วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 20:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=2



กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 16:28 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


๑๐. วิธีคิดแบบวิภัชชวาท


ความจริงวิภัชชวาทไม่ใช่วิธีคิดโดยตรง แต่เป็นวิธีพูดหรือการแสดงหลักการ แห่งคำสอน

แบบหนึ่ง อย่างไรก็ตาม การคิดกับการพูดเป็นกรรมใกล้ชิดกันที่สุด ก่อนจะพูดก็ต้องคิดก่อน

สิ่งที่พูดล้วนสำเร็จมาจากความคิดทั้งสิ้น


ในทางธรรมก็แสดงหลักไว้ว่า วจีสังขาร- (สภาวะที่ปรุงแต่งคำพูด) ได้แก่วิตกและวิจาร-

(ม.มู. 12/509/550 ฯลฯ) ดังนั้น จึงสามารถกล่าวถึงวิภัชชวาทในระดับที่เป็นความคิดได้

ยิ่งกว่านั้น คำว่า วาทะต่างๆ หรือ ที่เรียกว่า วาทะอย่างนั้นอย่างนี้ ก็มีความหมายลึกซึ้ง

เล็งไปถึงระบบความคิดทั้งหมด ซึ่งเป็นที่มาแห่งระบบคำสอนทั้งหมด ที่เรียกกันว่าเป็นลัทธิหนึ่ง

ศาสนาหนึ่ง หรือปรัชญาหนึ่ง เป็นต้น

คำว่า วาทะ จึงเป็นไวพจน์แห่งกันและกันของคำว่า ทิฏฐิ ทิฐิ หรือ ทฤษฎี เช่น

สัพพัตถิกวาท คือ สัพพัตถิกทิฏฐิ

นัตถิกวาท คือ นัตถิกทิฏฐิ

สัสสตวาท คือสัสสตวาททิฏฐิ

อุจเฉทวาท คือ อุจเฉททิฏฐิ

อเหตุกวาท คือ อเหตุกทิฏฐิ เป็นต้น


คำว่า วิภัชชวาทนี้ เป็นชื่อเรียกอย่างหนึ่งของพระพุทธศาสนา เป็นคำสำคัญคำหนึ่ง

ที่ใช้แสดงระบบความคิดที่เป็นแบบของพระพุทธศาสนาและวิธีคิดแบบวิภัชชวาท

ก็มีความหมายคลุมถึงวิธีคิดแบบต่างๆ ที่กล่าวๆ มาแล้วได้หลายอย่าง

การกล่าวถึงวิธีคิดแบบวิภัชชวาท นอกจากทำให้รู้จักวิธีคิดแง่อื่น ๆเพิ่มขึ้นแล้ว

ยังจะช่วยให้เข้าใจวิธีคิดบางอย่างที่กล่าวๆ มาแล้วชัดเจนขึ้นอีกด้วย

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 พ.ย. 2012, 21:13, แก้ไขแล้ว 5 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 16:38 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว




girljump.gif
girljump.gif [ 128.49 KiB | เปิดดู 7571 ครั้ง ]
วิภัชชวาท เป็นชื่อเรียกอย่างหนึ่ง ของพระพุทธศาสนา หรือเป็นคำหนึ่งที่แสดงระบบความคิด

ของพระพุทธศาสนา เพราะพระพุทธเจ้าทรงเรียกพระองค์เองว่าเป็น วิภัชชวาท หรือ วิภัชชวาที -

(เช่น ม.ม.13/711/651 ฯลฯ)

และคำว่า วิภัชชวาท หรือ วิภัชชวาทีนั้น ก็ได้เป็นคำเรียกพระพุทธศาสนา หรือ คำเรียก

พระนามของพระพุทธเจ้า ซึ่งได้ใช้อ้างกันมาในประวัติการณ์แห่งพระพุทธศาสนา เช่น

ในคราวสังคายนาครั้งที่ ๓ พระเจ้าอโศกมหาราช ตรัสถามพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระ

ประธานสงฆ์ในการสังคายนาว่า พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงมีวาทะอย่างไร

พระเถระทูลตอบว่า “มหาบพิตร พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นวิภัชชวาที”

(วินย.อ.1/60 ฯลฯ)


วิภัชชวาท มาจาก วิภัชช+วาท วิภัชช แปลว่า แยกแยะ แบ่งออก จำแนก หรือแจกแจง

ใกล้กับคำที่ใช้ในปัจจุบันว่า วิเคราะห์

วาท แปลว่า การกล่าว การพูด การแสดงคำสอน

วิภัชชวาท จึงแปลว่า การพูดแยกแยะ พูดจำแนก หรือพูดแจกแจง หรือแสดงคำสอน

แบบวิเคราะห์

ลักษณะสำคัญของความคิดและการพูดแบบนี้ คือ การมองและแสดงความจริง โดยแยกแยะออก

ให้เห็นแต่ละแง่ละด้านครบทุกแง่ทุกด้าน

ไม่ใช่จับเอาแง่หนึ่งแง่เดียว หรือบางแง่ขึ้นมาวินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างนั้นทั้งหมด หรือ ประเมิน

คุณค่าความดีความชั่วเป็นต้น โดยถือเอาส่วนเดียวหรือบางส่วนเท่านั้นแล้วตัดสินพรวดลงไป

วาทะที่ตรงข้ามกับวิภัชชวาทเรียกว่า เอกังสวาท แปลว่า พูดแง่เดียว คิดจับได้เพียงแง่เดียว

ด้านหนึ่ง หรือส่วนหนึ่ง ก็วินิจฉัยตีคลุมลงไปอย่างเดียวทั้งหมด หรือพูดตายตัวอย่างเดียว

:b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43: :b43:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 09 ต.ค. 2009, 10:45, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2009, 17:32 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


เพื่อให้เห็นความหมายของวิภัชชวาทชัดเจนยิ่งขึ้น อาจจำแนกแนววิธีคิดของวิภัชชวาทนั้นออก

ให้เห็นในลักษณะต่างๆ ดังนี้




จำแนกโดยแง่ด้านของความจริง แบ่งซอยได้เป็น ๒ อย่างคือ

-จำแนกตามแง่ด้านต่างๆ ตามที่เป็นอยู่จริงของสิ่งนั้นๆ คือมองหรือแถลงความเห็นให้ตรงตาม

ที่เป็นอยู่ในแง่นั้นด้านนั้น ไม่ใช่จับเอาความจริงแง่หนึ่งด้านหนึ่งหรือแง่อื่นด้านอื่นมาตีคลุม

เป็นอย่างนั้นไปหมด เช่น เมื่อกล่าวถึงบุคคลผู้หนึ่งว่าเขาดีหรือไม่ดี ก็ชี้ความจริงตามแง่ด้านที่เป็น

อย่างนั้นว่าแง่นั้น ด้านนั้น

กรณีนั้น เขาดีอย่างไร หรือไม่ดีอย่างไร เป็นต้น ไม่ใช่เหมาคลุมง่ายๆ ทั้งหมด

ถ้าจะประเมินคุณค่า ก็ตกลงกำหนดลงว่าจะเอาแง่ใดด้านใดบ้าง แล้วพิจารณาทีละแง่ ประมวลลง

ตามอัตราส่วน

ตัวอย่างวิภัชชวาทในแง่นี้ เช่น คำสอนเกี่ยวกับ กามโภคี หรือชาวบ้าน ๑๐ ประเภทที่จะกล่าวข้าง

หน้า


-จำแนกโดยมองหรือแสดงความจริงของสิ่งนั้นๆ ให้ครบทุกแง่ๆทุกด้าน คือ เมื่อมองหรือพิจารณาสิ่ง

ใดไม่มองแคบๆ ไม่ติดอยู่กับส่วนเดียวแง่เดียวของสิ่งนั้น หรือ วินิจฉัยสิ่งนั้นด้วยส่วนเดียว

แง่เดียวของมัน

แต่มองหลายแง่หลายด้าน เช่น จะว่าดีหรือไม่ดี ก็ว่า ดีในแง่นั้น ด้านนั้น กรณีนั้น ไม่ดี

ในแง่นั้น ด้านนั้น กรณีนั้น สิ่งนี้ไม่ดีแง่นั้น แต่ดีในแง่นี้ ส่งนั้นดีในแง่นั้น แต่ไม่ดีในแง่นี้

เป็นต้น

การคิดจำแนกแนวนี้ มองดูคล้ายกับข้อแรก แต่เป็นคนละอย่าง และเป็นส่วนเสริมกันกับข้อแรกในผล

สมบูรณ์

ตัวอย่าง เช่นคำสอนเกี่ยวกามโภคี คือ ชาวบ้าน ๑๐ ประเภทนั้น และเรื่องพระบ้านพระป่า

ที่ควรยกย่องหรือติเตียนเป็นต้น

การคิดแนวนี้ มีผลรวมไปถึงการเข้าใจในภาวะที่องค์ประกอบต่างๆ หรือลักษณะด้านต่างๆมา

ประมวลกันเข้าโดยครบถ้วน จึงเกิดเป็นสิ่งนั้นๆ หรือเหตุการณ์นั้นๆ และการมองสิ่งหนึ่งๆ

เหตุการณ์หนึ่งๆ โดยเห็นกว้างออกไปถึงลักษณะด้านต่างๆ และองค์ประกอบต่างๆของมัน


:b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53: :b53:

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 พ.ย. 2012, 21:13, แก้ไขแล้ว 3 ครั้ง.

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จำแนกโดยส่วนประกอบ

คือ วิเคราะห์แยกแยะออกไปให้รู้เท่าทันภาวะที่สิ่งนั้นๆ เกิดขึ้นจากองค์ประกอบย่อยๆต่างๆ มาประชุมกันเข้า

ไม่ติดตันอยู่ภายนอก หรือ ถูกลวงโดยภาพรวมของสิ่งนั้นๆ เช่น แยกแยะสัตว์บุคคลออกเป็นามและรูป

เป็นขันธ์ ๕ และแบ่งซอยแต่ละอย่างๆ ออกไป จนเห็นภาวะที่ไม่เป็นอัตตา เป็นทางรู้เท่าทันความจริง

ของสังขารธรรมทั้งหลาย วิภัชชวาทแง่นี้ตรงกับวิธีคิดอย่างที่ ๒ (วิธีคิดแบบแยกแยะส่วนประกอบ)

อ่านที่ link นี้

viewtopic.php?f=2&t=19048

จึงไม่จำเป็นต้องบรรยายอีก เดิมทีเดียวคำว่าวิภัชชวาท ท่านไม่ได้มุ่งใช้ในความหมายแง่นี้

แต่ในคัมภีร์รุ่นหลังท่านใช้ศัพท์คลุมถึงด้วย * จึงนำมากล่าวรวมไว้

*เช่น วิสุทธิ. ฎีกา.3/45,349, 397 (คำเดิมที่ใช้ในความหมายนี้ คือ วิภังค์ เช่น ธาตุวิภังค์

ขันธ์วิภังค์ เป็นต้น )


:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:


จำแนกโดยลำดับขณะ

คือ แยกแยะวิเคราะห์ปรากฏการณ์ตามลำดับสืบทอดแห่งเหตุปัจจัย ซอยออกไปแต่ละขณะๆ ให้มองเห็นตัวเหตุ

ปัจจัยที่แท้จริง ไม่ถูกลวงให้จับเหตุปัจจัยสับสน

การคิดแบบนี้เป็นด้านหนึ่งของการคิดจำแนกโดยส่วนประกอบและการคิดจำแนกตามความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย

แต่มีลักษณะและการใช้งานพิเศษ เป็นวิธีที่ใช้มากในฝ่ายอภิธรรม ตัวอย่าง เช่น เมื่อโจรขึ้นปล้นบ้าน

และฆ่าเจ้าทรัพย์ตาย คนทั่วไปอาจพูดว่า โจรฆ่าคนตายเพราะความโลภ คือ ความอยากได้ทรัพย์เป็นเหตุให้

ฆ่าเจ้าทรัพย์

คำพูดนี้ให้ได้เพียงในฐานะเป็นสำนวนพูดให้เข้าใจกันง่ายๆ แต่เมื่อวิเคราะห์ทางด้านกระบวนธรรมที่เป็นไป

ภายในจิตอย่างแท้จริง หาเป็นเช่นนั้นไม่ ความโลภเป็นเหตุของการฆ่าไม่ได้

โทสะจึงจะเป็นเหตุของการฆ่าได้ เมื่อวิเคราะห์โดยลำดับขณะแล้วก็จะเห็นว่า โจรโลภอยากได้ทรัพย์

แต่เจ้าทรัพย์เป็นอุปสรรคต่อการได้ทรัพย์นั้น ความโลภทรัพย์จึงเป็นเหตุให้โจรมีโทสะต่อเจ้าทรัพย์

โจรจึงฆ่าเจ้าทรัพย์ด้วยโทสะนั้น

โจรโลภอยากได้ทรัพย์ หาได้โลภอยากได้เจ้าทรัพย์แต่อย่างใดไม่

ตัวเหตุที่แท้ของการฆ่าคือโทสะ หาใช่โลภะไม่ โลภะเป็นเพียงเหตุให้ลักทรัพย์เท่านั้น แต่เป็นปัจจัยให้โทสะ

เกิดขึ้นต่อสิ่งอื่นซึ่งขัดขวางหรือไม่เกื้อกูลต่อความมุ่งหมายของมัน

อย่างไรก็ตาม ในภาษาสามัญจะพูดว่า โจรฆ่าคนเพราะความโลภก็ได้ แต่ให้รู้เข้าใจเท่าทันความจริงในกระบวน

ธรรมที่เป็นไปตามลำดับขณะดังที่กล่าวามาแล้ว ว่าความโลภเป็นตัวการเริ่มต้นในเรื่องนั้นเท่านั้น การแยกแยะ

หรือ วิเคราะห์โดยขณะเช่นนี้ทำให้ในสมัยต่อมา มีคำเรียกพระพุทธศาสนาว่า เป็นขณิกวาท

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 20:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จำแนกโดยความสำพันธ์แห่งเหตุปัจจัย

คือ สืบสาวสาเหตุปัจจัยต่างๆ ที่สัมพันธ์สืบทอดกันมาของสิ่ง หรือ ปรากฏการณ์ต่างๆ ทำให้มองความจริง

ที่สิ่งทั้งหลายไม่ได้ตั้งอยู่ลอยๆ ไม่ได้เกิดขึ้นลอยๆ ไม่ได้ดำรงอยู่เป็นอิสระจากสิ่งอื่นๆ และไม่ได้ดำรง

อยู่โดยตัวของมันเอง

แต่เกิดขึ้นด้วยอาศัยเหตุปัจจัย จะดับไปและสามารถดับได้ด้วยการดับที่เหตุปัจจัย

การคิดจำแนกในแง่นี้ เป็นวิธีคิดข้อสำคัญมากอย่างหนึ่ง ตรงกับวิธีคิดแบบที่ ๑ (ลิงค์ข้างบน)

คือ วิธีคิดแบบสืบสาวหาเหตุปัจจัย หรือ วิธีคิดแบบอิทัปปัจจยตา ซึ่งนอกจากได้บรรยายในวิธีคิดแบบ

ที่ ๑ แล้วยังได้อธิบายไว้อย่างยึดยาวในบทว่าด้วยปฏิจจสมุปบาท


ความที่ขาดความตระหนักในความสัมพันธ์ ทำให้คนโน้มเอียงไปในทางที่จะยึดความเห็นสุดทางข้างใด

ข้างหนึ่ง เช่น ยึดถือสัสสตวาท มองเห็นว่ามีอัตตาที่ตั้งอยู่เที่ยงแท้นิรันดร

หรือยึดถืออุจเฉทวาท มองเห็นว่าอัตตาต้องดับสิ้นขาดสูญไป

ทั้งนี้เพราะเมื่อเผลอลืมมองความสัมพันธ์ตามเหตุปัจจัย ก็มองเห็นสิ่งนั้นตั้งอยู่ขาดลอยโดดๆ แล้วความเห็น

เอียงสุดอย่างใดอย่างหนึ่งก็จึงเกิดขึ้น

แต่ภาวะที่เป็นจริงของสิ่งทั้งหลายไม่ได้ขาดลอยอย่างที่คนตัดตอนมองเอาอย่างนั้น สิ่งทั้งหลายสัมพันธ์กัน

ขึ้นต่อกัน และสืบทอดกัน เนื่องด้วยปัจจัยย่อยต่างๆ ความมีหรือไม่มีไม่ใช่ภาวะเด็ดขาดลอยตัว

ภาวะที่เป็นจริงเป็นเหมือนอยู่กลางระหว่างความเห็นเอียงสุดสองอย่างนั้น


ความคิดแบบจำแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัย ช่วยให้มองเห็นความจริงนั้น และตามแนวคิดนี้

พระพุทธเจ้าจึงทรงแสดงธรรมอย่างที่เรียกว่าเป็นกลางๆ คือ ไม่กล่าวว่า สิ่งนี้มี หรือว่าสิ่งนี้ไม่มี

แต่กล่าวว่า เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี

เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี หรือว่านี้มีในเมื่อนั้นมี นี้ไม่มีในเมื่อนั้นไม่มี


การแสดงความจริงอย่างนี้ นอกจากเรียกว่าอิทัปปัจจยตา หรือ ปฏิจจสมุปบาทแล้ว

ยังเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มัชเฌนธรรมเทศนา จึงอาจเรียกว่าวิธีคิดแบบนี้อีกอย่างหนึ่งด้วยว่า

วิธีคิดแบบมัชเฌนธรรมเทศนา หรือ เรียกสั้นๆว่า วิธีคิดแบบมัชเฌนธรรม

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 20:18 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


การจำแนกโดยความสัมพันธ์แห่งเหตุปัจจัยนั้น นอกจากช่วยไม่ให้เผลอมองสิ่งต่างๆ หรือปัญหาต่างๆ

อย่างโดดเดี่ยวขาดลอย และช่วยให้ความคิดเดินได้เป็นสายไม่ติดตันแล้ว

ยังครอบคลุมไปถึงการที่จะให้รู้จักจับเหตุปัจจัยได้ตรงกับผลของมัน หรือให้ได้เหตุปัจจัยที่ลงตัวพอดีกับผลที่

ปรากฏด้วย

ความที่ว่า นี้เกี่ยวข้องกับความสับสนที่มักเกิดขึ้นแก่คนทั่วไป ๓ อย่างคือ



๑) การนำเอาเรื่องราวอื่นๆนอกกรณี มาปะปนสับสนกับเหตุปัจจัยเฉพาะกรณี เช่น เมื่อบุคคลที่ไม่สู้ดี

คนหนึ่ง ได้รับผลอย่างหนึ่งที่คนเห็นว่าเป็นผลดี

มีคนอื่นบางคนพูดว่า นาย ก. หรือ นาย ข. ซึ่งเป็นดีมาก มีความดีหลายอย่าง อย่างนั้นอย่างนี้

ทำไมจึงไม่ได้รับผลดีนี้

บางทีความจริงเป็นว่า ความดีของนาย ก.หรือ นาย ข. ที่มีหลายๆอย่างนั้น ไม่ใช่ความดีที่สำหรับจะให้ได้

รับผลเฉพาะอันนั้น

วิธีคิดแบบนี้ ช่วยให้แยกเอาเรื่องราวหรือปัจจัยอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปจากเหตุปัจจัยที่แท้จริงของกรณีนั้น

ได้ความหมายข้อนี้รวมถึงการจับผลให้ตรงกับเหตุด้วย คือเหตุปัจจัยใดเป็นไปเพื่อผลใด หรือผลใดพึงเกิด

จากเหตุปัจจัยใด ก็มองเห็นตรงตามนั้นไม่ไขว่เขวสับสน


๒) ความไม่ตระหนักถึงภาวะที่ปรากฏการณ์หรือผลที่คล้าย อาจเกิดจากเหตุปัจจัยต่างกัน และเหตุปัจจัย

อย่างเดียวกัน อาจไม่นำไปสู่ผลอย่างเดียวกัน เช่น ภิกษุอยู่ป่า พระพุทธเจ้าทรงสรรเสริญก็มี

ไม่สรรเสริญก็มี โดยทรงพิจารณาสุดแต่เหตุคือเจตนา

อีกตัวอย่างหนึ่ง การได้ทรัพย์มา อาจเกิดจากการขยันทำการงาน จากการทำให้ผู้ให้ทรัพย์พอใจ

หรือลักขโมยก็ได้

คนได้รับการยกย่องสรรเสริญ อาจเกิดจากการทำความดีในสังคมที่นิยมความดี หรือเกิดจากทำอะไรบางอย่าง

แม้ไม่ดีแต่เป็นประโยชน์ หรือ เป็นที่ชอบใจของผู้ยกย่องสรรเสริญนั้นก็ได้

ในกรณีเหล่านี้จะต้องตระหนักด้วยว่า เหตุปัจจัยต่างกัน ที่ให้เห็นผลเหมือนๆกันนั้น ยังมีผลต่างกันอย่างอื่นๆ

ที่ไม่ได้พิจารณาในกรณีเหล่านี้ด้วย

ในทำนองเดียวกัน คนต่างคนทำความดีอย่างเดียวกัน

คนหนึ่ง ทำแล้วได้รับการยกย่องสรรเสริญ เพราะทำในที่เขานิยมความดีนั้น หรือทำเหมาะกับกาลเวลาที่ความ

ดีนั้นก่อประโยชน์แก่คนที่ยกย่อง


อีกคนหนึ่งทำแล้ว กลับไม่เป็นที่ชื่นชม เพราะทำในที่เขาไม่นิยมความดีนั้น หรือทำแล้วเป็นการทำลาย

ประโยชน์ของคนที่ไม่พอใจ หรือ มีความบกพร่องในตนเองอย่างอื่นของผู้กระทำความดีนั้น ดังนี้เป็นต้น

ในกรณีเหล่านี้ จะต้องตระหนักด้วยว่า เหตุปัจจัยอย่างเดียวกันที่ยกขึ้นพิจารณานั้น ไม่ใช่เป็นเหตุปัจจัยทั้งหมด

ที่จะให้ได้รับผลอย่างนั้น ความจริงสภาพแวดล้อมและเรื่องราวอื่นๆ ก็เป็นปัจจัยร่วมด้วยที่จะให้เกิดหรือไม่ให้

เกิดผลอย่างนั้น


๓)การไม่ตระหนักถึงเหตุปัจจัยส่วนพิเศษนอกเหนือจากเหตุปัจจัยที่เหมือนกัน (ข้อนี้เกี่ยวเนื่องกับความ

ตอนท้ายของข้อ ๒) กล่าวคือคนมักมองเฉพาะแต่เหตุปัจจัยบางอย่างที่ตนมั่นหมายว่า

จะให้เกิดผลอย่างนั้นๆ

ครั้นต่างบุคคลทำเหตุปัจจัยอย่างเดียวกันแล้ว

คนหนึ่ง ได้รับผลที่ต้องการ

อีกคนหนึ่งไม่ได้รับผลนั้น ก็เห็นไปว่าเหตุปัจจัยนั้นไม่ให้ผลจริง เป็นต้น เช่น คนสองคนทำงานดีเท่ากัน

มีกรณีที่จะได้รับการคัดเลือกอย่างหนึ่ง เป็นธรรมดาที่คนหนึ่งจะได้รับเลือก

อีกคนหนึ่งไม่ได้รับเลือก

ถ้าไม่ใช้วิธีเสี่ยงทายโดยเด็ดขาด ก็จะมีปัจจัยอื่นเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น คนหนึ่งสุขภาพดีกว่า หรือรูปร่างดี

กว่า และคุณธรรมหรือความบกพร่องของผู้คัดเลือก เป็นต้น ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยได้ทั้งสิ้น


ตัวอย่างที่ยกมาในที่นี้ เกี่ยวกับหลักกรรมทั้งนั้น แม้ตัวอย่างที่เป็นไปตามกฎอย่างอื่น ก็พึงเข้าใจ

ทำนองเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 20:45 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


จำแนกโดยเงื่อนไข

คือ มอง หรือ แสดงความจริงโดยพิจารณาเงื่อนไขประกอบด้วย ข้อนี้เป็นวิภัชชวาทแบบที่พบบ่อยมาก

อย่างหนึ่ง ยกตัวอย่าง เช่น

ถ้าถูกถามว่า บุคคลนี้ควรคบหรือไม่ ถิ่นสถานนี้ควรเข้าเกี่ยวข้องหรือไม่

ถ้าพระภิกษุเป็นผู้ตอบ ก็อาจกล่าวตามแนวบาลีว่า

ถ้าคบหรือเข้าเกี่ยวข้องแล้วอกุศลธรรมเจริญ กุศลธรรมเสื่อม ไม่ควรคบ ไม่ควรเข้าเกี่ยวข้อง

แต่ถ้าคบหรือเข้าเกี่ยวข้องแล้ว อกุศลธรรมเสื่อม กุศลธรรมเจริญ ควรคบ ควรเกี่ยวข้อง *

(* ม.อุ.14/198-233/145-165 ฯลฯ)

หรือ ถ้าถามว่าภิกษุ ควรถือธุดงค์หรือไม่ ท่านก็จะตอบว่า ภิกษุใดถือธุดงค์แล้ว กรรมฐานดีขึ้น

ภิกษุนั้นควรถือ

ภิกษุใดถือแล้ว กรรมฐานเสื่อม ภิกษุนั้นไม่ควรถือ

ภิกษุใดจะถือธุดงค์ก็ตาม ไม่ถือก็ตาม กรรมฐานย่อมไม่เจริญ

ภิกษุนั้น ก็ควรถือ เพื่อเป็นพื้นอุปนิสัยไว้-(ดู วิสุทธิ.1/103)

หรือ ถ้ามีผู้กล่าวว่า พระพุทธเจ้าเป็นอุจเฉทวาทหรือไม่

ถ้าตอบตามพระองค์ ก็ว่า ถ้าใช้คำนั้นในความหมายอย่างๆก็ใช่

ถ้าใช้ในความหมายว่าอย่างนั้นๆ ก็ไม่ใช่-(ดู วินย.1 ตอนเวรัญชกัณฑ์)

หรือถ้าถามว่า ภิกษุที่ชอบอยู่ผู้เดียว จาริกไปรูปเดียว ชื่อว่าปฏิบัติถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธเจ้า

ใช่ หรือ ไม่ ก็ต้องตอบอย่างมีเงื่อนไขเช่นเดียวกัน

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 21:10 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ยกตัวอย่างทางวิชาการสมัยใหม่ เช่น อาจพิจารณาปัญหาทางการศึกษาว่า

ควรปล่อยให้เด็กพบเห็นสิ่งต่างๆ ในสังคม เช่น เรื่องราวและการแสดงต่าง ๆ ทางสื่อมวลชน เป็นต้น

อย่างอิสรเสรี หรือ ไม่ หรือ แค่ไหนเพียงไร

ถ้าตอบตามแนววิภัชชวาท ก็จะไม่กล่าวโพล่งลงไปอย่างเดียว

แต่จะวินิจฉัยได้โดยพิจารณาเงื่อนไขต่าง ๆ คือ

๑)ความโน้มเอียง ความพร้อม นิสัย ความเคยชินต่างๆ ซึ่งเด็กได้สั่งสมไว้โดยการอบรมเลี้ยงดู

และอิทธิพลทางวัฒนธรรม เป็นต้น เท่าที่มีอยู่ในขณะนั้น

(พูดด้วยภาษาทางธรรมว่า สังขารที่เป็นกุศลและอกุศล คือ แนวความคิดปรุงแต่งที่ได้สั่งสมเสพคุ้น

เอาไว้) อาจเรียกง่ายๆว่า พื้นของเด็กที่จะแล่นไป

๒)โยนิโสมนสิการ คือ เด็กรู้จักโยนิโสมนสิการอยู่โดยปกติหรือไม่ และแค่ไหนเพียงไร

๓)กัลยาณมิตร คือ มีบุคคล หรือ อุปกรณ์ที่จะช่วยชี้แนะแนวทางความคิดความเข้าใจอย่างถูกต้อง

ต่อสิ่งที่พบเห็น หรือ ที่จะชักนำให้เด็กเกิดโยนิโสมนสิการอย่างได้ผลอยู่หรือไม่

ไม่ว่าจะเป็นกัลยาณมิตรในครอบครัว ในสื่อมวลชนนั้นๆ หรือทั่วๆไป ไปในสังคม ก็ตาม

๔)ประสบการณ์ คือ สิ่งที่ปล่อยให้แพร่ หรือ ให้เด็กพบเห็นนั้น มีลักษณะหรือคุณสมบัติที่เร้าหรือยั่วยุ

เป็นต้น รุนแรงมากน้อยถึงระดับใด


ทั้ง ๔ ข้อนี้ เป็นตัวแปรได้ทั้งนั้น แต่ในกรณีนี้ ยกเอาข้อ ๔ ) ขึ้นตั้งเป็นตัวยืน

คำตอบจะเป็นไปโดยสัดส่วนซึ่งตอบได้เอง เช่น ถ้าเด็กมีโยนิโสมนสิการดีจริงๆ หรือในสังคม

หรือ โดยเฉพาะที่สื่อมวลชนนั้นเอง มีกัลยาณมิตรที่สามารถจริงๆ กับกับอยู่ หรือ พื้นด้าน

แนวความคิดปรุงแต่ง ที่เป็นกุศลซึ่งได้สั่งสมอบรมกันไว้โดยครอบครัว หรือวัฒนธรรมมีมากและเข้มแข็ง

จริงๆ แม้ว่าสิ่งที่แพร่ หรือ ปล่อยให้เด็กพบเห็นจะล่อเร้ายั่วยุมาก ก็ยากที่จะเป็นปัญหา และผลดีต่างๆ

ก็เป็นอันหวังได้

แต่ถ้าพื้นความโน้มเอียงทางความคิดกุศลก็ไม่ได้สั่งสมอบรมกันไว้

โยนิโสมนสิการก็ไม่เคยฝึกกันไว้ แล้วยังไม่จัดเตรียมให้มีกัลยาณมิตรไว้ด้วย

การปล่อยนั้น ก็มีความหมายเท่ากับเป็นการสร้างเสริมสนับสนุนปัญหา และเป็นการตั้งใจทำลายเด็ก

โดยใช้ยาพิษเบื่อเสียนั่นเอง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ม.ค. 2010, 21:40 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


วิภัชชวาทในฐานะวิธีตอบปัญหาอย่างหนึ่ง วิภัชชวาทปรากฏบ่อยๆ ในรูปของการตอบปัญหา

และท่านจัดเป็นวิธีตอบปัญหาอย่างหนึ่ง ในบรรดาวิธีตอบปัญหา ๔ อย่าง มีชื่อเฉพาะเรียกว่า

วิภัชชพยากรณ์ ซึ่งก็คือการนำเอาวิภัชชวาทไปใช้ในการตอบปัญหา หรือตอบปัญหาแบบ

วิภัชชวาทนั่นเอง

เพื่อความเข้าใจชัดเจนในเรื่องนี้ พึงทราบวิธีตอบปัญหา (ปัญหาพยากรณ์) ๔ อย่างคือ

๑. เอกังสพยากรณ์ การตอบแง่เดียว คือตอบอย่างเดียวเด็ดขาด

๒. วิภัชชพยากรณ์ การแยกแยะตอบ

๓. ปฏิปุจฉาพยากรณ์ การตอบโดยย้อนถาม

๔. ฐปนะ การยั้งหรือหยุด พับปัญหาเสีย ไม่ตอบ

วิธีตอบ ๔ อย่างนี้แบ่งตามลักษณะของปัญหา ดังนั้น ปัญหาจึงแบ่งได้เป็น ๔ ประเภทตรงกับวิธีตอบเหล่านั้น

จะยกตัวอย่างปัญหาตามที่แสดงไว้ในคัมภีร์รุ่นหลังมาแสดงประกอบความเข้าใจ ดังนี้ *

๑.เอกังสพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรตอบอย่างเดียวเด็ดขาด เช่น ถามว่า จักษุไม่เที่ยง

ใช่ไหม ?

พึงตอบได้ทีเดียวแน่นอนลงไปว่า ใช่

๒. วิภัชชพยากรณียปัญหา ปัญหาที่แยกแยะ หรือ จำแนกตอบ เช่น ถามว่า สิ่งที่ไม่เที่ยง ได้แก่จักษุ

ใช่ไหม ?

พึงแยกแยะตอบว่า ไม่เฉพาะจักษุเท่านั้น แม้โสตะ ฆานะ เป็นต้น ก็ไม่เที่ยง

๓. ปฏิปุจฉาพยากรณียปัญหา ปัญหาที่ควรตอบโดยย้อนถาม เช่น จักษุฉันใด โสตะก็ฉันนั้น

โสตะฉันใด จักษุก็ฉันนั้น ใช่ไหม ?

พึงย้อนถามว่า มุ่งความหมายแง่ใด ถ้าถามโดยหมายถึงแง่ใช้ดูหรือเห็น ก็ไม่ใช่

แต่ถ้ามุ่งความหมายแง่ว่าไม่เที่ยง ก็ใช่

๔. ฐปนียปัญหา ปัญหาที่พึงยับยั้ง หรือพับเสีย ไม่ควรตอบ เช่น ถามว่า ชีวะกับสรีระคือ สิ่งเดียวกัน

ใช่ไหม ?

พึงยับยั้งเสีย ไม่ต้องตอบ


* ปัญหา ๔ มาใน ที.ปา.11/255/241 องฺ.ติก.20/507/253 ฯลฯ ตัวอย่างอธิบายมา

ในมิลินท.199 (ฉบับอักษรโรมัน หน้า 144) ที.อ.2/219;องฺ.อ.2/243

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 16:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


(คห.บน)

นั้นเป็นเพียงตัวอย่างสั้น ๆ ง่ายๆ เพื่อความเข้าใจในเบื้องต้น เมื่อโดยใจความ

ปัญหาแบบที่ ๑ ได้แก่ ปัญหาซึ่งไม่มีแง่ที่จะชี้แจงหรือไม่มีเงื่อนงำ จึงตอบแน่นอนลงไปอย่างใดอย่างหนึ่ง

ได้ทันที เช่น อีกตัวอย่างหนึ่งว่า คนทุกคนต้องตายใช่ไหม ? ก็ตอบได้ทันทีว่าใช่

ปัญหาแบบที่ ๒ ได้แก่เรื่องซึ่งมีแง่ที่จะต้องชี้แจง โดยใช้วิธีวิภัชชวาทแบบต่างๆที่กล่าวมาแล้ว

ปัญหาแบบที่ ๓ พึงย้อนถามทำความเข้าใจกันก่อนจึงตอบ หรือตอบด้วยการย้อนถาม หรือสอบถามไปตอบ

ไป อาจใช้ประกอบไปกับการตอบแบบที่ ๒ คือ ควบกับวิภัชชพยากรณ์

ใบบาลี พระพุทธเจ้าทรงใช้วิธีย้อนถามบ่อยๆ และด้วยการย้อนถามนั้นผู้ถามจะค่อยๆเข้าใจสิ่งที่เขาถามไปเอง

หรือช่วยให้เขาตอบปัญหาของเขาเองโดย พระองค์ทรงชี้แนะแง่คิดต่อให้ไม่ต้องทรงตอบ

ส่วนปัญหาแบบที่ ๔ ซึ่งควรยับยั้งไม่ตอบ ได้แก่คำถามเหลวไหลไร้สาระจำพวกหนวดเต่า เขากระต่าย

บ้าง ปัญหาที่เขายังไม่พร้อมที่จะเข้าใจ จึงยับยั้งไว้ก่อน หันไปทำความเข้าใจเรื่องอื่นที่เป็นการเตรียม

พื้นของเขาก่อน แล้วจึงค่อยมาพูดกันใหม่ หรือให้เขาเข้าใจได้เองบ้าง

ปัญหาที่ตั้งขึ้นมาไม่ถูก โดยคิดขึ้นจากความเข้าใจผิด ไม่ตรงตามสภาวะหรือไม่มีตัวสภาวะอย่างนั้นจริง *

เช่น ตัวอย่างในบาลีมีผู้ถามว่า ใครผัสสะ หรือ ผัสสะของใคร

ใครเสวยอารมณ์ หรือเวทนาของใคร เป็นต้น ซึ่งไม่อาจตอบตามที่เขาอยากฟังได้

จึงต้องยับยั้ง หรือ พับเสีย อาจชี้แจงเหตุผลในการไม่ตอบ* (* เช่น ม.ม. 13/150-152/147-

153 ฯลฯ)

หรือ ให้เขาตั้งปัญหาเสียใหม่ให้ถูกต้องตามสภาวะ *(* เช่น สํ.นิ 16/33-36/16-17 ฯลฯ)

:b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42: :b42:

* ท่านว่า ความเห็นความเข้าใจที่ทำให้ตั้งคำถามประเภทนี้ เกิดจากอโยนิโสมนสิการ

หรือจากปรโตโฆสะที่ผิด--ดู องฺ.ทสก.24/93/200 ฯลฯ

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 17:15 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ต่อไป จะยกข้อความในบาลีแหล่งต่างๆ มาแสดงตัวอย่างแห่งวิภัชชวาท


“สารีบุตร แม้รูปที่รู้ได้ด้วยตา เราก็กล่าวเป็น ๒ อย่าง คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี

คำที่ว่านี้ เรากล่าว โดยอาศัยเหตุผลอะไร ?

เมื่อเสพรูปที่รู้ได้ด้วยตาอย่างใด อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเสื่อมหาย

รูปที่รู้ได้ด้วยตาอย่างนี้ ไม่ควรเสพ

เมื่อเสพรูปที่รู้ได้ด้วยตาอย่างใด อกุศลธรรมทั้งหลายย่อมเสื่อมหาย กุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเจริญ

ยิ่งขึ้น รูปที่รู้ได้ด้วยตาอย่างนี้ควรเสพ...

“สารีบุตร แม้เสียง...แม้กลิ่น...แม้รส...แม้สิ่งต้องกาย...แม้ธรรมที่รู้ได้ด้วยใจ เราก็กล่าวเป็น ๒

อย่าง คือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี...” *

:b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48: :b48:

*ดู เสวิตัพพาเสวิตัพพสูตร, ม.อุ. 14/198/145-233/165 (กล่าวถึงปัจจัย ๔ บุคคลและสิ่งอื่นๆ

อีกหลายอย่าง

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


แก้ไขล่าสุดโดย กรัชกาย เมื่อ 03 พ.ย. 2012, 21:14, แก้ไขแล้ว 1 ครั้ง

โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 18:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย แม้จีวร เราก็กล่าวเป็น ๒ อย่างคือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี

คำที่ว่าดังนี้ เรากล่าว โดยอาศัยเหตุผลอะไร ?

บรรดาจีวรเหล่านั้น หากภิกษุทราบจีวรใดว่า เมื่อเราเสพจีวรนี้ อกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเจริญยิ่งขึ้น

กุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเสื่อมหาย จีวรอย่างนี้ไม่ควรเสพ

บรรดาจีวรเหล่านั้น หากภิกษุทราบจีวรใดว่า เมื่อเราเสพจีวรนี้ อกุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเสื่อมหาย

กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่งขึ้น จีวรอย่างนี้ควรเสพ...


“ภิกษุทั้งหลาย แม้บิณฑบาต...แม้เสนาสนะ...แม้หมู่บ้านและชุมชน...แม้ท้องถิ่นชนบท...

แม้บุคคล เราก็กล่าวเป็น ๒ อย่างคือ ที่ควรเสพก็มี ที่ไม่ควรเสพก็มี...”

(องฺ.ทสก.24/54/106 ฯลฯ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2010, 18:41 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


“ภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เข้าอยู่อาศัยแดนป่าแห่งใดแห่งหนึ่ง

เมื่อเธอเข้าอยู่อาศัยแดนป่านั้น สติที่ยังไม่กำกับอยู่ ก็ไม่กำกับอยู่

จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ไม่ตั้งมั่น

อาสวะทั้งหลาย ที่ยังไม่หมดสิ้นไป ก็ไม่ถึงความหมดสิ้นไป

ภาวะจิตปลอดโปร่งจากเครื่องผูกมัดอย่างสูงสุดที่ยังไม่ได้บรรลุ เธอก็หาบรรลุไม่

อีกทั้งสิ่งเกื้อหนุนชีวิต ที่บรรพชิตพึงเก็บรวบรวมได้ คือ จีวร...จีวร...บิณฑบาต...เสนาสนะ...

และเครื่องหยูกยาทั้งหลาย ก็มีมาโดยยาก

ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นดังนี้...จะเป็นกลางคืนก็ตาม กลางวันก็ตาม พึงหลีกไปเสียจากแดนป่านั้น ไม่พึงอยู่


“...เมื่ออยู่อาศัยแดนป่านั้น สติที่ยังไม่กำกับอยู่ ก็ไม่กำกับอยู่

จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ไม่ตั้งมั่น

อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่หมดสิ้น ก็ไม่ถึงความสิ้นไป

ภาวะจิตปลอดโปร่งจากเครื่องผูกมัดอย่างสูงสุดที่ยังไม่ได้บรรลุ เธอก็หาบรรลุไม่

แต่สิ่งที่เกื้อหนุนชีวิต...มีมาโดยไม่ยาก

ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นดังนี้...ตรองตระหนักแล้ว พึงหลีกไปเสียจากแดนป่านั้น ไม่พึงอยู่


“...เมื่ออยู่อาศัยแดนป่านั้น สติที่ยังไม่กำกับอยู่ ก็กำกับอยู่

จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น

อาสวะทั้งหลาย ที่ยังไม่หมดสิ้น ก็ถึงความสิ้นไป

ภาวะจิตปลอดโปร่งจากเครื่องผูกมัดอย่างสูงสุดที่ยังไม่บรรลุ เธอก็ค่อยบรรลุ

แต่สิ่งเกื้อหนุนชีวิต...มีมาโดยยาก

ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นดังนี้ว่า...เราออกจากเรือนบวชเป็นอนาคาริก มิใช่เพราะเห็นแก่จีวร

มิใช่เพราะเห็นแก่บิณฑบาต มิใช่เห็นแก่เสนาสนะ มิใช่เห็นแก่เครื่องหยูกยา

ก็แต่ว่า เมื่อเราอยู่แดนป่านี้ สติที่ยังไม่กำกับอยู่ก็กำกับอยู่

จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น...

ภิกษุนั้น ตรองตระหนักแล้ว พึงอยู่ในป่านั้น ไม่พึงหลีกไป


“...เมื่ออยู่อาศัยแดนป่านั้น สติที่ยังไม่กำกับอยู่ ก็กำกับอยู่

จิตที่ยังไม่ตั้งมั่น ก็ตั้งมั่น

อาสวะทั้งหลายที่ยังไม่หมดสิ้น ก็ถึงความหมดสิ้น

ภาวะจิตปลอดโปร่งจากเครื่องผูกมัดอย่างสูงสุดที่ยังไม่บรรลุ เธอก็ค่อยบรรลุ

อีกทั้งสิ่งเกื้อหนุนชีวิต...ก็มีมาโดยไม่ยาก

ภิกษุนั้น พิจารณาเห็นดังนี้...พึงอยู่ในป่านั้นแม้จนตลอดชีวิต ไม่พึงหลีกไป”


:b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41: :b41:

(วนปัตถสูตร 12/234-242/212-219) ท่านแปลลัดข้ามข้อความที่ซ้ำกันไปบ้าง เพื่อไม่ให้เยิ่น

เย้อ)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2010, 20:24 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 24 ต.ค. 2006, 12:36
โพสต์: 33766

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พระพุทธเจ้า: อานนท์ ศีลวัตร การบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์ การบำเรอสิ่งบูชา มีผลทั้งนั้น หรือ ?

อานนท์: พระองค์ผู้เจริญ ในข้อนี้ จะตอบลงไปข้างเดียวไม่ได้

พระพุทธเจ้า: ถ้าอย่างนั้น จงจำแนก

อานนท์: เมื่อเสพศีลวัตร การบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์ การบำเรอสิ่งบูชา อย่างใด อกุศลธรรมทั้งหลาย

ย่อมเจริญยิ่งขึ้น กุศลธรรมทั้งหลาย ย่อมเสื่อมหาย ศีลวัตร การบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์ การบวงบำเรอ

อย่างนี้ ไม่มีผล

เมื่อเสพศีลวัตร การบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์ การบำเรอสิ่งบูชาอย่างใด อกุศลธรรมทั้งหลาย

ย่อมเสื่อมหาย กุศลธรรมทั้งหลายย่อมเจริญยิ่งขึ้น ศีลวัตร การบำเพ็ญพรต พรหมจรรย์ การบำเรอ

สิ่งบูชาอย่างนี้มีผล


ท่านพระอานนท์ได้กราบทูลข้อความนี้แล้ว พระบรมศาสดาทรงพอพระทัย*

(องฺ.ติก.20/518/289)

.....................................................
https://dhammachati.blogspot.com/


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2010, 21:21 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2010, 21:01
โพสต์: 54

แนวปฏิบัติ: สติปัฏฐาน4
งานอดิเรก: ร้อยลูกปัด
ชื่อเล่น: พลอย
อายุ: 22
ที่อยู่: มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาบุญด้วยนะคะ ที่ช่วยเผยแผ่คำสอนดีๆแบบนี้


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 15 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 10 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร