วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 22:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คัดลอกจาก " วิมุตติปฏิปทา " หน้า 471 คนเขียนเป็นฆารวาส แต่ตอนนี้บวชเป็นพระอริยสงฆ์อยู่ เน้นการดูจิต ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมอย่างมาก

ในสำนักที่เผยแพร่คำสอนเกี่ยวกับญาณ 16 ที่ว่าิผิดเพี้ยนนั้นมีความสำคัญผิดอย่างร้ายแรงว่านิพพานเป็นสภาพที่หมดความรู้สึก ผู้ปฏิบัติจะนั่งตัวแข็งไปชั่วขณะหนึ่งแม้หลังบรรลุมรรคผลแล้ว ต่อมาเมื่อเข้าผลสมาบัติ ซึ่งเป็นการระลึกรู้อารมณ์นิพพานก็จะมีอาการดังนี้ " เมื่อเข้าสมาบัติ ตัวแข็งแจ้งชัด ประสาทหยุดงานหมดความรู้สึกคิดนึกทุกสถาน อารมณ์นิพพาน บรมสุขสันต์ "

แท้จริงสภาวะที่ปราศจากความรู้สึกนึกคิดนั้นเป็นสภาวะของ อสัญญีพรหม หรือพรหมลูกฟัก คือมีแต่รูปกายนั่งตัวแข็งเป็นก้อนหินอยู่ ไม่ใช่เรื่องเกี่ยวข้องกับการสำเร็จมรรคผลนิพพานแต่ประการใดเลย


ขอความเห็นเฉพาะผู้มีประสบการณ์ดังกล่าวนี้เท่านั้นนะครับ

หมายเหตุ กรุณาแสดงเฉพาะความเห็นอย่าติติงผู้เขียน เพราะท่านเป็นพระอริยะสงฆ์เดี๋ยวจะบาปหนัก ผมเองก็กลัวบาปอยู่มากโขที่เอามาโพสนี้ แต่คิดว่าคงไม่บาปเพราะคัดลอกมาจากหนังสือทุกตัวอักษร และไม่ได้มุงจะติเตียน แต่ด้วยความลังเลอยู่ว่าการปฏิบัติตามแนวทางของวัดมหาธาุตุคณะ 5 หลวงพ่อจรัญ หรือวิเวกอาศรม มันไม่ถูกต้องจริงหรือครับ

ขอความเจริญในธรรมจงมีแต่ท่าน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 22:43 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพูดผิดที่ไหน
แล้วก็ไม่ได้แย้งกับใครด้วยครับ

เพราะลักษณะที่ท่านพูด คือไปดับจิต
ไม่รับรู้รูปนามอะไรทั้งนั้น จึงเป้นสภาพที่สุญญากาศ

สิ่งที่ควรจะเป็นคือมีจิตรับรู้เจตสิกอยู่ตลอดเวลา ถึงจะเรียกว่ามีสติ
พระอรหันต์ก้ต้องคิด ทำ พูด ยืน เดิน นั่ง นอน
สิ่งเหล่านี้ก็ต้องใช้ความคิดทั้งนั้น เป็นเจตสิกทั้งนั้น

พระพุทธเจ้าพูด ก้ต้องใช้ความคิด ใช้สมาธิ
เวลาพระพุทธเจ้าพูดอยู่ จะบอกว่าพระพุทธเจ้าไม่รู้จักนิพพาน
ไม่อยู่ในสภาวะวิมุตติก็ไม่ได้ ท่านวิมุตติแล้ววิมุติเลย
ไม่มีเข้าๆ ออกๆ ใครวิมุตติก็เหมือนกันทั้งนั้น

ดังนั้นที่นั่งสมาธิแล้วไปดับเจตสิกด้วย ดับจิตด้วย
เมื่อจิตมันดับ ก็ไม่มีธาตุรู้ที่จะไปรู้รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญานใดๆ
เมื่อไม่รับรู้อะไร แล้วเข้าใจว่านิพพานนี่ก็ไม่ถูกอย่างหลวงพ่อพูด ก้น่าจะถูกของท่าน
พอลืมตาออกมาจากสมาธิก็จะบอกว่าไม่ใช่วิมุตติ
ก็ไม่วิมุตติแล้ว อันนี้มันก็แปลกๆ เข้าๆ ออกๆ
แบบว่าเราใคร่ครวญไปตามเครื่องมือที่เรามีคือเหตุผลและการเทียบเคียงนะ

คำว่าวิมุตติ กับนิพพานนี้ ก็พาให้เราสับสนเล็กน้อย
อย่าลืมว่าการเข้าถึงสภาวะนิิพาน มันมีทั้งขณะที่มีชีวิตอยู่ และตอน "ดับขันธ์ปรินิพพาน"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 22:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ถ้าไม่เคยเจอสภาวะ อย่าไปคาดเดาแบบมั่วซั่ว

แล้วอย่าเที่ยวไปรับรองใครๆเขา มันจะกลายเป็นสร้างวิบากให้กับตัวเอง

อะไรที่อ่านแล้ว ยังไม่เข้าใจ อ่านผ่านๆไป อย่าไปสนใจ ..

ยิ่งคาดเดาด้วย ยิ่งมั่ว ...

อย่าไปพูดสภาวะของพระอรหันต์ ถ้าตัวเองยังไปไม่ถึง :b6:



แต่ด้วยความลังเลอยู่ว่าการปฏิบัติตามแนวทางของวัดมหาธาุตุคณะ 5 หลวงพ่อจรัญ หรือวิเวกอาศรม มันไม่ถูกต้องจริงหรือครับ

นี่อีก .. ใครพูดเนี่ย มั่วโคดๆเลย :b6:

คนทำไม่ได้ แล้วเที่ยวไปติติงเขา ไอ้พวกมั่ว :b1:

ถ้าตัวเองยังไม่รู้ ก็ยอมรับไปตรงๆว่าไม่รู้ ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก

ถ้าทำไม่ได้ ก็บอกว่า ยังทำไม่ได้ มันก็แค่นั้นเอง

ไม่ใช่ทำไม่ได้แล้วเที่ยวไปกล่าวโจมตีเขา หานรกใส่ตัวเองแท้ๆ :b6:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 23:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เรียนท่านชาติสยาม ผมไม่ได้มีเจตนาจะโต้เถียงนะครับ แต่ด้วยความสงสัย
ในพระไตรปิฏก ก็มีเยอะไปที่กล่าวว่า " พระอานนทเถระนั้น ครั้นบำเพ็ญวัตรถวายแด่พระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว ก็ไปยังที่พักกลางวันของตน ทำการกำหนดเวลา (เช่นจะอยู่ใน ปฏิสัลลานะ ตลอดเวลานานเท่านั้นเท่านี้) แล้วนั่งเข้าสุญญตา มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ แล้วออกจากปฏิลัลลานะ ตามเวลาที่กำหนดไว้ "
[ ปปญจสูทนี, ตติยภาค, น. 568]

อันนี้ใช่หรือไม่ที่เป็นนิพพานเข้าๆ ออกๆ นะครับ
โดยตามความเข้าใจผม ที่ไม่ควรเข้าผลสมาบัติมากนั้นเพราะว่าเป็นการถ่วงเวลาที่จะพัฒนาอินทรีย์ให้สูงเพิ่มขึ้นๆ ไป แต่ก็เป็นการพักผ่อนอย่างหนึ่ง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 23:26 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


นี่อีก .. ใครพูดเนี่ย มั่วโคดๆเลย :b6:
คนทำไม่ได้ แล้วเที่ยวไปติติงเขา ไอ้พวกมั่ว :b1:
ถ้าตัวเองยังไม่รู้ ก็ยอมรับไปตรงๆว่าไม่รู้ ไม่มีใครเขาว่าอะไรหรอก
ถ้าทำไม่ได้ ก็บอกว่า ยังทำไม่ได้ มันก็แค่นั้นเอง
ไม่ใช่ทำไม่ได้แล้วเที่ยวไปกล่าวโจมตีเขา หานรกใส่ตัวเองแท้ๆ :b6:


เรียนท่าน walaiporn
ขออย่าเพิ่งบังเกิดโทสะนะครับ ตัวผมเองนั้นยึดมั่นศรัทธาอย่างเหนียวแน่นในการปฏิบัติของหลวงพ่อจรัญ ท่านเจ้าคุณโชดก หลวงพ่อภัตทันตะ ฯลฯ แต่ด้วยความที่ยังปฏิบัติไม่ถึงที่สุดแห่งที่สงสัย ซึ่งก็ย่อมเป็นธรรมดาว่าเข็มทิศที่เราตั้งไว้มันชี้ไปจุดหมายที่ถูกต้องหรือเปล่าเท่านั้นเองนะครับ หากถ้ามีท่านใดเห็นว่ากระทู้นี้ไม่เหมาะไม่ควร ก็แจ้งผู้ดูแลลบได้เลยนะครับ

ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่่ท่านทั้งหลาย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 23:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยด้วยค่ะ ไม่ได้โกรธ แต่พูดตามความจริง :b1:

ทำต่อไปเถอะค่ะ สติปัฏฐาน 4 ดีที่สุดแล้ว ..

ส่วนที่พูดเมื่อกี้นี้ ไม่คิดว่าจะเป็นคุณถามเอง คิดว่าเป็นคนอีกหลายๆคน

ที่ชอบโจมตีหลวงพ่อจรัญ ...

ผู้ที่ปฏิบัติได้ เขาไม่มาอวดอ้างกันหรอกค่ะ เขาจะรู้แค่ตัวเขา


ไม่เข้าใจ ในเมื่อคุณบอกว่า คุณยึดมั่น

แล้วทำไมคุณยังสงสัยอีก


ทำจนกว่าจะเห็นเองค่ะ คุณมาถามแบบนี้ ..

ก็จะเจอแต่คำตอบที่มีแต่การคาดเดาแบบนี้แหละค่ะ ..

ไม่ใช่พระอรหันต์ จะไปรับรองใครไม่ได้ว่าเป็นพระอรหันต์

จะไปรู้อารมณ์ของพระอรหันต์ไม่ได้อย่างเด็ดขาด

นี่แหละคือ อันตรายของผู้ปฏิบัติ



เพราะศัพท์บัญญัติเป็นเหตุ เคยได้ยินไหมคะ ..

แล้วแต่ละสำนักเขานั้นว่า ให้ค่าให้ความหมายกันว่าอย่างไร ..

ดูแค่คำว่า วิปัสสนา ยังถกกันให้วุ่นวาย บางทีนำมาพูดกันยาวยืด

ทั้งๆที่วิปัสสนานั้น เป็นเพียงแค่ ดูตามความเป็นจริงที่เกิดขึ้นเท่านั้นเอง

ถึงบอกว่า แล้วแต่จะให้ค่าให้ความหมายกัน

นิพพานก็เหมือนกัน แล้วแต่จะให้ค่าให้ความหมายกัน ..

เดินตามรอยพระพุทธเจ้าดีกว่าค่ะ สติปัฏฐาน 4 อย่าไปแวะข้างทางเลย :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


แก้ไขล่าสุดโดย walaiporn เมื่อ 05 มิ.ย. 2009, 23:50, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 23:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ไม่เข้าใจ ในเมื่อคุณบอกว่า คุณยึดมั่น
แล้วทำไมคุณยังสงสัยอีก

ในอินทรีย์ 5 ซึ่งประกอบด้วย สติ วิริยะ สมาธิ ปัญญา และ ศรัทธา นั้น สติเป็นตัวนำ วิริยะ ต้องเสมอกับสมาธิ และ ศรัธาต้องเสมอกับปัญญา
ถ้าศรัธาเกินไม่มีปัญญาประกอบ ก็จะกลายเป็นพวกเชื่ออย่างเดียวเช่น พวกแทงหวย ทรงเจ้า เป็นต้น
้ถ้าปัญญาเกิน อาจเป็นพวก อาจายร์มหาลัยบางท่านที่ไม่นับถือศาสนาอะไรเลย แต่สุดท้ายก็เอาตัวไม่รอด
เวลาเกิดทุกข์ขึ้นในใจก็ไม่รู้จะแก้ยังไง

ผมจะเชื่อต่อเมื่อสิ่งที่ได้ยินได้พังมานั้น เมื่อมาพิจารณาดูแล้วน่าจะเป็นจริง และเมื่อลงมือปฏิบัิติดูแล้วก็เกิดขึ้นจริงด้วย จึงจะเชื่อ

อย่างไรก็ตามถ้า่ท่านใดมีประสบการณ์ตรงกรุณาเสนอความคิดเห็นด้วยนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 23:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


ทุกอย่างที่เกิดขึ้น มันมีเหตุและผลในตัวเองค่ะ

กุศลแต่ละคนสร้างสั่งสมมาไม่เท่ากัน ความศรัทธาของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไป

การเริ่มต้นการปฏิบัติของแต่ละคน จึงมีมูลเหตุที่แตกต่างกันไป ...

การปฏิบัติของแต่ละคนจึงแตกต่างกันไป ..

แต่สุดท้าย ไม่ว่าจะช้าหรือเร็ว ทุกคนต่างก็ถึงจุดหมายปลายทางเหมือนๆกัน

ที่ว่าช้าหรือเร็วนั้นเนื่องจากเหตุที่ได้กระทำกันไว้ในอดีต ผลจึงเป็นเช่นนี้

เหตุที่สร้างในปัจจุบันอีก ส่งไปอนาคต ..

ครูบาฯทั้งหลาย จึงสอนเหมือนกันหมดว่า ให้อยู่กับปัจจุบัน

ให้ทำความเพียรให้ต่อเนื่อง สร้างแต่เหตุที่เป็นกุศล เพราะ ทุกอย่างที่เราได้กระทำกันนั้น

ส่งเป็นผลให้เกิดขึ้นไปในอนาคตแล้ว ไม่ห้ามให้คุณสงสัย

แต่จะบอกว่า อย่าไปสงสัยเลย ทุกสิ่งที่คุณสงสัยอยู่ในขณะนี้

พอคุณปฏิบัติถึงจุดๆหนึ่ง คุณจะได้รับคำตอบทั้งหมดที่เคยสงสัย

คุณถามคน 100 คน คุณก็จะได้คำตอบ 100 คำตอบ ที่แตกต่างกันไป

เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปค่ะ :b8:


สำหรับคำพูดเมื่อกี้ ขออโหสิกรรมด้วยค่ะ เพราะเข้าใจผิด

คิดว่า เป็นพวกที่ชอบมากล่าวโจมตีหลวงพ่อจรัญ :b8:

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 00:02 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ทำจนกว่าจะเห็นเองค่ะ คุณมาถามแบบนี้ ..
ผมคิดว่านี่ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัตินะครับ เพราะว่าการปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องมีผู้ปฏิบัติผ่านมาแล้วคอยชี้นำ(ยกเว้นพระพุทธเจ้า หลวงปู่มั่น หรือผู้มีอินทรีย์แก่กล้าทั้งหลาย)ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะเห็นเองและก็คิดเองนะครับ
สภาวะผมตอนนี้เปรียบเหมือนได้ขึ้นไปบนเครื่องบินที่ take off ไปแล้ว แล้วก็มีคนที่นั่งข้างๆ มาบอกว่าคุณขึ้นเครื่องบินลำนะ ทั้งๆ ที่ผมคิดว่ามาถูกลำแน่ๆ ถ้าเช่นนั้นใครกันเล่าที่เข้าใจผิดนะครับ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 00:10 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านเขียนถูกหรือไม่..ตอนนี้ยังชี้ไม่ได้ เพราะตัวเองยังไม่บริสุทธิ และถึงแม้ตัวจะบริสุทธิแล้วก็อาจจะชี้ไม่ได้ว่าที่ถูกต้องทั้งหมดนั้นเป็นอย่างไร..ขึ้นอยู่กับวาสนาบารมี..ว่าอาจสามารถย่อธรรม ขยายธรรมได้หรือไม่

แต่ถ้าเมื่ออ่านแล้ว..รู้สึกได้ว่า..ราบรื่น..ไม่ขัดใจ..ก็ให้ถือว่านั้น..ถูกแล้ว..นำมาใช้
แต่ถ้าเมื่อใดอ่านแล้ว..รู้สึกได้ว่า..ติดขัด..ไม่ราบรื่น..ให้ถือว่านั้น..ยังไม่ถูกต้อง..เก็บเอาใว้

ความรู้สึก ทั้ง ถูกต้องและไม่ถูกต้อง นี้ก็อย่ายึดถือ (เป็นอุปาทาน) เพราะจะเป็นเหตุให้เกิดอารมณ์ ขัดขวางผลการปฏิบัติ รู้สึกก็ให้เพียงแค่รู้สึกเท่านั้น

เมื่อได้ผลจากการปฏิบัติด้วยตัวเองแล้ว..จะรู้ได้ว่าที่ถูกและที่ไม่ถูกนั้น เป็นอย่างไร จะค่อย ๆ กระจ่างแจ้งตามภูมิของเราเอง คือแสงสว่างมากก็ชัดมาก แสงสลัว ๆ ก็เห็นเป็นลาง ๆ เพราะฉะนั้น...ความรู้ของเราเองจะเป็นผู้ให้คำตอบ...

โดยส่วนตัว...

ท่านเขียนถูกแล้วนี้ครับ....( รู้สึกก็สักแต่รู้สึก )


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 05:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 พ.ค. 2009, 20:54
โพสต์: 282


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: สวัสดีครับคุณอายะ พระอาจารย์ที่คุณกล่าวถึงและยกคำสอนของท่านมาคงอยู่แถวศรีราชานะครับ
คำกล่าวของท่านถูกต้องแล้วแถมยังเป็นการติงให้สติแก่ผู้คนทั้งหลายให้รู้จักสังเกต พิจารณาให้ดี
ผลอันลึกซึ้งของฌาณสมาบัติ จาก สมถะภาวนา กับผลอันลึกซึ้ง คือ พละสมาบัติหรือผลสมาบัติอันเกิดจากวิปัสสนาภาวนา นั้น เป็นเรื่องปัจจัตตังเวทิตัพโพ วิญญูหิติ
ผมเคยได้ยินจากครูบาอาจารย์ท่านเล่าให้ฟังว่า
ฌาณสมาบัตินั้นเป็นผลของสมถะ อาการคือดับลมหายใจและความรับรู้ทั้งหมด ตัวแข็งทื่อเย็นชืดคล้ายคนตาย มีไออุ่นเลี้ยงชีวิตินทรีย์ไว้เพียงเล็กน้อย เมื่อครบกำหนดตามอธิษฐานหรือตั้งใจไว้แล้ว ก็จะกลับคืนมารู้สึกตัวอีกจนเป็นธรรมดา อย่างนี้ กิเลสยังไม่ตาย แต่ถูกอำนาจฌาณกำหราบไว้ให้นอนหลับอยู่
หมดอำนาจฌาณ กิเลสทั้งหลายก็จักลุกฟื้นคืนมาอีก นี่เป็นวิธีโบราณดั้งเดิมเกิดมาเกือบจะคู่กับโลก เป็นวิชาของเหล่าพราหมณ์ ฤาษี ชีไพร ต่างๆ
ผลสมาบัติ ถ้าจะให้เข้าใจสภาวะ ต้องเรียกว่า "ผลญาน" ผล ในที่นี้คือ นิพพานธาตุ
ญาน คือ จิตรู้ การเข้าเสวยผลญานของพระอริยเจ้าทั้ง 4 จำพวกนั้น เป็นการเข้าไปเสวย เชยชมสมบัติที่ท่านหามาได้โดยชอบ ได้ดั่งใจปราถนา ในสภาวะของการเสวยผลนั้นไม่อาจบรรยายได้ด้วยบัญัติหรือภาษามนุษย์ ต้องรู้ขึ้นตรงในใจ จะเสวยผลได้นานมากน้อยเพียงไรนั้นขึ้นอยู่กับฐานสมาธิและระดับของพระอริยบุคคลแต่ละท่านแต่ละชั้น อย่างพระโสดาบันก็เสวยผลได้ยากหน่อย ได้เวลาเพียงน้อยไม่มาก แต่ถ้าเป็นพระอนาคามีหรือพระอรหันต์ ก็จักเสวยผลได้ง่ายกว่า นานกว่า ทั้งยังขึ้นกับปัจจัยประกอบอื่นๆอีกเช่นกำลังของธาตุขันธ์ จะทรงตัวประกอบกันอยู่ได้ดี นานแค่ไหน บางท่านบางองค์ก็เสวยผลได้เป็นเวลานับชั่วโมง บางท่านบางองค์ก็นับได้เป็นวันหรือหลายวัน ที่นานที่สุดและมีหลักฐานอ้างอิงในพระไตรปิฎกคือการเข้าพละสมาบัติ นิโรธสมาบัติของพระสารีบุตรซึ่่งเข้าได้นานถึง 7 วัน ดังนี้ อ้ออาจารย์บอกว่า จะไม่แข็งทื่อเหมือนคนตาย ถ้าฟ้าผ่าแรงๆ ข้างตัว อาจถอนกลับมารับรู้ได้บ้าง แต่การเสวยผลอยู่นั้นเป็นการเสวยผลของการหมดความปรุงแต่ง(อสังขตัง)ไปชั่วคราว ผู้ที่จะทำอย่างนี้ได้ต้องฆ่ากิเลสตาายมาบ้างแล้ว อย่างพระโสดาบันนี่ฆ่าอุปกิเลสคือกิเลสใหญ่ที่สำคัญตายไปแล้ว 2 ตัว ได้แก่สักกายทิฐิและวิจิกิจฉา ส่วนพระอนาคามี ฆ่ากิเลสใหญ่ไปได้แล้วถึง 8 ตัว ในจำนวนทั้งหมด 10 ตัว ถ้านับโดยสังโยชน์ 10 พระอนาคามียังเหลือสังโยชน์ที่จะต้องชำระอีก 5 อย่าง ดังนี้เป็นต้น
หวังว่าคุณอายะคงจะพอหมดสงสัยโดยทฤษฎี แล้วลงมือเจริญมรรค 8 หรือวิปัสสนาภาวนาต่อไปให้ดี ทำเหตุให้ถูกต้องให้มาก ไม่นานเกินรอ ก็คงจะได้สัมผัสกับสภาวะจริงๆด้วยตนเองนะครับ ขออำนวยอวยพร :b27:

.....................................................
เมตตาธรรม ค้ำจุนโลก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 07:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 ก.ค. 2006, 22:20
โพสต์: 5977

โฮมเพจ: http://walaiblog.blogspot.com/
แนวปฏิบัติ: กายคตาสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: สมุทรปราการ

 ข้อมูลส่วนตัว


อายะ เขียน:
ทำจนกว่าจะเห็นเองค่ะ คุณมาถามแบบนี้ ..
ผมคิดว่านี่ก็เป็นปัญหาอีกอย่างหนึ่งของผู้ปฏิบัตินะครับ เพราะว่าการปฏิบัติธรรมจำเป็นต้องมีผู้ปฏิบัติผ่านมาแล้วคอยชี้นำ(ยกเว้นพระพุทธเจ้า หลวงปู่มั่น หรือผู้มีอินทรีย์แก่กล้าทั้งหลาย)ถ้าไม่เช่นนั้น ก็จะเห็นเองและก็คิดเองนะครับ
สภาวะผมตอนนี้เปรียบเหมือนได้ขึ้นไปบนเครื่องบินที่ take off ไปแล้ว แล้วก็มีคนที่นั่งข้างๆ มาบอกว่าคุณขึ้นเครื่องบินลำนะ ทั้งๆ ที่ผมคิดว่ามาถูกลำแน่ๆ ถ้าเช่นนั้นใครกันเล่าที่เข้าใจผิดนะครับ


อ้อ ... เข้าใจละ เจอคนพูดลักษณะบอกว่า ปฏิบัติแนวนี้ดีกว่า ใช่ไหมคะ
อื่มมม.. เพียงจะบอกว่า ใครปฏิบัติแบบไหน ใครเชื่อใคร ล้วนแต่ว่า เขาเคยสร้างเหตุมาร่วมกันค่ะ
ลองอ่านตรงนี้ดูนะคะ ( หนึ่ง ) ผู้ปฏิบัติแนวสติปัฏฐาน 4 ( พองหนอ ยุบหนอ ) กับ ( สอง ) ดูจิต เขาสนทนากัน
แต่ในการสนทนา ไม่มีการชักชวนอีกฝ่ายให้มาปฏิบัติตามแนวของตัวเอง ...
นี่แหละค่ะ การสนทนาที่เป็นกัลยาณมิตรกัน จะไม่มีการมายัดเยียดว่าของตัวเองดีกว่าเขา
แล้วพยายามชักชวนอีกฝ่ายให้มาปฏิบัติตามแนวของตัวเอง
การปฏิบัติไม่ใช่เรื่องง่าย กว่าจะเริ่มต้น กว่าจะเข้าที่เข้าทาง
เปลี่ยนรูปแบบบ่อยๆ แทนที่จะก้าวหน้า จะกลายเป็นสับสนไป แล้วก้สงสัยว่าแบบไหนดีกว่ากัน
อ่านแล้ว ใช้วิจารณญาณเอาเองนะคะ :b1:

สอง : คุยอะไรกันอยู่เหรอค่ะ

หนึ่ง : เรื่อยๆค่ะ ไม่เจาะจงเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

สอง : 556สวยเลย เพราะนี่ก้อหาสาระไม่พบ556

หนึ่ง: บางที บางสิ่ง เราคิดว่า มันมีสาระ มันอาจจะไม่มีสาระก็ได้ค่ะ

สอง : ช่าย

หนึ่ง :ไม่มีสาระกับคนบางคน แต่มีสาระกับคนบางคน

สอง: อ้อจำได้แล้ว

หนึ่ง : จำได้แล้วหรือคะ

สอง : ที่เข้าไปฝากข้อความไว้ว่า เรามีทุกวันเปงวันพระ556

หนึ่ง: ไม่น่าจะใช่มังคะ ไม่แน่ใจนะ

สอง : จำได้ ฝากแบบกวนๆ

หนึ่ง: บางทีจำไม่ได้เหมือนกันค่ะ

สอง : ค่ะ เพราะจะเข้าไปฝากไว้ไม่กี่เจ้าหรอกค่ะ ที่โดนฝากนะแย่หน่อยนะค่ะ556556

หนึ่ง : แย่ยังไงหรือคะ

สอง : ก้อเพราะว่าฉานนี่เข้าไปที่ไหนวงแตกที่นัน556556

หนึ่ง : อื่มมม .. คงไม่มังคะ

สอง : ล่าสุดก้อพึ่งแตกวงมานะ556556

หนึ่ง:มีอิสระทางความคิดดีออกค่ะ

สอง : โหหหห มายก้อด

หนึ่ง: เพียงแต่ บางคนจะรับไม่ได้

สอง : เปงคำพูดที่กินใจจัง556 หาคนที่เข้าใจฉานได้ยากยิ่ง

หนึ่ง :พูดจริงๆค่ะ เราจะให้ใครมาคิดเหมือนๆเราไม่ได้ค่ะ

สอง :แต่ฉานหาได้สนใจไม่556556

หนึ่ง : จงเป็นตัวของตัวเองค่ะ ดีแล้ว

สอง : โห โมทนาค่ะ สาธุค่ะ

หนึ่ง : สาธุค่ะ

สอง : 556556556556

หนึ่ง : คนที่ยอมรับความเป็นตัวตนตามความเป็นจริงได้นี่
ไม่ค่อยมีหรอกค่ะ มีแต่ปกปิดเอาไว้ ให้เห็นแค่เปลือก

สอง : ปลิ้มแท้หนอ เจ้าคือมาเก่งแท้

หนึ่ง : 5555

สอง : 556556

หนึ่ง : แหมมม .. ก็จะได้วัดใจกันไปเลยไงคะ

สอง : แม้แต่คนที่เรียกตนเองว่านักปติษัติ สุดยอด

หนึ่ง : เอาเปลือกมา ได้เปลือกไป เอาจิตมา ได้จิตไป

สอง : โหหหหหหหหหหหหหหหอี๋อี๋ มาดีแท้ กินใจๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

สอง :โอ้ยหน้อ แม่นหลาย มาดีแท้

หนึ่ง :ใครๆต้องการจิต แต่ไม่ค่อยเอาจิตมาแลก จะเอาแต่เปลือกมาแลก แล้วจะเจอกันไม๊คะ จริงไม๊

สอง : จริงๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ

สอง :นานแย้วที่ไม่ได้ยิน สุดยอด

หนึ่ง :จิตกับจิตค่ะ

สอง : เอาเปลือกมา ได้เปลือกไป เอาจิตมา ได้จิตไป

หนึ่ง : เอาตัวตนที่แท้จริงคุยกัน

สอง : นี่

หนึ่ง :ไม่อาย ไม่กลัว

สอง : ฉานละพูดไม่ออกเลยเชื่อปะ คนรอบข้างฉานนี้นะ เรียกตัวเองว่านักปติบัติ

หนึ่ง : ถ้ายังกลัว ถ้ายังอาย ไม่มีวันได้ของจริง

สอง : แต่ถึงเค้าไม่พูดฉานก้อรู้สึกได้ว่าห่างไกล

หนึ่ง : เข้าใจความรู้สึกค่ะ

สอง : จริงอ่ะ

หนึ่ง : จริงค่ะ

สอง : เหมือนกันหมด

หนึ่ง :ก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเหมือนกันค่ะ

สอง : ไม่เอาจติมาแลกแล้วจะได้จติเหรอ

หนึ่ง : ค่ะ

สอง : เหมือนหัวใจฉานมานเต็ม

หนึ่ง : มีแต่เปลือก แล้วจะไปได้อะไรล่ะคะ

สอง :จริง โอ้ยหนอ

หนึ่ง : เปลือก .. ใหม่ๆดูมีค่า มีราคา

สอง : อือม

หนึ่ง : แต่ .. มันแค่ของชั่วคราว

สอง : สาธุ

หนึ่ง : สาธุค่ะ

สอง : แต่คนก้อชอบเปลือกว่ามัย

หนึ่ง : เรื่องธรรมดาค่ะ

สอง :ฉานละไม่เข้าใจ ไมชอบเปือก ฉานไม่เอาละค่ะ

หนึ่ง : ดูสวยงามไงคะ บางคนชอบเพียงความฉาบฉวย

สอง : หือ

หนึ่ง : บางคนชอบลึกไปกว่านั้น เขาก็เลยไม่มองแค่เปลือก แต่มองไปถึงจิต

สอง :โอ้ยแม่ใหย๋

หนึ่ง :แต่ละคนไม่เหมือนกัน

สอง :ฉานละไม่มีเปลือก

หนึ่ง : บางครั้งเรามีค่ะ แต่เราอาจจะไม่รู้ตัว

สอง :ฉานมั่นใจ เหรอ บางเวลาได้มัย

หนึ่ง : คนอื่นๆคือกระจกส่องตัวเราค่ะ

สอง: อือมๆ ไอชี

หนึ่ง : มันเป็นเปลือกที่เขามองเห็น แต่อาจจะไม่ใช่เปลือกสำหรับเรา
สุดแต่ว่าใครจะมองได้ถึงตรงไหนค่ะ

สอง : สาธู

หนึ่ง : สาธุค่ะ

สอง : จริง เชื่อ แท้แน่นอน

หนึ่ง : หายากค่ะ คนที่เป็นตัวของตัวเอง กล้าแสดงตัวตน

สอง: ฉันไง 556556

หนึ่ง : มันจะกลายเป็นทิฏฐิมานะไปโดยไม่รู้ตัว ในบางครั้ง

สอง :หือ ไอชี

หนึ่ง : คนบางคนเลยพาลไม่ชอบเอาเพราะเรื่องนี้แหละค่ะ

สอง : ไม่ธรรมดานะเนี้ย

หนึ่ง : เป็นคนธรรมดาๆจริงค่ะ ไม่มีอะไร

สอง : ถ่อม ตนนันแหละดี

หนึ่ง : แต่ชอบมองคนที่จิต ไม่มองที่เปลือก

สอง: พูดถึงเปลือกทีไรฉานละตึนตันใจ

หนึ่ง : เอาจิตมาคุยกัน ได้สาระ เอาเปลือกมาคุย ไร้สาระ แต่ก็ต้องคุย
เพราะเปลือกก็ยังจำเป็นต่อใครหลายๆคน

สอง : อืมมมมมมมมมมมมมม ขอบคุณที่คุยด้วย และขอบคุณสำหรับคำแนะนำ

หนึ่ง:ค่ะ ยินดีที่ได้คุยกันค่ะ

สอง : เปลือก

หนึ่ง : ค่ะ

สอง : พรุ่งนี้จะไปที่ สวนสันติธรรมนะค่ะ

หนึ่ง: ถ้าเข้าใจที่จะมองเปลือก เราจะเริ่มเข้าใจคนทุกคนมากขึ้นค่ะ

สอง : เลยว่าจะนอนไว สาธุค่ะ

หนึ่ง: สาธุค่ะ

สอง :เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไปนะค่ะ

หนึ่ง : อนุโมทนาด้วยค่ะ ที่จะไปสร้างเหตุที่เป็นกุศล สาธุ

สอง : อ่อ

หนึ่ง : สะสมไว้ค่ะ

สอง : เปงอะไรที่ขาดไม่ได้เลยค่ะ ล๊อกไว้ค่ะ อาทิตย์ละสองวัน

หนึ่ง: ให้จิตมีแต่กุศล แล้วผลนั้นจะตอบสนองกลับมา มีแต่กุศล

สอง : สาธุค่ะ

หนึ่ง : สาธุค่ะ

สอง : มีโอกาสคุยกันใหม่นะค่ะ

หนึ่ง : ว่างๆมาคุยกันใหม่ได้ค่ะ

สอง : บายค่ะ

.....................................................
มิจฉาปณิหิตจิต จิตที่ตั้งไว้ผิด ย่อมตามพิชิตตัวเอง

สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม ตามการกระทำของแต่ละคน (ตามความเป็นจริง)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 09:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 6
สมาชิก ระดับ 6
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 เม.ย. 2009, 22:00
โพสต์: 406

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แล้วตรงนี้ละครับ [วิมุตติปฏิปทา, หน้า 40-41]
"ผู้เขียนหัดเข้าสมาบัติอันหนึงซึ่งค้นพบโดยไม่ได้ตั้งใจ คือในคราวแรกผู้เขียนกำหนดสติรู้อยู่สักพักหนึ่งก็เห็นว่า น่าจะออกไปพิจารณาสิ่งภายนอก ไปที่ความว่างซึ่งตั้งอยู่ตรงหน้า เมื่อกระแสของจิตเคลื่อนออกไปสู่ความว่าง แต่ยังไม่เกาะเข้ากับความว่าง ผู้เขียนก็ถอยกระแสจิตย้อนเข้ามาที่จิตู้รู้อีก ขณะที่กระแสจิตจะจับเข้ากับจิตผู้รู้ ผู้เขียนก็ส่งกระแสนั้นย้อนไปที่ความว่างอีกออก ย้อนไปมาเช่นนี้ 2-3 ครั้ง จิตก็หยุดอยู่ในระหว่างจิตู้รู้กับอารมณ์ ไม่ยึดเกาะทั้งจิตและอารมณ์ แล้วดำเนินผ่านอรูปฌาน พลิกเข้าสู่สภาวะอันหนึ่งซึ่งเหลือแต่ธรรมชาติล้วนๆ ไม่มีความคิด ไม่มีสัญญา ไม่มีเวทนา สภาพอันนี้จะกล่าวว่ามีจิตก็ไม่ใช่ จะว่าไม่มีจิตก็ไม่ใช่ เป็นสภาพที่ว่างจากตัวตนและเวลา"

และถ้าเทียบกับอันนี้[วิมุตติปฏิปทา " หน้า 471 ]
" เมื่อเข้าสมาบัติ ตัวแข็งแจ้งชัด ประสาทหยุดงานหมดความรู้สึกคิดนึกทุกสถาน อารมณ์นิพพาน บรมสุขสันต์ "


เรียนถามผู้รู้(ที่ไม่ใช้ประสบการณ์จากจินตมยปัญญา กับสุตภยปัญญา) สภาวะทั้งสองนี้แตกต่างกันอย่างไร อย่างไหนเป็นผลสมาบัติ อย่างไหนเป็นฌาน จะสังเกตความแตกต่างในสภาวะทั้งสองได้อย่างไร :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 10:05 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำไม่ไม่ถามอาจารย์ของตนละครับ ผู้ที่ตนแน่ใจแล้ว

นี้มันเรื่องสำคัญนะ..

ถามในเวปแล้ว....ท่านจะแน่ใจในคำตอบ..ในผู้ตอบ..หรือ?


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 10:33 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2008, 14:14
โพสต์: 3836

อายุ: 12
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว


พระอรหันต์นั้นไม่ขัดกันด๊อกกก พี่น้อง

เพราะสัจธรรมนั้นมันเป็นของสากล
เหมือนกัน รสเดียวกัน
ผู้ใดถึงแล้ว เห็นแล้ว ย่อมถึงและเห็นในสิ่งสิ่งเดียวกัน
แต่ว่าเป้นเราต่างหากที่ไปเข้าใจว่าท่านสอนขัดกัน


คุณคนถามควรจะสนใจธรรมะในระดับตนเองดีกว่านะ
ตัวติดอะไรตรงไหน ก็แก้ปัญหาอันนั้นดีกว่า
เรื่องวิสัยของพระอริยเจ้า จะเอามาพูดๆคุยๆ
รังแต่จะก่อบาปก่อกรรมผู้คนให้ปิดกั้นมรรคผลนิพพาน

อย่างหลวงปู่มั่นสอนลูกศิษย์นะ ไม่มีมาอธิบายอะไรอะไรอย่างนี้หรอก
ถามก็ไม่ตอบด้วย ท่านให้การบ้านไปทำ แล้วก็กลับไปทำ
ทำจนได้แล้วนู่น ท่านถึงสอนลำดับต่อไปให้
แค่การบ้านสั้นๆที่หลวงปุ่มั่นให้ ก็แยกย้ายกันไปทำกันหลายปี
บางรูปเป้นสิบปี บางรูปตายไปในป่า

สมัยนี้คนชอบขบคิดกันมาก
ถ้าไม่ได้คิดจนเข้าใจเสียก่อนก้จะไม่ทำ
กลัวว่าทำแล้วจะเสียหาย
ที่จริงการคิดนี่แหละเสียเวลา เสียหาย
เพราะสิ่งที่ทำให้ถึงธรรม ไม่ใช่คิด แต่เป็นสภาวะของการรู้ คือพุทธะ

ทำๆไปก่อนเถอะคุณ
ถึงตรงที่สงสัยแล้วก็รู้เอง

ที่หลวงพ่อท่านเขียนไว้
เพราะต้องการทิ้งร่องรอยประสบการณ์เอาไว้สำหรับคนที่ต้องใช้
เมื่อเวลาต้องใช้มาถึง จะได้ไม่เสียเวลา
ไม่ใช่ว่าเป้นของสามัญที่ใครๆก็ได้ใช้ ที่ให้เอามาวิพากย์วิจารณ์


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 21 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 18 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร