วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 08:06  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 22:53 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 23 เม.ย. 2009, 03:06
โพสต์: 6


 ข้อมูลส่วนตัว


คือเรื่องมันมีอยู่ว่า ช่วงนี้เริ่มมีโทสะในชีวิตประจำวันมากขึ้น เพราะเบื่องาน ไม่ได้ไปทะเลาะกับใครนะคะ แต่ว่าโทษตัวเองว่าทำไมถึงมาสมัครทำงานนี้ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าตัวเองไม่ได้ชอบงานแบบนี้
เมื่อก่อนตอนที่ไม่เบื่องาน นั่งสมาธิ(สมถะ)ก็สงบดี เวลานั่งแล้วมีเสียงรบกวน ก็ไม่รำคาญ แต่เดี๋ยวนี้มันเหมือนมีโทสะอยู่ในใจเยอะ(สะสมมาระหว่างวันมั้งคะ)ก็จะรู้สึกรำคาญง่าย ไม่เหมือนเมื่อก่อนเลย
มีใครเคยเป็นแบบนี้ใหมคะ แล้วทำยังไงกันหรอคะ
ตอนนี้กำลังลังเลว่า เราควรจะหาที่นั่งสมาธิใหม่ที่เงียบ ๆ เผื่อโทสะจะได้น้อยลง เหมือนทำโจทย์ง่าย ๆ ก่อน หรือว่าจะหักดิบ นั่งที่เดิม แล้วจัดการกับโทสะที่มีอยู่มากดีคะ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 23:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


เป็นเหมือนกันค่ะคุณสรนัง ทุกวันนี้พอเจริญภาวนาก็จะมีสติขึ้นมา แต่พอเผลอที่ไรจิตก็จะสอดส่ายหาแต่เรื่องตำหนิคนนั้น หงุดหงิดคนนี้ คงเป็นการทดสอบอารมณ์อีกระดับหนึ่งค่ะอย่าหนีนะค่ะ พยายามเอาชนะให้ได้ ดิฉันก็กำลังหาทางเอาชนะอยู่เหมือนกัน แต่ยากมากจริงๆ อย่าลืมนะค่ะ "มารไม่มี บารมีไม่เกิด" ขอให้ผ่านพ้นไปได้ทั้งคุณสรนังและตัวเองนะค่ะ
:b41: :b41: :b42: :b41: :b41:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 23:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


อูย นี่แหละ ของดีเลยครับ


เห็นยากสุดคือโมหะ
รองลงมาคือโลภะ
แต่โทสะนี่เห้นง่ายสุด
ไอ้ที่มันรู้สึกดันๆ ฟุ้งๆ บีบ คั้น นี่แหละครับโทสะ

เมื่อใดเห็นโทสะ เมื่อนั้นสติเกิด
ทำแค่นี้ก็ถึงนิพพานได้
เพราะการเจริญสตินี่พระพทธเจ้าท่านเรียกว่า ทางเอก (เอกายมรรค)

อยากรู้ว่าเจริญสติอย่างไร ให้ศึกษาหลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชโช
www.wimutti.net
ลองตั้งใจฟังท่านดูสักแผ่นสองแผ่นนะครับ
เผื่อถูกจริตกับแนวนี้


หรือถ้าชอบแนวตามรูปแบบเช่นนั่งสมาธิ เดินจงกรม ก้ลองดู
หลวงพ่อสุรศักดิ์ เขมรังสี (พระครูเกษมธรรมทัต)
หลวงพ่อพุธ ฐานิโย


ค่อยๆลองดูไปเรื่อยนะครับ


:b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มิ.ย. 2009, 23:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


เวลาฟุ้งๆเต็มที่อย่างที่เล่ามา ไม่ควรจะมานั่งสมาธิ
ต้องให้มันคลายลงไปก่อน ไปทำอะไรให้มันสบายใจขึ้นมาก่อน
จิตที่มันตึงเกินไป มันทำสมาธิให้เกิดยาก
หรือหย่อนๆอย่างง่วงนอน ก็ทำสมาธิยาก
ต้องหาทางลดความสุดโต่งพวกนี้ลงมาหน่อย

ง่วงก้นอน
ถ้าฟุ้งโกรธก็อาจจะไปดูหนังฟังเพลง หรือทำทาน
-หาวิธีคิดในการให้อภัยคนที่เป็นเหตุให้โกรธ
-หัดศึกษาการมองโลกในแง่ดี
ที่โกรธก็เพราะความคิด เพราะคิดไปทางร้ายมันเลยปรุงไปทางร้อนใจ
ถ้าคิดไปทางดี มันก้จะปรุงไปทางสบายใจ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 13 มิ.ย. 2009, 09:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
โดนโทสะบุก นั่งสมาธิแล้วไม่สงบเลยค่ะ




ปฏิฆนิมิต = สิ่งที่คิดหมายเอาว่าเป็นการกระทบกระทั่งขัดใจ คือ ได้พบเห็นได้ยินสิ่งใดแล้ว ใจจับเค้า
รูปลักษณะที่ไม่ชอบ กำหนดหมาย หรือ คิดวาดเป็นภาพที่มุ่งกระทบกระทั่งตนเอง



ความจริงกิเลสหรือนามรูปเกิดๆดับๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่คงที่คงทน เกิดตรงไหนดับตรงนั้น
แต่ที่ดูเหมือนมันไม่ดับ ก็เพราะอุปาทาน (ว่าเขา ว่าเรา,มีเขา มีเรา)จิต คอยสะกิดมันให้เกิดวนไปวนมา


เราจะหนีไปแห่งใด หากกิเลสมีปฏิฆะ เป็นต้น ยังไม่ถูกกำจัดด้วยสมาธิด้วยปัญญา ชีวิตจิตใจก็คงมีคงเป็น
เช่นนั้นเรื่อยไป ปกติก็เหมือนไม่มีอะไรสงบราบเรียบ ต่อเมื่อได้เหตุปัจจัยให้เกิดมันก็เกิดอีกวนเป็นกิเลส กรรม วิบากๆอยู่เช่นนั้น


วิธีแก้ก็ใช้รูปแบบที่เคยทำมานั่นเอง แต่เมื่อเกิดโทสะก็กำหนดรู้ตามเป็นจริง หรือ ตามที่มันเป็นก่อน กำหนดรู้มันก่อนสติปัญญาจะได้ทำงาน แล้วดึงสติให้รับรู้อยู่กับลมหายใจเข้าออก เป็นต้น เสีย

ยามปกติ ขณะใช้ชีวิตประจำวัน ก็จับฉวยสิ่งที่กำลังทำเฉพาะหน้าเดี๋ยวนั้นขณะนั้นให้เป็นอารมณ์ของจิต
ให้จิตรับรู้อยู่กับปัจจุบันอารมณ์แต่ละขณะๆไป





ขึ้นชื่อว่า กิเลสแล้วเห็นยากกำจัดยากทุกตัว แม้แต่ลูกน้องหางแถวที่ชื่อถีนมิทธะนิวรณ์ (ความง่วงเหงาหาวนอน) ก็เห็นยากกำจัดยาก บางทีเห็นนะว่าง่วง แต่ว่าเราตกอยู่ในอาณัติของมัน ซึ่งเนียนและฉลาด
สังขารก็ปรุงแต่งนึกคิดหาช่องหาเหตุผล ...เพื่อดึงเราให้อยู่ในอำนาจ ดึงไปดึงมา สุดท้ายเสร็จมัน
นอนเรียบร้อย แปลว่า หลงกลกิเลสแล้ว :b1:


ตราบใด ที่ยังมิได้ทำลายอาสวะ คือ เชื้อกิเลสภายในให้หมดสิ้นไป ด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจสังขารโลก
และชีวิต ที่เป็นอยู่อย่างปกติธรรมดานี้ ตามความเป็นจริง ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่า เป็นการบรรลุนิพพาน
ตราบนั้น

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 5 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 9 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร