วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 16:02  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2009, 05:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 9
สมาชิก ระดับ 9
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 เม.ย. 2009, 06:18
โพสต์: 731

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ชาวพุทธแท้จริงมีสติปัญญาสามารถวิเคราะห์อะไรจริงอะไรเท็จ..........
แล้วเรามีสัมมาทิฐิเชื่อถือยึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้าว่าเป็นทางเดียว..หนึ่งเดียวเท่านั้น
อะไรเท็จเราไม่ใส่ใจไม่ยึดมั่น ไม่ถือมาเป็นสาระ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 19 พ.ค. 2009, 13:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12233


 ข้อมูลส่วนตัว


ตัวเราต้องทำให้ตัวพ้นออกจากหล่มจากหลุมก่อน

จึงจะสามารถช่วยคนในหล่มในหลุมได้ดี ได้มาก

พระบอกว่า ไม่มีสิ่งใดไม่เกิดจากเหตุ พวกที่ไปเชื่ออะไรงมงาย ก็ต้องมาจากกรรมของเขาเอง

พวกที่ทำเหตุมาดีแล้ว จึงได้ผลที่ดี

ใครที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธเจ้า ต่อให้ไม่รู้ไม่เจตนา ก็ไม่พ้นกรรมไปได้ น่าสงสารเขานะ

ผมว่าผมเข้าใจความรู้สึกของ จขกท. นะ โกรธแค้นเพราะรักศาสนา ผมก็เคยเป็นเมื่อนานมาแล้ว

หากอยากจะช่วยคนดีให้หันมาทางนี้มาก ๆ ก็ให้รีบ ๆ ทำธรรมะให้กระจ่างแจ้งจนหลุดพ้นแก่ตัวเร็ว ๆ
จะเกิดประโยชน์ทั้งแก่ศาสนา และผู้คน อย่างแท้จริง

ใครใคร่ในอบายในนรก ก็ปล่อยเขา เดือดร้อนไปใย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 พ.ค. 2009, 16:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 3
สมาชิก ระดับ 3
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ม.ค. 2009, 18:57
โพสต์: 159


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ไม่ทำศาสนาเสื่อม

ภิกษุ ท.! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้ ย่อมทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. สี่ประการอะไรบ้างเล่า ? สี่ประการ คือ:-

(๑) ภิกษุ ท.! พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาถูก
ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันถูก ความหมายแห่งบทพยัญชนะที่ใช้กันก็ถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้องเช่นนั้น.

ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่หนึ่งซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๒) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุ เป็นคนว่าง่าย ประกอบ
ด้วยเหตุที่ทำให้เป็นคนว่าง่าย อดทน ยอมรับคำสั่งสอนโดยความเคารพหนักแน่น.

ภิกษุ ท.! นี่เป็นกรณีที่สอง ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๓) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุเหล่าใด เป็นพหุสูต คล่องแคล่ว
ในหลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) พวกภิกษุ
เหล่านั้น เอาใจใส่ บอกสอน เนื้อความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ,
เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับไป สูตรทั้งหลาย ก็ไม่ขาดเป็นมูลราก (อาจารย์) มีที่อาศัยสืบกันไป.

ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่สาม ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๔) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุผู้เถระ ไม่ทำการสะสม
บริกขาร ไม่ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา ไม่มีจิตตกต่ำ ด้วยอำ นาจ
แห่งนิวรณ์ มุ่งหน้าไปในกิจแห่งวิเวกธรรม ย่อมปรารภความเพียร เพื่อถึง
สิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง.
พวกภิกษุที่บวชในภายหลัง ได้เห็นพระเถระเหล่านั้น ทำแบบฉบับเช่นนั้นไว้ก็ถือ
เอาเป็นตัวอย่าง, พวกภิกษุรุ่นหลัง จึงเป็นพระที่ไม่ทำการสะสมบริกขาร ไม่
ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา ไมมีจิตตกต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ มุ่งหน้าไป
ในกิจแห่งวิเวกธรรม ย่อมปรารถความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่
ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง.

ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่สี่ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

ภิกษุ ท.! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้แล ย่อมทำให้รพะสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไปเลย.

-พระพุทธภาษิต จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๙๘/๑๖๐, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.
----------------------------
:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 03 มิ.ย. 2009, 12:42 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 2
สมาชิก ระดับ 2
ลงทะเบียนเมื่อ: 16 ม.ค. 2009, 09:03
โพสต์: 81


 ข้อมูลส่วนตัว


อ้างคำพูด:
ผู้ไม่ทำศาสนาเสื่อม

ภิกษุ ท.! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้ ย่อมทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป. สี่ประการอะไรบ้างเล่า ? สี่ประการ คือ:-

(๑) ภิกษุ ท.! พวกภิกษุในธรรมวินัยนี้ เล่าเรียนสูตรอันถือกันมาถูก
ด้วยบทพยัญชนะที่ใช้กันถูก ความหมายแห่งบทพยัญชนะที่ใช้กันก็ถูก ย่อมมีนัยอันถูกต้องเช่นนั้น.
ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่หนึ่งซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๒) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุ เป็นคนว่าง่าย ประกอบ
ด้วยเหตุที่ทำให้เป็นคนว่าง่าย อดทน ยอมรับคำสั่งสอนโดยความเคารพหนักแน่น.
ภิกษุ ท.! นี่เป็นกรณีที่สอง ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๓) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุเหล่าใด เป็นพหุสูต คล่องแคล่ว
ในหลักพระพุทธวจนะ ทรงธรรม ทรงวินัย ทรงมาติกา (แม่บท) พวกภิกษุ
เหล่านั้น เอาใจใส่ บอกสอน เนื้อความแห่งสูตรทั้งหลายแก่คนอื่น ๆ,
เมื่อท่านเหล่านั้นล่วงลับไป สูตรทั้งหลาย ก็ไม่ขาดเป็นมูลราก (อาจารย์) มีที่อาศัยสืบกันไป.
ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่สาม ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

(๔) ภิกษุ ท.! อีกอย่างหนึ่ง, พวกภิกษุผู้เถระ ไม่ทำการสะสม
บริกขาร ไม่ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา ไม่มีจิตตกต่ำ ด้วยอำ นาจ
แห่งนิวรณ์ มุ่งหน้าไปในกิจแห่งวิเวกธรรม ย่อมปรารภความเพียร เพื่อถึง
สิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง.
พวกภิกษุที่บวชในภายหลัง ได้เห็นพระเถระเหล่านั้น ทำแบบฉบับเช่นนั้นไว้ก็ถือ
เอาเป็นตัวอย่าง, พวกภิกษุรุ่นหลัง จึงเป็นพระที่ไม่ทำการสะสมบริกขาร ไม่
ประพฤติย่อหย่อนในไตรสิกขา ไมมีจิตตกต่ำด้วยอำนาจแห่งนิวรณ์ มุ่งหน้าไป
ในกิจแห่งวิเวกธรรม ย่อมปรารถความเพียร เพื่อถึงสิ่งที่ยังไม่ถึง เพื่อบรรลุสิ่งที่
ยังไม่บรรลุ เพื่อทำให้แจ้งสิ่งที่ยังไม่ทำให้แจ้ง.
ภิกษุ ท.! นี่เป็นมูลกรณีที่สี่ซึ่งทำให้พระสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไป.

ภิกษุ ท.! มูลเหตุสี่ประการเหล่านี้แล ย่อมทำให้รพะสัทธรรมตั้งอยู่ได้ไม่เลอะเลือนจนเสื่อมสูญไปเลย.

-พระพุทธภาษิต จตุกฺก. อํ. ๒๑/๑๙๘/๑๖๐, ตรัสแก่ภิกษุทั้งหลาย.


แล้วมีเวปที่สอนแบบนี้ถือว่าบิดเบือนหรือเปล่าหนอ.
http://www.whatami.8m.com/lum/lum98.html
http://www.whatami.8m.com/

:b8: ไม่เข้าใจเลยว่า ถ้าสอนแบบนี้เป็นอันตรายต่อผู้มาใหม่หรือเปล่า ก็มีคนในเวปนี้เข้าตอบปัญหามากเหมือนกันหรือเป็นแบบความคิดเดียวกัน ขอคำตอบหน่อยนะท่านทั้งหลาย มัน :b10: จริง ๆ ว่าสอนแบบนี้บิดเบือน หรือเป็นอีกแง่มุมที่เข้าใจเอาเอง โดยไม่สนใจในพระไตรปิฎกว่า คำสอนมีมากมาย พระสูตรไหนก็ถูกธรรมะหมด แต่ท่านเหล่านี้เอามาในแง่มุมเดียว สูงจนลิบลิ่วเกินไปสำหรับคนที่ยังศึกษาธรรมะได้แค่พื้นฐาน คือถ้าจะว่าง่าย ๆ ก็อย่าเอาความรู้ทึ่ตัวเองรู้มานั้น สอนกันให้คนอื่นรู้ตามเลย เพราะที่ตัวเองเรียนรู้ก็ความรู้ จากคัมภีร์พระไตรปิฎกนี้แหละ หรือท่านไปเรียนศาสตร์อื่น เล่มอื่นมาสอนกันหละ แล้วจะมาปรามาสว่าพระไตรปิฎกเชื่อถือไม่ได้อย่าใช้ตำรามาอ้าง อย่างนั้นหรือ การอ่านพระไตรปิฎกก่อนที่จะทำอย่างอื่น (ความคิดตัวเองนะ) น่าจะดีกว่าไปเรียนรู้จากครูบาฯอาจารย์แล้วไปทำตาม ผิดหรือถูก จะได้ทราบแน่ชัดว่าตำรา ว่าอย่างนี้การสอนทำไมเป็นแบบนี้ แต่นี่กล่าวหาอย่าง...........น่ากลัวมาก พระไตรปิฎกเป็นเสมือนตัวกฎหมายรัฐธรรมนูญ (เปรียบเทียบเท่านั้นนะ) แต่มาค้านว่าพระไตรปิฎกเป็นคัมภีร์แต่งหลอกคน โฮ ......แน่นะเนี๋ย...(ถ้าเป็นพวกวัตถุเช่นพระพุทธรูป)โอเคเลย ชัวร์ ผิดแน่ ๆ เพราะสอนใครให้ดีไม่ได้ แต่ทำให้เบิกบานชื่นใจหละพอได้ แต่ถ้ารู้เสียแล้ว ก็ไม่เอาเหมียนกัน แต่พระไตรปิฎก มีคำสอนมากมายหลายรูปแบบที่เราอ่านและนำไปใช้ได้ คุณค่าเทียบกันไม่ติดจริง ๆ มาตอบกันอีกยกนะ แต่อย่าโมโหกันนะ ความคิดใครความคิดมันละกัน :b8: (แต่อันนี้ความคิดข้าน้อยเหตุผลของข้าน้อยนะ)


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 04 มิ.ย. 2009, 19:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 พ.ค. 2009, 12:52
โพสต์: 21


 ข้อมูลส่วนตัว




yenta4-emoticon-0009.gif
yenta4-emoticon-0009.gif [ 3.84 KiB | เปิดดู 4221 ครั้ง ]
สิ่งที่ทำให้ศาสนาเสื่อม ไม่เสื่อม
ทุกนิบาต เล่ม20 ข้อ 266

พระผู้มีพระภาคได้ตรัสเหตุที่ทำให้เกิดการเลือนหายของพระพุทธศาสนานั้น
มีอยู่ 2ประการด้วยกัน คือ

1. ภาษาหนังสือที่ไม่ถูกต้อง
2. การถ่ายทอดไม่ดี

ในขณะเดียวกันพระพุทธองค์ได้ตรัสถึงเหตุที่ทำให้การไม่เลือนหาย (เสื่อม) ของพระพุทธศาสนาว่ามีอยู่ 2 ประการเช่นเดียวกัน คือ

1. ภาษาหนังสือที่ถูกต้อง
2. การถ่ายทอดถูกต้องชัดเจน

ทำไงถึงหยุดพวกที่บิดเบือนคำสอนของพระพุทธองค์ได้ครับ?
ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อนค่ะ เรื่องนี้ คิด พูด ทำ ในสิ่งที่ถูกต้องตามคำสอนของพระพุทธองค์
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 21:00 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว


พอเหอะ ไม่มีใครบิดเบือนหรอกแต่ว่าเข้าใจถูกบ้างผิดบ้างก็เอามาสอนกันเองในเว็บทำให้บางคนที่เขาไม่รู้เขาก็จะเข้าใจผิดตามไปด้วยก็แค่นั้นไม่ได้เรียกบิดเบือนหรอก หลายคนสอนแก้กรรมก็มี เช่น แก้กรรมที่ทำให้เรามีความรัก ไม่รู้กันเหรอว่าความรักมันคือกิเลส กิเลสคือสิ่งที่ทำให้เราทุกข์หรือสุขแต่ไม่ถาวรมีเกิดมีดับ ส่วนกรรมคือผลจากกิเลสครับ :b17:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 22:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 19 ก.ค. 2008, 15:51
โพสต์: 334

งานอดิเรก: ชอบเรื่องพลังงาน
สิ่งที่ชื่นชอบ: มิลินทปัญหา
ชื่อเล่น: อมร
อายุ: 63
ที่อยู่: 138 หมู่ที่ 1 ต.โนนคูณ อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ 36180

 ข้อมูลส่วนตัว www




T040609_07C66.gif
T040609_07C66.gif [ 25.49 KiB | เปิดดู 4198 ครั้ง ]
ผู้ดูแลสัตว์วิเศษ เขียน:
natdanai เขียน:
natdanai เขียน:
เพราะถ้าเราเองยังไม่รู้ว่าจริงๆแล้วพระพุทธเจ้าสอนอะไร สิ่งที่เรารู้อยู่ในสัญญานั้นย่อมเป็นอนิจจังเสมอ คือเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา เดี๋ยวจริง เดี๋ยวไม่จริง เดี๋ยวมี เดี๋ยวไม่มี เดี๋ยวใช่ เดี๋ยวไม่ใช่ กลับกลอกอยู่อย่างนี้แหละ จะไปยึดถือตรงไหนว่ามันจริง ว่ามันถูกต้อง เพราะเราเองก็ยังไม่รู้ เมื่อไม่รู้จริงแล้วไปอุปปาทานมันก็เป็นทุกข์ ร้อนรนในใจ อยู่อย่างนี้แหละ

พิจารณาตรงนี้ด้วยนะ..."คนเฝ้าสวนสัตว์"... :b13:


อวดเก่งไปเหอะ ไม่สนหรอก


อยากคิดอะไรก็เรื่องของคุณ จงเข้าใจผิดต่อไปเหอะ คุณไม่มีทางได้รู้หรอก ผมใช้อริยสัจ 4 เป็นหรอกน่า ไม่ต้องมาใช้แทนผมหรอก

[color=#0000FF]เอะๆ มันยังกันท่าน เคยได้เรียนมานานแล้วนะ

พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผุ้ใดไม่รู้ มีคนมาแนะนำบอกกล่าว ยอมรับคำบอกกล่าวนั้น เหมือนหนึ่ว่าเราได้ยื้นมือออกรับเอาขุมทรัพย์ที่ท่านยื้นให้นะ (เอามาเปรียบให้นะคำจริงท่านไม่ตรัสอย่างนี้หรอก)

แต่ผู้ใดไม่ยอมรับว่าตัวไม่รู้ไม่รับเอาขุมทรัพย์ที่ท่านยื้นให้นั้นก็.......ท่านวรานนท์ช่วยด้วย

ค่อยๆ ปรึกษาหาลือกันท่านเอ่ย อย่ามาถะเลาะกันเองเลยเขาจะหัวเราะเยะเอานะ

เดี่ยวจะหาว่าไม่เตือนกันนะ เขายิ่งชอบใจ ถ้าเรามัวถะเราะกันเอง
[/color]

.....................................................
ทำบุญตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาทำบุญอุทิศหา รักษาศีลตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาเคาะโลงลุกขึ่นมารักษาศีล เข้าวัดตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่ ดีกว่าตายแล้วให้เขาหามเข้าแล้วเผาเลย ฮิฮิฮิ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 มิ.ย. 2009, 14:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 13 เม.ย. 2009, 13:23
โพสต์: 607


 ข้อมูลส่วนตัว




.gif
.gif [ 15.61 KiB | เปิดดู 4158 ครั้ง ]
พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า ผุ้ใดไม่รู้ มีคนมาแนะนำบอกกล่าว ยอมรับคำบอกกล่าวนั้น เหมือนหนึ่ว่าเราได้ยื้นมือออกรับเอาขุมทรัพย์ที่ท่านยื้นให้นะ (เอามาเปรียบให้นะคำจริงท่านไม่ตรัสอย่างนี้หรอก)

แต่ผู้ใดไม่ยอมรับว่าตัวไม่รู้ไม่รับเอาขุมทรัพย์ที่ท่านยื้นให้นั้นก็.......ท่านวรานนท์ช่วยด้วย

:b32: :b32: อยากด่าผมว่าอะไรก็เชิญเลย แต่ ท่านไม่ได้หมายความอย่างนั้นหรอก
ท่านบอกว่าไม่จำเป็นต้องเชื่อท่าน ท่านให้เราพิจารณา คุณเข้าใจความหมายท่านไหมหล่ะ ผมเข้าใจดีเลยแหละ ผมอยากจะบอกคุณว่าท่านไม่ได้บอกให้เชื่อท่านทุกอย่างตามที่คุณเล่าว่าท่านบอกหรอกให้เชื่อท่านทุกอย่าง ผมหน่ะเชื่อท่านอยู่ แต่ ผมอ่านเจอในหนังสือหน่ะ ว่าท่านไม่ได้บอกให้เชื่อท่านทุกอย่าง ผม ผมพิจารณาแล้วว่ามันใช่ :b6: :b6: :b6: ถ้าคุณอยากจะด่าผมว่าอะไรก็เรื่องของคุณเถอะ ผมไม่ถือหรอกบอกไว้เลย
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 มิ.ย. 2009, 23:30 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 พ.ย. 2008, 22:09
โพสต์: 3


 ข้อมูลส่วนตัว


คนเรา....รู้ไปซะทุกอย่างครับ...ยกเว้นใจตัวเอง.. ..


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 24 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 25 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร