญจะระทีไร ท่านก็ปรากฎร่างทันที ช่วยเหลือสมเด็จ (โต) ประกอบพิธีต่างๆ จึงทำให้เครื่องรางของขลังของสมเด็จ (โต) มีความศักดิ์สิทธิ์มาก

สมเด็จ (โต) ท่านปลุกเสกพระสมเด็จรุ่นสุดท้าย 84,000 องค์ เรียกว่าสมเด็จอิทธิเจ ท่านได้แปลคาถาจากคัมภีร์ ซึ่งท่านพบจากกรุวัดที่กำแพงเพชร ซึ่งคัมภร์นั้นเขียนด้วยภาษาสิงหลได้ความบ้าง มิได้ความบ้าง จับใจความได้ว่าเป็นชื่ออรหันต์แปดสิบองค์ จึงได้ตัดต่อแก้ไขเพิ่มเติมเพื่อง่ายต่อการสวด จึงแปลใหม่ได้ความว่า "คาถาชินบัญชร" ซึ่งตรงกับชื่อท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญจะระ สมเด็จ (โต) ท่านจึงถือคาถาบทนี้เป็นการเทิดทูนท่านท้าวมหาพรหมชินนะบัญจะระ ที่ท่านได้ช่วยเหลือตลอดมา และพระคาถาบทนี้เป็นบทสวดในการนั่งปลุกเสกพระอิทธิเจรุ่นสุดท้าย ซึ่งสมเด็จ (โต) ท่านนั่งปลุกเสกอยู่เพียงผู้เดียว

พระคาถานี้มีอนุภาพศักดิ์สิทธิ์มาก ผู้ใดสวดมนต์หรือภาวนาอยู่เป็นประจำ ไม่ว่าจะ กิน เดิน นั่งนอน หรือภาวนาแม้ยามอาบน้ำ แปรงฟัน หรือทำงาน จะมีอนุภาพดังนี้ คือ

1. หากสวดมนต์อย่างน้อยวันละ 3 จบ อานุภาพจะคุ้มครองผู้นั้นไป 1 วัน กับ 1 คืน

2. เวลานั่งรถ เรือ หรือขับขี่รถ หรือเดินทาง ให้นึกภาวนาไปในใจ จะทำให้คลาดแคล้ว ปลอดภัยจากอุบัติเหตุทั้งปวงได้ชงัดนักเคยพ้นมามากต่อมากแล้ว
3.ผู้สวดมนต์ พระคาถานี้เป็นประจำ จะเป็นเสน่ห์มงคลด้วยประการทั้งปวง ไม่ว่าท่านจะอยู่ในเหตุการณ์ร้ายแรงอย่างใด ให้ภาวนาจะปลอดภัย แม้คนถูกกระทำของใส่คุณ หากเรารู้ตัวแล้วภาวนามิได้ขาด รับรองได้ว่าเขาทำอะไรเราไม่ได้เลย

4. หากภาวนาประจำมิได้ขาดเลยเรามักมีอะไรพิเศษ เช่น อาจฝันรู้เหตุการณ์ล่วงหน้า หากนอนแล้วภาวนาจนกระทั่งหลับ (ในใจ) คืนนั้นจะนอนหลับสบายเป็นพิเศษ ตื่นขึ้นมาจะมีความสุขปลอดโปร่งแจ่มใสเป็นพิเศษ บางทีกลางคืนจะมีอะไรดีๆ มาสอนเราด้วย

5. ผู้ที่มีอำนาจสมาธิจิตสูง สามารถจะภาวนาพระคาถานี้ ทำน้ำมนต์รักษาโรคบางชนิด ที่แพทย์ปัจจุบันรักษาไม่หายให้หายได้

6. ใครเจ็บไข้อยู่หากมีคนอื่น (แม้มิใช่ญาติ) บนบานกล่าวว่าจะสวดมนต์ให้ร้อยเที่ยว ห้าร้อยเที่ยว หรือหนึ่งพันเที่ยว ให้แก่เจ้ากรรมนายเวรเขามักจะหายป่วยจริงๆ (เคยทดลองมาแล้วแม้คนต่างศาสนากัน) หากผู้เจ็บป่วยที่นอนรักษาตัวอยู่ที่ไหนก็แล้วแต่หากภาวนาพระคาถานี้อยู่เรื่อยๆจะทำให้เขาหายป่วยเร็วขึ้น มากจนน่าแปลกใจ

7. ผู้ประกอบอาชีพต่างๆ หากยามว่างให้ภาวนาพระคาถาบทนี้จะทำให้อาชีพดีขึ้น เช่น ค้าขายดีขึ้นแม้ปลูกพืช ปลูกผักผลผลิตจะดีขึ้นหรือรายได้ดีขึ้น เด็กๆ นักเรียนหากสวดมนต์บทนี้ได้และสวดประจำบ่อยๆ หรือทุกคืนก่อนนอน จะเรียนเก่ง จำดีอย่างแน่นอนรับรอง

8. ผู้สวดมนต์พระคาถาบทนี้เป็นประจำแล้ว ประกอบอาชีพสุจริตไปด้วย จะทำให้ลดวิบากกรรมตัวเองให้เบาลงกว่าที่จะได้รับจริง หากกุศลส่งก็จะหนุนให้กุศลส่งแรงขึ้น หากใช้ไปนานชั่วชีวิตจะประสบสุขตามกุศลแน่นอน

9. เมื่อร่วมกันสวดอธิษฐานพร้อมๆ กันหลายคน หรือเวลาเดียวกัน จะมีอานุภาพบริสุทธิ์แผ่ออกไปกว้างไพศาลมากทำให้ผู้สวดก็ดี สถานที่บริเวณก็ดี รวมไปถึงประเทศชาติจะได้เจริญ และรอดพ้นจากภัยพิบัติทั้งหลายที่จะเกิดขึ้นแก่ประเทศ เราได้ ทำให้ประเทศเราเด่นดังในที่สุดได้

(อานุภาพของพระคาถายังมีอีกมาก หากทุกท่านหมั่นสวดมนต์ภาวนา ความเจริญ ความเมตตา หากินคล่องก็จะอยู่กับท่าน)

ผู้ใดได้สวดภาวนาพระคาถาชินบัญชรนี้เป็นประจำอยู่สม่ำเสมอ จะทำให้เกิดความสิริมงคลสมบูรณ์พูนผล ศัตรูหมู่พาลไม่กล้ำกราย ไปทางใดย่อมเกิดเมตตามหานิยม เกิดลาภผลพูนทวี ขจัดภัยจากภูตผีปีศาจ ตลอดจนคุณไสยต่างๆ ทำน้ำมนต์รดแก้วิกลจริตแก้สรรพโรคภัยหายสิ้น เป็นสิริมงคลแก่ชีวิต มีคุณานุภาพตามแต่จะปรารถนา ดังคำโบราณว่า "ฝอยท่วมหลังช้าง" จะเดินทางไปที่ใดๆ สวด 10 จบ แล้วอธิษฐานจะสำเร็จสมดังใจ


นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ
นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ

ปุตตะกาโมละเภปุตตัง ธะนะกาโมละเภธะนัง
อัตถิกาเยกายะญายะ เทวานังปิยะตังสุตตะวา
อิติปิโสภะคะวา ยะมะราชาโน ท้าวเวสสุวัณโณ
มรณังสุขัง อะระหังสุคะโต นะโมพุทธายะ







ชะยาสะนาคะตา พุทธา เชตะวา มารัง สะวาหะนัง
จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา.


ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐะวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา.


สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุธโธ ธัมโม ทะวิโลจะเน
สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร.


หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะวามะเก.


ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะราหุโล
กัสสะโป จะ มะหานาโม อุภาสุง วามะโสตะเก.


เกสันเต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภิโต มุนิปุงคะโว.


กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก
โส มัยหัง วะทะเนนิจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร.


ปุณโณ อังคุลิมาโล จะ อุปาลี นันทะสีวะลี
เถรา ปัญจะ อิเม ชาตา นะลาเฏ ตีละกา มะมะ.


เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชิโนระสา
ชะลันตา สีละเต เชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา.

๑๐
ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุตตะกัง
ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง.

๑๑
ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะสุตตะกัง
อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา.

๑๒
ชินนานา วะระสังยุตตา สัตตะปาการะลังกะตา
วาตะปิตตาทิสัญชาตา พาหิรัชฌัตตุปัททะวา.

๑๓
อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา
วะสะโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร.

๑๔
ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะฮี ตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสาสะภา.

๑๕
อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข
ชินานุภาเวนะ ชิตุปัททะโว
ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ
สังฆานุภาเวนะ ชิตันตะราโย
สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิ ชินะปัญชะเรติ.
(กราบ ๓ หน)

คำแปลพระคาถาชินบัญชร

1. ชะยาสะนากะตา พุทธา เชตะวา มารัง
สะวาหะนัง จะตุสัจจาสะภัง ระสัง เย ปิวิงสุ นะราสะภา
พระพุทธเจ้าและพระนราสภาทั้งหลายผู้ประทับนั่งแล้วบนชัยบัลลังก์ ทรงพิชิตพระยามาราธิราช ผู้พรั่งพร้อมด้วยเสนาราชพาหนะแล้ว เสวยอมตรสคือ อริยสัจธรรมทั้งสี่ประการ เป็นผู้นำสรรพสัตว์ให้ข้ามพ้นจากกิเลสและกองทุกข์

2. ตัณหังกะราทะโย พุทธา อัฏฐาวีสะติ นายะกา
สัพเพ ปะติฏฐิตา มัยหัง มัตถะเก เต มุนิสสะรา
มี 28 พระองค์ คือพระผู้ทรงพระนามว่า ตัณหังกรเป็นอาทิพระพุทธเจ้าจอมมุนีทั้งหมดนั้น.

3. สีเส ปะติฏฐิโต มัยหัง พุทโธ ธัมโม ทะวิโล
จะเน สังโฆ ปะติฏฐิโต มัยหัง อุเร สัพพะคุณากะโร
ข้าพระพุทธเจ้าขออัญเชิญมาประดิษฐานเหนือเศียรเกล้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ประดิษฐานอยู่บนศีรษะพระธรรมอยู่ที่ดวงตาทั้งสอง พระสงฆ์ผู้เป็นอากรบ่อเกิดแห่งสรรพคุณ อยู่ที่อก.

4. หะทะเย เม อะนุรุทโธ สารีปุตโต จะ ทักขิเณ
โกณฑัญโญ ปิฏฐิภาคัสมิง โมคคัลลาโน จะวามะเก
พระอนุรุทธะอยู่ที่ใจ พระสารีบุตรอยู่เบื้องขวา พระโมคคัลลาน์อยู่เบื้องซ้าย พระอัญญาโกณฑัญญะอยู่เบื้องหลัง

5. ทักขิเณ สะวะเน มัยหัง อาสุง อานันทะ
ราหุโล กัสสะโป จะ มะหานาโน อุภาสุง วามโสตะเก
พระอานนท์กับพระราหุลอยู่หูขวา พระกัสสะปะกับพระมหานามะอยู่หูซ้าย

6. เกสะโต ปิฏฐิภาคัสมิง สุริโย วะ ปะภังกะโร
นิสินโน สิริสัมปันโน โสภีโต มุนิ ปุงคะโว
มุนีผู้ประเสริฐ คือ พระโสภิตะผู้สมบูรณ์ด้วยสิริ ดังพระอาทิตย์ส่องแสงอยู่ที่ทุกเส้นขน ตลอดร่างทั้งข้างหน้าและข้างหลัง

7. กุมาระกัสสะโป เถโร มะเหสี จิตตะวาทะโก
โส มัยหัง วะทะเน นิจจัง ปะติฏฐาสิ คุณากะโร
พระเถระกุมาระกัสสะปะผู้แสวงบุญทรงคุณอันวิเศษ มีวาทะอันวิจิตรไพเราะอยู่ปากเป็นประจำ

8. ปุณโณ อังคุลิมาโลจะ อุปาลี นันทะสีวะลี
เถรา ปัญจะอิเมชาตา นะลาเฏ ติละกา มะมะ
พระปุณณะ พระอังคุลิมาล พระอุบาลี พระนันทะ และพระสีวะลี พระเถระทั้ง 5 นี้ จงปรากฏเกิดเป็นกระแจะจุณเจิมที่หน้าผาก

9. เสสาสีติ มะหาเถรา วิชิตา ชินะสาวะกา
เอเตสีติ มะหาเถรา ชิตะวันโต ชินโนระสา
ชะลันตา สีละเตเชนะ อังคะมังเคสุ สัณฐิตา
ส่วนพระอสีติมหาเถระที่เหลือ ผู้มีชัยและเป็นพระโอรสเป็นพระสาวกของพระพุทธเจ้าผู้ทรงชัย แต่ละองค์ล้วนรุ่งเรืองไพโรจน์ด้วยเดชแห่งศีลให้ดำรงอยู่ทั่วอวัยวะน้อยใหญ่

10. ระตะนัง ปุระโต อาสิ ทักขิเณ เมตตะสุต
ตะกัง ธะชัคคัง ปัจฉะโต อาสิ วาเม อังคุลิมาละกัง
พระรัตนสูตรอยู่เบื้องหน้า พระเมตตาสูตรอยู่เบื้องขวา พระอังคุลิมาลปริตรอยู่เบื้องซ้าย พระธชัคคะสูตรอยู่เบื้องหลัง

11. ขันธะโมระปะริตตัญจะ อาฏานาฏิยะ สุตตะ
กัง อากาเส ฉะทะนัง อาสิ เสสา ปาการะสัณฐิตา
พระขันธปริตร พระโมรปริตรและพระอาฏานาฏิยสูตร เป็นเครื่องกางกั้นดุจหลังคาอยู่บนนภากาศ

12. ชินา นานา วะระสังยุตตา สัตตัปปาการะลัง
กาตา วาตะปิตตาทิสัญชาตา พาหิรัชฌัตตุปัททะวา
อนึ่งพระชินเจ้าทั้งหลายนอกที่ได้กล่าวมาแล้วนี้ ผู้ประกอบพร้อมด้วยกำลังนานาชนิดมีศีลาทิคุณอันมั่นคง คือสัตตะปราการเป็นอาภรณ์มาตั้งล้อมเป็นกำแพงคุ้มครองเจ็ดชั้น

13. อะเสสา วินะยัง ยันตุ อะนันตะชินะเตชะสา
วะเสโต เม สะกิจเจนะ สะทา สัมพุทธะปัญชะเร
ด้วยเดชานุภาพแห่งพระอนันตชินเจ้าไม่ว่าจะทำกิจการใด ๆ เมื่อข้าพระพุทธเจ้าเข้าอาศัยอยู่ในพระบัญชรแวดวงกรงล้อม แห่งพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอโรคอุปัทวะทุกข์ทั้งภายนอกและภายใน อันเกิดแต่โรคร้าย คือ โรคลมและโรคดีเป็นต้น เป็นสมุฏฐานจงกำจัดให้พินาศไปอย่าได้เหลือ

14. ชินะปัญชะระมัชฌัมหิ วิหะรันตัง มะหีตะเล
สะทา ปาเลนตุ มัง สัพเพ เต มะหาปุริสา สะภา
ขอพระมหาบุรุษผู้ทรงพระคุณอันล้ำเลิศทั้งปวงนั้น จงอภิบาลข้าพระพุทธเจ้า ผู้อยู่ในภาคพื้นท่ามกลางพระชินบัญชร ข้าพระพุทธเจ้าได้รับการคุ้มครองปกปักรักษาภายในเป็นอันดี ฉะนี้แล

15. อิจเจวะมันโต สุคุตโต สุรักโข ชินานุภาเวนะ
ชิตูปัททะโว ธัมมานุภาเวนะ ชิตาริสังโฆ สังฆานุภาเวนะ
ชิตันตะวาโย สัทธัมมานุภาวะปาลิโต จะรามิชินะปัญชะเรติ.
ข้าพระพุทธเจ้า ได้รับการอภิบาลด้วยคุณานุภาพแห่งสัทธรรม จึงชนะเสียได้ซึ่งอุปัทวะอันตรายใด ๆ ด้วยอานุภาพแห่งพระชินะพุทธเจ้า ชนะข้าศึกศัตรูด้วยอานุภาพแห่งพระธรรม ชนะอันตรายทั้งปวงด้วยอานุภาพแห่งพระสงฆ์ ขอข้าพระพุทธเจ้าจงได้ปฏิบัติและรักษาดำเนินไปโดยสวัสดีเป็นนิจนิรันดร เทอญ.[color=#000080]
[/color]


บทสวดย่อ

ชินะ ปัญชาระ ปริตตัง มังรักขะตุ สัพพะทา สวด 9 จบค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2009, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 09 เม.ย. 2009, 19:25
โพสต์: 579

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เฮ้อ..............ปฏิบัติธรรม ออกแนวปรมัตถ์อยู่ดีๆ

ไหงกลายมาออกแนว ทำนายทายทัก และเล่นคาถาอาคมซะได้


งง และ งง


:b23: :b23: :b23:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 มิ.ย. 2009, 20:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


บัวศกล เขียน:
เฮ้อ..............ปฏิบัติธรรม ออกแนวปรมัตถ์อยู่ดีๆ

ไหงกลายมาออกแนว ทำนายทายทัก และเล่นคาถาอาคมซะได้


งง และ งง


:b23: :b23: :b23:



คุณนี่คิดมากจังนะคะ :b9:

อะไรที่สามารถทำให้คนสร้างกุศลได้ .. ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ :b16:

ส่วนตัวน้ำยังปกติดีอยู่ค่ะ .. ไม่มีไปทางอื่นหรอกค่ะ :b4:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 04:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนา ด้วยครับ คุณน้ำ :b8:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 11:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณwalaiporn
อ้างคำพูด:
คุณนี่คิดมากจังนะคะ :b9:
อะไรที่สามารถทำให้คนสร้างกุศลได้ .. ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ :b16:
ส่วนตัวน้ำยังปกติดีอยู่ค่ะ .. ไม่มีไปทางอื่นหรอกค่ะ :b4:


แหม คุณก็คิดตื้นเกินไปมั้ง

บทสวดที่คุณแนะนำนี่ มันมีอานุภาพยังไง เมื่อสวดออกไปแล้วมีใครที่เดือดร้อนมั่ง เคยคำนวนไปถึงเขาไหมหละ เห็นแก่ตัวนี่นา สวดเอาแต่สิ่งดีเข้าตัวแต่มันจะเกิดผลชั่วกับผู้อื่นไม่สนใจอย่างนั้นหรือจ๊ะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 22:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนขวางโลก เขียน:
คุณwalaiporn
อ้างคำพูด:
คุณนี่คิดมากจังนะคะ :b9:
อะไรที่สามารถทำให้คนสร้างกุศลได้ .. ก็ไม่เห็นเป็นอะไรนี่คะ :b16:
ส่วนตัวน้ำยังปกติดีอยู่ค่ะ .. ไม่มีไปทางอื่นหรอกค่ะ :b4:


แหม คุณก็คิดตื้นเกินไปมั้ง

บทสวดที่คุณแนะนำนี่ มันมีอานุภาพยังไง เมื่อสวดออกไปแล้วมีใครที่เดือดร้อนมั่ง เคยคำนวนไปถึงเขาไหมหละ เห็นแก่ตัวนี่นา สวดเอาแต่สิ่งดีเข้าตัวแต่มันจะเกิดผลชั่วกับผู้อื่นไม่สนใจอย่างนั้นหรือจ๊ะ



ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนอย่างคุณ ... ในชีวิตของคุณ ..

ใครๆเขาถึงตีตัวออกห่างจากคุณ .. คุณไม่มีเพื่อนสนิท .. คุณเข้าไปที่ไหน ..

เพื่อนๆต่างหลบออกจากคุณ ... เพราะอะไรรู้ไหม ...

เพราะคุณเอาความคิดของคุณเป็นใหญ่ ... คุณไม่เคยรับฟังในสิ่งที่คนอื่นๆพูด ..

แต่คุณจะแสดงกิริยาต่อคนอื่นๆเวลาคุณพูดนั้นว่า จงฟังฉัน ...

จากกระทู้ปฏิบัติด้วยความอยาก ... ตามมาถึงกระทู้นี้หรือ ....

ทำไมชอบมั่วซั่วไปเรื่อยเปื่อย .. ทำไมไม่รู้จักนำกุศลจิตเข้าสู่จิต ..

อกุศลจิตเอามันไปไว้ในจิตทำไมคะ :b12:

จริงๆแล้ว ... รู้สึกชื่นชมคุณ ที่คุณกล้าพูดในสิ่งที่คุณคิด แต่เมื่อมีเสียงท้วงติงมา

คุณควรรับฟังคนอื่นๆเขาบ้าง ไม่ใช่มานั่งตะแบงอยู่ฝ่ายเดียว


เราเป็นคนพูดตรงๆ แบบคุณนี่ชอบ เพราะสามารถพูดตรงมาตรงไปกันได้ แบบนี้แหละดีค่ะ :b16:

เหรียญมีสองด้าน บทสวดมนต์ก็เหมือนกัน ด้านดีนั้นมี ส่วนด้านที่คุณว่าไม่ดี

คุณก็แค่ฟังเขาเล่าต่อๆกันมา แล้วมาคิดปรุงแต่งเองว่ามันไม่ดี

ความศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน .. คุณจะมาออกกฏเกณฑ์ไม่ได้ ..

อย่าเอาความคิดของตัวเองมายัดเยียดให้กับคนอื่น :b12:

หัดวางใจให้เป็นกลางเสียบ้าง ไม่อนุโมทนากับกุศลของคุณอื่นเขา ไม่มีใครเขาว่า

แต่อย่าไปสร้างเหตุใหม่ที่เป็นอกุศลเข้าไปไว้ในจิตตัวเองอีกต่อไปเลย มันไม่ดีต่อตัวคุณเอง

เพราะทุกอย่างที่คุณได้กระทำ มันส่งผลไปรอที่อนาคตแล้ว ...

ยิ่งคุณเที่ยวไล่ติติงผู้อื่นมากเท่าไหร่ ผลสะท้อนมันยิ่งตกมาที่ตัวคุณมากเท่านั้น


แล้วในกรณีสิ่งที่เราตอบคุณบัวศกลนั้น นั่นคือความคิดของเรา

เพราะคุณบัวศกลเขาเพียงถามในฐานะที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกัน ..


:b16:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 มิ.ย. 2009, 23:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 08 ม.ค. 2009, 02:20
โพสต์: 1387

ที่อยู่: สัพพะโลก

 ข้อมูลส่วนตัว


เอ๋....เขาคนนั้น ตามคุณน้ำมาหรือครับ :b10:

.....................................................
ผู้มีจิตเมตตาจะไม่มีศัตรู ผู้มีสติปัญญาจะไม่เกิดทุกข์.


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 08:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
walaiporn
เราเป็นคนพูดตรงๆ แบบคุณนี่ชอบ เพราะสามารถพูดตรงมาตรงไปกันได้ แบบนี้แหละดีค่ะ :b16:
เหรียญมีสองด้าน บทสวดมนต์ก็เหมือนกัน ด้านดีนั้นมี ส่วนด้านที่คุณว่าไม่ดี
คุณก็แค่ฟังเขาเล่าต่อๆกันมา แล้วมาคิดปรุงแต่งเองว่ามันไม่ดี
ความศรัทธาของแต่ละคนไม่เหมือนกัน .. คุณจะมาออกกฏเกณฑ์ไม่ได้ ..
อย่าเอาความคิดของตัวเองมายัดเยียดให้กับคนอื่น :b12:


:b8: ขออ้างคำพูดของท่าน อมิตาพุทธ นะครับ เพราะเห็นเขียนไว้ดีมาก ก็ให้คุณ walaiporn เปิดตาเปิดใจบ้างนะครับ

ก่อนการสวดมนต์ เราควรตั้งจิตระลึกเสียก่อนว่า
"ภูตผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลาย บัดนี้เราจะกล่าวบทสวดมนต์
ใครชอบฟังเอาบุญกุศลก็ให้ตั้งใจฟัง หากใครฟังแล้วทรมาน
ก็ให้หลีกหนีไปที่อื่น จนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จ แล้วจึงกลับมาเถิด
เราไม่ได้สวดเพื่อขับไล่ใคร แต่สวดเพื่อเจริญใน
พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เท่านั้น"

เพราะบทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนวิญญาญชั้นต่ำ
ให้ได้รับความเดือดร้อน


พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ ห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผีไว้ในพระวินัยบัญญัติ
ดังนั้นการสวดเพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ
ก็อย่าได้ตั้งจิตไปกำราบคุกคามภูติผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน....


บทสวดทุกบทล้วนมีอานุภาพอย่างที่พุทธองค์กล่าวไว้ ผมก็แค่เชื่อตามพุทธเจ้า ผิดตรงไหนเหรอครับก็ผมเชื่อและเห็นเป็นจริงตามนั้น ก็แค่จะมาสะกิดเตือนผู้ที่คิดจะสวดมนต์ก็เท่านั้นเพื่อให้ผู้สวดเกิดแต่สิ่งดีๆ ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน คุณ walaiporn ก็อคติกับผมไปมั้งเนี่ยที่ว่าผมเอาความคิดของผมมายัดเยียดให้กับคนอื่นหนะ ลองคิดกลับกันสิ คุณเอาบทสวดที่มีอานุภาพมากๆ มาส่งเสริมให้เขาสวดกันแล้วก็คิดคำนวนเห็นแต่ด้านดีๆ โดยมองข้ามผู้ที่เดือดร้อน มันเป็นการเห็นแก่ตัวเกินไปไหมหละ สวดเอาดีเข้าตัวแต่สิ่งที่...ดันให้คนอื่นที่เขาไม่เกี่ยวข้องด้วย

ผมก็ชอบอย่างที่ท่านว่าแหละครับ คิดไงก็นำเสนอออกมา ขอแค่อย่าให้ออกนอกลู่นอกทางของพุทธศาสนาเถรวาทก็พอ(เดี๋ยวมหายานจะว่าเอา)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 08:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 12 เม.ย. 2009, 19:55
โพสต์: 548

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนขวางโลก เขียน:
เพราะบทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนวิญญาญชั้นต่ำ
ให้ได้รับความเดือดร้อน

พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ ห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผีไว้ในพระวินัยบัญญัติ
ดังนั้นการสวดเพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ
ก็อย่าได้ตั้งจิตไปกำราบคุกคามภูติผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน....



คำกล่าวของคุณ ทำให้ผมนึกขึ้นได้
คือผมเห็น... :b14: :b14: :b14: เข้ามาหา
ด้วยความที่ผมยังอ่อนหัด...
ด้วยความที่เคยฟัง ๆ กันมา... เกี่ยวกับเรื่องคาถาบทนี้
ผมก็เลยสวด...ซะ
โอ้ย... กระเจิงเลยครับ... และผมก็รู้ว่าเขาเจ็บปวด...
:b2: :b2: :b2:
ทั้ง ๆ ที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าเขามาดี
เพียงเพราะผมไม่ชินกับสิ่งที่เห็น ผมก็เลยคิดกลัวไปเอง
ผมรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปครับ
ที่เผลอไปทำร้ายเขาเพราะความงี่เง่าของตัวเอง

สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกตะหงิด ๆ ในใจมาตลอด
ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น น้ำตามันตกอยู่ในใจ
และทำให้ผมรู้สึกขัดแย้งในใจมาตลอด...
จนมาเจอคำกล่าวของคุณ อืมห์...
ผมไม่ได้เชื่อคุณนะครับ
แต่ผมรู้สึกไปเองตั้งแต่วันนั้น และคิดที่จะไม่ใช้คาถานี้พร่ำเพรื่อ...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 09:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
คุณ yahoo
ผมไม่ได้เชื่อคุณนะครับ


:b8: ครับผม คุณ yahoo ไม่ต้องเชื่อผมหรอกแค่เชื่อพระพุทธเจ้าผู้เดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ
อ่านเยอะๆ ศึกษาให้รอบด้าน เพราะเมื่อมีด้านดีมันก็ต้องมีด้านไม่ดีอยู่แล้วครับ

อ้างคำพูด:
ต่ออีกประเด็นหนึ่งของคุณ walaiporn นะครับ
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนอย่างคุณ ... ในชีวิตของคุณ ..
ใครๆเขาถึงตีตัวออกห่างจากคุณ .. คุณไม่มีเพื่อนสนิท .. คุณเข้าไปที่ไหน ..
เพื่อนๆต่างหลบออกจากคุณ ... เพราะอะไรรู้ไหม ...
เพราะคุณเอาความคิดของคุณเป็นใหญ่ ... คุณไม่เคยรับฟังในสิ่งที่คนอื่นๆพูด ..
แต่คุณจะแสดงกิริยาต่อคนอื่นๆเวลาคุณพูดนั้นว่า จงฟังฉัน ...


เหรอครับ คุณเอาอะไรมาตัดสินเหรอว่าผมไม่มีเพื่อนสนิทเลย หรือเอาตัวคุณเป็นเกณฑ์
จะพูดไปก็จะหาว่าโอ้อวด ซึ่งมันไม่ประเทืองปัญญาอะไร หาประโยชน์ไม่ได้
เอาเป็นว่า เมื่อจะพูดอะไรมันก็ต้องเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว โดยมีสิ่งที่ถูกต้องคอยหนุนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น

เมื่อผมพูดก็ต้องฟัง อย่าพึ่งคุยสอดแทรกเมื่อผมพูดจบ คุณจะว่าอะไรก็ว่ามาทีนี้ผมจะฟัง ง่ายๆ คือ เมื่อมีผู้พูดก็ต้องมีผู้ฟัง มันจะได้รู้เรื่องกันไง ผมไม่ได้บังคับใครให้มาเชื่อผม ถ้ามีสิ่งที่คัดค้านหรือโต้แย้งในสิ่งที่ผมพูดว่ามันไม่มีก็แสดงออกมาก็เท่านั้น ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไป เราคุยกันในเรื่อง ธรรมะ ก็ต้องเอา ธรรมะ มาเป็นบรรทัดฐาน ถึงจะจบ ไม่ใช่เอาความเห็นส่วนตัวมาใช้เพราะมันจะไม่จบ

คุณจะแย้งตรงไหนก็แย้งได้นี่ครับ ผมไม่ได้ห้ามนี่นา ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่คุณว่ามาโดยมีพระธรรมของพุทธองค์เป็นหลัก ผมก็พร้อมจะปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นครับ คุณ walaiporn


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 18:29 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


คนขวางโลก เขียน:
อ้างคำพูด:
คุณ yahoo
ผมไม่ได้เชื่อคุณนะครับ


:b8: ครับผม คุณ yahoo ไม่ต้องเชื่อผมหรอกแค่เชื่อพระพุทธเจ้าผู้เดียวเท่านั้นก็เพียงพอแล้วครับ
อ่านเยอะๆ ศึกษาให้รอบด้าน เพราะเมื่อมีด้านดีมันก็ต้องมีด้านไม่ดีอยู่แล้วครับ

อ้างคำพูด:
ต่ออีกประเด็นหนึ่งของคุณ walaiporn นะครับ
ไม่แปลกใจเลยว่า ทำไมคนอย่างคุณ ... ในชีวิตของคุณ ..
ใครๆเขาถึงตีตัวออกห่างจากคุณ .. คุณไม่มีเพื่อนสนิท .. คุณเข้าไปที่ไหน ..
เพื่อนๆต่างหลบออกจากคุณ ... เพราะอะไรรู้ไหม ...
เพราะคุณเอาความคิดของคุณเป็นใหญ่ ... คุณไม่เคยรับฟังในสิ่งที่คนอื่นๆพูด ..
แต่คุณจะแสดงกิริยาต่อคนอื่นๆเวลาคุณพูดนั้นว่า จงฟังฉัน ...


เหรอครับ คุณเอาอะไรมาตัดสินเหรอว่าผมไม่มีเพื่อนสนิทเลย หรือเอาตัวคุณเป็นเกณฑ์
จะพูดไปก็จะหาว่าโอ้อวด ซึ่งมันไม่ประเทืองปัญญาอะไร หาประโยชน์ไม่ได้
เอาเป็นว่า เมื่อจะพูดอะไรมันก็ต้องเอาความคิดของตนเองเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว โดยมีสิ่งที่ถูกต้องคอยหนุนอยู่เบื้องหลังเท่านั้น

เมื่อผมพูดก็ต้องฟัง อย่าพึ่งคุยสอดแทรกเมื่อผมพูดจบ คุณจะว่าอะไรก็ว่ามาทีนี้ผมจะฟัง ง่ายๆ คือ เมื่อมีผู้พูดก็ต้องมีผู้ฟัง มันจะได้รู้เรื่องกันไง ผมไม่ได้บังคับใครให้มาเชื่อผม ถ้ามีสิ่งที่คัดค้านหรือโต้แย้งในสิ่งที่ผมพูดว่ามันไม่มีก็แสดงออกมาก็เท่านั้น ได้แลกเปลี่ยนเรียนรู้กันไป เราคุยกันในเรื่อง ธรรมะ ก็ต้องเอา ธรรมะ มาเป็นบรรทัดฐาน ถึงจะจบ ไม่ใช่เอาความเห็นส่วนตัวมาใช้เพราะมันจะไม่จบ

คุณจะแย้งตรงไหนก็แย้งได้นี่ครับ ผมไม่ได้ห้ามนี่นา ถ้ามันเป็นจริงอย่างที่คุณว่ามาโดยมีพระธรรมของพุทธองค์เป็นหลัก ผมก็พร้อมจะปฏิบัติตามโดยไม่มีข้อแม้ใดๆ ทั้งสิ้นครับ คุณ walaiporn





ตรงนี้ที่นำมาลง เพราะเห็นว่ามีคนเขาศรัทธาแล้วถามหา ..

ก็เพียงนำมาลงให้กับเขาเท่านั้นเอง ..

ส่วนใครจะได้ประโยชน์หรือไม่ได้ประโยชน์ไม่ไปคิดแทนใคร ..

ส่วนตัวเองหรือคะ .. ไม่มานั่งสวดอะไรยาวๆแบบนี้หรอกค่ะ ..

แค่สวดสรรเสริญพระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณเท่านั้นแหละ ...


และก็ถูกต้องเลย .. ที่บอกว่า มันไม่ประเทืองปัญญาสักกนิด

ถ้าเราคุยกันแล้ว .. ซึ่งมันมีแววว่าจะมีแต่ข้อขัดแย้ง ..

งั้นจบนะคะ .. จะได้ไม่ต้องมาแย้งกันอีกต่อไป ...

หรือคุณยังติดใจในเนื้อหา .. ยังอยากที่จะพูดอีกต่อไป ... เชิญตามสบายยย

เพราะทั้งหมดที่กล่าวมา .. มันเป็นเพียงความคิดของตัวคุณเอง ...

ซึ่งตัวเองยินดีที่จะรับฟัง .. และไม่คิดจะโต้แย้งด้วย ... :b12:

อภัยให้ค่ะ ... ไม่ว่าคุณจะกล่าวอะไรอีกต่อไป :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 18:54 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2009, 11:31
โพสต์: 149


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาค่ะ หนูก็สวดด้วยทุกคืน

แต่ช่วงนี้การบ้านก่ะงานเยอะมากเรย บางวันไม่ทันได้สวดก็สลบไปแล้ว ฮือๆ

หนูยังท่องไม่ได้เลยค่ะ ได้แต่อ่านบทสวดกับคำแปล ฮือๆ

ขอบคุณนะคร๊า อยากรู้อยู่พอดีเลยค่ะ


:b8: :b8: :b51: :b52: :b53: :b45: :b45:

.....................................................
ธรรมมะนี้คือการมีชีวิตเพื่อที่จะเรียนรู้ความจริงของชีวิต
ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้
หากยังยึดติด ไม่ปล่อยวาง ย่อมยังเป็นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 19:07 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2009, 11:31
โพสต์: 149


 ข้อมูลส่วนตัว


yahoo เขียน:
คนขวางโลก เขียน:
เพราะบทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนวิญญาญชั้นต่ำ
ให้ได้รับความเดือดร้อน

พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ ห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผีไว้ในพระวินัยบัญญัติ
ดังนั้นการสวดเพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ
ก็อย่าได้ตั้งจิตไปกำราบคุกคามภูติผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน....



คำกล่าวของคุณ ทำให้ผมนึกขึ้นได้
คือผมเห็น... :b14: :b14: :b14: เข้ามาหา
ด้วยความที่ผมยังอ่อนหัด...
ด้วยความที่เคยฟัง ๆ กันมา... เกี่ยวกับเรื่องคาถาบทนี้
ผมก็เลยสวด...ซะ
โอ้ย... กระเจิงเลยครับ... และผมก็รู้ว่าเขาเจ็บปวด...
:b2: :b2: :b2:
ทั้ง ๆ ที่ผมรู้อยู่แก่ใจว่าเขามาดี
เพียงเพราะผมไม่ชินกับสิ่งที่เห็น ผมก็เลยคิดกลัวไปเอง
ผมรู้สึกผิดกับสิ่งที่ทำลงไปครับ
ที่เผลอไปทำร้ายเขาเพราะความงี่เง่าของตัวเอง

สิ่งที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกตะหงิด ๆ ในใจมาตลอด
ทุกครั้งที่คิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้น น้ำตามันตกอยู่ในใจ
และทำให้ผมรู้สึกขัดแย้งในใจมาตลอด...
จนมาเจอคำกล่าวของคุณ อืมห์...
ผมไม่ได้เชื่อคุณนะครับ
แต่ผมรู้สึกไปเองตั้งแต่วันนั้น และคิดที่จะไม่ใช้คาถานี้พร่ำเพรื่อ...




เคยอ่านหนังสือมาเหมือนกันค่ะ มีคนเค้าเจอแบบคุณเลยล่ะตอนสวดคาถานี้

แต่เค้ามาให้ช่วยอ่านะ

แต่หนูกลัวผีอ่า เลยอยากสวดไว้คุ้มครองตัวเอง พอดีว่าอยู่หอคนเดียวด้วยสิ

ถ้าอยู่บ้านไม่กลัวนะคะ แต่ตั้งแต่สวดมาก็ไม่เคยเจออะไรนะคะ สบายดี
สบายใจดี :b12:

แล้วจาผิดมั้ยอ่าคะ แบบว่า ไปทำร้ายใครป่าว ตอบหนูหน่อยนะ


:b46: :b46: :b51: :b52: :b53: :b46: :b46:

.....................................................
ธรรมมะนี้คือการมีชีวิตเพื่อที่จะเรียนรู้ความจริงของชีวิต
ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้
หากยังยึดติด ไม่ปล่อยวาง ย่อมยังเป็นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 มิ.ย. 2009, 19:11 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 28 พ.ค. 2009, 11:31
โพสต์: 149


 ข้อมูลส่วนตัว


คนขวางโลก เขียน:
อ้างคำพูด:
ก่อนการสวดมนต์ เราควรตั้งจิตระลึกเสียก่อนว่า
"ภูตผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลาย บัดนี้เราจะกล่าวบทสวดมนต์
ใครชอบฟังเอาบุญกุศลก็ให้ตั้งใจฟัง หากใครฟังแล้วทรมาน
ก็ให้หลีกหนีไปที่อื่น จนกว่าเราจะสวดมนต์เสร็จ แล้วจึงกลับมาเถิด
เราไม่ได้สวดเพื่อขับไล่ใคร แต่สวดเพื่อเจริญใน
พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ เท่านั้น"

เพราะบทสวดมนต์แต่ละบทมีอำนาจขับไล่และเบียดเบียนวิญญาญชั้นต่ำ
ให้ได้รับความเดือดร้อน


พระพุทธองค์ทรงบัญญัติ ห้ามมิให้ภิกษุทำน้ำมนต์ขับไล่ผีไว้ในพระวินัยบัญญัติ
ดังนั้นการสวดเพื่อเจริญพุทธานุสติ ธัมมานุสติ และ สังฆานุสติ
ก็อย่าได้ตั้งจิตไปกำราบคุกคามภูติผีปีศาจชั้นต่ำทั้งหลายให้ได้รับความเดือดร้อน....


บทสวดทุกบทล้วนมีอานุภาพอย่างที่พุทธองค์กล่าวไว้



อนุโมทนาค่ะ :b8: :b8:

ไม่เคยรู้มาก่อนเลย เป็นอย่างนี้จริงๆหรอคะ

.....................................................
ธรรมมะนี้คือการมีชีวิตเพื่อที่จะเรียนรู้ความจริงของชีวิต
ทุกอย่างล้วนไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ตั้งอยู่ไม่ได้
หากยังยึดติด ไม่ปล่อยวาง ย่อมยังเป็นทุกข์


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 มิ.ย. 2009, 08:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มิ.ย. 2009, 17:52
โพสต์: 202

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คุณหมูตอนครับ

ถ้าคุณเชื่อว่ามีพระพุทธเจ้าจริง
คุณก็คงจะรู้นะครับว่า พวกสัตว์ในแดนทิพย์ทั้งหลายหนะ มีอยู่จริงเพราะพระพุทธเจ้าก็ทรงกล่าวไว้แล้ว
ว่ามีพวกเขาอยู่จริงๆ แล้วจะให้ใครมาพูดยืนยันอีกใช่ไหมครับ
มันเคยเกิดเรื่องเดือดร้อนจริงๆ พระพุทธองค์ถึงได้บัญญัติห้าม

ส่วนคนที่มองแต่ด้านดีก็จะบอกว่า มันดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ใครขอมาก็จัดให้เพราะมองเห็นแต่สิ่งดีๆๆๆๆๆๆๆ
แต่ก่อนผมก็เคยสวดเหมือนกัน และก็จำได้ทั้งหมดแค่ 3 ชั่วโมงเอง สวดได้คล่อง ยอมรับว่า อานุภาพของบทสวดนี่สุดยอดจริงๆ รู้ได้ไงเหรอครับก็รู้ได้ด้วยตนเอง ประสบกับตนเองไม่ใช่แค่ครั้งสองครั้ง มีอะไรมั้งเหรอครับ

ก็มีทั้งดีมากๆๆๆๆๆๆ และวุ่นวายมากๆๆๆๆๆๆ เหมือนกัน
เลยหันมาศึกษาอย่างจริงจังว่า ทำไม ก็ได้คำตอบว่า ที่เราสวดเราท่องไปหนะ มันมีทั้งผู้อนุโมทนาด้วยและผู้สาบแช่งเราด้วย ดังนั้นจึงอยากจะบอกให้ผู้ที่ไม่รู้ให้ได้รู้มั่งว่า อย่ามองแต่ด้านดีเพียงด้านเดียว มันจะเดือดร้อนได้ก็เท่านั้น ทุกวันนี้ก็ถ้าจะสวดก็จะสวดเมื่อจำเป็นและก็รู้วิธีสวดที่ถูกต้องด้วย

มันก็เปรียบเหมือนกับพวกที่ขายยานั่นแหละ เห็นคนเขาเสพเขากินแล้วดี ก็จัดให้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ โดยไม่คำนึงถึงว่าคนที่เขากินไปนั้นมันจะเดือดร้อนยังไงก็ช่างไม่เกี่ยว(ไม่รับผิดเลยมีแต่รับชอบ)

ฉะนั้น จะให้อะไรไปก็ต้องบอกสรรพคุณและโทษของสิ่งนั้นให้เขารู้ด้วย เมื่อเขารู้แล้วเขาก็จะได้เลือกใช้ให้เกิดแต่ประโยชน์และพยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้เกิดโทษเกิดภัย

อย่างนี้สิถึงจะเรียกว่าเป็น กัลยาณมิตร กัลยาณธรรม


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 18 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 7 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร