วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2011, 16:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ตายแล้วไปไหน ?
รวบรวมและจัดทำเป็นหนังสือโดย...
คุณคณิตพร บุณยเกียรติ และคณะ

________________________________________

เรื่อง “ตายแล้วไปไหน” นี้ คุณคณิตพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก) และคณะได้รวบรวมและจัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ 7 ตุลาคม 2544 หนังสือเล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆ มีความยาวหลายร้อยหน้า ดังนั้นเพื่อให้สะดวกแก่การติดตามบน Internet จึงขอแบ่งเนื้อหาออกเป็นภาคต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละภาคก็จะแบ่งเป็นเรื่อง ๆ ตามสารบัญของหนังสือครับ ครบสมบูรณ์แล้วเมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2545

ภาคที่ 1 : แดนเกิดและประสบการณ์การตาย

เกริ่น คำบอกเล่า

เรื่องที่ 1 ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน, แดนเกิด 5 สาย

เรื่องที่ 2 ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา

เรื่องที่ 3 ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)

________________________________________
ภาคที่ 2: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปพระนิพพาน

เรื่องที่ 4 การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก

เรื่องที่ 5 พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า

เรื่องที่ 6 พระวักกลิบวชเพราะต้องการเห็นความสวยของพระพุทธเจ้า

เรื่องที่ 7 พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว...

เรื่องที่ 8 ท่านปุตตะภิกขุ (โอภาสี) ได้บรรลุอรหันต์เข้าสู่พระนิพพาน

เรื่องที่ 9 ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน

เรื่องที่ 10 หลวงปู่จันทร์, หลวงปู่ใหญ่, หลวงปู่ขนมจีน(เส็ง), หลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้.....

เรื่องที่ 11 หลวงปู่ดู่ วันสะแก จ.พระนครศรีอยุธยา

เรื่องที่ 12 หลวงปู่สด วัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มรณภาพแล้วท่านไปพระนิพพาน

เรื่องที่ 13 หลวงพ่อฯ เขียนถึงการมรณภาพของหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล จ.เชียงใหม่

เรื่องที่ 14 สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ ท่านบอกแก่แล้วไม่รู้จะไปไหน เลยตั้งใจไปนิพพาน

เรื่องที่ 15 สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ทรงลาพุทธภูมิ เมื่อวันที่.....

เรื่องที่ 16 พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิง วิภาวดีรังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัย ทรงเปล่งวาจาว่า....

เรื่องที่ 17 โยม น้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพาน ในบรรดาศิษย์รุ่นแรกของหลวงพ่อฯ

เรื่องที่ 18 ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปอยู่แดนพระนิพพาน

เรื่องที่ 19 หลวงพ่อฯ เขียนไว้อาลัย....(๑)

เรื่องที่ 20 หลวงพ่อฯ เขียนไว้อาลัย....(๒)

เรื่องที่ 21 หลวงพ่อฯ ไปพบลูกศิษย์ ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน

เรื่องที่ 22 หลวงพ่อฯ พาโยมพ่อ, โยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน

เรื่องที่ 23 ชวนเทวดา, นางฟ้า, พรหม ไปพระนิพพาน

________________________________________
ภาคที่ 3: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นพรหม, อรูปพรหม

เรื่องที่ 24 ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๔ (ท่านสหัมบดีพรหมองค์ปัจจุบัน)

เรื่องที่ 25 สมเด็จพระสังฆราชวัดราชบพิตรฯ สิ้นพระชนม์เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๑

เรื่องที่ 26 พระราชอุทัยกวี เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นพรหมอนาคามี

เรื่องที่ 27 ตายจากพระสงฆ์ไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราช แล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑

เรื่องที่ 28 ตายจากคนไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๘

เรื่องที่ 29 พระพินิจอักษร (ท่านทองดี) มาบอกหลวงพ่อว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗

เรื่องที่ 30 พระเทพวิสุทธิเมธี วัดอนงคาราม มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗

เรื่องที่ 31 พระสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาทมรณภาพ ท่านมาบอกว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗

เรื่องที่ 32 พระมหาทองปอนด์ วันม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพเมื่อ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒

เรื่องที่ 33 พระสงฆ์มรณภาพเนื่องจากเครื่องบินตกแล้วไปเกิดเป็นพรหมกับเป็นเทวดา

เรื่องที่ 34 ท่านอาฬารดาบสกับท่านอุทกดาบส ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม

________________________________________
ภาคที่ 4: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดบนสวรรค์

เรื่องที่ 35 ท่านพระยามาราธิราชเวลานี้ท่านไปเกิดเป็นหัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

เรื่องที่ 36 น้องสาวคนเล็กอายุ ๔ ขวบของอาตมาตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

เรื่องที่ 37 ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

เรื่องที่ 38 ตายจากคนพม่าแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัตตี

เรื่องที่ 39 สองพี่น้องตายจากคน คนพี่ไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนคนน้องไปเกิดบนสวรรค์ชั้นนิมมานรดี

เรื่องที่ 40 ท่านธรรมิกอุบาสกตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

เรื่องที่ 41 พระศรีอาริยเมตไตรยปรารถนาพระโพธิญาณจึงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

เรื่องที่ 42 หลวงพ่อปานวัดบางนมโคปรารถนาพระโพธิญาณมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

เรื่องที่ 43 หลวงปู่พระครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

เรื่องที่ 44 พระเยซูตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

เรื่องที่ 45 ก่อนจะตายเป็นพระโสดาบันตายแล้วไปอยู่สวรรค์ชั้นดุสิต

เรื่องที่ 46 ตายจากคนซึ่งได้ทิพย์จักขุญาณดูหมอได้แล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นยามา

เรื่องที่ 47 ตายจากความเป็นคนไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา

เรื่องที่ 48 หลวงปู่พระครูบาธรรมชัย (พระครูวรเวทย์วิสิฐ) มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดุสิต

เรื่องที่ 49 ตายจากแม่ชีไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา

เรื่องที่ 50 ตายจากทายกวัดไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา

เรื่องที่ 51 ตายจากคนไปอยู่ที่สำนักพระยายมราชนึกได้แต่อาตมาอย่างเดียวไปเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา

เรื่องที่ 52 ท่านมาฆมาณพตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านพระอินทร์ หัวหน้าเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 53 คนทำบุญนอกพระพุทธศาสนาตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา มีอานิสงส์น้อยกว่าคนที่ทำบุญในพระพุทธศาสนา

เรื่องที่ 54 ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพระกาล เป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 55 ก่อนตายนึกถึงพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 56 ตายจากคนที่ “ความชั่วมีมาก ความดีไม่ปรากฎ” แล้วไปเกิดเป็นเทวดา

เรื่องที่ 57 ตายจากคนจนถวายข้าวตอก ๑ ขัน เพียงครั้งเดียวไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 58 ตั้งใจถวายดอกบวบขมตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 59 ปลูกต้นมะม่วงล้อมวิหาร ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนแดนสวรรค์

เรื่องที่ 60 ถวายอ้อยแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 61 โมทนาบุญอย่างเดียวตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 62 พระจนมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 63 ท่านท้าวเทพกษัตรีกับท่านท้าวศรีสุนทรได้มาบอกว่าท่านอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 64 พระวิสุทธาธิบดี วัดไตรมิตรฯ มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 65 หลวงตานาบวช ๒๐ พรรษาที่วัดท่าซุงแล้วสึก เมื่อตายแล้วไปอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 66 ท่านยายหลวงพ่อตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 67 คนบ้านอยู่ใกล้วัดบางนมโค ตายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 68 ตายจากคนเมื่อ ๘ กันยายน ๒๕๓๑ ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 69 ตายจากหญิงแก่ชอบถวายสังฆทานไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 70 ตายจากคนอาชีพจับปูทะเลขายแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 71 ตายจากคนที่มีอาชีพรับจ้างขนปลาจากเรือตังเกไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 72 หลวงพ่อตอบคำถามศิษย์ที่ถามถึงผู้ที่ตายไปแล้วไปเกิดเป็นอะไร (เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๑๗)

เรื่องที่ 73 เทวดาสวรรค์ชั้นดาวดึงส์มาขออาตมาให้บวชเณรให้เพราะขาดอานิสงส์บวชเณร

เรื่องที่ 74 ท่านกวนอูตายแล้วไปสวรรค์

เรื่องที่ 75 มีอาชีพฆ่าหมูตายแล้วไปสวรรค์

เรื่องที่ 76 พยานบุญ-พยานบาปที่สำนักท่านพระยายมราช

เรื่องที่ 77 ทำบุญทางธนาณัติตายจากคนไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนแดนสวรรค์

เรื่องที่ 78 เคยบวชพระตายแล้วไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 79 ตายก่อนบวชไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 80 ตายจากคนที่ปรารถนาพุทธภูมิไปรอที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 81 ตายจากหญิงชาวสวนไปรอยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 82 ชายเจ้าชู้ถูกฆ่าตายไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 83 ตายท้องกลมไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 84 เคยทำแท้งแล้วไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 85 ตายเด็กหญิงอายุ ๔ ขวบ ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นนางฟ้าบนแดนสวรรค์

เรื่องที่ 86 ตายจากเด็กหญิงอายุ ๗ ขวบ ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 87 ตายจากเด็กหญิงอายุ ๑๐ ปี ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 88 ตายจากหญิงสาวอายุ ๑๘ ปี ไปรออยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 89 ตายจากคนมาบอกให้ลูกถวายสังฆทานให้โมทนาแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 90 ตายจากคนไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชโมทนาบุญพระกรรมฐานแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

เรื่องที่ 91 ตายจากคนมาบอกลูกสาวว่าข้าวของที่เผาไปไม่ได้รับ ให้ถวายสังฆทานแล้วอุทิศส่วนกุศลเจาะจงให้เฉพาะ

เรื่องที่ 92 ตกเครื่องบินตาย มีคนถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้รับไม่ได้คนเดียวเพราะปรามาสพระพุทธเจ้า

เรื่องที่ 93 ลูกชายแทงตัวเองตายถึง ๗ แผล มาบอกให้แม่ทำบุญอุทิศส่วนกุศลออกชื่อเขาโดยเฉพาะคนเดียว

เรื่องที่ 94 ก่อนตาย ๗ วันคลุ้มคลั่งมาก ลูกจึงเอาพระหลวงพ่อไปคล้องคอให้ เลยมีจิตสบายแล้วหลับตายไปเลย

เรื่องที่ 95 ตายจากเด็กหญิงอายุ ๑๐ ปี ไปอยู่ที่สำนักพระยายมราช หลวงพ่อให้เธอโมทนาบุญเพื่อได้บุญมากขึ้น

เรื่องที่ 96 ผีผู้หญิงออกลูกตายกับผีผู้ชายถูกยิงตายมาขอบุญหลวงพ่อ โมทนาแล้วไปเกิดเป็นเทวดา

เรื่องที่ 97 หลวงพ่อไปนอนพักรักษาตัวในโรงพยาบาล คนไข้ที่ตายที่เตียงหลวงพ่อนอนมาขอบุญ

เรื่องที่ 98 ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นท่านท้าวมหาราชบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช

เรื่องที่ 99 ท่านหลวงตาอินมรณภาพแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีหน้าที่ยืนยามอยู่ทาง ๔ แพร่ง สวรรค์เขตจาตุมหาราช

เรื่องที่ 100 ตายจากกษัตริย์ไปเกิดเป็นท่านท้าวมหานาคาเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช

เรื่องที่ 101 เจ้ายี่พระยาท่านมาบอกหลวงพ่อว่าท่านอยู่ชั้นจาตุมหาราช

เรื่องที่ 102 ท่านขุนไกรตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาชั้นจาตุมหาราช

เรื่องที่ 103 ตายจากคนไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช

เรื่องที่ 104 ตายจากคนซึ่งรักษาอุโบสถศีลเพียงครึ่งวันไปเกิดเป็นรุกขเทวดาสวรรค์เขตจาตุมหาราช

เรื่องที่ 105 ท่านรุกขเทวดาที่เสาตกนํ้ามันบ้านคุณเฉลิม คงทอง เป็นเทวดาสวรรค์เขตจาตุมหาราช

เรื่องที่ 106 ท่านรุกขเทวดาที่เสาตกนํ้ามันมาหาหลวงพ่อที่วัดชิโนรสเป็นเทวดาเขตจาตุมหาราช

เรื่องที่ 107 ท่านรุกขเทวดาที่ต้นตะเคียน วัดบางนมโค เป็นเทวดาสวรรค์เขตจาตุมหาราช

เรื่องที่ 108 ตายจากหญิงแก่ที่มีกังวลมากไปอยู่ที่สำนักพระยายมราชแล้วไปเกิดเป็นรุกขเทวดา สวรรค์เขตจาตุมหาราช

เรื่องที่ 109 ตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดารักษาเขตที่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตจังหวัดภูเก็ต สวรรค์เขตจาตุมหาราช

เรื่องที่ 110 ขุนสมาหารราชวัตรตายจากคนไปเกิดเป็นเทวดาสวรรค์เขตจาตุมหาราช

เรื่องที่ 111 ตายจากคนอเมริกันที่ให้ทานกับคนที่มีศีลมีธรรมน้อยจึงไปเกิดเป็นภุมเทวดาที่มีบุญน้อยมาก

เรื่องที่ 112 คนชาติฝรั่งตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดารักษาพื้นที่ที่ชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกา

เรื่องที่ 113 นายพลโตโจอดีตแม่ทัพใหญ่ของญี่ปุ่นสมัยสงครามโลกครั้งที่สองมาบอกหลวงพ่อว่า "ท่านไม่ตกนรก"

เรื่องที่ 114 ลักษณะของผีปลวก

________________________________________
ภาคที่ 5: ตายแล้วกลับไปเกิดเป็นคน

เรื่องที่ 115 จากพรหมมาเกิดเป็นคน

เรื่องที่ 116 ตั้งใจถวายสังฆทานกับพระพุทธเจ้าตายแล้วไปเกิดบนแดนสวรรค์แล้วกลับลงมาเกิดเป็นลูกมหาเศรษฐี

เรื่องที่ 117 ในชาติก่อนซ่อมพระพุทธรูปที่ปรักหักพัง ตายแล้วมาเกิดเป็นคนที่มีความสาวความสวยไม่เปลี่ยนแปลงจนอายุ ๑๒๐ ปี

เรื่องที่ 118 ตายจากมหาเศรษฐีที่ "ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ" ไปเกิดเป็นลูกคนขอทาน

เรื่องที่ 119 เจ้าคุณราชสิทธาจารย์ท่านตายจากคนไปเกิดเป็นคนใหม่

เรื่องที่ 120 ตายจากคนที่ถูกเพื่อนฆ่าตาย กลับมาเกิดเป็นคนใหม่

________________________________________
ภาคที่ 6: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัมภเวสี

เรื่องที่ 121 ท่านอายุวัฒนกุมารจะต้องตายเพราะอุปฆาตกรรม พระพุทธเจ้าทรงช่วยไว้จึงไม่ต้องเป็นสัมภเวสี

เรื่องที่ 122 เด็กชายณัฐพร ครุฑานนท์ ตายจากคนเป็นสัมภเวสี

เรื่องที่ 123 นายเสนอ ตายจากคนไปเกิดเป็นสัมภเวสี

เรื่องที่ 124 ตายจากคนซึ่งอยู่ข้างๆ วัดบางนมโค จังหวัดพระนครศรีอยุธยาไปเกิดเป็นสัมภเวสี

เรื่องที่ 125 ศีลขาดเป็นปกติตายแล้วไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราชแล้วไปเป็นสัมภเวสี

เรื่องที่ 126 ออกลูกตายไปเกิดเป็นสัมภเวสี เข้ามาขอบุญหลวงพ่อในโบสถ์

เรื่องที่ 127 หลวงพ่อเห็นผีปอบที่ท่าลาน

________________________________________
ภาคที่ 7: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน

เรื่องที่ 128 ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นพญานาคมีนามว่า "พญาเอรกปัตตนาคราช"

เรื่องที่ 129 ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นตัวหนอนอยู่ในกองขี้ควาย

เรื่องที่ 130 พระติสสะก่อนตายจิตนึกถึงจีวรแพรผืนใหม่ ตายแล้วไปเกิดเป็นเล็นเฝ้าจีวรอยู่ ๗ วัน

เรื่องที่ 131 ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเต่า

เรื่องที่ 132 ตายจากคนไปเกิดเป็นสุนัข,เป็นเทวดาที่มีเสียงดังกึกก้องบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 133 ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นนกยาง

เรื่องที่ 134 ตายจากคนไปเกิดเป็นวัว

________________________________________
ภาคที่ 8: ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นมนุษย์

เรื่องที่ 135 ตายจากควายป่ากลับมาเกิดเป็นคน ฆ่าคนเป็นพัน เมื่อพบพระพุทธเจ้าก็ได้บรรลุอรหัตผล

เรื่องที่ 136 ตายจากค้างคาวไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลกแล้วลงมาเกิดเป็นคนได้สำเร็จอรหัตผล

เรื่องที่ 137 ตายจากงูเหลือมไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์แล้วลงมาเกิดเป็นคนได้สำเร็จอรหัตผล

เรื่องที่ 138 ตายจากช้างและลิงไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 139 ตายจากช้างมาเกิดเป็นคนแล้วบวชเป็นแม่ชี

เรื่องที่ 140 ตายจากแมวไปเกิดเป็นคน

________________________________________
ภาคที่ 9: ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นพรหม,เป็นเทวดา

เรื่องที่ 141 ตายจากสุนัขชื่อ "ปุย" ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗

เรื่องที่ 142 สุนัขชื่อ "สิงห์ดอก" ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี

เรื่องที่ 143 ตายจากสุนัขชื่อ "โคล่า" ไปเกิดเป็นเทวดา

เรื่องที่ 144 สุนัขที่วัดท่าซุงตายแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ฟังเทศน์แล้วเลื่อนไปอยู่สวรรค์ชั้นยามา

เรื่องที่ 145 ตายจากสุนัขชื่อ "เจ้าขุน" อยู่ที่วัดท่าซุง ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 146 ตายจากกบไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 147 ตายจากไก่ไปเกิดเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 148 ตายจากสุนัขไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดงส์และอธิษฐานลงมาเกิดเป็นปลายักษ์ยาว ๑ โยชน์

________________________________________
ภาคที่ 10: ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นเปรต

เรื่องที่ 149 ตายจากกาไปเกิดเป็นเปรตมีชื่อว่า "กากะเปรต"

________________________________________
ภาคที่ 11: ตายจากความเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้วไปเกิดเป็นสัตว์นรก

เรื่องที่ 150 ตายจากปลามีเกล็ดเป็นสีทองแล้วไปอยู่ในอเวจีมหานรก

________________________________________
ภาคที่ 12: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นอสุรกาย

เรื่องที่ 151 พ้นจากสภาวะความเป็นเปรตแล้วก็ต้องมาเกิดเป็นอสุรกาย

________________________________________
ภาคที่ 13: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเปรต

เรื่องที่ 152 พระสารีบุตรช่วยมารดาในอดีตที่ผ่านมาแล้ว ๑๐๐ ชาติได้ตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต

เรื่องที่ 153 เปรตญาติพระเจ้าพิมพิสาร

เรื่องที่ 154 ขณะมีชีวิตไม่เคยทำบุญให้ทานตายจากคนไปเกิดเป็นเปรตภรรยาตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญขณะสามีเจริญพระกรรมฐาน

เรื่องที่ 155 ภรรยาตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญขณะสามีเจริญพระกรรมฐาน

เรื่องที่ 156 ตายจากพระสงฆ์ไปเกิดเป็นเปรต

เรื่องที่ 157 ตายจากคน (ผู้หญิงแขก) ไปเกิดเป็นเปรตมาขอบุญอาตมาแล้วไปเกิดบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก

เรื่องที่ 158 สองสาวพี่น้องตายจากคนไปเกิดเป็นเปรต

เรื่องที่ 159 ตายจากคนเป็นผู้พิพากษาแล้วไปเกิดเป็นเวมาณิกเปรต

________________________________________
ภาคที่ 14: ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดในแดนนรก

เรื่องที่ 160 พระนางมัลลิกาเทวีมีจิตเศร้าหมองนิดเดียว ตายแล้วต้องเอาเท้าขวาแค่ตาตุ่มไปแหย่ในนรก ๗ วันมนุษย์

เรื่องที่ 161 พระเจ้าอชาตศัตรูตายจากความเป็นคนไปอยู่โลหะกุมภีเป็นยมโลกียนรกขุมที่ ๑

เรื่องที่ 162 ตายจากขุนนางใหญ่ไปลงนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๕

เรื่องที่ 163 ตายจากพระสงฆ์ไปตกนรกขุมใหญ่ขุมที่ ๗ (มีชื่อว่ามหาตาปะนรก)

เรื่องที่ 164 พระเทวทัตตายจากความเป็นคนไปอยู่ในอเวจีมหานรก

เรื่องที่ 165 ตายจากพระสงฆ์ที่บวชมา ๓๐ ปีเศษไปลงอเวจีมหานรก

เรื่องที่ 166 ตายจากพระสงฆ์ที่บวชตั้งแต่อายุ ๑๐ ปีเศษถึง ๗๐ ปีเศษไปลงอเวจีมหานรก

เรื่องที่ 167 ตายจากพระสงฆ์ทำตัวเรียบร้อยแต่โทษกาเมมีเป็นปกติไปลงอเวจีมหานรก

เรื่องที่ 168 ตายจากนักบวชเคยมีฌานสมาบัติในตอนต้นแต่ตอนท้ายเป็นมิจฉาทิฏฐิ ไปลงอเวจีมหานรก

เรื่องที่ 169 ตายจากพระสงฆ์มีเงินให้กู้ ไม่ผ่านสำนักพระยายมราชลงนรกเลย

เรื่องที่ 170 ทายกวัดตายแล้วไปลงอเวจีมหานรก

เรื่องที่ 171 โลกันตนรกเป็นนรกขุมพิเศษมีโทษหนักกว่าอเวจีมหานรก

________________________________________
ภาคที่ 15: ปกิณกะ

เรื่องที่ 172 คนใกล้จะตายควรแนะนำอย่างไร

เรื่องที่ 173 คนก่อนจะตายต้องเห็นนิมิตก่อน

เรื่องที่ 174 คาถาท่านพระยายมราช

เรื่องที่ 175 เจ้ากรรมนายเวร

เรื่องที่ 176 การอุทิศส่วนกุศลให้คนตาย

________________________________________
ภาคที่ 16: ประตูไปสวรรค์ พรหม นิพพาน

เรื่องที่ 177 ศีลบริสุทธิ์

เรื่องที่ 178 เรื่อง..สมาธิ

เรื่องที่ 179 เรื่อง..ปัญญา

________________________________________

:b8: จาก HTTP://WWW.WATONWEB.COM/2010-09-13-10-06-37.HTML


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ค. 2011, 17:17 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหนภาคที่ 1 แดนเกิดและประสบการณ์การตาย

เรื่อง "ตายแล้วไปไหน" นี้ คุณคณิตพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก) และคณะได้รวบรวมและจัดทำขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกเนื่องในวันคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อฯ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๔ หนังสือเล่มนี้แบ่งเนื้อหาออกเป็นตอน ๆ มีความยาวหลายร้อยหน้า ดังนั้นเพื่อให้สะดวกแก่การติดตามบน Internet จึงขอแบ่งเนื้อหาออกเป็นภาคต่าง ๆ ซึ่งในแต่ละภาคก็จะแบ่งเป็นเรื่อง ๆ ตามสารบัญของหนังสือครับ
ครบสมบูรณ์แล้วเมื่อ 9 พ.ค. 2545

ภาคที่ 1 : แดนเกิดและประสบการณ์การตาย

เกริ่น คำบอกเล่า

เรื่องที่ 1 ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน, แดนเกิด ๕ สาย

เรื่องที่ 2 ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค จ.พระนครศรีอยุธยา

เรื่องที่ 3 ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)

________________________________________
คำบอกเล่า


เนื่องในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดของพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ในปีนี้ตรงกับวันอาทิตย์ที่ ๗ ตุลาคม ๒๕๔๔ เพื่อเป็นการระลึกถึงพระคุณความดีของหลวงพ่อ ข้าพเจ้าและคณะศิษย์หลวงพ่อได้จัดพิมพ์หนังสือเรื่อง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” เพื่อให้ท่านผู้อ่านได้ทราบตามความเป็นจริงว่า “คนที่ตายไปแล้วไม่สูญ” เรื่องนรก สวรรค์ พรหม และพระนิพพาน นั้นมีจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ และหลวงพ่อได้นำวิชา “มโนมยิทธิ” มาสอนบรรดาคณะศิษย์ให้ฝึกไปพิสูจน์ความจริงด้วยตนเอง จะได้หมดความสงสัยและมีความมั่นใจในการปฏิบัติเพื่อให้เกิดมรรคผล

ข้าพเจ้าคิดที่จะทำหนังสือเรื่อง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” เพื่อแจกเป็นที่ระลึกในงานทำบุญวันคล้ายวันเกิดหลวงพ่อมานานแล้ว แต่ติดในด้านทุนทรัพย์ในการจัดพิมพ์เนื่องจากค่าใช้จ่ายสูง จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อปลายเดือนธันวาคมปีที่แล้ว ได้มีโอกาสคุยเรื่องนี้กับหลวงพี่สมปอง ท่านฟังแล้วก็บอกว่าให้เริ่มลงมือทำได้เลยให้ทันแจกในปีนี้ ท่านและคณะธัมมวิโมกข์ของท่านจะช่วยพิมพ์ต้นฉบับ และจัดทำรูปเล่มให้ทั้งหมด พร้อมทั้งจะช่วยหาทุนให้ด้วย ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจมาก หลังจากนั้นจึงมากราบเรียนขออนุญาตท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺธญาโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุง ท่านก็มีเมตตาอนุญาตให้พิมพ์ได้

เรื่องราวทั้งหมดในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้ารวบรวมคำสอนของหลวงพ่อที่ท่านพูดเกี่ยวกับคนที่ตายไปแล้วไปเกิดในแดนนรก แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน เป็นเรื่องพระสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้บ้าง และเรื่องที่หลวงพ่อท่านได้ประสบมาเองบ้าง เนื่องจากเรื่องที่หลวงพ่อท่านนำมาสอนนั้นมีมากมายหลายเรื่อง ข้าพเจ้าจึงรวบรวมมาเท่าที่จะมีเวลาทำได้ จากหนังสือหลายๆ เล่มของหลวงพ่ออาทิ หนังสือธัมมวิโมกข์ หนังสืออ่านเล่น หนังสือไตรภูมิ ฯลฯ ส่วนใหญ่ของเรื่องต่างๆ ที่จัดพิมพ์ไว้ในหนังสือเล่มนี้ หลายท่านที่มาฝึกญาณ ๘ ที่บ้านสายลมสามารถฝึกไปพิสูจน์ด้วยตนเอง ว่าเป็นความจริงตรงตามที่หลวงพ่อได้ประสบมา และนำมาเล่าให้คณะศิษย์ฟัง

ทุนทรัพย์ในการจัดพิมพ์หนังสือเล่มนี้ เป็นศรัทธาของบรรดาคณะศิษย์หลวงพ่อที่เป็นญาติผู้ใหญ่ พี่ๆ น้องๆ ที่ปฏิบัติธรรมด้วยกัน ช่วยกันบริจาคทรัพย์มากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธา โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่มาฝึกญาณ ๘ ที่บ้านสายลมได้ช่วยกันรวบรวมเงินมาเป็นค่าพิมพ์ด้วยความศรัทธาและเต็มใจจริงๆ ทำให้ข้าพเจ้ามีความซาบซึ้งใจเป็นอย่างมาก และขออนุโมทนากับทุกท่านที่มีจิตศรัทธาเป็นบุญกุศล ถ้าหากมีการขาดตกบกพร่องหรือข้อผิดพลาดประการใดในหนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมรับไว้แต่เพียงผู้เดียว

หนังสือเล่มนี้สำเร็จได้ด้วยอำนาจพระบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ พระอริยสงฆ์ทั้งหมด ครูบาอาจารย์ท่านผู้มีพระคุณทั้งหมด ตลอดจนพรหมและเทวดาทั้งหมด อันมีองค์หลวงพ่อและท่านแม่เป็นที่สุด ท่านมีพระเมตตาสงเคราะห์ช่วยเหลือ

ผลบุญใดที่จะพึงมีขึ้นจากการพิมพ์หนังสือเล่มนี้ ข้าพเจ้าขอน้อมกราบถวายเพื่อบูชาพระคุณความดีขององค์หลวงพ่อที่มีต่อข้าพเจ้าและบรรดาคณะศิษย์หลวงพ่อ ให้ได้พบวิธีปฏิบัติตนเพื่อการพ้นทุกข์ ไม่ต้องกลับมาเกิดพบกับความทุกข์อีกต่อไป

ในที่สุดนี้ ธรรมใดที่องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุแล้ว และธรรมใดที่องค์หลวงพ่อเข้าถึงแล้ว ขอให้ข้าพเจ้าและท่านผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคทุนทรัพย์ในการพิมพ์ครั้งนี้ ตลอดจนท่านผู้อ่านหนังสือเล่มนี้ทุกๆ ท่าน จงเกิดปัญญาในการตัดกิเลสและเข้าถึงที่สุดของธรรมนั้นโดยฉับพลันในชาติปัจจุบันนี้โดยมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์และปราศจากทุกขเวทนาใดๆ ทั้งปวงด้วยเถิด.

คณิตพร บุณยเกียรติ (เปี๊ยก)
๗ ตุลาคม ๒๕๔๔
เรื่องที่ ๑
ตายไม่สูญ...แล้วไปไหน


....ความจริง “ตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” นี้ไม่น่าจะเป็นที่ข้องใจของท่านเลย เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้แล้วอย่างละเอียดว่า เมื่อตายจากโลกนี้ไปแล้ว ทางที่ไปก็มี ๕ สายคือ
๑) อบายภูมิ ได้แก่เกิดเป็นสัตว์นรก เป็นเปรต เป็นอสุรกาย และเป็นสัตว์เดรัจฉาน
๒) เกิดเป็นมนุษย์
๓) เกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าอยู่บนสวรรค์
๔) เกิดเป็นพรหม
๕) ไปพระนิพพาน

ท่านที่ตายแล้วจะไปเกิดที่ใด พระพุทธเจ้าก็ตรัสบอกเหตุที่จะไปเกิดไว้ครบถ้วนตามกฎของกรรมคือการกระทำ ได้แก่ความประพฤติดีหรือชั่วในสมัยที่เกิดเป็นมนุษย์นี้เอง กฎของกรรมหรือความประพฤติดีหรือชั่วที่จะพาไปเกิดในที่ใดที่หนึ่ง ตามที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ ๕ ทางนั้น ท่านว่าไว้อย่างนี้

แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ
แดนเกิดสายที่หนึ่ง ที่เรียกว่า อบายภูมิ มีนรกเป็นต้นนั้น เป็นผลจากความประพฤติชั่ว คือก่อกรรมทำเข็ญในสิ่งที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่คนและสัตว์ ท่านจัดกฎใหญ่ๆ ไว้ ๕ ประการคือ
๑) เป็นคนมีใจโหดร้าย ชอบข่มเหงรังแก เบียดเบียนคนและสัตว์ให้ได้รับความเดือดร้อนโดยเข้าใจผิดคิดว่าเป็นความดี หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๑
๒) มือไว ชอบลักขโมยของที่เจ้าของยังไม่อนุญาต หรือฉ้อโกงเอาทรัพย์สินของคนอื่นด้วยเล่ห์กลโกง หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๒
๓) ใจเร็ว ได้แก่มีจิตใจไม่เคารพในความรักของคนอื่น ชอบลอบทำชู้ บุตร ภรรยาและธิดา สามี ของคนอื่นด้วยความมัวเมาในกามคุณ หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๓
๔) พูดปด ได้แก่พูดไม่ตรงต่อความเป็นจริงเพื่อหวังทำลายประโยชน์ของผู้อื่นโดยเจตนา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๔
๕) ชอบทำตนให้เป็นคนหมดสติ ด้วยการย้อมใจให้หมดความรู้สึกในการรับผิดชอบด้วยนํ้าเมา หมายถึงละเมิดศีลข้อที่ ๕

กรรม คือความประพฤติในกฎ ๕ ประการนี้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้วไปสู่อบายภูมิมีตกนรกเป็นต้น

แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์
แดนเกิดสายที่สอง คือเกิดเป็นมนุษย์ ท่านว่าคนที่ตายแล้วจะมาเกิดเป็นมนุษย์ได้ ต้องมีกรรมบถ ๑๐ หรือที่รู้กันง่ายๆ ก็คือ เป็นคนมีศีล ๕ ประจำได้แก่
๑) เป็นคนมีเมตตาปรานี ไม่รังแกข่มเหง ทำร้ายใครไม่ว่าคนหรือสัตว์ มีความรัก เมตตาปรานีคนและสัตว์เสมอด้วยรักตนเอง
๒) ไม่มือไว คือเคารพสิทธิในทรัพย์สินของบุคคลอื่น ไม่ยอมถือเอาทรัพย์สินของใครมาเป็นของตน ในเมื่อเจ้าของไม่อนุญาตด้วยความเต็มใจ
๓) ไม่ใจเร็ว ละเมิดความรักในบุตร ธิดา ภรรยา สามีของบุคคลอื่น
๔) ไม่เป็นคนไร้สัจจะ พูดแต่เรื่องที่เป็นสาระตรงต่อความเป็นจริง
๕) ทำตนให้เป็นคนมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ คือเป็นคนมีอารมณ์รับรู้ความดีความชั่วตามกฎของกรรม ไม่ปล่อยใจให้เลื่อนลอยด้วยน้ำเมาต่างๆ
ท่านที่ทรงความดี ๕ อย่างนี้ได้ ท่านว่าตายจากความเป็นคนแล้ว มีสิทธิ์กลับมาเกิดเป็นมนุษย์ใหม่ได้

แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์
แดนเกิดสายที่สาม ได้แก่สวรรค์ อาการที่ทำให้คนเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้าบนสวรรค์ ท่านบรรยายไว้มาก แต่เมื่อสรุปกล่าวโดยย่อมี ๒ อย่างคือ
๑) เป็นคนมีความละอายต่อความชั่ว ไม่ยอมทำชั่วในที่ทุกสถาน
๒) เกรงผลของชั่ว จะทำให้เกิดความเดือดร้อน
เหตุ ๒ ประการนี้ เป็นผลทำให้ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นเทวดาหรือนางฟ้า

แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก
แดนเกิดสายที่สี่ ได้แก่พรหมโลก พรหมกับเทวดามีดินแดนที่เกิดเป็นคนละแดนกัน พรหมท่านว่าศักดิ์ศรีดีกว่าเทวดาและมีชั้นภูมิสูงกว่า มีอำนาจมากกว่า มีความสุขดีกว่า ความสวยสดงดงามก็ดีกว่าเทวดา แต่พรหมไม่มีเพศคือไม่มีเพศหญิงเพศชาย ทั้งนี้เพราะพรหมไม่มีการครองคู่ อยู่โดดเดี่ยวอย่างพระสงฆ์ตามวัดคือไม่มีภรรยาสามี ท่านว่ามีความสุขสงบสงัด ท่านที่จะเป็นพรหมได้ท่านว่าต้องเป็นนักกรรมฐานและมีอารมณ์จิตสุดท้ายก่อนตาย อารมณ์จิตเป็นฌานที่เรียกว่า เข้าฌานตาย
แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน
แดนเกิดสายที่ห้า ได้แก่พระนิพพาน แดนนี้เป็นเขตที่รู้เรื่องกันยากมาก เพราะนักปราชญ์สมัยนี้ถือว่า “นิพพานสูญ” กันเป็นประเพณีไปแล้ว ขอบอกไว้ย่อๆ ว่า คนที่จะถึงพระนิพพานได้นั้นต้องมีความบริสุทธิ์ ๑๐ อย่างคือ

๑) ไม่เมาในตนเองหรือวัตถุต่างๆ ที่คิดว่าเป็นสมบัติของตน รู้สึกเสมอว่าจะต้องตายและพลัดพรากจากของรักของชอบใจแน่นอน ไม่มีอะไรที่จะมาห้ามความตายและความพลัดพรากได้ ทำจิตใจเป็นปกติเมื่อความตายมาถึงหรือเมื่อต้องพลัดพรากจากสิ่งที่ตนรัก
๒) ไม่สงสัยในคำสอนของพระพุทธเจ้าที่ทรงสอนตามความเป็นจริงว่า ทุกอย่างในโลกนี้ไม่ว่าสิ่งที่มีชีวิตต้องทำลายตนเองลงในเมื่อกาลเวลามาถึง ไม่มีอะไรทรงสภาพเป็นปกติอยู่ได้ ใครทำความดี ความดีก็คุ้มครองให้มีความสุขใจ ใครทำชั่ว ความชั่วจะบันดาลความเดือดร้อนให้ แม้ผู้อื่นยังไม่ลงโทษ ตนเองก็มีความหวาดสะดุ้งเป็นปกติ
๓) รักษาศีลมั่นคง ดำรงจิตอยู่ในศีลเป็นปกติ
๔) ทำลายความใคร่ในกามารมณ์ให้สิ้นไปจากใจ ด้วยอำนาจความรู้ถึงความจริง รู้ว่าความรักเป็นเหตุให้เกิดความทุกข์ ภัยอันตรายที่มีขึ้นแก่ตนเพราะอาศัยความรักเป็นเหตุ
๕) มีจิตใจเต็มไปด้วยความเมตตาปรานี ไม่โกรธไม่จองล้างจองผลาญคิดทำอันตรายใคร ไม่ว่าใครจะแสดงอาการอย่างไร จิตก็ไม่คลายจากความเมตตา
๖) ไม่มัวเมาในรูปฌาน โดยคิดว่าการที่ตนทรงรูปฌานได้นี้ เป็นผู้ถึงที่สุดของความดี เมาฌานจนไม่สนใจความดีที่ตนยังไม่ได้
๗) ไม่มัวเมาในอรูปฌาน โดยคิดว่าความดีเพียงเท่านี้ ยังไม่เป็นทางสิ้นทุกข์
๘) มีอารมณ์เป็นปกติ ไม่คิดถึงเรื่องอารมณ์เหลวไหล มีจิตใจเต็มไปด้วยความหวังดี ไม่ว่าต่อคนหรือสัตว์ ตลอดเวลาที่ตื่นอยู่
๙) ไม่ถือตน ทะนงตน ว่าดีเลิศประเสริฐกว่าใคร มีอารมณ์ใจเป็นปกติ เห็นคน สัตว์ ทรัพย์สินทั้งหมดเป็นของธรรมดาที่จะต้องตายจะต้องสลายไป และมีอารมณ์ไม่หวั่นไหวเมื่อเข้าสังคมสมาคมใดๆ มีอาการเป็นเสมือนว่าสังคมนั้น สมาคมนั้นๆ เป็นกลุ่มของคนที่ต้องตาย ไม่ทำตัวใหญ่หรือเล็กจนน่าเกลียด ทำตนพอเหมาะพอสมควรแก่สมาคมนั้นๆ เรื่องของเขา เขาจะดีจะชั่วก็ตัวของเขา เราช่วยได้เราก็ช่วย ช่วยไม่ได้ก็เฉยไว้ ไม่สนใจที่จะไปเบ่งบารมีทับใคร
๑๐) ตัดความรักความพอใจในโลกีย์วิสัยให้หมด งดอารมณ์อยากดีอยากเด่น ทำอารมณ์เป็นพระพุทธในพระอุโบสถ พระพุทธท่านยิ้มเสมอ ท่านที่จะถึงพระนิพพานต้องยิ้มได้อย่างพระพุทธ ใครจะดีจะชั่วก็ยิ้ม เพราะเห็นเป็นของธรรมดามันหนีไม่ได้ไล่ไม่พ้น เมื่อยังมีตัวตนเป็นคนมันก็ต้องพบอาการอย่างนี้อยู่ ก็สบายใจ ความตายจะมาถึงก็ไม่สะดุ้งหวาดกลัวเพราะรู้ตัวอยู่เสมอว่าจะต้องตาย มีอารมณ์ใจปกติ ไม่โลภ ไม่โกรธ ไม่ผูกพันทรัพย์สินหรือสัตว์หรือบุคคลอื่น เท่านี้ก็ไปพระนิพพานได้

เมื่อพูดกันมาถึงทางหรือแดนเป็นที่ไป เมื่อตายแล้วว่ามี ๕ ทาง ท่านอาจจะสงสัยว่าเมื่อพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้น จะมีทางใดพิสูจน์ความจริงได้บ้างว่า คำสอนนั้นตรงต่อความเป็นจริง เคยมีใครบ้างไหมที่ฟังแล้วและเรียนข้อวัตรปฏิบัติตาม ไม่ใช่เรียนแล้วเอามาคุยอวดกัน ต้องเรียนแบบฝรั่งไม่ใช่เรียนแบบไทย ฝรั่งเขาสงสัยอะไรเขาค้นคว้าหาความจริงว่ามีหรือไม่เพียงใด สมัยนี้แม้แต่ดวงจันทร์ที่ทุกท่านคิดว่าเป็นของเกินวิสัย แต่ฝรั่งเขาไปดูจนได้เพราะเขาเรียนแล้วปฏิบัติด้วย ที่ว่าเรียนแบบไทยก็เพราะคนไทยเป็นคนมีบุญ ทุกอย่างไม่ต้องลงทุนคอยดูฝรั่งแสดงก็พอใจได้เปรียบกว่าฝรั่งมาก แต่ทว่าเนื้อแท้แล้ว เราก็รู้เพียงเขาว่าไม่ใช่เราเห็นเอง

เรื่องของ “การตายแล้วไม่สูญ” และ “ตายแล้วไปไหน” ก็เหมือนกัน ถ้าเรียนกันแบบอ่านหนังสือแล้วก็ตั้งแง่สงสัยหรือเอาความรู้จากหนังสือที่อ่านจำได้แล้วเอาไปเบ่งบารมีกัน ก็ไม่ต่างอะไรกับคนนอนฝันหาความจริงไม่ใคร่ได้ ถ้าจะพบความจริงบ้างก็ต้องบังเอิญจริงๆ หลักเกณฑ์การปฏิบัติเพื่อรู้ว่าตายแล้วไปไหน ท่านสอนไว้ในหลักสูตรของวิชชาสาม ท่านให้เจริญสมาธิคือ เจริญกสิณกองใดกองหนึ่ง หรือเอากสิณเฉพาะเพื่อทิพจักขุญาณ ท่านให้ใช้เตโชกสิณเพ่งไฟ หรืออาโลกสิณเพ่งแสงสว่าง หรือโอทาตกสิณเพ่งสีขาว จนมีสมาธิถึงขั้นอารมณ์เริ่มเป็นทิพย์คือถึงอุปจารฌาน แล้วถือนิมิตกสิณเป็นสำคัญฝึกดูสวรรค์ นรก และพรหมโลก ถ้าทรงวิปัสสนาญาณด้วย ก็พิสูจน์พระนิพพานด้วยได้ การพิสูจน์คำสอนของพระพุทธเจ้าต้องฟังแล้วปฏิบัติตาม ท่านจึงจะหมดข้อสงสัยเพราะท่านรู้เองเห็นเอง แต่ถ้าฟังกันแล้วแต่ไม่ทำตาม ความหวังที่ตั้งใจต้องล้มเหลวแน่เพราะเป็นเพียงเสือกระดาษจะกัดใครตายได้ เวลานี้มีผู้ฝึก มโนมยิทธิเพื่อพิสูจน์คำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสว่า “ตายแล้วไม่สูญ” แดนอบายภูมิ แดนสวรรค์ แดนพรหม และแดนพระนิพพาน นั้นมีจริง เขาฝึกกันได้ทั้งเด็กและผู้ใหญ่เป็นจำนวนมาก ต่อไปก็จะขอนำเรื่องราวของท่านผู้ที่ตายไปแล้วกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ และได้ไปพบไปเห็นในแดนต่างๆ ว่ามีอะไรบ้าง เพื่อเป็นตัวอย่างให้ท่านทั้งหลายได้ทราบตามความเป็นจริงว่า ตายแล้วไม่สูญ..”

เรื่องที่ ๒
ประสบการณ์ตายของหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค อำเภอเสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา



“..สมัยหลวงพ่อปานอายุ ๓๘ ปี ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นผู้มีความดีประกอบไปด้วยความเมตตาปรานี ท่านเป็นพระที่ช่วยป้องกันคนอื่นมามากก็ตาม แต่ขึ้นชื่อว่ากฎของกรรมไม่มีใครหลีกเลี่ยงได้ วันหนึ่งหลวงพ่อปานไปที่วัดประตูสาน จังหวัดสุพรรณบุรี วัดนี้อยู่ทางฝั่งตะวันตกของจังหวัดสุพรรณบุรี เป็นต้นทางที่จะไปวัดป่าเลไลย์ในสมัยนั้น ตอนเย็นท่านเข้าไปอาบน้ำในห้องน้ำ ก็ถอดอังสะ อังสะของท่านมีพระเครื่องอยู่ด้วย แล้วท่านก็ล้มลุกไม่ได้ ท่านถูกบังฟัน เขาใช้คาถา ตั้งใจจะฟันคนไหน เขาก็ฟันผักฟันฟักแฟงก็ตามเขาก็ว่าคาถาจะฟันให้ถูกตรงนั้น เขาฟันวัตถุแต่แผลมันปรากฏในร่างกาย ผิวหนังภายนอกไม่ปรากฏรอยแผล ท่านถูกบังฟันเป็นแผลยาวในอกข้างในและยังเป็นรอยนูน ผลที่สุดก็ต้องหามกันลงเรือแจว หลวงพ่อปาน เวลาไปไหนท่านใช้เรือสัมปันนี มีเก๋ง ทาสีขาวทั้งลำ มีคนแจวหัวแจวท้าย ในขณะนั้นท่านมีอาการใกล้ปางตาย ท่านขอร้องให้พาท่านกลับวัด พอมาถึงวัดบางซ้ายในปรากฏว่าอาการของท่านหนักมาก ท่านบอกให้แวะเข้าไปที่วัดบางซ้ายในก่อน ให้หามท่านขึ้นไปบนศาลา ก็อาศัยศาลาท่าน้ำนอนอยู่ แล้วให้ไปตามอาจารย์จาบเป็นหมอและเป็นเพื่อนท่าน ต้องใช้ม้าไปรับกันในสมัยนั้น ที่บางบาลมันไกลมาก

อาจารย์จาบมาถึงจับชีพจรแล้วบอกว่า “ท่านปานยังไม่ตาย ไปธุระประเดี๋ยวก็กลับ” อาจารย์จาบบอกว่า “ยาฉันเป็นยาสูง พระต้องใช้ยาสูง ใช้ยาตํ่าไม่ได้” สมัยนั้นเป็นป่า เป็นดง เป็นทุ่ง ตลาดไม่มี ท่านก็เดินไปเด็ดยอดไม้ ยอดมันสูง ท่านก็บอก “นี่เขาเรียกยาสูง” วันนั้นยังไม่ฟื้น ผ่านไปสัก ๖-๗ ชั่วโมงใกล้รุ่ง หลวงพ่อปานจึงรู้สึกตัวและก็ฉันยาของอาจารย์จาบ เป็นอันว่าท่านก็หายและก็เล่าความเป็นมาให้ฟังว่า

ขณะที่ท่านเจ็บ เขาก็หามลงเรือ ท่านก็ภาวนาบ้างพิจารณาบ้างให้จิตเป็นสุข ท่านไม่ได้ปล่อยกรรมฐานเลย ต่อมาอาการมันเครียดหนักท่านจึงสั่งให้ขึ้นวัดบางซ้ายใน คิดว่าไม่ถึงวัดบางนมโคเพราะจากวัดบางซ้ายในถึงวัดบางนมโคต้องแจวเรือ ๒-๓ ชั่วโมง หลวงพ่อปานท่านบอกเห็นท่าไม่ไหว ก็ขึ้นไปนอนจับพระกรรมฐานเป็นปกติ ทุกคนในที่นั้นบอกว่าท่านสลบไป แต่ท่านบอกว่าท่านไม่ได้สลบ อทิสสมานกายมันออก คือตัวในออกจากตัวนอกมีสภาพเป็นกายเดินออกไปเรื่อยๆ ตามสบาย พอไปถึงจุดสุดเข้าเขตชั้นดาวดึงส์ใกล้จะเข้าชั้นดุสิต เห็นอาคารลิบๆ อยู่ข้างหน้าแพรวพราวระยิบระยับ เป็นสง่าสวยสดงดงามมาก ท่านตั้งใจจะไปสู่อาคารหลังนั้น ปรากฏว่าขณะนั้นก็ได้ยินเสียงเรียกขึ้นว่า “ท่านปาน ท่านปาน หยุดก่อน” ท่านจึงเหลียวหลังมาดูเห็นพระพุทธเจ้ายืนงามสง่าสวยอร่าม มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ ท่านก้มลงกราบพระองค์ พระองค์ตรัสว่า “จะไปไหน” หลวงพ่อปานตอบว่า “จะไปชั้นดุสิต” พระองค์บอกว่า “คุณปาน คุณยังไปไม่ได้ ภาระใหญ่ของคุณยังมีมาก วัดวาอารามคุณยังสร้างไม่เสร็จและกิจอื่นที่คุณต้องทำยังมีอยู่ จงกลับไปปฏิบัติงานให้เสร็จสิ้นเสียก่อนจึงจะไปได้ สถานที่นี้เธอมีโอกาสจะได้อยู่แน่นอน “หลวงพ่อปานก็บอกว่า “ร่างกายมันไม่ดีทนไม่ไหว ทุกขเวทนามันหนักทนไม่ไหวจึงออกมา” พระองค์บอกว่า “หมอจาบเขามาแล้วรักษาแผลได้และพิษต่างๆ สลายตัวแล้ว กลับลงไปเถอะ” พอสิ้นเสียงของพระพุทธเจ้า ก็ปรากฏว่าจิตเข้าร่างพอดี ท่านก็ลืมตาขึ้นใกล้สว่างแล้วของวันใหม่

หลวงพ่อปานท่านบอกว่ามันเป็นกฎของกรรม มาจากโทษปาณาติบาตทำให้ร่างกายไม่ดี ในชาตินี้โทษปาณาติบาตของท่านเห็นจะไม่มี และท่านก็บอกอีกว่า “ต่อไปฉันก็ต้องตายด้วยแผลอันนี้ แต่เวลานั้นแผลหายไปหมดแล้ว” นับตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ท่านก็ไม่มีความประมาทในชีวิต คิดว่าความตายอยู่แค่ปลายจมูก ถ้าสิ้นลมปราณเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น เมื่อหายจากอาการไข้แล้ว ท่านก็เร่งรัดทำความดีหนักขึ้น คือสงเคราะห์บรรดาประชาชนทั้งหลายด้วยการรักษาโรคบ้าง มีใครอดอยากที่ไหนท่านก็นำอาหารการบริโภคไปแจก พระวัดไหนไม่มีกฐินจะรับ ท่านก็ไปทอดกฐินถึง ๑๗ วัด การก่อสร้างก็สร้างคราวเดียว ๓-๔ วัดพร้อมๆ กัน และสำหรับจริยาวัตรนั้นก็สั่งสอนอบรมพระทุกๆ ๑๕ วัน คือวันโกนของกลางเดือนกับวันโกนของวันสิ้นเดือน ท่านจะต้องประชุมพระแนะนำข้อวัตรปฏิบัติตามพระวินัย วิธีที่จะปฏิบัติให้เข้าถึงจุดอย่างง่ายๆ และอุปสรรคในการปฏิบัติพระกรรมฐาน

การที่ท่านทำทุกอย่างอย่างนั้นจัดเป็นมหากุศล เพราะการทำบุญที่เป็นส่วนสาธารณชนนั้น เช่นเอาข้าวสารเอาอาหารไปแจกคนยากจน เอาเสื้อผ้าไปแจก ถ้าจะเปรียบการให้ประเภทนี้ก็มีความดีคล้ายกับถวายสังฆทานแต่เสมอสังฆทานไม่ได้ เพราะสังฆทานเป็นทานที่หมายเอาพระพุทธเจ้าเป็นประธานมีพระอริยสงฆ์เป็นผู้รับ การที่เราให้กับคน บางทีคนที่รับก็เป็นคนมีศีลไม่บริสุทธิ์ อานิสงส์ก็น้อยไปหน่อย แต่ถึงจะน้อยประการใดก็ตามที บุญบารมีประเภทนี้ก็สามารถจะส่งผลให้เราเข้าถึงพระนิพพานได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าตายในชาติปัจจุบัน ทางที่เราจะไปได้ก็คือสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ตัวอย่าง ท่านอังกุรเทพบุตร ให้ทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา ปรากฏว่าตายจากมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก แต่ว่าสภาพร่างกายไม่ผ่องใสพอ มีศักดาไม่เสมอด้วยเทวดาทั้งหลาย แต่ขึ้นชื่อว่าเป็นเทวดาแล้ว ถึงแม้จะเป็นเทวดาท้ายแถวก็ยังดีกว่ามนุษย์หัวแถวเพราะไม่มีแก่ ไม่มีหิว ไม่มีกระหาย ไม่มีความหนาว ไม่มีความร้อน ไม่มีการป่วยไข้ไม่สบาย จะมีก็เพียงเกิดเป็นเทวดา แล้วก็ตายจากการเป็นเทวดาเท่านั้นเอง

ฉะนั้น การบำเพ็ญกุศลทานแก่คนภายนอกพระพุทธศาสนา หรือแก่คนในเขตพระพุทธศาสนาแต่ว่าไม่มีความเคารพในพระพุทธศาสนาอย่างจริงจัง การบำเพ็ญกุศลด้วยจะมีผลน้อยก็ตาม แต่ถ้าทำบ่อยๆ ก็มากเหมือนกัน เพราะการเกื้อกูลซึ่งกันและกันเป็นปัจจัยให้เกิดความสุขทั้งในชาติปัจจุบันและชาติต่อไป ในชาตินี้ก็มีคนรักเรามากเพราะผู้ให้ย่อมเป็นที่รักของบุคคลผู้รับ ไปทางไหนก็มีแต่คนไหว้คนเคารพ อันตรายก็ไม่มี การเดินทางไปไหนจะตกรถ ตกเรือ จะหิวจะกระหายในระหว่างทางจะไม่มีสำหรับคนประเภทนี้...”

เรื่องที่ ๓
ประสบการณ์ตายของพระมหาถาวร (หลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง)



“...เรื่องของคนที่ตายไปแล้วกลับมาเกิดใหม่ ระลึกชาติได้ก็ดี ตายชั่วคราวฟื้นขึ้นมาเล่าเหตุการณ์ที่ประสบมาก็ดี ที่เล่าเรื่องทั้งหลายมานี้ก็เพื่อเปลื้องความสงสัยที่บรรดาท่านสาธุชนและท่านปุถุชนทั้งหลาย พากันสงสัยในคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า บางท่านก็พยายามค้านว่า คนที่ตายแล้วถ้าเกิดจริงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ ทำไมไม่มีใครมาส่งข่าวคราวให้ทราบบ้าง บางท่านก็ว่าถ้าเทวดามีจริง ญาติที่เป็นเทวดาทำไมไม่มาช่วยเหลือให้มีความสุขบ้าง เรื่องสงสัยนี้แม้พระที่ท่านเทศน์โปรดประชาชนบางท่านที่เป็นสหายคู่เทศน์กับอาตมาเอง ก็เคยปรารภให้อาตมาทราบว่าท่านสงสัย แต่ท่านรูปนั้นขณะนี้หายสงสัยแล้ว ด้วยได้ให้กำลังใจท่าน โดยขอให้ท่านทดลองปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า อย่าทำตนเพียงเป็นคนอ่านอย่างเดียว ให้ท่านทำตามด้วย ในที่สุดท่านก็ไม่มีอะไรสงสัยอีก ท่านจะได้อะไรถึงขั้นระดับไหนนั้น เป็นเรื่องที่ท่านเจ้าของจะอธิบายให้ฟัง

เรื่องที่บรรยายมาแล้ว ท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อ ผู้บรรยายก็ไม่มีกฎบังคับอะไร ท่านที่เชื่อก็ลองหาทางปฏิบัติเพื่อพ้นอบายภูมิ สำหรับท่านที่ไม่เชื่อก็คิดว่าฟังหลวงตาแก่เล่านิทานก็แล้วกัน เรื่องที่นำมาเล่าสู่กันฟังต่อไปนี้เป็นเรื่องที่ได้มาจากพระมหาถาวร ซึ่งเป็นเพื่อนรักเพื่อนเกลอกับอาตมา เคยร่วมสำนักอุปสมบทแห่งเดียวกัน เคยศึกษาพระปริยัติธรรมร่วมกันมา เคยฝึกพระกรรมฐานในสำนักเดียวกัน เคยร่วมงานบริหารคณะสงฆ์มาด้วยกัน บัดนี้ท่านเลิกทุกอย่างคือ เรื่องงานบริหารหรือแม้กิจนิมนต์ที่เห็นว่าไม่จำเป็นนัก ท่านปลีกตัวออกสู่แดนไพรเพื่อแสวงหาความสุขอันเกิดจากวิเวก คือความสงบสงัดมีร่มไม้ชายป่าเป็นที่อาศัย มีธรรมปีติเป็นอาหารใจ ตั้งใจปฏิบัติเพื่อความหลุดพ้น ท่านไม่สนใจในคำนินทาและคำสรรเสริญ ขอท่านทั้งหลายอ่านเรื่องราวของท่านต่อไป ท่านจะได้ทราบถึงการตายของท่านมหาถาวร ท่านตายถึง ๘ วาระ เมื่อตายแล้วท่านได้เห็นนรก สวรรค์ พระนิพพาน แล้วท่านมิได้นิ่งนอนใจท่านพยายามฝึกฝนตนเองเพื่อให้ได้ทิพยสมบัติส่วนใดส่วนหนึ่งตามที่ท่านตั้งใจไว้ ท่านจึงละทุกอย่าง อาทิ ลาภ ยศ สรรเสริญ และสุข ที่มีอามิสเป็นเชื้อออกสู่ป่าดง ประสงค์เพื่อได้สุขที่มีแต่ความบริสุทธิ์ไม่มีอามิสเป็นเชื้อ ท่านทั้งหลายจะได้ทราบเรื่องของท่านพระมหาถาวร ดังต่อไปนี้

ก่อนที่ท่านจะเริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา

พระมหาถาวร เกิดที่เมืองสุพรรณบุรี อำเภอบางปลาม้า ตำบลสาลี หมู่ที่ ๒ เกิดวันที่ ๒๘ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๖๐ เวลา ๐๗.๓๑ น. บรรดาโหรทั้งหลายเมื่อได้วันเดือนปีเกิดของท่านแล้วโปรดช่วยกันผูกดวงดูด้วยว่า ท่านผู้นี้จะสึกจากพระมาเป็นชาวบ้านอีกหรือไม่ เมื่อท่านเกิด ท่านทราบจากท่านแม่ของท่านเล่าให้ฟังว่า ก่อนที่จะเข้าสู่ครรภ์ ท่านแม่ฝันว่าเห็นพระพุทธรูปองค์หนึ่งเป็นทองเหลืองอร่ามลอยมาทางด้านทิศตะวันออก เข้ามาทางจั่วบ้านทิศเหนือ พระพุทธรูปองค์นั้นนอกจากจะเป็นทองสุกปลั่งแล้วยังมีดาวประดับเต็มองค์ มีแสงสว่างมาก ท่านแม่เห็นเข้าก็วิ่งไปที่พระแล้วกางแขนออกรับ พระพุทธรูปองค์นั้นก็เข้ามาสู่วงแขนอยู่ภายในอ้อมกอดของท่านแม่ แล้วท่านก็ตื่นหลังจากนั้นท่านก็เริ่มตั้งครรภ์ นี่เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นเมื่อท่านเริ่มเข้าสู่ปฏิสนธิในครรภ์มารดา คราวนี้มาพูดกันถึงเรื่องการตายของท่าน ท่านมีประสบการณ์ตายถึง ๘ วาระ ดังต่อไปนี้

การตายครั้งที่ ๑

เวลานั้นฉันอายุ ๒ ปีเศษๆ ย่างเข้า ๓ ปี ตั้งแต่อายุปีเศษๆ พอพูดได้บ้าง ท่านแม่ก็เกณฑ์แนะนำแกมบังคับว่าก่อนจะหลับต้องภาวนาว่า “พุทโธ” แต่การสอนภาวนาว่า “พุทโธ” ของท่านก็ไม่ต้องมีพิธีรีตองมาก ไม่ต้องกำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ใช่หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ถ้าทำอย่างนั้นเด็กๆ ทำไม่ได้แน่ ท่านต้องการคำเดียวคือว่า “พุทโธ” ก่อนจะหลับ จะต้องภาวนาให้ท่านได้ยิน ถ้าหลับก่อนที่จะพูดว่า “พุทโธ” ให้ท่านได้ยิน ๓ ครั้งไม่ได้ ท่านจะปลุกให้ตื่นให้ว่า “พุทโธ” ตามเดิม คือต้องให้ท่านได้ยินว่า “พุทโธ” “พุทโธ” “พุทโธ” เพียงเท่านั้นท่านให้หลับได้

พออายุ ๒ ปีเศษๆ ใกล้ถึง ๓ ปี ฉันป่วยฉับพลัน นั่นก็คือเป็นโรคท้องร่วง เมื่อโรคท้องร่วงเกิดขึ้นท่านแม่ก็บอกให้ท่านลุงมารักษา ท่านลุงท่านเป็นทั้งแพทย์แผนปัจจุบันและแผนโบราณ เป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก แต่ว่ายาของท่านสู้โรคไม่ได้ ในที่สุดฉันก็ตาย การตายคราวนั้นมีญาติอยู่มาก มีท่านย่ามาพยาบาลอยู่ด้วย เมื่อฉันตายเข้าจริงๆ ท่านย่าก็กลับบ้าน เป็นเวลาใกล้จะ ๕ โมงเย็น ที่ฉันรู้ก็เพราะท่านพ่อกับท่านแม่และท่านย่าเล่าให้ฟัง เด็กคงจำอะไรไม่ได้ เมื่อท่านย่ากลับไปบ้านท่านก็อาบน้ำแต่งตัวแล้วก็จะกินข้าวเย็นอิ่มแล้วจะได้กลับมาฟังพระสวดอภิธรรม แต่พอแต่งตัวเสร็จก็ปรากฏว่าท่านลงจากบ้านวิ่งตื๋อมาบ้านฉันทันที บ้านไม่ไกลกัน บรรดาญาติพี่น้องทั้งหลายแปลกใจ ไม่เคยเห็นจริยาของท่านย่าแบบนี้ ทุกคนก็วิ่งตามมามีความรู้สึกว่าท่านย่าอาจจะเสียใจที่ฉันตาย และเรื่องร้ายอาจจะเกิดขึ้นที่บ้านก็ได้ท่านจึงวิ่งมา ท่านย่าขึ้นมาบนบ้านแทนที่ท่านจะนั่งตามปกติ เพราะปกติท่านชอบนั่งพับเพียบ แต่วันนั้นพอขึ้นมาท่านนั่งสมาธิ ๒ ชั้น แล้วก็ถามว่า “ลูกของกูป่วยไข้ไม่สบายเท่านี้ มึงรักษากันไม่ได้หรือ ทำไมปล่อยให้ลูกของกูตาย” ท่านพ่อบอกว่า “คุณแม่ครับ คุณแม่ก็มารักษาด้วยตนเอง มาพยาบาลด้วยตนเองก็ทราบอยู่แล้ว” เสียงท่านผิดจากเดิม เป็นลักษณะของผู้ชาย พูดจาห้าวหาญ บอกว่า “กูไม่ใช่แม่ของมึง กูคือ พระอินทร์ เป็นพ่อของเจ้าเด็กคนนี้ เจ้าเด็กคนนี้เป็นลูกของกูมานับเป็นแสนชาติ ทำไมเท่านี้พวกมึงรักษากันไม่ได้หรือ”

แล้วท่านก็เรียกหมอคือท่านลุงเข้ามาถามว่า “ทำไมโรคแค่นี้เอ็งรักษาไม่ได้หรือ โรคไม่หนักนัก” ท่านลุงก็บอกว่า “เกินวิสัยของผมแล้วครับ เป็นเร็วเหลือเกิน ยาสู้ไม่ได้” ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นเอ็งก็เอาน้ำมนต์” เมื่อทำนํ้ามนต์เสร็จ ท่านก็บอกว่า “เลื่อนเด็กเข้ามาใกล้ๆ ข้า” เขาก็เลื่อนศพไปใกล้ๆ ท่านเอามือลูบไปครั้งหนึ่งพร้อมกับเป่า แล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่าแล้วก็นั่งมองประเดี๋ยวหนึ่ง ท่านก็ลูบไปอีกครั้งแล้วก็เป่า พอ ๓ ครั้งท่านก็อมนํ้าประเดี๋ยวก็เป่าพรวด เป่าไปครั้งแรกไม่มีอะไรผิดปกติ พอเป่าไปครั้งที่ ๒ ปรากฏว่าเด็กที่ตายไปแล้วลืมตาขึ้น ขยับมือได้ พอเป่าไปครั้งที่ ๓ ปรากฏว่าเด็กลุกขึ้นพูดจาได้ตามปกติ อาการโรคต่างๆ ที่เป็นหายหมด

หลังจากนั้นท่านก็ประกาศว่า “ต่อแต่นี้ไปถ้าเด็กคนนี้เป็นอะไร ถ้าเห็นว่าจะเกินวิสัยที่จะเยียวยาได้ให้จุดธูปบอกท่าน ท่านจะมาช่วยรักษา” แล้วท่านก็มองมาที่เด็ก เรียกเข้ามาใกล้ๆ ให้หันหน้ามาบอกว่า “เจ้าจงจำไว้นะ ว่าพ่อนี้คือพ่อของเอ็ง เอ็งเป็นลูกพ่อมานับเป็นแสนชาติ พ่อนี้คือพระอินทร์ ต่อนี้ไปถ้ามีความกลัวอะไรเกิดขึ้นหรือมีการขัดข้องอะไรก็ตาม จงนึกถึงพ่อ พ่อจะมาหาทันที ถ้ากลัวผีพ่อจะช่วยขับผี ถ้ากลัวหมาบ้าพ่อจะช่วยขับหมาบ้า” เวลานั้นฉันกลัวทั้งผีทั้งหมาบ้า ปกติกลัวผีมาก สมัยเป็นเด็กๆ อยู่บนบ้านคนเดียวไม่ได้ ถ้านั่งอยู่ข้างล่างก็นั่งอยู่คนเดียวไกลผู้ใหญ่ไม่ได้กลัว สำหรับสุนัขนี่ ผู้ใหญ่เขาหลอกว่าหมาบ้าจะกัดก็เลยมีอารมณ์กลัวหมาบ้าอีก หลังจากนั้นท่านก็ลาไป ปกติฉันเป็นคนกลัวผี บางวันท่านพ่อท่านแม่ พี่ท่านไปข้างล่างท่านบอก “อยู่ข้างบนนะ อย่าไปไหนเลย อย่าเที่ยวไป อย่าเล่นไป จะหล่นใต้ถุนจะเจ็บ” คำสั่งฉันถือเป็นคำสั่ง ถ้าเป็นคำสั่งของท่านผู้ใหญ่ก็ปฏิบัติตาม เมื่ออยู่คนเดียวก็กลัวผี ถ้าจะลงก็กลัวถูกตี ในที่สุดก็แก้ปัญหาช่วยตัวเองโดยนึกถึง “ท่านพ่อพระอินทร์” ว่า “ขอท่านมาช่วยโปรด เวลานี้กลัวผีแล้ว”

พอนึกปั๊บก็เห็นท่านทันที เราเข้าใจกันว่าพระอินทร์ตัวเขียว ท่านก็มาเขียวๆ มาแล้วท่านก็บอกว่า “ไม่ต้องกลัว พ่อมาแล้ว ผีมาไม่ได้ ผีทั้งหมดสู้พ่อไม่ได้” และในบางครั้งท่านมีภารกิจ ท่านมาแล้วท่านก็บอกว่า “พ่อต้องรีบกลับแต่สองคนนี้จะช่วยลูก” สองคนเป็นผู้หญิงสาวและก็สวย ใส่ชฎาด้วย ทั้งตัวและเสื้อผ้าเต็มไปด้วยเพชรแพรวพราวเป็นระยับ หน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส ท่านบอกว่า “คนนี้เป็นแม่ของเจ้ามาหลายแสนชาติเพราะเป็นชายาของพ่อ และคนนี้เป็นพี่สาวของเจ้ามาหลายแสนชาติเหมือนกัน ท่านจะช่วยสงเคราะห์ ต่อแต่นี้ไปถ้าพ่อมีธุระ จะให้แม่กับพี่มา” ก็คุยกันแบบธรรมดา ฉันก็ชอบสวยๆ ท่านยิ้มแย้มแจ่มใส ท่านถามว่า “นี่สวยไหม ตรงนี้สวยไหม เพชรตรงนี้ดีไหม” ท่านก็ชวนคุย ฉันก็มีความเพลิดเพลินมีความสุข แต่คุยไม่นานท่านก็จับไปนอนตัก รู้สึกว่าเนื้อของท่านนิ่มกว่าเนื้อของแม่ในชาตินี้มากและมีความอบอุ่นเป็นพิเศษ ท่านลูบไปลูบมาประเดี๋ยวเดียวฉันก็หลับ นี่เป็นเรื่องของ เทวานุภาพ

วันต่อๆ มาบางครั้งบางทีฉันอยู่คนเดียวก็มีความรู้สึกว่า มีลุงคนหนึ่งมาอยู่เป็นเพื่อนด้วย ลุงคนนี้เป็นลุงในชาตินี้ ท่านตายไปแล้ว สมัยเมื่อท่านมีชีวิตอยู่ท่านรักฉันมาก และเคยขอท่านพ่อท่านแม่ว่า “คนนี้ขอเป็นลูกของฉัน” เพราะท่านไม่มีลูก ท่านพ่อท่านแม่ก็อนุญาตยกให้เป็นลูก บางทีฉันนั่งข้างนอก ท่านก็มานอนอยู่ในห้องมีเสียงกรนให้ได้ยิน จำได้ว่าเป็นเสียงลุง ได้รับกลิ่นตัวก็จำได้ เป็นกลิ่นตัวของท่าน ก็หมดความกลัว บางขณะเดินไปไหนตอนที่ฉันโตเป็นหนุ่มแล้ว เมื่อเกิดความกลัวขึ้นมาก็รู้สึกว่า มีคนเดินตามมาข้างหลังแต่มองไม่เห็นตัว บางทีฉันก็แกล้งบอกว่า “เอ้า เดินข้างหน้าบางสิ เดินข้างหลังอย่างเดียวได้ไง” ก็รู้สึกเหมือนคนเดินหลีกไปทางขวาแล้วเดินไปข้างหน้าและก็มีเสียงคนเดินข้างหลัง บางคราวก็มีเสียงคุยกันจ๊อกแจ๊กหัวเราะต่อกระซิก ลักษณะคล้ายๆ เป็นการขบขันเหลือเกินที่กลัว ความจริงฉันเป็นหนุ่มแล้วฉันก็ยังหวาดกลัว

แต่ลักษณะของฉันเป็นลักษณะของคนดื้อ ถ้าก้าวเท้าก้าวแรกออกแล้วจะไม่ยอมถอยหลังกลับ จะไปไหนต้องไปให้ได้มืดค่ำก็ตาม ฉะนั้นเสียงคนติดตามจึงมีอยู่เสมอ มีคราวหนึ่งฉันเดินไปที่ตรงนั้นมันมืดและก็มีสุมทุมพุ่มไม้ พอเข้าเขตนั้นชักไม่ไว้ใจตาก็มองจุดนั้น มือหนึ่งก็ดึงปืนออกจากกระเป๋า อีกมือหนึ่งถือมีดคิดว่าถ้าข้าศึกออกมาก็ต้องยิงกัน ถ้ายิงไม่ออกก็ต้องฟันกัน พอฉันคิดอย่างนั้น ก็มีเสียงหัวเราะครืนทันที จึงถามว่า “ใครมาหัวเราะทำไม ท่านแม่และท่านพี่หรือ” ตอบว่า “น้อง” ถามว่า “น้องมีกี่คน” ตอบว่า “รูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร” ทั้งหมดแสดงให้ปรากฏชัด กลางคืนมืดๆ ก็เหมือนไฟสว่าง ๒,๐๐๐ แรงเทียน เห็นชัดมากหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใส เธอแต่งตัวเป็นนางฟ้าไม่ใช่คน

เป็นอันว่าการตายครั้งแรกของฉัน ฉันเป็นเด็กไม่รู้ภาษีภาษา ก็อาศัยคำภาวนาว่า “พุทโธ” โดยไม่ได้ตั้งใจอะไร เป็นการบังคับของท่านแม่ซึ่งเป็นประโยชน์ เวลาที่ฉันตายแล้วฟื้นมาใหม่ ทำให้ฉันรู้จักเทวดา รู้จักพระอินทร์ รู้จักนางฟ้า ฉะนั้นฉันจึงเชื่อว่า เทวดามีจริง ทั้งๆ ที่เวลานั้นฉันยังไม่เคยฟังเทศน์ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เทวดามีจริง

การตายครั้งที่ ๒

เป็นการตายเมื่อวัยเด็กอายุ ๑๒ ปี ด้วยโรคอหิวาตกโรค โรคนี้แปลตามศัพท์แปลว่า โรคลมที่มีพิษเหมือนงูพิษ ป่วยก่อนวันตาย ๑ วัน ตอนนั้นอยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า ตอนบ่ายก่อนวันตาย นักเลงสุราเขาหาหอยโข่งจากกลางนามาพล่ากินกับเหล้า เมื่อเขาทำเสร็จเขาก็เรียกฉัน แต่ทว่าฉันไม่ได้กินเหล้า บ้านฉันทั้งหมดไม่มีใครกินเหล้าเลย ชอบกินหอยโข่งพล่า เนื้อออกรสหวานๆ อร่อยมาก เขาพล่าแบบขี้เมา กินเสียจนอิ่มเต็มอัตราศึก เมื่ออิ่มแล้วก็ออกวิ่งเล่น ไม่มีอะไรแสดงว่าท้องจะเสีย แต่ทว่าเวลานั้นชาวบ้านกำลังตายด้วยโรคอหิวาต์กันเกลื่อน กลางคืนหาคนเดินเที่ยวเตร่ไม่ได้ ตำบลนั้นและตำบลใกล้เคียงเงียบสงัด สุนัขหอนตั้งแต่ตอนหัวค่ำเกือบตลอดแจ้ง

วันรุ่งขึ้นตอนเช้าเวลาเกือบ ๙.๐๐ น. ก็เริ่มปวดท้องแล้วก็ถ่ายแบบไม่มีเสียงสะบัด เป็นสัญลักษณ์ของอหิวาตกโรค เมื่อถ่ายครั้งแรกก็เรียนให้ท่านแม่ทราบ ท่านจัดหายามาให้และใช้ให้คนรีบไปตามท่านลุงที่เป็นหมอ ท่านลุงเป็นหมอที่มีชื่อเสียงมาก มีความรู้ทั้งแผนโบราณและปัจจุบัน กว่าท่านลุงจะมาท้องก็ถ่ายเป็นวาระที่ ๓ มีอาการเพลียมากแรงไม่มี ท้องก็ปวดมากมาถึงผิวหนัง ภายในมีความร้อนมาก ผ้าที่นุ่งต้องวางทาบไว้จะขมวดหรือรัดเข็มขัดก็ไม่ได้ เพราะมันปวดเกินกว่าที่จะทำอย่างนั้นได้ เมื่อท่านลุงมาถึงก็ฉีดยาให้ ๑ เข็ม ค่อยมีอารมณ์ใจสบาย เมื่อท่านแม่ให้กินยาแล้ว ท่านก็นำพระพุทธรูปองค์ที่ฉันรักมากที่สุดมาวางไว้ทางขวามือพอมองเห็นถนัด ท่านจุดธูปที่มีกลิ่นหอมมากเห็นจะเป็นธูปแขก หอมชื่นใจจริงๆ พอท่านแม่จัดเรื่องพระเสร็จท่านก็บอกว่า “ลูกภาวนาว่า พุทโธ นะลูก ภาวนาไว้และจำรูปพระให้ติดตา เมื่อหลับตาจงนึกถึงภาพพระ เมื่อลืมตาก็จงดูพระไว้ ภาวนาไว้ พระจะช่วยให้ลูกหายเร็วๆ และจะไม่เจ็บท้อง”

เมื่อท่านแม่สั่งฉันก็ภาวนา ฉันอยากให้อาการปวดท้องหาย มันทรมานเหลือเกิน ฉันมองดูพระองค์ที่ฉันรัก ฉันรักท่านมาก สีท่านเหลืองอร่ามหน้าก็ยิ้มสวย กลิ่นธูปก็หอมตลบ ฉันสบายใจเมื่อหลับตาฉันเห็นภาพพระลอยที่หน้าฉัน ภาวนาไปไม่กี่นาที อาการปวดท้องรู้สึกคลายลงพร้อมกับเห็นภาพพระที่ลอยตรงหน้าสวยมากขึ้นทุกที เดิมเป็นสีเหลืองธรรมดา ต่อมาเพิ่มความสดใสขึ้นทีละน้อยจนเห็นชัด ต่อมาเกิดเป็นแสงประกายคล้ายเพชรอย่างดีที่ถูกแสงไฟ และเป็นประกายแพรวพราวไปทั้งองค์ ใจฉันเพลิดเพลินกับความสวยของภาพพระ เลยลืมความเจ็บปวดเสียสิ้น มันไม่มีความรู้สึกเจ็บปวดเลย เวลาผ่านไปประมาณ ๙.๐๐ น.เศษ ฉันลืมตามองดูคนที่มาและภาพต่างๆ สายตามันสั้นเข้ามาทุกที ชั่วเวลา ๒-๓ นาที ก็มองอะไรไม่เห็นเลยแต่ใจสบาย สิ่งที่เสียดายมากที่สุดก็คือฉันมองไม่เห็นพระองค์ที่ฉันรัก ฉันเลยหลับตา ความรู้สึกสมบูรณ์ สติสัมปชัญญะปกติ อาการปวดไม่มี ฉันเลยคิดเอาว่าเมื่อไม่เห็นก็ไม่เป็นไร ท่านแม่เคยบอกว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม ถ้าเราภาวนาว่า “พุทโธ” พระท่านจะไปหาทันที ฉันคิดได้ฉันก็เลยภาวนาเรียกพระ ขอให้ท่านมาหาฉัน พอภาวนาได้สัก ๓ ครั้ง ปรากฏว่าพระมา ท่านไม่ใช่พระพุทธรูปแต่เป็นพระสงฆ์ มีรูปร่างสวยมาก นิ้ว แขน ขา ทุกส่วนกลมไปหมดไม่เป็นเหลี่ยมเหมือนของฉัน ริมฝีปากท่านแดงน้อยๆ กำลังน่ารัก เนื้อเต็มไม่มีส่วนบกพร่อง ท่านเห็นฉันท่านยิ้มน้อยๆ แต่ท่านไม่พูด ท่านยิ้มตลอดเวลา ปกติฉันชอบคนยิ้ม ฉันเองก็ชอบยิ้มให้คนอื่นที่ฉันพบ แต่ถ้ายิ้ม ๓ คราวเขาไม่ยิ้มรับฉันจะไม่ยอมยิ้มให้อีกเลย ตรงนี้ไม่ค่อยดีเป็นเรื่องของคนที่มีกิเลส อย่าเอาไปปฏิบัติตาม

ภาพพระท่านสวยขึ้นเป็นลำดับ ต่อมาท่านมีแสงออกจากตัวมี ๖ สี มองดูคล้ายพระอาทิตย์ทรงกลดแต่สวยมากกว่าจนเทียบไม่ได้ องค์พระแทนที่จะเป็นสีเหลืองกับมีสีเป็นประกายทั้งองค์ ฉันมองจนลืมตัว มองไปมองมาปรากฏว่าตัวฉันกลายเป็นคน ๒ คน คือคนหนึ่งไปยืนอยู่ข้างคนเดิม ตัวใหม่นี้สวยกว่าตัวเก่ามาก ฉันมองดูเนื้อฉันใสเหมือนแก้ว มีผ้านุ่งเป็นสีทอง เสื้อสีทอง มีแก้วประดับผ้าทั้งผืน มองดูเนื้อฉันสีทองมาจับแลเป็นสีทองทั้งตัว บนศีรษะมีชฎาทองประดับแก้ว แก้วที่ประดับเสื้อผ้าและชฎามีแสงสว่างออกมาก ฉันลองขยับเขยื้อนตัว มันคล่องแคล่วมีความเบาผิดปกติ การเคลื่อนไหวสะดวกมาก ดูตัวที่นอนฉันก็ทราบว่ามันเป็นตัวของฉันแต่มันไม่สวย น่าเกลียดน่ากลัวมาก ฉันไม่รักมันเลยมันไม่มีลมหายใจ ฉันไม่ชอบและไม่ห่วงมัน ฉันหันไปดูพระท่านหายไปเสียแล้ว เดินวนไปเวียนมาอยู่พักหนึ่ง เห็นมันสบายไม่เจ็บ ไม่ปวด ไม่เมื่อย มีความสบาย ชักอึดอัดใจที่ยืนอยู่บนบ้าน อยากจะลงไปเดินเล่นหลังบ้านเพราะที่นั่นเย็นสบายดี แต่การไปนอกบ้าน

ปกติต้องลาท่านแม่ จึงเข้าไปลาท่านไปหลังบ้าน ท่านก็ไม่ยอมพูดด้วยท่านมองแต่เจ้าคนนอน เอามือไปจับตัวท่าน ท่านก็ไม่เหลียวมามอง ไปลาลุงท่านก็ทำแบบเดียวกัน เมื่อไม่มีใครสนใจก็เลยถือโอกาสไม่ลา เดินลงบันไดแล้วไปยืนอยู่หลังบ้าน ได้ยินเสียงบางคนบนบ้านร้องไห้ รู้สึกแปลกใจคิดว่าเขาร้องไห้ทำไม ไม่มีใครตายสักคน ยืนอยู่หลังบ้านครู่หนึ่งเห็นคนเดินมาจากทางทิศใต้เป็นแถวยาวเหยียด คิดในใจว่าพวกนี้เขาจะไปไหนกัน เมื่อพวกเขามาใกล้เห็นชาย ๔ คนคุมมา คน ๔ คนนุ่งผ้าเขียวเหมือนกันตัวใหญ่และสูงมาก พวกที่เดินตามมาหัวแค่เอวเขาเท่านั้นเอง ฉันเห็นเขาตัวใหญ่ก็เลยทำตัวใหญ่และสูงเท่าเขามั่ง ชาย ๔ คนนั้น คนหนึ่งเดินนำหน้ามีสมุดข่อยในมือ อีกสองคนเดินขนาบข้าง ๒ ข้าง คนที่ ๔ เดินท้าย แสดงว่าควบคุมกันหนี เมื่อหัวหน้าใหญ่มา ฉันก็เข้าไปยกมือไหว้ถามว่า “คุณลุงจะไปไหนกันครับ”

คุณลุงมองหน้าฉันแล้วก็เปิดสมุดข่อยแล้วบอกว่า “ชื่อเธอไม่มีในบัญชี เข้าบ้านเถิดหลานเดี๋ยวแม่จะบ่นหา” แล้วก็จูงมือฉันมาที่บันไดบ้าน และกลับไปนำขบวนเดินต่อไป ฉันแปลกใจว่าตาลุงนี่ท่าจะยังไงเสียแล้ว ถามว่าไปไหนกลับมาบังคับเราให้เข้าบ้าน ต้องถามเอาความให้ได้จึงเดินตามออกไปเห็นคนที่เดินผ่านหน้าเป็นคนที่เคยรู้จักกันหลายคนและเขาตายไปหลายวันแล้ว ก็เลยสงสัยว่าเมื่อเขาตายไปแล้วเขามาเดินอยู่ได้อย่างไร พอคนที่ขนาบข้างและคนท้ายมาถึง ฉันก็เข้าไปถามเขาอย่างนั้น เขาก็ทำอย่างเดียวกัน ก็เลยสงสัยใหญ่

เมื่อเขาเดินห่างไปประมาณครึ่งกิโลเมตรฉันก็สะกดรอยตามเขาไป เดินไปทางทิศเหนือไปไม่ได้ไกลนักก็เข้าป่าไผ่ มีทางเล็กๆ เดินคดเคี้ยวไปตามทาง ก็มีเขาต่ำๆ ขวางทางเป็นระยะๆ ข้ามเขาลงเขาไปประมาณ ๑๐ ลูก ในที่สุดก็ถึงเขาใหญ่และสูงมากหัวหน้าขึ้นไปถึงยอดเขาก็กางบัญชีออกตรวจพล เมื่อถึงคนสุดท้ายเขาบอกว่าครบ ก็พอดีฉันโผล่ขึ้นไปทั้ง ๔ ท่านรู้สึกมีอาการตกใจมากถามว่า “พ่อหนูมาทำไม” จึงบอกว่า “เมื่อผมถามคุณลุงว่าไปไหน คุณลุงไม่บอกผม ผมก็ต้องตามมาดูให้หายสงสัย” แล้วถามว่า “พวกนั้นเขาไปไหนกันครับ” คุณลุงฟังแล้วก็พากันหัวเราะฟันขาวด้วยตัวแกดำมากแล้วตอบว่า “ลุงไปรับพวกนั้นเขามาส่งนรก” จึงถามท่านว่า “คนที่เอามาส่งนรกเขาทำความผิดอะไร” เขาตอบว่า “คนพวกนี้เคยถูกลงโทษในนรกมาแล้ว เมื่อหมดโทษเขาให้ไปเกิดเพื่อทำความดีกลับทำตนเลวทราม ไม่เคารพศีลธรรมขาดความเมตตาปรานี เมื่อทำชั่วอีกเขาก็นำมาลงโทษอีก”
ไปที่สำนักพระยายมราช

ว่าแล้วก็ชี้ให้ดูทางทิศเหนือต้องลงจากเขาไปก่อนจึงจะถึงผืนแผ่นดินใหม่ นรกไม่ได้อยู่ใต้ดินมีพิภพต่างหากจากมนุษย์ มองตามไปเห็นแผ่นดินใหญ่โตกว้างขวาง มีอาคาร ๓ หลังมีคนยืนอยู่ทางด้านซ้ายหลายพันคน มีคนตัวโตๆ อย่างพวกคุณลุงมากมายยืนถือหอกหน้าถมึงทึง อาคารในจำนวน ๓ หลัง หลังกลางเป็นหลังใหญ่ที่สุด มีคนเข้าออกไม่ขาดสาย มีคนตัวโตเดินนำเข้าไปทีละกลุ่ม พวกที่สวนออกมามีคนตัวโตเดินนำหน้า เมื่อออกจากอาคารเดินเลี้ยวซ้ายไปทางทิศตะวันออก เรื่องทิศนี้เทียบทางเมืองมนุษย์ สำหรับเมืองนรก สวรรค์ พรหม หรือนิพพาน ไม่มีอาทิตย์เป็นเครื่องวัดทิศทาง เมื่อเห็นคนเข้าคนออกอาคารหลังนั้นก็สงสัย จึงถามคุณลุงว่า “คุณลุงครับพวกนั้นเขาเข้าไปในบ้านหลังนั้นทำไม และพวกที่ออกมานั้นดูท่าทางอิดโรยหน้าตาเศร้าสร้อยเขาไปทางไหนกัน”

คุณลุงหัวหน้าบอกว่า “เมืองนี้เขาเรียกว่าเมืองนรก” แล้วชี้ไปทางคนที่ยืนคอยอยู่หลายพันคนแล้วบอกว่า “ทุกคนที่ยืนคอยนั้น เขาคอยการตัดสินของพระยายมราช พวกที่เข้าไปเขาถูกพระยายมราชเรียกตัวและชำระโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษตามความผิด พวกที่ออกมาและเดินไปทางทิศตะวันออกนั้น พวกนี้พระยายมราชชำระคดีแล้วก็นำไปลงโทษ” พูดแล้วก็ชี้มือไปทางทิศตะวันออก เมื่อมองตามไปเห็นทุ่งกว้างหาที่สุดมิได้ มีแสงไฟพุ่งขึ้นสูง บริเวณแสงไฟก็ไกลแสนไกลไม่รู้ที่สุดของบริเวณอยู่ที่ไหน ท่านบอกว่าตรงนั้นแหละที่เรียกว่านรก เป็นสถานที่ลงโทษคนที่ทำความชั่ว เมื่อสิ้นลมปราณแล้วเขาก็นำมาลงโทษกันที่นี่ ถามว่า “ เขาลงโทษนั้นเขาทำอะไรบ้าง” ตอบว่า “โทษที่เหมือนกันหมดก็คือ ถูกไฟเผาเหมือนกันแต่ความร้อนของไฟไม่เท่ากัน คนที่ทำชั่วมากไฟมีความร้อนมากกว่าคนที่ทำความชั่วน้อย นอกจากไฟยังมีประหารด้วยอาวุธ แต่ทว่าพวกนี้ไม่มีการตายต้องเจ็บต้องร้อนตลอดเวลา เป็นการลงโทษเพื่อให้เข็ดหลาบ”

ฉันขออนุญาตลงไปดู ทั้ง ๔ ท่านต่างแสดงอาการเดือดร้อนมากร้องออกมาพร้อมกันว่า “ไม่ได้ ถ้าหลานลงไปลุงทั้ง ๔ คนจะถูกลงโทษอย่างหนัก” จึงถามว่า “เพราะอะไรคุณลุงจึงจะถูกลงโทษและใครเป็นคนลงโทษคุณลุง” ตอบว่า “เพราะว่ากฎของเมืองนี้มีอยู่ว่า คนก่อนที่จะตายถ้าภาวนา “พุทโธ” หรือ “อรหัง” ถ้าลุงอนุญาตให้เข้าไปในแดนนรก ท่านพระยายมราชจะลงโทษลุงอย่างหนัก” จึงบอกว่า “เมื่อคุณลุงไม่ได้จับผมไปเอง ทำไมคุณลุงจะต้องถูกลงโทษ” ตอบว่า “ไม่ได้ เพราะหลานมาขณะที่ลุงนำคนมา ถ้ามาเองและลงไปเองไม่เป็นไร”

พอทำท่าจะลุกขึ้นเดินลงไป ก็พากันกั้นไม่ให้ลงแล้วถามว่า “อยากดูนรกขุนไหน” ถามว่า “นรกมีกี่ขุม” ตอบว่า “นรกขุมใหญ่มี ๘ ขุม นรกบริวารมีอีกขุมละ ๑๖ ขุม ยมโลกียนรกมีอีก ๑๐ ขุม” บอกว่า “อยากดูนรกขุมใหญ่ ๑ ขุม จะได้ทราบว่าเขาทำกันอย่างไร” คุณลุงชี้มือบอกว่า “นรกขุมที่ ๑ อยู่ตรงนี้” เห็นชัดเหมือนกับยืนดูอยู่ที่ปากขุม ภาพในนรกขุมนี้ไม่มีอะไรน่าสนุกเลย คนลงไปนอนอยู่ในทะเลเพลิงไฟสูงกว่าหัวหลายเท่า มีสรรพาวุธนาชนิดสับฟันตลอดเวลา เสียงร้องระงมไปหมด ไฟก็ไหม้อาวุธก็ประหารตายก็ไม่ตาย ขนาดถูกหอก ๓-๔ เล่มแทงทะลุพรุนไปหมด ไฟก็เผา ก็ไม่มีใครตาย ถูกฟันตัวขาดมันก็กลับติดกันทันทีไม่รู้จักตาย ดูแล้วก็สลดใจ

คุณลุงบอกหมดเวลาแล้วทางเมืองมนุษย์เกือบสว่างแล้วหลานต้องรีบกลับ แต่ก็จำทางเดิมไม่ได้ คุณลุงจึงให้คนที่คุมท้ายแถวมาส่ง เขาก็จับขา๒ขาเอาตัวเหวี่ยงขึ้นบ่าพาแบกวิ่งขึ้นเขาลงเขา พอมาถึงหน้าประตูบ้านก็เหวี่ยงเข้าประตูไป ก็มีความรู้สึกทางร่างกายลืมตาขึ้น เห็นคนเต็มบ้าน รู้สึกกระหายนํ้าจัด เห็นพ่อหนุ่มคนหนึ่งอายุเกือบ ๓๐ ปี นั่งมองอยู่ข้างๆ จึงบอกขอน้ำสักขันจะกินให้สมกับที่กระหาย พอได้ยินเข้าเท่านั้นก็กระโดดผลุงข้ามตัวไปร้องเสียงดังว่า “ผีหลอก” ดูเถอะมนุษย์เป็นอย่างนี้ นั่งอยู่ข้างๆ ตั้งนานไม่กลัว พอฟื้นคืนชีพกลับถูกหาว่าเป็นผี

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงร้องว่าผีหลอก ก็เข้าใจว่าฟื้นแล้วเพราะหลังจากตายแล้วไม่นาน พระผู้ทรงคุณธรรมพิเศษได้ฌานสมาบัติมีศักดิ์เป็นลุงท่านมา ท่านบอกให้ปล่อยร่างกายไว้ตามนั้น เด็กจะฟื้นคืนชีพก่อนสว่าง คนที่อยู่กันเต็มบ้านคืนนั้นเขาอยากเห็นการฟื้น ท่านลุงให้คนเอาน้ำสะอาด (น้ำฝน) ๑ ขันใหญ่มาให้ ฉันก็กินจนหมดขัน เมื่อกินแล้วก็ลุกขึ้นคุยตามธรรมเนียมของคนตายแล้วฟื้น อาการป่วยที่เป็นก่อนตายไม่มีอาการปรากฏเลย ร่างกายสบาย ทุกคนต่างก็สนใจเรื่องที่ไปพบมา ต่างก็ถามท่านแม่ว่าเรียนมาจากไหน ท่านแม่ก็บอกว่า “เรียนมาจากหลวงพ่อปาน” วันต่อมาพวกกลัวตายก็พากันมาเรียนเป็นการใหญ่

เมื่อฟื้นคืนชีพแล้ว ความชินของอารมณ์ ความมั่นใจในพระพุทธคุณ ทุกวันฉันอยากเห็นพระองค์นั้น ฉันรักอารมณ์อย่างนั้นและฉันก็รักษามาจนถึงวันบวชพระ ฉันชอบการท่องเที่ยวอย่างนั้น ฉันรักพระองค์ที่มีรูปร่างสวยมีรัศมีสว่างผ่องใส ฉันต้องเห็นท่านทุกวัน บางวันถ้าฉันว่างฉันเห็นท่านวันละหลายชั่วโมง ท่านเป็นพระใจดี ฉันนึกถึงท่านเมื่อไรท่านมาหาฉันทันที เพียงนึกอยากเห็นท่านเป็นเพชร ไม่ต้องออกปากองค์ท่านก็เป็นเพชรทันที ฉันรักท่านมาก ทุกวันถ้าถูกใครว่าฉันไม่สบายใจ ฉันก็หาที่ปลอดคน เรียกท่านให้มาหา วิธีเรียก ฉันยกมือไหว้ฟ้าแล้วก็กราบ ภาวนาว่า “พุทโธ” ๓ ครั้งท่านก็มาหาฉันทันที พอมาท่านยิ้ม

เมื่อเห็นท่านยิ้มฉันก็หมดความทุกข์ใจ ถ้าฉันอยากไปดูนรก ฉันก็บอกท่านว่า “ผมอยากไปดูนรก” เมื่อบอกท่านแล้วท่านไม่พูดแต่ท่านยิ้ม พอท่านยิ้มฉันก็ไปถึงที่ เคยไปกับท่านลุง ๔ คนทันที ไม่ทราบว่าไปได้อย่างไร ฉันคิดว่าอาการยิ้มของท่านเป็นการส่งฉันไป วันเวลาไปไม่แน่นอนจะเป็นกลางวันหรือกลางคืน ดีไม่ดีเวลาที่ฉันกินข้าวคนเดียวหรือดายหญ้าอยู่ ถ้าฉันอยากไปนรก ฉันก็วางมีดวางงานเสีย ภาวนาว่า “พุทโธ” ๓ ครั้งท่านก็มาหา ฉันก็บอกว่า “ฉันจะไปดูนรก” ท่านก็ยิ้ม ฉันก็ไปนั่งตรงที่ฉันเคยไป เมื่อฉันอยากเห็นนรกขุมไหนเขาทำอะไรกัน ฉันก็เห็นตามใจฉันนึกเหมือนกับฉันไปอยู่ในสถานที่นั้น แต่ทว่าฉันไม่เคยขอให้ท่านพาไปสวรรค์หรือพรหมโลก เพราะฉันไม่มีความรู้ เคยไปนรกก็ไปแต่นรกเท่านั้น แต่เมืองนรกก็มีคนลงไปใหม่ทุกวัน

การไปนรกเป็นปกติของฉัน เมื่อท่านแม่กับท่านยายนิมนต์พระมาเทศน์ ท่านชอบเทศน์เรื่องนรกสวรรค์เมื่อเทศน์จบแล้วฉันถามท่านว่า “เคยเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า” ท่านบอกว่า “ไม่เคยเห็น” ถามท่านว่า “เมื่อไม่เคยเห็นแล้วเอาอะไรมาเทศน์” ท่านบอกว่า “อ่านจากตำรา” เมื่อพูดเรื่องที่ฉันไปเห็นมา ท่านหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยเกลียดพระ คิดว่าพระพวกนี้หลอกลวงชาวบ้านหากิน มาเล่าเรื่องนรกสวรรค์ให้ฟัง แต่ตัวเองไม่เคยเห็นเลย เรื่องที่เราเห็นมากลับหาว่าเป็นเรื่องโกหก เลยไม่อยากไหว้พระ ส่วนพระพุทธไหว้กับพระที่เป็นท่านลุง ท่านรู้นรกสวรรค์ องค์นี้ไหว้ พระองค์ไหนก็ตามถ้ามาที่บ้านต้องถามว่าเห็นนรกสวรรค์หรือเปล่า ถ้าบอกว่าไม่เห็นไม่ยอมไหว้ ของที่เขาจัดถวายก็ไม่ยอมประเคนเด็ดขาด

การตายครั้งที่ ๓

เวลานั้นฉันอายุ ๑๔ ปี ฉันอยู่กับเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งเขาอายุ ๑๙ หรือ ๒๐ ปี เขาเป็นหนุ่มแล้ว ตอนเด็กๆ ฉันชอบเล่นกีฬา กีฬาบนบก กีฬาในน้ำ นี่ชอบมาก การออกกำลังเป็นปกติ วิ่งไม่พอ กระโดดโลดเต้นไม่พอ คว้าจอบมาฟันดิน ปลูกผัก ปลูกหญ้าแล้วก็ตักน้ำรดเอาทุกอย่าง ให้มีโอกาสได้ออกกำลังก็แล้วกัน ฉะนั้นเรื่องความเข้มแข็งของร่างกายเป็นของไม่หนักใจ แต่วันนั้นท่านผู้ใหญ่ไม่มีใครอยู่เลยไปธุระกันหมด เหลือฉันกับเพื่อนรุ่นพี่เพียงสองคนเท่านั้น อยู่ๆ พอตอนเย็นมันท้องถ่ายทั้งอาเจียน ถ่ายพรืดพราด ถ่าย ๓ ครั้งเริ่มหมดแรงเพราะในท้องไม่มีอะไรจะถ่ายและก็อาเจียนด้วย ท่านแพทย์ผู้ทรงคุณพิเศษ ๒-๓ ท่านก็มาให้การรักษา ความจริงโรคอย่างนี้ยาของท่านเคยชะงัด แต่ว่าการรักษาวันนั้นไม่มีผลเลย ยากินก็ดี ยาฉีดก็ดี การนวดเฟ้นคั้นบาทา ทำกันทุกอย่างไม่มีทางฟื้น ไม่มีทางดีขึ้น โรคไม่คลายตัว ฉันก็เพลีย เพื่อนเขาเป็นหนุ่มกว่ารู้สึกกำลังจะดีกว่า เขาก็เพลียเหมือนกัน ฉันก็เคลิ้มหลับ

เวลานั้นเป็นเดือน ๑๑ น้ำนอง ปีนั้นเผอิญน้ำท่วมขึ้นมาใกล้พื้นบ้าน ขณะที่เคลิ้มไปพอเพลียจัดๆ เห็นมีเรือลำหนึ่งเป็นลักษณะเรือเดินทะเล เป็นเรือไม้ใหญ่ๆ หัวสูงๆ ทาสีขาว เทียบท่ามาหน้าบ้าน ฉันก็นึกในใจว่าคลองมันเล็กและทางเข้าบ้านเรา เรือใหญ่ขนาดนี้เข้าไม่ได้ แต่เรือลำนี้เข้ามาได้อย่างไร เข้ามาเทียบติดชานบ้าน มีคน ๔ คนก้าวขึ้นมาจากเรือ คน ๔ คนรูปร่างหน้าตาดีมาก ผิวพรรณก็ดี เป็นคนหนุ่มแต่ว่าเครื่องแต่งตัวเหมือนกันหมด คือสีแดง กางเกงขายาวสีแดง เสื้อแขนสั้นแค่ศอกก็สีแดง ผ้าโพกศีรษะก็สีแดง แต่ทว่าตอนก้าวขึ้นมาบนบ้านผ้าไม่ได้โพกศีรษะเขาคล้องคอ เป็นผ้ายาวคล้ายๆผ้าขาวม้ายาวแบบนั้นแต่พื้นเป็นสีแดงทั้งหมด พอก้าวขึ้นมาสองคนแรกเข้ามาใกล้ตัวห่างสัก ๑ วา อีก ๒ คนยืนชิดริมชานบ้านชิดเรือ พอ ๒ คนก้าวเขามาบอกว่า “พี่นี่สองคนนี่หว่า” อีกสองคนข้างหลังบอก “รับมาได้เลย ไม่มีพิษไม่มีสงอะไร ไม่ต้องปลํ้ากันละง่ายๆ” แต่สองคนที่เข้ามาก่อนมองดูอย่างพินิจพิจารณาสัก ๑ นาทีเห็นจะได้ เขามองดูฉันและก็มองดูเพื่อนรุ่นพี่ มองไปมองมาก็บอกว่า “เอาไม่ได้แล้วเราสองคนนี่” อีกคนที่ยืนข้างๆ ถามว่า “เพราะอะไร” เขาเปิดบัญชีปั๊บ “คนนี้เป็นลูกของพระอินทร์ ใครมันวางยาไม่ดูหน้าคน ลูกพระอินทร์นี่เอาไปไม่ได้ ถ้าขืนเอาไปเรามีโทษ” ก่อนที่เขาจะกลับ เขาก็ยกมือไหว้และค้อมหัวลงคล้ายๆ แสดงความเคารพ ฉันก็ไม่สนใจเขาจะไหว้หรือไม่ไหว้ก็ตาม ฉันก็เพลียแหงแก๋อยู่แล้ว พอเขาหันหลังกลับก็วิ่งขึ้นเรือบอกสองคน “เร็ว พวกเราจะมีโทษ” อีกสองคนกระโดดขึ้นเรือตาเหลือกลาน ร้องถามว่า “มีโทษอะไร” คนนั้นก็บอก “คนนั้นลูกพระอินทร์ แล้วใครมันวางยาไม่ได้ดูหน้าดูตาคน นี่เราจะมีโทษกัน คนนี้ไม่มีสิทธิ์ที่จะทำเขาได้เลย” แล้วเรือลำนั้นก็วิ่งจู๊ดหายวับไปกับตา ฉันก็หลับสบายไม่รู้สึกตัว

ตอนหลับนั้นประมาณ ๒ ทุ่มเศษๆ ตอนสายประมาณสัก ๒ โมงเช้าหรือ ๓ โมงไม่ทราบ ตื่นขึ้นมาก็รู้สึกว่า ความปวดเสียดท้องมันหายไปหมด อาการต่างๆที่เป็นอยู่หายหมด ท้องโล่ง มีอาการคล้ายๆ กับถ่ายยาอย่างดีมีความรู้สึกอยากจะกินแกงเผ็ดไก่และต้องเผ็ดมากๆ

ต่อมาท่านแม่ป่วยก็ไปพักรักษาตัวอยู่ที่บ้านน้าพลอย ซึ่งเป็นน้องสาวของท่านแม่ ก็ใช้รดน้ำมนต์บ้างกินยาบ้าง ในที่สุดท่านแม่ก็เสียชีวิตเมื่อฉันอายุได้ประมาณ ๑๔ ขวบ พี่สำเภา พี่วงษ์ และท่านพ่ออยู่ป่าที่จังหวัดชัยนาท แล้วนำศพท่านแม่มาเผาที่วัดสาลี ตำบลสาลี อำเภอบางปลาม้า จังหวัดสุพรรณบุรี หลังจากนั้นฉันก็มาอยู่กับท่านยายที่บ้านหน้าวัดเรไร ในคลองบางระมาด อำเภอตลิ่งชัน จังหวัดธนบุรี ในสมัยนั้นท่านยายปลูกบ้านใหม่สองห้องให้อยู่ตามลำพัง ช่วงนี้เป็นช่วงที่ฉันฝึกฝนตนเองเป็นช่างไฟฟ้าและช่างเครื่องยนต์กลไกลต่างๆ จนบ้านที่อยู่รกไปหมด และเวลาว่างก็ไปเรียนระนาดเอกกับ คุณหลวงประดิษฐ์ไพเราะ (ศร ศิลปบรรเลง) ก็เลยเป็นนักระนาดกับเขาด้วย

การตายครั้งที่ ๔

เมื่อปีพ.ศ. ๒๔๘๗ ฉันอายุ ๒๗ ปี ตอนนั้นระหว่างสงครามโลกครั้งที่ ๒ จำพรรษาและเป็นครูสอนบาลีอยู่ที่วัดประยูรวงศาวาส จังหวัดธนบุรี วันนั้นวันที่ ๒ มกราคม ขณะนั้นอากาศหนาวจัด ก็มีพระท่านทำยาขนานหนึ่ง ทุกองค์ฉันแล้วก็รู้สึกว่าสบาย ฉันก็อยากจะมีกำลังร่างกายปลอดโปร่งอย่างเขาบ้างเพราะเป็นนักเทศน์แล้วด้วย ก็ขอท่านฉัน พอฉันเข้าไปเดี๋ยวเดียวท้องก็ถ่าย ๓ ครั้งหมดแรง คราวนี้ตามันเริ่มสั้นเข้ามาทีละหน่อยๆ สายตามองไกลๆ มันเห็นสั้นเข้ามาๆ จนกระทั่งพระกับเณรนั่งข้างๆ ๒-๓ องค์ ไม่เห็นพอไม่เห็นก็หมดความรู้สึกภายนอก ใครจะไปใครจะมาก็ไม่เห็นหมด ใครพูดก็ไม่ได้ยินหมด แต่ความรู้สึกในขณะนั้นมันเป็นความรู้สึกแตกต่างกับที่ตายมาแล้ว คือมันยังไม่ตายจริงอย่างที่ชาวบ้านเขาเรียกว่าสลบ แต่ความจริงสลบมันไม่มีความรู้สึก ฉันเข้าใจว่ากำลังจิตเป็นฌานมากกว่า เพราะพอตามองไม่เห็น ฉันก็เริ่มจับพระกรรมฐานคือเริ่มจับอารมณ์ตามเดิม พอจิตเป็นสมาธิ จิตมันก็โปร่งสบาย ฉันนึกถึงพระพุทธเจ้าของฉันก่อน เราจะไปสวรรค์ได้ ไปพรหมได้ ไปพระนิพพานได้ ก็เพราะอาศัยพระพุทธเจ้าเท่านั้น ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้า แล้วเราจะรู้ธัมมะธัมโมได้อย่างไร ฉะนั้นเราต้องเกาะต้นเค้ากันไว้ก่อน ฉันยึดพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ปกติฉันเห็นพระพุทธเจ้าอยู่ตลอดเวลา คือพระพุทธรูปทองคำที่ฉันชอบ และก็กราบพระพุทธเจ้าที่ท่านมาปรากฏพระองค์หลังจากการตายครั้งที่ ๓ ท่านสวยมากจับจิตจับใจ เพราะฉันชอบพระพุทธเจ้าสวยๆ เห็นท่านทุกเวลา เดินบิณฑบาตฉันเห็นตลอด นั่งอยู่ไม่มีใครกวนเห็นตลอด เวลาดูหนังสือเห็นท่านอยู่บนศีรษะเลย จิตใจสว่างจำอะไรได้ดี เวลาป่วยไข้ไม่สบาย ท้องถ่ายครั้งแรกฉันก็นึกในใจว่า อาการอย่างนี้มาอีกแล้ว ก็เลยจับอารมณ์เบาๆ ฉันไม่ได้ทำอารมณ์หนัก ฉันภาวนา “พุทโธ” หายใจเข้านึกว่า “พุท” หายใจออกนึกว่า “โธ” ใจก็จับพระรูปพระโฉมของพระพุทธเจ้าที่เคยเห็นชัดเจนมาก และพระองค์ก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แต่ไม่เคยพูด

ต่อมาความรู้สึกภายนอกหมด อารมณ์ภายนอกดับร่างกายไม่รู้สึก ตาไม่เห็นหูไม่ได้ยิน แต่มีความรู้สึกว่า ฉันนั่งอยู่ในโพรงๆ หนึ่งซึ่งมีความสว่าง ฉันพิจารณาว่าถ้ำหรือโพรงๆนี้มันคืออะไร ก็ปรากฏว่าเป็นร่างกายฉันเองเหมือนกับถ้ำหรือโพรงที่ใหญ่มากขนาดยืนต่อตัว ๒-๓ คนก็ไม่ถึง ฉันไปนั่งตรงกลางของส่วนอก สภาพของตัวเองเป็นพรหม ใสชัดเจนมาก สวยสดงดงามมากกว่าการตายครั้งก่อน ฉันนึกในใจว่าไอ้ถ้ำนี้หรือว่าเปลือกๆ นี้เราอาศัยมันมานานแล้ว เราควรจะอยู่หรือว่าควรจะไป ก็คิดอีกทีว่า ถ้าอยู่ดีกว่าเก่าเราก็จะอยู่ ถ้าอยู่แล้วไม่ดีกว่าเดิมเราจะไม่อยู่ เสียเวลาเปล่าๆ จึงนึกถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่หรือควรจะไป” ก็เห็นวิมานบนพรหมชั้นที่ ๑๑ ชัดเจน และบนอากาศมีเทวดากับพรหมและพระอริยะเต็มไปหมด แพรวพราวเป็นระยับ สดชื่นเหลือเกิน แต่ว่าทุกท่านไม่มีใครกวักมือเรียกเพียงแต่ยิ้ม

ท่านสหัมบดีพรหม ยืนข้างหน้าบอกว่า “จงใคร่ครวญให้ดีก่อนว่าจะอยู่หรือจะไป”

ฉันก็เลยนึกถึงพระพุทธเจ้า ตั้งจิตอธิษฐานว่า “ถ้าข้าพระพุทธเจ้าควรจะอยู่ขอให้มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการ พุ่งมาบนเพดาน ถ้าหากว่าไม่ควรอยู่ ควรจะไป ขอไม่เห็นอะไรปรากฏเลย”

พออธิษฐานเสร็จก็มีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาเป็นแสงรุ้งเต็มเพดานแผ่อยู่พักหนึ่งก็หายไป ฉันคิดว่าท่านบอกว่าควรอยู่ จึงตัดสินใจว่า “หากฉันจะอยู่ต่อไปถ้าสมถธรรมของฉันจะดีกว่าเดิม ก็ขอเห็นฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพุ่งมาแล้ววนเป็นทักษิณาวัตร ถ้าหากว่าอยู่แล้วสมณธรรมของฉันไม่ดีกว่านี้ ก็ขอรัศมี ๖ ประการจงอย่าปรากฏ” พออธิษฐานเสร็จก็ปรากฏว่า มีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งมาใหม่วนเป็นทักษิณาวัตร สวยสดงดงามมาก อยู่ประมาณ ๑๐ นาที ฉันก็ชื่นใจ พอรัศมี ๖ ประการหายไปก็ปรากฏว่ามีเทวดาองค์หนึ่งคือ ท่านพระอินทร์ ท่านแต่งชุดสีขาว นุ่งผ้าธรรมดาๆ เป็นผ้าพื้น มีผ้าสไบเฉียงออกสีขาว ท่านเอายามาให้ก้อนหนึ่งเหมือนก้อนดินบอกว่า “คุณฉันยาก้อนนี้โรคจะหาย การที่คุณรับเทศน์ไว้ที่จังหวัดสมุทรสงครามวันมะรืนนี้ ไม่ต้องนิมนต์ใครไปแทน คุณไปเองได้ร่างกายจะดีเป็นปกติ” รับยามาฉันรสเหมือนดิน หลังจากนั้นก็มีความรู้สึกตัว ลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นคนหลายคน ประเดี๋ยวหนึ่งกำลังก็ปรากฏหายจากโรคเป็นปลิดทิ้ง แต่ว่าเพื่อนพระบอกว่าเวลาสิ้นไป ๘ ชั่วโมงเศษ ฉันก็รอดตายมาได้

การตายครั้งที่ ๔ นี้ มีประโยชน์ที่มีการเข้าใจว่าการเข้าฌานตายเป็นอย่างไร และการตายมันก็เหมือนกับความฝันนั่นแหละ เราอย่าไปนึกกลัวมันเลย ร่างกายมันก็เหมือนเปลือกนอก เมื่อทิ้งอัตภาพแล้วมันก็จะกองอยู่จิตก็เคลื่อนไปตามวาสนาบารมี

การตายครั้งที่ ๕

พอถึงปี ๒๕๐๐ ฉันอายุย่างเข้า ๔๐ ปี บวชพรรษาที่ ๑๙ หลวงพ่อปานท่านมาบอกก่อนว่าอีก ๓ ปี คุณจะป่วยหนักงานก่อสร้างทั้งหมดขอให้เบาตัว คราวนี้ป่วยหนักเลยเข้าโรงพยาบาลกรมแพทย์ทหารเรือ เพราะหลานชายอยู่ที่กรมแพทย์ทหารเรือและก็มีหลายๆ คนรู้จักกัน เวลานั้นหมอประกอบเป็นผู้อำนวยการ พักอยู่ที่ตึก ๑ เป็นห้องพิเศษ ทุกวันพอถึงเวลาจวนจะ ๒ ทุ่ม จะมีอาการแน่นท้อง เสียดหน้าอก มันแน่นขึ้นมาๆ จนกระทั่งหายใจไม่ออก แต่ตอนกลางวันไม่เป็นไร ป่วยคราวนี้ฉันรู้ตัวว่าฉันแก่แล้ว คิดว่าคราวนี้ฉันตายแน่

พอถึงคืนวันที่ ๓ ก็คิดว่าคืนนี้มันคงจะเอาอีก ก็ตั้งท่าสู้พอถึงเวลาใกล้จะ ๒ ทุ่มก็เรียกจ่าพยาบาลมาให้ไขเตียงในท่านั่ง แล้วให้จ่าออกจากห้องปิดประตูใส่กุญแจหน้าห้องด้วย วันนี้ฉันตั้งท่าสู้โดยเอาสติจับสมาธิ จับอานาปานุสติกรรมฐานแล้วก็ปลงว่า ขันธ์ ๕ คือร่างกายมันจะพัง เราไม่ต้องการมันอีก ทรัพย์สินของเราไม่มี ญาติพี่น้องไม่มี พ่อแม่ไม่มี ที่พึ่งอื่นของเราไม่มีนอกจากคุณพระรัตนตรัย เวลานี้เราต้องการคุณของพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธรรมใดที่พระพุทธเจ้าทรงเห็นแล้ว เราต้องการเห็นธรรมนั้น คิดในใจเพียงเท่านี้เองไม่ได้ทำอะไรมากหรอก

พอเวลา ๒ ทุ่มตรงแทนที่อาการปวดเสียดมันจะมา กลับเห็นมีพรหมองค์หนึ่งมายืนอยู่ข้างหน้า แสงสว่างมากมีความสวยสดงดงาม ท่านคือ ท่านสหัมบดีพรหม ท่านบอกว่า “พระพุทธเจ้าให้มานิมนต์ไปเฝ้า” ก็เดินตามท่านไป เวลาออกจากตัวรู้สึกว่าร่างกายของฉันสวยกว่าการตายทุกครั้งที่ผ่านมา มีความบางกว่า มีความเบากว่า เครื่องประดับประดาก็สวยสดงดงาม ท่านพาเดินลัดเลาะไปตั้งแต่โลกันตมหานรกขึ้นมาถึงอเวจีมหานรก ขึ้นมาเรื่อยๆ เห็นนรกทุกขุม เรื่อยมาถึงแดนเปรต แดนอสุรกาย แดนสัตว์เดรัจฉาน แดนมนุษย์ แดนสวรรค์ตั้งแต่ชั้นที่ ๑ ถึงชั้นที่ ๖ แดนพรหมทุกชั้นถึงพรหมชั้นที่ ๑๖ กับอรูปพรหมอีก ๔ ชั้น ที่ท่านพาผ่านไปอย่างนั้นท่านต้องการให้ชมว่า คนเราถ้าทำชั่วก็ต้องตกนรกแบบนี้ เป็นเปรตแบบนี้ เป็นอสุรกายอย่างนี้ เป็นสัตว์เดรัจฉานแบบนี้ ถ้าทำดีเล็กน้อยก็เป็นคนบ้าง เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าบ้าง เป็นพรหมบ้าง พอสุดทางพรหมชั้นที่ ๑๖ ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ผมมีหน้าที่พาท่านมาแค่นี้ ต่อจากนี้ไปไม่ใช่หน้าที่ของผม ท่านต้องไปคนเดียว” ถามท่านว่า “ไปทางไหน” ท่านก็ชี้ทางให้ไปก็เห็นทางไม่โตนัก พอย่างเท้าก้าวไปสู่ทาง ทางก็ใหญ่พรึบเป็นแผ่นดินๆ หนึ่งแต่เป็นแก้วผสมทอง สวยสดงดงามมาก

พอออกจากเขตพรหมชั้นที่ ๑๖ ก็รู้สึกว่าหมดแรงเหมือนคนที่เป็นไข้หนักตื่นขึ้นมาใหม่ๆ เดินโผเผๆ ไม่มีแรง เมื่อเดินตรงไปก็พบสถานที่แห่งหนึ่งเหมือนวัด มีกำแพงคล้ายๆ แก้วผสมทอง มีหน้าบันคล้ายคลึงหน้าบันของวัดท่าซุงที่หน้าโบสถ์ แต่สวยวิจิตรพิสดารมากกว่า มีซุ้มประตูเป็นทางเข้า พื้นที่เดินเป็นแก้วผสมทองเดินเข้าไปพอเห็นหอระฆังหลังหนึ่ง มีอาคารอยู่ ๓ หลังใหญ่มาก หลังหนึ่งเป็นหลังทึบคล้ายๆ กับวิหารแก้ว อีก ๒ หลังโปร่งคล้ายๆ กับมณฑปหน้าวิหารแก้วทั้ง ๒ มณฑป ไม่เหมือนกันเปี๊ยบแต่โปร่งคล้ายๆ กัน สว่างไสววิจิตรตระการตามาก มองไปด้านทิศตะวันออกเห็นสระโบกขรณีมีนํ้าใส มีแท่นแก้ว มีต้นไม้แก้ว ตอนนั้นมีความรู้สึกว่าวัดอะไรสวยจริงๆ ไม่เคยเห็น เงียบสงัดหาคนไม่ได้ เดินไปเดินมาก็หมดแรง จึงไปนอนที่หอระฆังหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ก็เห็นพระองค์หนึ่งมีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการพวยพุ่งออกมาจากกาย ท่านเดินมาทางด้านกำแพงทิศตะวันออกซึ่งไม่มีประตูเข้า พอท่านเดินมาถึงกำแพง กำแพงก็ขาดออกไป พอท่านเดินผ่านเข้ามา กำแพงก็ชนติดกัน พอเห็นก็จำได้ทันทีว่าพระองค์นี้คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เพราะเคยเห็นบ่อย ท่านเดินมานั่งข้างๆ ฉันก็ลงจากพื้นของหอระฆังทองคำผสมแก้ว ท่านก็นั่งบนแท่น ฉันก็ก้มกราบท่านที่พระบาท

ท่านก็ถามว่า “ในชีวิตนี้เธอคิดไหมว่าจะมานิพพาน” ก็กราบทูลตามความเป็นจริงว่า “ไม่เคยคิดพระเจ้าข้า” ท่านถามว่า “ทำไม” ก็ตอบว่า “เขาบอกว่านิพพานสูญ ข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบว่านิพพานอยู่ที่ไหน ก็เลยไม่คิดว่าจะไป คิดอย่างเดียวว่า ถ้าตายแล้วไม่ต้องการขันธ์ ๕ ไม่ต้องการความเกิดอีก” ท่านถามว่า “ที่เธอนั่งอยู่นี่เขาเรียกอะไร” ก็ตอบว่า “ไม่ทราบพระพุทธเจ้าข้า” ท่านก็ถามต่อว่า “ตั้งแต่ภุมเทวดา รุกขเทวดา อากาศเทวดาทั้งหมด พรหมทั้งหมด เธอรู้จักไหม” ก็ตอบว่า “ท่านสหัมบดีพรหมพาผ่านมาแล้วทุกจุดถึงพรหมชั้นที่ ๑๖” ท่านถามว่า “ที่นี่เขาเรียกพรหมชั้นที่ ๑๖ ใช่ไหม” ก็ตอบว่า “ไม่ใช่ เพราะว่าเลยมาแล้วพระพุทธเจ้าข้า” ท่านจึงบอกว่า “ที่นี่เขาเรียกว่านิพพาน พอเลยพรหมชั้นที่ ๑๖ มาเขาเรียกนิพพาน” ก็แปลกใจถามท่านว่า “เขาว่านิพพานสูญไม่ใช่หรือพระพุทธเจ้าข้า” ท่านก็ทรงแย้มพระโอษฐ์บอกว่า “ถ้านิพพานสูญ เธอจะนั่งอยู่ได้อย่างไร เธอไปอ่านหนังสือของคนที่เขาไม่รู้จักนิพพาน นิพพานไม่ได้มีศัพท์ว่า “สูญ” อย่างเดียว มีศัพท์ว่า “สุข” ด้วย”

“นิพพานัง ปรมัง สุขขัง” แปลว่า “นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง”
และ “นิพพานัง ปรมัง สุญญัง” แปลว่า “นิพพานเป็นธรรมอันว่างอย่างยิ่ง” หมายความว่า “สูญจากกิเลส”
“สูญ” แปลว่า “ว่าง” คือว่างจากกิเลส ว่างจากความชั่วทั้งหมด ขอให้เธอจงมีความเข้าใจว่า “นิพพานไม่มีสภาพสูญ”

ท่านถามอีกว่า “เธอคิดจะมานิพพานไหม” ก็ตอบว่า “ไม่คิดพระพุทธเจ้าข้า” ท่านถามว่า “ทำไม” ก็ตอบว่า “เพราะวิปัสสนาญาณยังอ่อนพระพุทธเจ้าข้า” ท่านก็บอกว่า “จริง เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ชาตินี้เธอจะมานิพพานได้หรือไม่ได้ ลองดูก็แล้วกัน” ท่านก็เนรมิตไม้ขึ้นมา ๑๐ ท่อน ยาวประมาณแค่ศอก เป็นแบบไม้ไผ่แล้ววางไว้ ท่านก็เรียกพระขึ้นมา ๙ องค์ พระไม่รู้มาจากไหนโผล่ผลุบผลับก็มาถึง จำได้ว่าองค์ที่ ๓ คือ หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค แต่ละองค์มาถึงต่างก็นมัสการพระพุทธเจ้า แล้วก็หยิบไม้ไปคนละอัน เหลืออีกอันหนึ่งพระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “อันนี้เป็นของเธอ เธอยกไม้อันนี้” ก็นึกในใจว่ายกไม่ไหวแต่ก็เกรงใจท่าน จึงเข้าไปยกไม้ตั้งท่าเต็มที่ แต่พอยกเข้าจริงๆ ปรากฏว่าไม้เบามากเหมือนกระดาษ ฉันมีกำลังขึ้นมาทันทีเอาใส่บ่าเดินตามพระไป

พอเดินไปได้ประมาณสัก ๑๐ ก้าว ท่านก็เรียกกลับมาบอกว่า “วางไม้เสียก่อน เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนาญาณยังอ่อน” ก็กราบท่าน ท่านบอกว่า “เธอสนใจสมถภาวนามากเกินไป วิปัสสนาญาณน้อย โดยที่เธอคิดว่าเธอปรารถนาพุทธภูมิ จะปรารถนาพุทธภูมิหรือสาวกภูมิก็ตาม วิปัสสนาญาณต้องควบคู่กับสมถภาวนา คือต้องให้สมํ่าเสมอกัน และอีกประการหนึ่งเธอก็มีความจำเป็นต้องลาจากพุทธภูมิ” ก็บอกท่านว่า “ไม่ตั้งใจจะลา” ท่านบอกว่า “เธอตั้งใจจะลาหรือไม่ตั้งใจจะลาก็ตาม ถึงเวลานั้นมันต้องลา” ก็เลยถามท่านว่า “จะลาเพื่ออะไร” ท่านบอกว่า “ลาเพื่อช่วยกัน ถ้ายังปรารถนาพุทธภูมิอยู่อย่างนี้ก็จะสนใจเฉพาะฌานโลกีย์ ฌานโลกีย์ยังช่วยตัวเองไม่ได้ เพราะถ้าพลาดเมื่อไรก็ลงอบายภูมิเมื่อนั้น ดูตัวอย่าง พระเทวทัต เธอต้องกลับไปเพื่อปฏิบัติวิปัสสนาญาณให้เต็มขั้น

หลังจากนี้เป็นต้นไปเวลา ๔ ทุ่มตรง ถ้ามีแขกอยู่ก็จงเลิกรับแขก เข้าที่นอนบูชาพระ ฉันจะไปสอนอริยสัจจนกว่าเธอจะได้ผล และจงอย่าลืมนะ อารมณ์ที่เธอคิดนั้นเป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ หมายความว่า การที่เธอจะมานิพพานได้ นี่เธอคิดว่าพ่อแม่ พี่น้อง เพื่อนฝูง ทรัพย์สินต่างๆ ไม่สามารถจะช่วยเธอได้เมื่อเธอจะตาย ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ สิ่งที่เป็นประโยชน์คือ คุณพระรัตนตรัย และเธอไม่ต้องการร่างกายเพราะมันป่วยไข้ไม่สบาย มีความทุกข์อยู่เสมอ ขึ้นชื่อว่าความเกิดไม่ต้องการอีก อันนี้เป็นอารมณ์ของพระอรหันต์ ทุกคนถ้าคิดอย่างนี้เป็นอารมณ์ มานิพพานได้ทุกคน”

ในที่สุดก็ลาท่านกลับมา พอฟื้นเวลาผ่านไปตั้งแต่ ๒ ทุ่มถึงใกล้สว่าง พอตอนเช้าก็มีจ่าพยาบาลมาเคาะประตู นำอาหารมาให้ กินข้าวกินปลาเสร็จ กำลังจิตก็มีความสุขสงัด ที่เขาเรียกว่า สังขารุเปกขาญาณ คือเจริญวิปัสสนาญาณควบคู่กับสมถภาวนา การไปพระนิพพานมาแล้วครั้งหนึ่ง ทีหลังนึกถึงพระนิพพานปั๊บก็ถึงเมื่อนั้น พอถึงเวลาเช้ามืดก็กลับลงมา จิตใจก็มีความสุข ไม่มีความห่วงใยในทรัพย์สินแม้แต่ร่างกายก็คิดว่าถ้ามันตายเมื่อไร เราก็มีความสุขเมื่อนั้น

การตายครั้งที่ ๖

การตายครั้งที่ ๖ เป็นปี พ.ศ. ๒๕๑๑ ตอนนี้มาอยู่ที่วัดท่าซุงเป็นปีแรก สถานที่อยู่ซึ่งท่านเจ้าอาวาสนิมนต์มาบอกว่าจะสร้างกุฏิให้หนึ่งหลัง ไปๆมาๆกุฏิของท่านมีแต่พื้นกับหลังคา ก็ต้องมาทำเองเป็นกระต๊อบเพิงหมาแหงน กุฏิเวลานี้นำมาสร้างอยู่ในสระข้างโบสถ์ แต่ขยายกว้างออกไปและสวยกว่าเก่า เดิมทีเดียวทำแค่ปุๆปะๆแค่พออยู่ได้ยาวแค่ ๖ ศอก กว้าง ๔ ศอก วันนั้นฉันก็นอนอยู่ที่กระต๊อบโคนโพธิ์ ตอนนั้นมีเตียงอยู่หนึ่งเตียง ก็นอนตะแคงขวา กำลังทางร่างกายก็น้อยลงไปทีละนิดๆ ในที่สุดก็ใกล้จะหมดแรง สายตาที่มองยาวออกไปมันก็เริ่มสั้นเข้ามาทีละน้อยๆ จนกระทั่งเห็นสั้นเข้ามาห่างจากร่างกายไปประมาณสัก ๒ วา อาการอย่างนี้มันเคยมีมากับฉันคืออาการเพลีย แต่ว่าอาการป่วยคราวนี้ของฉันไม่ได้ยั้งตัว หมายความว่าฉันเผลอไปเมื่ออายุ ๑๒ ปี มาครั้งหนึ่งแล้ว เกือบจะต้องถูกจับไปสอบสวนที่สำนักของท่านพระยายมราช ฉะนั้นการภาวนาฉันไม่มีหยุด การพิจารณาก็ดีถือเป็นปกติ เวลาไหนต้องการภาวนาก็ภาวนา เวลาไหนต้องการพิจารณาก็พิจารณา

เมื่ออาการไม่ดีเกิดขึ้น ฉันก็นึกถึงร่างกายว่า ดีไม่ดีมันก็ตายวันนี้แหละ มันจะตายเมื่อไรก็ช่างเราเตรียมพร้อมไว้เพื่อจิตเป็นสุข มีความรู้สึกว่าร่างกายเราประคบประหงมมันเท่าไรมันก็ดีไม่ได้ เลิกกันเสียทีนะ เอ็งจะตายก็ตายเถอะ ก็เลยบอกว่า “มึงพังเสียได้ก็ดี กูจะได้มีความสุข เจ้าตัณหาเอ๋ย ฉันเป็นทาสแกมา ๕๐ ปีแล้ว ความดีนิดหนึ่งของแกไม่มีสำหรับฉันเลย ไอ้ร่างกายนี่แกให้ข้ามา และเวลานี้ข้าก็มีความเบื่อหน่ายร่างกายที่แกให้ แกจะต้องการร่างกายของแกคืนไปก็เชิญ ฉันไม่มีความปรารถนาร่างกายเลวๆ อย่างนี้” พอจิตคิดเท่านี้ ไอ้ตัวสั้นของสายตามันก็หยุดมันไม่สั้นเข้ามาอีก กายมันเพลียแต่ใจไม่ได้เพลียไปด้วย กายยิ่งเพลียเพียงใดจิตใจยิ่งแจ่มใสมากขึ้น ความสว่างไสวของจิตมากขึ้นกว่าเก่า แพรวพราวเป็นระยับ

แต่ก็มีแปลกอย่างหนึ่ง ในอากาศไม่เห็นใครเลย ไม่เห็นเทวดา ไม่เห็นพรหม ไม่เห็นใครทั้งหมด ก็มีความรู้สึกว่าถ้าอาการอย่างนี้มันคงไม่เอาจริง แต่ในใจนั้นอยากให้มันเอาจริง เมื่อสายตายาวออกไป ร่างกายก็เริ่มมีกำลัง จึงคิดในใจว่า “ตัณหาเอ๋ย เจ้าทำไมถึงหลอกเราอย่างนี้ เจ้าคิดหรือว่าเราต้องการเจ้า เราเบื่อเจ้า เราเกิดมาหลายอสงไขยกัปเพราะเป็นทาสของเจ้า ไม่มีความดีสำหรับเราเลย ความจริงเราไม่ต้องการร่างกายเลวๆ ของเจ้า เมื่อไรเจ้าจะมาทวงเจ้าร่างกายของเจ้าตัวนี้ไป” มันนึกอยู่คนเดียว พอนึกๆ ไปก็เลยทำใจหยุด จะนึกไปทำไม มันจะอยู่ก็อยู่ มันจะตายก็ตาย มันตายเมื่อไรไปบ้านของเราเมื่อนั้น ใจฉันก็จับอยู่ที่บ้านสวยแจ๋ว มีความสวยงามมาก มีความสุข

ในระหว่างนั้นเองก็เห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระวรกายใหญ่มาก ถ้าพระพุทธรูปหน้าตัก ๔ ศอก ต้องถึง ๑๐ องค์ ถึงจะเท่าพระวรกายของพระองค์ เวลานั้นเห็นชัดเจนแจ่มใสแพรวพราวเป็นระยับลอยอยู่ข้างหน้าไม่ไกลจากฉันนัก ท่านลอยตํ่ากว่าหลังคากระต๊อบหลังนั้น แต่เวลานั้นภาพหลังคาไม่ปรากฏ เห็นแต่พระพุทธเจ้าทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วก็ตรัสว่า “สัมพเกษี อาการเพียงเท่านี้ เธอเป็นทุกข์มากหรือ” ก็ตอบพระองค์ว่า “ข้าพระพุทธเจ้า ไม่ทุกข์พระพุทธเจ้าข้า” ท่านตรัสว่า “ไม่ทุกข์ ทำไมจึงมีการท้าทายกับตัณหา” ตอบพระองค์ว่า “การท้าทายตัณหาก็เพราะข้าพระพุทธเจ้าไม่ต้องการตัณหาและก็ไม่ต้องการสมบัติของตัณหา เวลานี้สมบัติของตัณหาแต่ละชิ้นไม่ต้องการเลย มีความต้องการอย่างเดียวคือบ้านหลังนั้น” พระองค์ก็ทรงยิ้มแล้วตรัสว่า “อาการป่วยเท่านี้ อาการทุกขเวทนาเพียงเท่านี้จงอย่าบ่นนะ ทำใจให้สบาย จิตไม่ยึดถืออะไรทั้งหมด สลัดทุกอย่าง กามตัณหา ภวตัณหา วิภวตัณหา สลัดให้หมด จงเข้าใจในทุกข์ของโลก คนที่เกิดมาในโลก ใครก็ตาม พระอรหันต์ก็ตาม พระพุทธเจ้าก็ตาม ก็ป่วยเหมือนกัน ร่างกายของพระพุทธเจ้าก็ป่วย ร่างกายของพระอรหันต์ก็ป่วย ร่างกายของเธอจะไม่ป่วยไม่ได้”

หลังจากนั้น พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “เธอจงรักษากำลังใจอย่างนี้ให้ปกติเป็นเอกัคตารมณ์ คือมีอารมณ์อันเดียวที่เราต้องการอย่างนี้ ถ้าพลาดพลั้งลงอบายภูมิ เจ้าหนี้ของเธอที่ยังไม่ได้ชำระหนี้เฉพาะคน สัตว์ไม่คิด เท่านี้เธอดู” ท่านชี้ไป ฉันก็เห็นหัวคน เขาตัดเฉพาะหัววางเรียงพื้นที่จากแนวของคลอง วางเรียงเป็นระเบียบเรียบร้อยจนสุดของพื้นที่ของวัดท่าซุงด้านเหนือสุดเลย และก็ไม่ได้วางชั้นเดียว เต็มพื้นที่หมด กุฏิอะไรไม่เห็นทั้งนั้น เห็นแต่หัวคนวางเรียงเป็นระเบียบ สูงกว่ายอดโพธิ์หนึ่งเท่าหรืออาจจะเป็นหนึ่งเท่าเศษ ท่านบอกว่า “คนทั้งหมดนี้เธอฆ่ามาในอดีต และเวลานี้กรรมที่เธอทำกับเขาทุกคน เธอยังไม่ได้ใช้หนี้ เวลานี้เธอกำลังใช้หนี้เศษกรรมส่วนอื่น ส่วนใหญ่นี่ยังไม่ได้ใช้”

จึงได้กราบเรียนถามท่านว่า “การสร้างบาปขนาดนั้น ทำไมไม่ไปอบายภูมิ” ท่านก็ตรัสว่า “ทุกชาติหลังจากนั้นมาพันชาติเศษ เธอเป็นนักรบก็จริงแหล่แต่ทว่าก็เป็นนักบุญด้วย” นักรบก็เป็น นักบุญก็เป็น ดังนั้นเวลายามว่างก่อนรบก็ทำบุญ เวลาไปรบจิตใจก็นึกถึงพระเป็นที่พึ่ง กลับมาจากการรบก็ทำบุญ และก็ชอบเจริญสมาธิ นักรบต้องใช้อาวุธฟาดฟันกัน โดยเฉพาะใช้มีดใช้ดาบใช้หอก ต้องหนังเหนียวทุกคน จะหนังเหนียวได้เพราะอาศัยคุณพระคุ้มครอง ฉะนั้นจิตใจจึงนึกถึงพระเป็นปกติและเวลาจะตาย จิตใจนึกถึงพระเป็นปกติ อย่างนี้เป็นอารมณ์ฌาน อาศัยกำลังของฌานก็หนีบาปไปทุกครั้งพันชาติเศษ

แล้วสมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ก็ทรงให้โอวาทว่า “นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป เธอจงถือกำลังใจสังขารุเปกขาญาณเป็นอารมณ์ อะไรจะเกิดขึ้นกับร่างกายก็ถือว่าเฉยไว้ เขาจะชมก็เฉย เขาจะด่าก็เฉย แล้วร่างกายจะเจ็บไข้ไม่สบาย ก็ทำใจสบายๆ เฉย ยอมรับนับถือกฎของธรรมดา คิดว่าร่างกายของเราต้องเป็นอย่างนั้น อย่าใช้อารมณ์ฝืนกฎของธรรมดาเท่านี้ อารมณ์จิตของเธอจะเป็นสุข
หัวคนที่ปรากฏทั้งหมดนี่นับแสน กรรมอันนี้ไม่สามารถจะตามเธอทัน เธอมีโอกาสจะไป บ้านของเธอตามความประสงค์”

การตายครั้งที่ ๗

เมื่อวันที่ ๒๒ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๒๓ อาการตายคราวนี้แปลกไม่มีโรค ตอนเช้าลงมาจากกุฏิชั้นสอง ตื่นขึ้นมาล้างหน้าเสร็จก็หยิบเอกสารสำหรับทำงานลงมาที่ ตึกอินทราพงษ์ หวังจะทำงานเมื่อฉันเช้าเสร็จ พอวางเอกสารเสร็จก็อยากเข้าห้องส้วม พอนั่งในส้วมปั๊บมันไม่ขี้ไม่เยี่ยว มันมืดไปหมด ไม่ใช่หน้ามืดอย่างเดียว มันมืดไปทั้งหมดแม้แต่ยกมือขึ้นก็มองไม่เห็นมือ แต่ว่าจิตใจเป็นสุข ก็คิดว่าอาการอย่างนี้ควรเป็นอาการของความตาย ถ้าตายในเวลานี้ก็ไม่เห็นจะแปลกอะไร จิตใจเป็นสุขเราก็ไปนิพพาน นั่งอยู่นานสักครู่ก็คิดในใจว่าในโลกนี้ ตั้งแต่พระพุทธเจ้าอุบัติมาแล้ว ก็ไม่เคยมีพระอรหันต์องค์ไหนท่านนิพพานบนโถส้วม ถ้าเราตายบนโถส้วมก็จะเก่งกว่าพระอรหันต์ทั้งหมด และลูกศิษย์ของเราก็มีมาก ถ้าเขาทราบว่าอาจารย์ตายบนโถส้วมก็จะขายขี้หน้าเขา เลยลุกจากโถส้วม ก็มองไม่เห็นอะไรเลย เอามือคลำข้างฝา คลำราวผ้าออกมา พอถึงหน้าประตูห้องบันทึกเสียง พื้นห้องปูพรมก็เอนกายนอนลงตรงนั้น พอเอนกายลงไปแล้ว จิตก็ออกจากร่างไปติดอยู่แค่พระจุฬามณีเจดียสถาน ในบริเวณสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ทั้งหมดเต็มไปทั้งเทวดา นางฟ้า พรหม และพระอรหันต์ทั้งหมด ทะลุไปพระนิพพานไม่ได้ หาทางไปไม่ได้ เห็นพระพุทธเจ้าก็เข้าไปกราบท่าน

ท่านก็ถามว่า “จะไปไหน” บอกท่านว่า “จะไปพระนิพพานครับ” ท่านบอกว่า “ฉันให้แกตายปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ปีนี้พ.ศ. ๒๕๒๓ นี่แกตายไม่ได้” ก็บอกท่านว่า “ตายได้หรือไม่ได้ก็มาแล้ว จะไป” ท่านก็เลยบอกว่า “เอาอย่างนี้ก็แล้วกันกลับลงไปก่อน สัญญาเดิมปี ๒๕๒๕ ถ้าฉันปล่อยให้เธออยู่ถึง ๒๕๒๕ ฉันจะเอาเธอไว้ไม่ได้ ฉะนั้นปีนี้ ๒๕๒๓ ฉันต้องทำให้เธอตายชั่วคราวก่อนให้ถือว่าเป็นการเกิดใหม่” ไอ้เราก็ยังไม่กลับ ท่านก็มาด้วยก็เลยต้องมา ในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านมาด้วยก็ต้องมา เมื่อเข้าในร่างกายก็ค่อยๆ ลืมตาขึ้น มันก็ยังมืดอยู่จึงหลับตาต่อไปอีกสักครู่หนึ่ง จึงลืมตาขึ้นก็ค่อยๆ สว่างท่านบอกว่า “ให้ถือว่าวันเกิดใหม่ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปนะ ฉันต่อให้อีก ๑๐ ปี”

การตายครั้งที่ ๘

วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๒ มีอาการผิดปกติ ไปนั่งรับแขกฉันหมากเข้าไปรู้สึกยัน เวลานั้นเวลาประมาณสักบ่าย ๒ โมง ๓ นาที จำไม่ได้แน่นอนนัก กำลังรับแขกอยู่ก็เกิดปวดอุจจาระ ก็ลุกไปส้วม มันอยากจะอาเจียน ก็หยิบขันน้ำมารองอาเจียน พออาเจียนเท่านั้นมันหมดความรู้สึกตัว แต่มีความรู้สึกว่าตัวออกไปนั่งคุยอยู่ข้างนอกกับเทวดา ๒ องค์ เป็นท่านอินทกะทั้งสองท่าน คือ ท่านบุเรงนอง กับ ท่านปิยะยาวี คุยกันแบบสบาย ร่างกายเป็นอย่างไรไม่รู้เรื่องเลย ออกไปเมื่อไรก็ไม่รู้ พอกลับเข้ามาในตัวอีกทีก็รู้สึกว่า เสมหะนองเถือกเต็มพื้นไปหมด มันก็ไม่มีแรง นั่งรวบรวมกำลังใจอยู่นิดหนึ่ง ประตูก็ใส่กลอน พอมีแรงนิดหน่อยก็ค่อยๆ เกาะราวผ้าไปถอดกลอน ก็พอดีพระสมุห์บัญชาเรียกพระปลัดวิรัชว่า วิรัชๆ เร็วๆ วิรัชเร็วๆ จากนั้นก็ไม่รู้เรื่องเลย ปรากฏว่ามารู้เรื่องอีกทีก็เขานวดมือแล้ว ตอนออกตอนแรกพระท่านบอกว่า “เป็นการออกไปจากร่างกายเพราะร่างกายมันหนัก ถ้าไม่ออกไปจากร่างกาย มันจะหายใจไม่ทัน เสมหะออกมา มันจะขาดใจตายตอนนั้น” พระท่านกลัวจะตาย ท่านเลยดึงจิตวิญญาณออกไปเสียข้างนอก พอออกตอนหลังท่านเรียกว่า “สลบ” เพราะไม่รู้สึกอะไรเลย ไอ้ตัวสลบกับออกไปข้างนอก มันไม่เหมือนกัน เพราะสลบไม่มีความรู้สึก

ต่อมารู้สึกตัวเห็นเขานวดกันไปนวดกันมา ก็พอดีจ่าปัญญากับคุณบังเอิญ สองสามีภรรยาหวังจะมาเยี่ยมก็มาพบอาการหนักเข้า ทุกคนก็วิ่งกันวุ่นวาย กำนันสมนึกบอกว่าคนร้องไห้กันหลายคน มันน่าจะร้องไห้เพราะไม่มีความรู้สึกแล้ว พอยกออกไปเหมือนกับคนตาย แต่พออาการคลายตัวขึ้นมาก็ปรากฏว่า มีความรู้สึกว่ามีแรงนิดหน่อย มีอาการสดชื่น เขานวดบ้าง เขาบีบบ้าง เขาทำอะไรก็ตาม ความสดชื่นก็ปรากฏ อีกสักครู่หนึ่งก็ลุกขึ้นเดินได้..”


“ในที่สุดหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านก็มรณภาพเมื่อวันศุกร์ที่ ๓๐ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ เวลา ๑๖.๑๐ น. ที่โรงพยาบาลศิริราช ได้มีพิธีสวดพระอภิธรรมเป็นเวลา ๑๐๐ วัน พระศพท่านอยู่ในโลงแก้ว ประดิษฐานอยู่ในพระมหาวิหาร ๑๐๐ เมตร ที่วัดท่าซุงมาจนทุกวันนี้”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 16:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหน ภาคที่ ๒ ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปพระนิพพาน


1 เรื่องที่ ๔ การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก

2 เรื่องที่ ๕ พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก

3 เรื่องที่ ๖ พระวักกลิบวชเพราะต้องการเห็นความสวยของพระพุทธเจ้าแต่ไม่สนใจปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงขับแล้วเป็นพระอรหันต์

4 เรื่องที่ ๗ พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว พระพุทธเจ้าเสด็จมาเช็ดนํ้าเหลืองให้แล้วเข้านิพพานในวันนั้น

5 เรื่องที่ ๘ ท่านปุตตะภิกขุ ( โอภาสี ) ได้บรรลุอรหัตผลเข้าสู่พระนิพพาน

6 เรื่องที่ ๙ ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน

7 เรื่องที่ ๑๐ หลวงปู่จันทร์ หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ขนมจีน(เส็ง) หลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปพระนิพพาน

8 เรื่องที่ ๑๑ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา

9 เรื่องที่ ๑๒ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มรณภาพแล้วท่านไปพระนิพพาน

10 เรื่องที่ ๑๓ หลวงพ่อเขียนถึงการมรณภาพของหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่

11 เรื่องที่ ๑๔ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสุทัศน์ฯ ท่านบอกว่าท่านแก่แล้วไม่รู้จะไปไหน เลยตั้งใจไปนิพพาน

12 เรื่องที่ ๑๕ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓

13 เรื่องที่ ๑๖ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า “หญิงขอลาไปนิพพาน”

14 เรื่องที่ ๑๗ โยมน้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรกของหลวงพ่อ

15 เรื่องที่ ๑๘ ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปอยู่บนแดนพระนิพพาน

16 เรื่องที่ ๑๙ หลวงพ่อเขียนไว้อาลัยในงานพระราชทานเพลิงศพคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยาเรื่องอ๋อย

17 เรื่องที่ ๒๐ หลวงพ่อเขียนไว้อาลัยในงานพระราชทานเพลิงศพคุณจันทนา วีระผล จันทนานุสรณ์

18 เรื่องที่ ๒๑ หลวงพ่อไปพบลูกศิษย์ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน

19 เรื่องที่ ๒๒ หลวงพ่อพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน

20 เรื่องที่ ๒๓ ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปพระนิพพาน



เรื่องที่ ๔ การบรรลุมรรคผลพระนิพพานของท่านอัญญาโกณฑัญญะกับท่านสุภัททะปริพาชก


“..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงประกาศว่า พระองค์จะนิพพานที่ระหว่างนางรังทั้งคู่ที่เมืองกุสินารามหานคร พระอานนท์ก็ทัดทานว่า เมืองกุสินาราเป็นเมืองเล็ก การนิพพานที่นั่นจะไม่เหมาะสม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ตรัสว่าเหมาะ เพราะเมืองกุสินาราเคยเป็นเมืองของพระเจ้าจักรพรรดิ และคนที่เป็นจักรพรรดิในเมืองนั้นก็คือ ตถาคต ฉะนั้นเมืองใดที่เคยมีจักรพรรดิ เมืองนั้นถือว่าเป็นเมืองที่มีความสำคัญ เมืองที่พระอานนท์ท่านเสนอก็คือเมืองราชคฤห์กับเมืองพาราณสี การที่องค์สมเด็จพระบรมครูตรัสแก่พระอานนท์ว่า เมืองกุสินารามหานครเมื่อก่อนนี้เป็นมหาประเทศ เป็นเขตที่อยู่ของพระเจ้าจักรพรรดิปกครองโลกนั้นเป็นเหตุอย่างหนึ่ง แต่เนื้อแท้จริงๆ การที่พระองค์จะทรงไปนิพพานที่นั่นก็เพื่อหวังจะไปโปรดบริษัทคนสุดท้าย เพราะคนที่เกิดมาจะได้บรรลุมรรคผล บางคนก็พระอรหันต์สอนได้ แต่บางท่านพระอรหันต์สอนไม่ได้เพราะวิสัยตรงเฉพาะพระพุทธเจ้า ท่านผู้นั้นคือ ท่านสุภัททะปริพาชก

เวลากลางคืนก่อนที่องค์สมเด็จพระบรมครูจะเข้าสู่พระนิพพานในวันรุ่งขึ้นเวลาใกล้รุ่งอรุณ ก็ปรากฏว่ามีท่านๆ หนึ่งคือ สุภัททะปริพาชก ต้องการจะเข้าไปกราบทูลถามปัญหากับพระพุทธเจ้า พระอานนท์ก็ทรงห้ามไว้ เพราะเวลานี้สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงประชวรหนัก ท่านอย่าไปรบกวนพระองค์เลย ขณะที่พระอานนท์กำลังพูดกับท่านสุภัททะปริพาชก พระพุทธเจ้าได้ทรงสดับด้วยทิพโสตญาณ เมื่อพระองค์ทรงทราบก็บอกพระอานนท์ให้ปล่อยเข้ามา “ว่าการที่ตถาคตมาที่นี่ ก็มาเพราะลูกชายคนนี้เท่านั้น” จะเห็นว่าตอนก่อนจะมาพระองค์ตรัสอย่างหนึ่ง ถ้าตรัสว่าจะมาโปรดสุภัททะปริพาชก ก็คงจะต้องถูกทัดทาน พระองค์จึงให้เหตุผลคนละอย่าง เพราะพระพุทธเจ้าทรงทราบว่า สุภัททะปริพาชก พระสาวกก็สอนไม่ได้ เป็นคนมีอารมณ์แข็ง ก่อนที่จะมาเกิดชาตินี้เป็นพี่น้องกันกับ ท่านอัญญาโกณฑัญญะ ท่านอัญญาโกณฑัญญะเป็นน้อง ท่านสุภัททะปริพาชกเป็นพี่ แต่ท่านอัญญาโกณฑัญญะเวลาทำบุญจะเริ่มทำบุญตั้งแต่แรกนา ส่วนพี่ชายคือท่านสุภัททะปริพาชกทำบุญเมื่อขนข้าวเข้ายุ้งเสร็จแล้ว

ฉะนั้น เมื่อเวลาสำเร็จมรรคผล ท่านอัญญาโกณฑัญญะจึงได้บรรลุมรรคผลก่อนคนอื่นทั้งหมด สำหรับพี่ชายทำบุญเมื่อเก็บข้าวเสร็จแล้ว จึงบรรลุมรรคผลหลังสุดคือพระพุทธเจ้าจะนิพพาน เป็นอันว่าท่านสุภัททะปริพาชกก็เข้ามา พระองค์จึงถามถึงความประสงค์แล้วก็ตรัสว่า “เวลานี้ตถาคตป่วยมากนะ เวลาก็ใกล้จะสว่างมากแล้ว เมื่อใกล้สว่างตถาคตก็ต้องนิพพาน ฉะนั้นการถามปัญหาของเธอจงงดไว้ จงฟังเทศน์เถิด”

พระพุทธเจ้าก็ทรงเทศน์ปรารภขันธ์ ๕ ว่า “จงอย่าสนใจกับร่างกายของเรา อย่าสนใจร่างกายของบุคคลอื่น อย่าสนใจกับวัตถุธาตุใดๆ ทั้งหมด เพราะทุกอย่างมันเป็นอนิจจัง ไม่เที่ยง ถ้าเราเข้าไปยึดแล้ว ก็เป็นทุกขัง เป็นทุกข์ ในที่สุดมันก็พัง ต้องเป็นอนัตตา ดึงมันไว้ไม่อยู่ ฉะนั้นขอเธอจงปรับใจของเธอให้เข้าใจถึงเรื่องนี้ให้รู้ตามความเป็นจริง” รวมความว่า ไม่ให้สนใจในรูปโดยเฉพาะอย่างยิ่งคือรูปของเรา
เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเทศน์จบประเดี๋ยวเดียว ท่านสุภัททะปริพาชกก็ไปปฏิบัติ สักครู่เดียวก็สำเร็จอรหัตผล...”

เรื่องที่ ๕ พระอัสสชิพระสาวกรุ่นแรกของพระพุทธเจ้า ก่อนที่จะนิพพานมีทุกขเวทนาอย่างหนัก


“..คืนวันที่ ๔ มกราคม ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๒.๐๐น. อากาศก็เริ่มร้อน อาตมามีอาการปวดท้องอย่างหนักมีอาการคล้ายเป็นบิด รู้สึกอุจจาระแข็งมาก เพราะไปซอยสายลมมาทุกคราวโรคที่มีอยู่ก็ทวีขึ้น ๓-๔ เท่า เนื่องจากต้องนั่งเครียดทั้งวันและมีการพูดตลอดเวลาที่รับแขก ต้องใช้ขันติอย่างหนัก ถ้าถามว่า “ใช้ได้อย่างไร” ก็ขอตอบว่า “ใช้ได้เท่าที่พึงจะใช้ได้ ถ้าเกินวิสัยจริงๆ ก็ลุกไม่ขึ้นเหมือนกัน” ดูอย่างท่าน พระอัสสชิ ซึ่งเป็นพระสาวกรุ่นแรกขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก่อนที่จะนิพพาน ท่านก็เป็นโรคกระเพาะอย่างหนัก ทั้งปวดทั้งเสียด อึดอัดทนไม่ไหว ท่านจึงคิดในใจว่าเวลานี้เราเสื่อมจากความดีแล้วหรือ จึงให้พระไปตามพระพุทธเจ้ามา เมื่อองค์สมเด็จพระจอมไตรเสด็จมาท่านจะลุกมาจากที่นอน พระพุทธเจ้าตรัสว่า “อัสสชิ นอนตามนั้นเถิด ตถาคตจะนั่งในที่ที่เขาจัดให้นั่งตามสมควร” ท่านก็กราบทูลพระองค์ว่า “เวลานี้ทุกขเวทนาหนักพระเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้าทนไม่ไหว” พระพุทธเจ้าทรงมีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อัสสชิ เธอระงับกายสังขารไม่อยู่หรือ” หมายถึงใช้อานาปานุสติ กำหนดรู้ลมหายใจเข้าออก ถ้าจิตเป็นสมาธิตามสมควร ทุกขเวทนาจะคลายตัว ท่านก็กราบทูลว่า “ทนไม่ไหวพระเจ้าข้า ระงับไม่อยู่ ความดีที่ข้าพระพุทธเจ้าได้มาแล้ว คงจะสลายตัวไปแล้ว” พระพุทธเจ้าจึงตรัสถามว่า “อัสสชิ เธอถือว่าร่างกายเป็นของเธอหรือ”

ท่านก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า” พระองค์ถามว่า “หรือว่าเธอเห็นว่าเธอมีในร่างกาย” พระอัสสชิก็ตอบว่า “ไม่ใช่พระเจ้าข้า” ก็รวมความว่า ท่านอัสสชิยังถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เมื่อท่านตอบอย่างนี้แล้วพระพุทธเจ้าก็มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า “อัสสชิ ความดีของเธอไม่เสื่อม ความดียังทรงตนอยู่” หลังจากนั้นเมื่อพระอัสสชิพบองค์สมเด็จพระบรมครูแล้วไม่นานก็นิพพาน

แสดงให้เห็นว่าขึ้นชื่อว่า ขันติ มันจะทนได้ก็แค่พอจะทนไหว ถ้าเกินกำลังเมื่อไร อาตมาก็เช่นเดียวกับพระอัสสชิ แต่ทว่าท่านเป็นพระอรหันต์ในสมัยตอนต้นพุทธกาล เป็นพระอรหันต์ที่มีกำลังยิ่งยวดมาก เพราะยังไม่มีใครเป็นตัวอย่างเป็นแบบฉบับของพระอรหันต์ ฉะนั้นการเป็นอรหันต์เวลานั้นต้องใช้กำลังใจสูงมาก มีความฉลาดมาก มีความอดทนมาก มีความเข้มแข็งมาก

ขอให้บรรดาท่านพุทธบริษัท มีความเข้าใจในร่างกายเป็นสำคัญ วิปัสสนาญาณทุกข้อก็คือร่างกาย ให้พิจารณาร่างกายตามความเป็นจริงว่า ร่างกายเป็นโทษ ร่างกายเป็นทุกข์ ร่างกายน่าเบื่อหน่าย ร่างกายนี้เราควรจะวางเฉย เพราะว่าขืนเอาจิตใจติดตามร่างกายคิดว่า ร่างกายจะไม่แก่มันก็ต้องแก่ คิดว่าร่างกายจะไม่ป่วยไข้ไม่สบายมันก็ต้องป่วย คิดว่าร่างกายจะไม่มีทุกขเวทนามันก็ต้องมีทุกข์ ถ้ากำลังใจเราฝืนเราก็มีทุกข์ กำลังใจเราไม่ฝืนก็ไม่มีทุกข์ ยอมรับมัน ถ้าความแก่เข้ามาถึงก็ยอมรับความแก่ เมื่อความป่วยเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าธรรมดาของร่างกายมันจะป่วย ความตายจะเข้ามาถึงก็ยอมรับว่าเป็นธรรมดาของร่างกายมันต้องตาย และก็พยายามหนีร่างกายด้วยการคิดว่า ขึ้นชื่อว่าการเกิดอย่างนี้จะมีกับเราชาติเดียวเป็นชาติสุดท้าย ต่อไปการเกิดมีร่างกายที่ประกอบไปด้วยความทุกข์อย่างนี้เราจะไม่มีอีก


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 16:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๖ พระวักกลิบวชเพราะต้องการเห็นความสวยของพระพุทธเจ้าแต่ไม่สนใจปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้าก็ทรงขับแล้วเป็นพระอรหันต์

“..ในวันที่พระพุทธเจ้าไปเทศน์ในหมู่บ้านของ ท่านวักกลิ ท่านเห็นพระพุทธเจ้าสวย มีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏออกรอบพระวรกาย ท่านเลยติดใจในความสวยสดงดงามของพระพุทธเจ้าจึงขอบวช เวลาบวชแล้วก็ไม่ต้องการทำอะไร ฉันข้าวเสร็จก็มานั่งใกล้ๆ พระพุทธเจ้า เวลาพระพุทธเจ้าเทศน์ก็มานั่งดูแบบนั้นจนกว่าพระพุทธเจ้าจะกลับเข้าพระวิหาร พอตอนเช้าท่านก็ทำอย่างนั้น บำเพ็ญบารมีอย่างนี้มาเป็นเวลา ๓ ปี แต่พระพุทธเจ้าก็ไม่ว่าเพราะท่านติดใจในรูปก็ฟังเสียงเทศน์มา ๓ ปีถึงแม้ว่าจะไม่สนใจก็ตาม เปรียบเหมือนเขาบังคับให้เรากินข้าว เรากินบ้างไม่กินบ้าง กินวันละน้อยๆ มันก็มาก หรือนํ้าฝนที่ตกลงมาในตุ่มทีละหยดๆ มันไม่มาก แต่พอนานๆเข้านํ้าก็เต็มตุ่มได้เหมือนกัน

เมื่อเวลาผ่านไป ๓ ปี องค์สมเด็จพระจอมไตรทรงเห็นว่า พระวักกลิควรจะเป็นพระอรหันต์แล้ว แสดงว่าพระองค์ทรงสอนให้พระวักกลิปฏิบัติธรรมในด้านวิปัสสนาญาณแล้วไม่มีผล แต่พระวักกลิก็ยังติดอยู่ในพระรูปพระโฉมของพระองค์คือยังติดในร่างกายของพระองค์ ฉะนั้นจะช่วยให้พระวักกลิเป็นพระอรหันต์ได้ง่าย องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสขับไล่พระวักกลิออกจากสำนัก ถือว่าเธอเป็นโมฆบุรุษ เป็นบุรุษผู้ไม่ได้หวังความดีอะไร จงออกไปจากสำนักของตถาคตเดี๋ยวนี้

พระวักกลิเมื่อถูกพระพุทธเจ้าทรงขับก็เสียใจ จะกลับบ้านก็อายเพื่อนบ้าน จะอยู่ที่นี่ก็อยู่ไม่ได้เพราะพระพุทธเจ้าทรงขับ จึงตัดสินใจเราตายดีกว่า จึงขึ้นไปที่เงื้อมผาปรารถนาจะกระโดดเขาให้ตาย พอจะกระโดดเขา พระพุทธเจ้าก็ทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีพุ่งไปปรากฏเฉพาะหน้าเหมือนพระองค์นั่งอยู่ข้างหน้าพระวักกลิ ทรงกล่าววาจาว่า
“วักกลิ บุคคลใดเห็นธรรม บุคคลนั้นชื่อว่าเห็นตถาคต”
เพียงเท่านี้ พระวักกลิก็สำเร็จพระอรหันต์
การที่พระวักกลิตัดสินใจกระโดดเขาให้ตาย ก็แสดงว่าท่านไม่ห่วงใยในร่างกายแล้ว คนที่จะเป็นพระอรหันต์นั้น เป็นที่ไม่ห่วงในร่างกายนั่นเอง ถ้าเราตัดสักกายทิฐิได้ตัวเดียว เราก็เป็นพระอรหันต์ได้..”

เรื่องที่ ๗ พระติสสะเป็นโรคพุพองทั้งตัว พระพุทธเจ้าเสด็จมาเช็ดนํ้าเหลืองให้แล้วเข้านิพพานในวันนั้น


บุพกรรมของพระติสสะ

..ในสมัยพระพุทธกัสสป ท่านติสสะ เป็นคนที่ฆ่าสัตว์เป็นประจำ คือยิงนกมาแล้วก็แกงขายบ้าง ขายเป็นบ้าง ขายตายบ้าง ถ้าวันไหนได้นกมามาก ขายวันนั้นไม่หมดก็หักแข้งหักขา หักกระดูกปีก เกรงว่านกจะบินหนีไป เอาไว้ขายสดๆ ในวันพรุ่งนี้ ท่านทำอย่างนี้มาตลอดกาล คำว่าบุญกุศลไม่เคยทำเลย ต่อมาวันหนึ่งก่อนที่ท่านจะไปหานกในตอนเช้า วันนั้นบังเอิญพระอรหันต์มาบิณฑบาตองค์เดียว ท่านเองก็ไม่รู้ว่าเป็นพระอรหันต์ ก็คิดในใจว่าในชีวิตของเราทั้งชีวิตขึ้นชื่อว่าการทำความดีที่จะทำบุญกุศลไม่เคยมีในเรา เรามีการฆ่าสัตว์ตัดชีวิตทุกวัน วันนี้ขอทำบุญตอนเช้า เมื่อเห็นพระเดินมาก็ออกไปรับบาตรกล่าวคำนิมนต์ แล้วก็นำพระเข้าบ้าน สั่งแม่บ้านแกงนกที่มีอยู่ให้แกงอย่างดีที่สุด เมื่อแกงเสร็จก็นำมาใส่บาตรพระ พระท่านก็ให้พรแล้วท่านก็กลับ หลังจากนั้นมาท่านก็ฆ่าสัตว์ตัดชีวิตตลอดมา

เป็นอันว่าในชีวิตของท่านทำบุญครั้งเดียวในชีวิต แต่เป็นการบังเอิญทำบุญกับพระอรหันต์ซึ่งมีอานิสงส์มาก แต่ไม่เท่าสังฆทาน ก่อนที่จะตายท่านก็นึกถึงการทำบุญ ตายจากความเป็นคนก็ไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก ครั้นหมดบุญวาสนาบารมี ในสมัยสมเด็จองค์ปัจจุบันท่านก็กลับมาเกิดเป็นคน อาศัยที่เคยทำบุญทำกุศลมาแล้วครั้งเดียวในชีวิต คือถวายทานกับพระอรหันต์ จึงไปพบพระพุทธเจ้าเข้ามีความเลื่อมใส ตั้งใจฟังเทศน์ เมื่อฟังเทศน์จบก็มีจิตเลื่อมใสอยากจะบวชในพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าทรงเห็นวิสัยว่าเขาจะเป็นอรหันต์ได้ จึงอนุญาตให้บวช เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็เจริญฌานสมาบัติแต่ว่ายังไม่ได้ฌานโลกีย์ ท่านก็เกิดอาการป่วยไข้ไม่สบายเกิดขึ้นในร่างกาย ตามตัวมีการพุพองเม็ดเล็กๆ ตลอดทั้งตัว ต่อไปการพุพองเม็ดเล็กๆ ก็โตขึ้นๆ จนกระทั่งเท่าผลส้ม ในที่สุดก็แตกมีนํ้าเหลืองรอบตัว กระดูกต่างๆ ในร่างกายก็หัก มีทุกขเวทนามาก พระที่พยาบาลอยู่เห็นเข้าก็ทนไม่ไหวจึงทิ้ง เพราะท่านขยับตัวไม่ได้ยังไงก็ต้องตายกันแน่แล้ว

คืนวันนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงตรวจอุปนิสัยของสัตว์ว่า วันพรุ่งนี้จะมีใครได้บรรลุมรรคผลบ้าง ก็ทรงทราบว่าพระติสสะเวลานี้ป่วยหนักและการตายของเธอจะเข้ามาถึงในวันพรุ่งนี้ ถ้าเราไปสงเคราะห์เธอ เธอจะได้เป็นพระอรหันต์พร้อมกับนิพพาน ฉะนั้นในตอนเช้าพอฉันข้าวเสร็จเรียบร้อย พระพุทธเจ้าจึงเสด็จออกจากพระมหาวิหารเดินเรื่อยๆ ไปไม่บอกใคร เมื่อบรรดาพระทั้งหลายเห็นพระพุทธเจ้าเดินก็เดินตาม

พอไปถึงกุฏิของ พระติสสะ พระองค์ก็แวะเข้าไปเห็นนํ้าเหลืองไหลเกรอะเปื้อนผ้า ก็ทรงเปลื้องผ้าทั้งหมดเอาไปจะต้มนํ้าร้อน พระทั้งหลายก็รับอาสาว่า การต้มให้นํ้าเหลืองหมดเป็นหน้าที่ของข้าพระพุทธเจ้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เอาผ้ามาชุบนํ้าอุ่นๆ เช็ดร่างกาย พระติสสะ จนกระทั่งนํ้าเหลืองแห้ง ร่างกายก็มีอาการปลอดโปร่ง ผ้าที่เอาไปต้มนั้นก็แห้งพอดี พระพุทธเจ้าก็สั่งให้นุ่งผ้าให้ พระติสสะ พระก็ห่มให้
แล้วพระองค์ก็ทรงยืนอยู่ข้างๆ บอกว่า

“ติสสะ ร่างกายนี้อีกไม่ช้าก็มีวิญญาณไปปราศแล้ว ร่างกายนี้ก็ต้องถูกทอดทิ้งเหมือนกับท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์”
หมายความว่าจิตใจจะพ้นไปจากร่างกายแล้ว ร่างกายของเราก็ต้องตาย เมื่อตายแล้วร่างกายของเราก็ไร้ประโยชน์ เป็นของที่ชาวบ้านเขาจะทอดทิ้งเขาไม่ต้องการ สู้ท่อนไม้ที่ไร้ประโยชน์ก็ไม่ได้ พระติสสะฟังเพียงเท่านี้ อานิสงส์ที่เคยถวายทานกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต ก็เป็นพระอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณทันทีและก็นิพพานทันทีในวันนั้น

หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระจอมไตรจึงทรงสั่งให้พระสงฆ์ทำฌาปนกิจศพคือเผาศพ แล้วก็ให้ทำสถูป หมายความว่าพูนดินขึ้นมาคล้ายๆ กับบาตรควํ่าเป็นโคกพูนไว้เอากระดูกไว้ในนั้น บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายจึงเข้ามากราบทูลถามว่า “เวลานี้พระติสสะตายแล้วไปไหน”
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “พระติสสะ ตายจากความเป็นคนไปนิพพานแล้ว”
พระทั้งหลายจึงกราบทูลถามพระพุทธเจ้าว่า “อยากจะทราบว่าพระติสสะเป็นพระอรหันต์ตั้งแต่เมื่อไร”
พระองค์ก็ตรัสว่า “พระติสสะ เป็นพระอรหันต์เมื่อเราพูดจบ”
บรรดาพระทั้งหลายก็เลยถามว่า “พระติสสะ ทำบุญอะไรไว้จึงเป็นอรหันต์ง่าย”
พระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า “ในสมัยสมเด็จพระพุทธกัสสป พระติสสะ ทำแต่บาปอย่างเดียวไม่เคยทำบุญ หมายถึงทำบุญอย่างชาวบ้านธรรมดาๆ นี่ไม่เคยทำ มีหน้าที่ยิงนกดักนกเอามาขายแก่ชาวบ้าน ถ้าวันไหนนกเหลือมาก ตัวไหนมันใกล้จะตายก็ย่าง นกย่างขายได้ราคาถูกกว่านกเป็นๆ ถ้านกเป็นๆ มีมากเกินไปก็เกรงว่านกจะบินหนีก็หักกระดูกแข้งเสียบ้าง หักกระดูกปีกเสียบ้าง ผลอันนี้เป็นปัจจัยให้ท่านติสสะเมื่อบวชเข้ามาแล้ว จึงมีร่างกายเป็นตุ่มทั้งตัว และตุ่มนั้นค่อยๆ โตมาทีละน้อยจนกระทั่งแตกเป็นนํ้าเหลืองเยิ้ม และกระดูกร่างกายที่หักก็เพราะเคยหักกระดูกแข้ง กระดูกขา กระดูกปีกนก เพราะกฎของกรรมอย่างนี้มาสนอง แต่อาศัยที่พระติสสะได้ ทำบุญกับพระอรหันต์เพียงครั้งเดียวในชีวิต เพราะอานิสงส์นี้เองทำให้พระติสสะเป็นพระอรหันต์ในชาตินี้เมื่อตถาคตเทศน์จบ”

เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน
ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายมีความรู้สึกว่าการเกิดเป็นคนเต็มไปด้วยความทุกข์อย่างนี้ ถ้าเราจะเกิดไปอีกกี่ชาติ เราก็จะพบกับความทุกข์อย่างนี้อีก และคิดว่าการตายของเราคราวนี้จะเป็นการตายครั้งสุดท้าย ฉะนั้นทุกคนก่อนจะหลับให้คิดง่ายๆ ดังนี้ ขึ้นชื่อว่าการเกิดเป็นมนุษย์ก็ดี เป็นเทวดาก็ดี เป็นพรหมก็ดี จะไม่มีสำหรับเราอีก การตายคราวนี้เราขอไปพระนิพพาน และก็ภาวนาต่อท้ายสักเล็กน้อยว่า
“นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง นิพพานัง สุขัง”

ภาวนาอย่างนี้สัก ๓ ครั้งด้วยความเต็มใจ การทำอย่างนี้ได้ชื่อว่า เจริญพระกรรมฐานขั้นพระนิพพาน เวลาที่ท่านจะตายบุญกุศลทั้งหลายที่ทำแล้วจะรวมตัวทั้งหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านที่ได้มโนมยิทธิ คืออภิญญาและวิชชาสามควบกัน ก่อนจะหลับเมื่อศีรษะถึงหมอน เอาจิตไปตั้งไว้ที่พระนิพพาน ไปที่วิมานพระพุทธเจ้าก็ได้ หรือไปที่วิมานของเราก็ได้ ถ้าไปที่วิมานของเราให้นึกถึงพระพุทธเจ้าก็จะพบท่านทันที แล้วตัดสินใจว่าถ้าร่างกายนี้ตายเมื่อไรขอมาที่นี่เมื่อนั้น เพียงเท่านี้ แต่ต้องทำทุกวันนะ ตายเมื่อไรไปพระนิพพานเมื่อนั้น..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 16:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๘ ท่านปุตตะภิกขุ ( โอภาสี ) ได้บรรลุอรหัตผลเข้าสู่พระนิพพาน

“..เมื่อเช้าตรู่วันที่ ๑๐ สิงหาคม ไปพระนิพพาน เมื่อไปถึงแล้วก็นมัสการพระตามลำดับที่เคยนมัสการเป็นปกติ เมื่อไหว้แล้วก็กราบถามท่านว่า “ท่านโอภาสีเป็นใคร” พระท่านเรียกพระแก้วองค์หนึ่งมาหาพระองค์นี้ตัวสวยเหมือนแก้วที่ถูกแสงอาทิตย์สาด สวยมาก ท่านชี้ให้ดูแล้วบอกว่า “องค์นี้แหละที่ชาวโลกเรียกว่า “โอภาสี” บอกท่านสวยสมชื่อจริงๆ “โอภาสี” แปลว่า “มีแสงสว่างเป็นปกติ” ท่านสว่างสมชื่อ เมื่อพบกันแล้วก็ถามชื่อแซ่กันตามธรรมเนียม ท่านตอบว่า “เมื่อเป็นพระคนท่านชื่อ ปุตตะภิกขุ เป็นลูกชาวเมืองปาฐา เป็นหัวหน้าคณะพระ ๓๐ รูป ที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้าจนพระพุทธเจ้ามีพระพุทธานุญาตให้พระนางวิสาขาถวายกฐินเป็นรายแรกในศาสนานี้”

เมื่อก่อนบวชท่านได้พบพระสารีบุตร เลื่อมใสท่านพระสารีบุตรแล้วบวชกับท่าน แต่อาศัยที่เป็นพระโพธิสัตว์มีบารมีขั้นปรมัตถบารมีหลายอันดับ เป็นเหตุให้ท่านพระสารีบุตรไม่สามารถสอนให้บรรลุมรรคผลได้ ท่านพวกสาวกพุทธภูมินี้มีพระพุทธเจ้าองค์เดียวที่จะสอนได้ เมื่อออกพรรษาท่านพระสารีบุตรพามาหาพระพุทธเจ้า เมื่อพบพระพุทธเจ้าแล้ว ท่านลาออกจากพุทธภูมิ ท่านศึกษาไม่นานก็ได้บรรลุอรหัตผล พร้อมด้วยปฏิสัมภิทาญาณ เมื่อนิพพานแล้วเพราะอาศัยที่เป็นพระโพธิสัตว์มาก่อนก็เลยโปรดคนตามอัชฌาสัย ให้นามตัวเองว่า “โอภาสี” แปลว่า “มีปกติฉายแสงสว่าง”ถามว่า “เมื่อเป็นพุทธสาวกทำไมเล่นเผาของ ทำให้ศาสนาเสื่อม คนหลงผิดกันตั้งหลายเมือง” ท่านบอกว่า “ท่านมาเฉพาะธรรม เรื่องเผาของเป็นเรื่องของคนอยากดัง เขาเล่นกลกันเอง” ถามว่า“บางวาระคนที่ทรงก็มีผีอื่นปลอม ทำไมไม่ห้ามผีอื่น” ท่านตอบว่า “ร่างของเขา เจ้าของมีสิทธิ์จะให้ใครทรงก็ได้ ท่านมาเฉพาะธรรม อย่างอื่นไม่เกี่ยว” ถามว่า “เรื่องกองทานมาจากใคร” ท่านบอกว่า “มาจากพวกอยากดัง” กลับลงมาบันทึกเมื่อเวลา ๐๔.๓๒ นาฬิกา..”

เรื่องที่ ๙ ท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายกมรณภาพแล้วไปพระนิพพาน

“..เมื่อวันที่ ๒๓ มกราคม ๒๕๑๔ อาตมาทราบจากคุณนิด (อรอนงค์ อรรถไกวัลวที) ว่าท่านเจ้าคุณเทพประสิทธินายก ตาย เวลานั้นพอดีเจ้าท้องมันทำพิษต้องใช้ยาระบาย มันเพลียเลยขี้เกียจเที่ยว อาศัยการปลงสังขารรู้สึกว่าสบายดี แต่ก็แปลกใจอยู่หน่อยหนึ่ง คืนที่กลับมาค้างบ้านครูนนทา กำลังปลงสังขารพอสบายก็ปรากฏแสงสว่างเกิดพุ่งมาทางศีรษะ มีแสงสว่างมากแต่ก็ไม่คิดสงสัย เพราะขณะใดที่มีอารมณ์สบายจะปลากดว่ามีพระพุทธรัศมีแบบนั้นปลากดเสมอ แต่ทว่าวันนั้นเป็นแสงสว่างธรรมดาไม่มีแสงอื่นผสมก็เลยคิดว่าคงเป็นพระอรหันต์องค์ใดองค์หนึ่งมา สงเคราะห์ มันเพลียมากก็เลยปล่อยไปไม่ได้สนใจอะไรอีก ตอนกลางวันฉันยาแก้หวัดเข้าไปเลยนอนหลับตื่นขึ้นเวลา ๑๕.๐๐ น. รู้สึกสบายใจมีกำลังทางร่างกายดี เก็บงานเล็กๆน้อยๆ เสร็จแล้วก็คิดว่าคืนนี้จะออกเที่ยวสักที นานมาแล้วไม่ได้เที่ยว

พอถึงเวลา ๑๙.๕๕ น. ก็เตรียมสมาทานพระกรรมฐานกันตามปกติ เมื่อเสร็จพิธีสมาทานก็ปลงสังขารตามเคย เวลาผ่านไป ๓๐ นาทีคือถึงเวลา ๒๐.๓๐ น. ได้ยินเสียงนาฬิกาให้สัญญาณว่าเหลืออีก ๓๐ นาทีจะหมดเวลาแล้ว จึงออกจากกายพบ สมเด็จองค์ปฐม ท่านมายืนคุม ได้กราบทูลถามว่า “ท่านเทพประสิทธินายกไปไหน” ท่านบอกว่า “ไปพระนิพพาน” ถามท่านว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ระดับไหน” ท่านบอกว่า “เป็นพระอรหันต์ระดับวิชชาสามและทรงมโนมยิทธิ แต่ทิพย์จักขุญาณใสเป็นพิเศษ” เลยลาท่านจะไปตามดูท่านเทพประสิทธินายก ท่านก็บอกว่า “ไปเถอะ ทางนี้ฉันดูเอง” หมายถึงคุมคนที่กำลังเจริญพระกรรมฐานกันอยู่

เมื่อไปถึงสวรรค์ชั้นดาวดึงส์เข้าพบโยมคือท่านปู่พระอินทร์กับท่านย่า เห็นบรรดานางสาวสรรค์เข้าเวรกันมาก จึงถามท่านว่า “มาหาบ่อยๆ โยมรำคาญไหม” ท่านบอกว่า “ไม่รำคาญ มาบ่อยๆ ดี ใจจะได้ไม่ต่ำ เวลาตายจะได้ไม่ไปอบายภูมิเพราะจิตเกาะกุศล” อาตมามองดูแม่สาวๆ วันนี้ไม่สวมชฎาปล่อยผมมาปรกหลัง ได้ถามว่า “ทำไมไม่สวมชฎา” ตอบว่า “อยู่เวรปกติไม่ต้องสวมชฎา เวลาท่านผู้ใหญ่ประชุมเทวดาจึงจะสวมชฎา” คุยกับโยมแล้วก็ลาท่านไปพระจุฬามณี ความจริงก็มีสถานที่ติดกันนั่นเอง ท่านบอกว่า “นิมนต์ตามสบาย จะมาหาท่านเทพฯ ใช่ไหม” ตอบท่านว่า “ใช่” ท่านบอกว่า “ท่านเทพฯกำลังมาที่พระจุฬามณี” อาตมาจึงเดินเข้าพระจุฬามณีทางประตูทิศตะวันตก เมื่อผ่านท่านมเหสักขาที่ยืนเป็นยามเฝ้าประตู ท่านเป็นเทวดาอนาคามี

ท่านมเหสักขาบอกว่า “หลวงพ่อครับ ท่านเทพฯ ที่หลวงพ่อต้องการพบท่านกำลังจะออกมาแล้ว” ก็เลยเดินสวนเข้าไปพบท่านเทพฯ เดินสวนออกมาพอดี ท่านสว่างมากเหลือเกิน ท่าทางสง่างดงามมาก พอถึงกันท่านก็จับมือบอกว่า “ตามฉันทำไม” ตอบท่านว่า “ไม่ทราบว่าไปทางไหนแต่ก็ลองตามดู” ท่านบอกว่า “ดีแบบนี้ดี ทำไปเป็นปกติเถอะ มีประโยชน์แก่ตัวเองมาก” ถามท่านว่า “ท่านมีทิพย์จักขุญาณแจ่มใสมาก ผมทำไม่ได้อย่างท่าน เมื่อท่านตายแล้วผมก็หนัก ยิ่งแก่มากผมก็ยิ่งหนัก เพราะคนก็จะรวมตัวเข้ามา ขอให้ผมแจ่มใสอย่างท่านบ้างได้ไหม” ท่านบอกว่า “รักษาสมาธิที่ศูนย์ไว้เป็นปกติก็แล้วกัน มันจะคล่องตัวเอง และชำระใจให้สะอาดมันจะสว่างมากเอง” แล้วต่างก็ลากันไปท่านไปที่ของท่าน อาตมาเข้าไปนมัสการพระ พอเข้าไปพระท่านก็บอกว่า “คุณไม่มานานแล้วควรมาเป็นปกติ การปลงสังขารเป็นของดีแต่ญาณเครื่องรู้จะผิด เวลานี้เรามีศิษย์จำเป็นต้องใช้ญาณ ควรหันกลับเข้าใช้ญาณตามเดิม ความรู้จะได้ว่องไวตามเดิม” และท่านก็สอนมาก ต่อจากนั้นท่านก็ให้ไปเฝ้า สมเด็จพระสมณโคดม ที่พระนิพพาน

พอขึ้นไปก็เห็นท่านใสสว่างเหมือนดวงอาทิตย์ เข้าไปนมัสการท่านที่พระบาท ท่านตรัสเตือนเรื่องใช้ญาณอีก ท่านว่า “เธอปล่อยมากเกินไป การปลงเป็นสมบัติส่วนตัว การทำญาณให้คล่องเป็นเครื่องมือช่วยศิษย์ เธอต้องทำให้คล่องตามเดิม” และท่าน พระมหากัจจายนะ อาจารย์สอนญาณเครื่องรู้ก็เข้ามาหา สมเด็จท่านบอกให้ท่านพระมหากัจจายนะเป็นพี่เลี้ยงเดินนำทางไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป” ความจริงไม่ต้องนำก็แวะอยู่แล้ว อาตมากราบถามท่าน สมเด็จพระสมณโคดม ว่า “ทำไมข้าพระพุทธเจ้าจึงต้องมีท่านมหากัจจายนะเป็นผู้ควบคุม องค์อื่นคุมไม่ได้หรือ” ท่านตรัสว่า “เธอปรารถนาพุทธภูมิมาก่อน ท่านมหากัจจายนะก็ปรารถนาพุทธภูมิเหมือนกัน คนที่ปรารถนาพุทธภูมิจนเข้าถึงบารมีปลายจะเอาพระประเภทสาวกปกติคุมไม่ได้ เพราะจะไม่สามารถทำให้เลื่อมใสได้ ต้องเป็นพวกพุทธภูมิด้วยกัน หรือมิฉะนั้นก็ต้องพระพุทธเจ้าโดยตรงจึงจะทำให้เชื่อและเลื่อมใสได้”
พบพระนิพพานครั้งแรก

เมื่อไปเฝ้าสมเด็จพระพุทธกัสสป ท่านก็เตือนเรื่องใช้ญาณและให้หมั่นขึ้นไปเพราะเวลานี้ขาดเฝ้ามานาน การเฝ้าท่านมีประโยชน์จากการได้รับพระพุทธบัญชา บอกให้ทำอย่างโน้นอย่างนี้แล้วเอามาแนะนำต่อๆ ไป ก็รู้สึกว่ามีประโยชน์มาก เมื่อพระองค์ทรงตักเตือนพอสมควรแล้วก็ทรงมีพระพุทธบัญชาให้ไปที่อยู่โดยมีพระมหากัจจายนะ พระอาจารย์เป็นผู้ควบคุม เมื่อจะเข้าประตูวิมานอาตมาเห็นยักษ์ ๔ ตนยืนอยู่ที่ด้านนอกประตูเป็นปกติ ยักษ์พวกนี้เป็นยักษ์อนาคามี เป็นลูกเป็นหลานเก่า พอเห็นเข้าเขาก็ดีใจ พอเข้าประตูไปด้านในมีพรหม ๔ ท่าน เป็นพรหมอนาคามีเหมือนกันเป็นยามด้านใน เมื่อสนทนาปราศรัยกันตามสมควรแล้วก็เดินเข้าสู่สถานที่อยู่ พอไปถึงหอระฆังหน้าที่อาศัยก็จำได้ว่า

เมื่อตายครั้งหลังในชาตินี้มาตรงนี้และพบสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าองค์ปัจจุบัน ท่านได้ตรัสว่า “เธอคิดไหมว่าชาตินี้เธอจะมาพระนิพพานได้” ได้กราบทูลว่า “ไม่เคยคิดว่าจะมาได้” ท่านทรงถามว่า “เพราะอะไรจึงคิดอย่างนั้น” ได้กราบทูลท่านว่า“วิปัสสนาอ่อนมากและสนใจน้อย” ท่านถามว่า “เธอทราบไหมว่านิพพานอยู่ไหน” กราบทูลท่านว่า “ไม่ทราบ” ท่านตรัสว่า “นี่ตรงนี้เขาเรียกอะไร” กราบทูลท่านว่า “ไม่ทราบ” ท่านถามว่า “เทวดาและพรหมทุกชั้นเธอรู้จักหมดไหม” กราบทูลท่านว่า “รู้จักหมด” ท่านถามว่า “ที่ตรงนี้เป็นแดนของเทวดาหรือพรหม” กราบทูลว่า “ไม่ใช่เทวดาและพรหมทั้งสองอย่างเพราะพรหมมีชั้นที่ ๑๖ เป็นชั้นสูงสุดก็ผ่านมาแล้ว” ท่านตรัสว่า “ที่ตรงนี้เขาเรียกว่า นิพพาน” จึงกราบทูลท่านว่า “ตามที่เรียนมานั้นครูบาอาจารย์ท่านสอนว่านิพพานไม่มีรูป ไม่มีที่อยู่ ไม่มีอะไรปรากฏ” ท่านทรงแย้มพระโอษฐ์ตรัสว่า “เธอมาถึงนิพพานแล้วยังสงสัย”

เป็นอันว่าในที่สุดท่านรับรองว่า นิพพานมีสถานที่ มีรูป มีความสุข เป็นสถานที่มีอารมณ์ปกติ ไม่มีอารมณ์ความรัก โลภ โกรธ หลง และอารมณ์ขัดข้องใดๆ เลย เป็นอารมณ์ว่างสบายด้วยประการทั้งปวง ไม่มีห่วง ไม่มีกังวล ขั้นสุดท้ายท่านก็นิรมิตไม้ขึ้น ๑๐ ท่อน ท่านบอกว่า “คนที่จะมานิพพานได้จะแบกไม้นี้ไหว ถ้าแบกไม่ไหวก็จะมานิพพานไม่ได้” แล้วท่านก็เรียกพระที่ยังไม่เป็นพระอรหันต์ที่ตายไปแล้วมา ๙ องค์ ปรากฏว่ามี หลวงพ่อปาน เป็นองค์ที่ ๔ ทุกองค์มาถึงก็แบกไม้ขึ้นบ่าไม่มีท่าทางแสดงว่าหนักเลย เหลืออีกท่อนหนึ่ง ท่านตรัสว่า “ท่อนนี้เธอแบก” ตอนนั้นกำลังใจไม่มีเลย ใจมันบอกว่าไม่ไหว แต่เกรงพระบารมีก็จำต้องเข้าไปหยิบไม้ท่อนที่เหลือท่อนเดียวนั้น ตั้งท่ายักแย่ยักยันออกแรงเสียสุดแรงเกิด พอหยิบเข้าจริงไม้ท่อนนั้นไม่มีนํ้าหนักเลย มีนํ้าหนักคล้ายเศษกระดาษชิ้นเล็กๆ เท่านั้นเอง รู้สึกว่าเบาก็เลยออกเดินตามพระที่แบกก่อนไปพอเดินไปได้หน่อยเดียว ท่านก็เรียกให้เอาไม้มาวางที่เดิมและให้กลับมานั่งที่เก่า ท่านบอกว่า “เธอยังไปไม่ได้ วิปัสสนายังอ่อน กลับไปซ้อมวิปัสสนาให้เข้มข้นเสียก่อน เธอจะมานิพพานได้ในชาตินี้ สถานที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เกิดมีขึ้นได้เพราะอาศัยอานิสงส์ที่สร้างวิหารทาน (สร้างที่อยู่อาศัยเป็นสาธารณะประโยชน์)

การป่วยคราวนั้นมีอารมณ์ตัดหมด คิดว่าเราไม่มีทรัพย์สิน ไม่มีญาติ ร่างกายไม่ใช่ของเรา ห้ามคนที่มาเยี่ยมพูดถึงทรัพย์สินและเรื่องอื่นทั้งหมด พูดได้อย่างเดียวธรรมปฏิบัติ ตอนนั้นก็ไม่ทราบว่าอารมณ์อย่างนั้นเป็นอารมณ์สังขารุเปกขาญาณและเป็นอารมณ์ของพระที่เข้าถึงพระ นิพพาน ทำส่งเดชแต่ด้วยใจจริง เข้าทำนองที่ท่านกล่าวว่าบังเอิญขี้ตรงร่อง เมื่อหวนคิดถึงความหลังครั้งนั้นขึ้นมาแล้ว ก็เลยไม่นั่งตรงที่พระพุทธเจ้าท่านนั่ง จึงนั่งลงข้างล่างกราบตรงนั้นสามครั้ง พอเงยหน้าขึ้นเห็นท่านมานั่งที่เดิมอีกและก็ตรัสว่า “วีระ เธอคิดถึงความหลังหรือ” จึงกราบทูลว่า “คิดอย่างนั้นพระเจ้าข้า” พระองค์ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า “ดีแล้ว ต่อไปนี้จงซ้อมญาณให้คล่องตามเดิมนะ จะได้เป็นที่อาศัยของศิษย์” พระองค์ทรงชี้ให้ดูสถานที่ว่าหลังนี้เป็นที่อยู่ของเธอเป็นแก้วมณีโชติ หลังนี้เป็นที่ประชุม หลังนี้เป็นที่พักการประชุมเป็นแก้วมณีโชติเหมือนกัน คงจะสงสัยว่าทำไมจึงเรียกว่าแก้วมณีโชติ เรียกแก้วมณีเฉยๆ ไม่ได้หรือ มันไม่เหมือนกัน แก้วมณีธรรมดามีสีใสแต่ไม่สว่าง มีแต่รัศมีออกเมื่อต้องแสงอาทิตย์หรือแสงจันทร์ ส่วนแก้วมณีโชตินั้นมีแสงสว่างออกมาเองเหมือนโคมดวงใหญ่แต่สวยสดงดงามมาก

เมื่อท่านทรงตักเตือนหมดเรื่อง อาตมาก็กราบทูลถามว่า “ท่านเทพประสิทธินายกอยู่ที่ไหน” ท่านก็ทรงชี้ให้ดูทางทิศตะวันออกของที่อยู่ว่า “นี่วิมานของเธอ ต่อไปนั่นเป็นสระโบกขรณีของเธอ ถัดสระไปเป็นวิมานของนนทาเทวี ห่างจากวิมานนนทาเทวีไปสามคาวุตก็ถึงวิมานของท่านเทพประสิทธินายก” ขณะนั้นท่านนั่งอยู่บนที่ของท่าน มองตามไปเห็นท่านนั่งสุกปลั่งคล้ายแสงอาทิตย์ วิมานเป็นแก้วมณีล้วน ทูลถามท่านว่า “สามคาวุตของนิพพาน เทียบระยะความไกลของเมืองมนุษย์ได้เท่าไร” ท่านบอกว่า “ประมาณแสนโยชน์” พอตรัสเท่านี้ก็ได้ยินเสียงนาฬิกาที่กุฏิให้สัญญาณบอกเวลา ๒๑.๐๐ น. พระองค์ตรัสว่า “ได้เวลาแล้ว ลูกศิษย์จะทรมานตัวเกินไป เธอกลับได้ อีก ๑๐ ปีเธอมีสิทธิ์มาที่อยู่ของเธอได้ตามความต้องการ แต่จงคิดไว้เสมอว่าเราจะต้องตายเดี๋ยวนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้หรืออีกประเดี๋ยวหนึ่ง ทั้งนี้เพื่อความไม่ประมาทในชีวิต ก่อนเธอจะมาลูกศิษย์เขาจะทำตนเป็นคนเข้าถึงธรรมได้หลายคน เมื่อกลับไปพรุ่งนี้เธอเขียนเล่าเรื่องนี้ให้อ๋อย (คุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา) เขาอ่าน อ๋อยเขาเป็นคนมีศรัทธาจริตและพุทธจริต คือมีศรัทธาแต่เชื่อเหตุผลไม่งมงาย เล่าให้เขาฟัง เขาจะได้เร็วกว่าเดิม” และพระองค์ก็เสด็จกลับ อาตมาก็กลับลงมา..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 16:31 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๐ หลวงปู่จันทร์ หลวงปู่ใหญ่ หลวงปู่ขนมจีน(เส็ง) หลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้ อดีตเจ้าอาวาสวัดท่าซุงไปพระนิพพาน


“..ปีพ.ศ. ๒๕๐๘ อาตมาย้ายจากวัดโพธิ์ภาวนาไปอยู่วัดปากคลองมะขามเฒ่า พระครูวิชาญชัยคุณ ได้นิมนต์พระหลายวัดไปในวันไหว้ครู พระอรุณ อรุโณ เจ้าอาวาสวัดท่าซุงสมัยนั้นก็ไปด้วย ได้พบอาตมาก็ชวนให้มาอยู่ที่วัด ขอให้มาช่วยในการก่อสร้าง ท่านรับรองว่าจะให้ความสะดวกทุกอย่าง อาตมาก็ไม่ได้รับปาก ต่อมาอาตมามาฉันเพลที่บ้านนายจัน ที่ตำบลท่าซุง ก็มานิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๒ อาตมาก็ไม่ได้รับปาก ต่อมาอาตมาย้ายไปอยู่ที่วัดสะพาน ก็ไปนิมนต์อีกเป็นครั้งที่ ๓ ก่อนที่เขาจะไปนิมนต์ครั้งที่ ๓ นี้ เวลาตี ๒ กำลังนั่งพระกรรมฐานอยู่ ก็เห็นพระผู้ใหญ่ท่านหนึ่งอ้วนใหญ่ และก็ไม่สูง เดินตุ๊ต๊ะๆๆ เข้ามาถึงก็บอกว่า “เขาเรียกผมกันว่า หลวงพ่อใหญ่ อยู่วัดท่าซุง วัดนี้ตั้งมานานแล้วก่อนกรุงศรีอยุธยาตั้งประมาณ ๓๐ ปี สมัยก่อนมีการรบราฆ่าฟันกัน วัดก็สลายตัวเป็นวัดร้าง เมื่อปีพ.ศ. ๒๓๓๒ หลวงพ่อใหญ่ท่านธุดงค์มาถึงตอนเช้ามาปักกลดที่นี่ ก็มีชาวบ้านขอให้อยู่ให้เป็นเจ้าอาวาสที่นี่ ท่านจึงเป็นองค์แรกที่ทำนุบำรุงสร้างขึ้นมาใหม่ ชาวบ้านช่วยสร้างกุฏิ ๙ ห้อง ทำด้วยไม้ดีมาก”

และท่านก็บอกอีกว่า “คุณเคยเป็นน้องของผม คุณเคยทำวัดนี้ให้เจริญรุ่งเรืองมาแล้ว ๒ สมัยในอดีตคือ สมัยพระเจ้าสามพระยากับสมัยสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เวลานั้นวัดเจริญรุ่งเรืองมาก แต่ว่าเป็นไม้เวลานี้มันผุพังหมดแล้ว สมัยนี้ขอให้มาช่วยสร้างใหม่ให้เจริญรุ่งเรืองเป็นครั้งที่ ๓ และเป็นครั้งสุดท้าย ต่อไปคุณจะไม่มีโอกาสเกิดมาได้ทำอีกต่อไปแล้ว” จึงถามว่า “จะให้สร้างแบบไหน เจริญขนาดไหน” ท่านบอกว่า “ขนาดนี้” แล้วท่านก็ทำภาพให้ดู ปรากฏว่าเหมือนภาพวัดที่เห็นในปัจจุบันนี้เอง” ถามท่านว่า “ผมจะเอาเงินที่ไหนมาสร้างครับ เวลานี้ตัวผมเองก็ยังเอาตัวไม่รอด คนที่มีศรัทธาจริงๆ ก็มีแต่มีปริมาณน้อย และคนที่มีอคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนามีมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเจ้าอาวาสก็มีอคตินอกเหนือจากพระพุทธศาสนา” ท่านบอกว่า“ไปอยู่เถอะ ทีแรกมันก็ยุ่งหน่อย ต่อไปมันจะดีเอง ผมจะช่วยและผมจะนิมนต์พระจะเชิญพรหม จะเชิญเทวดา ใครต่อใครก็ตาม ช่วยกันทั้งหมดทำให้เจริญรุ่งเรืองตามภาพที่ทำให้ดูนี้ให้ได้”

ก็เป็นอันว่ารับปากท่าน ต่อมาอีก ๒-๓ วัน เจ้าอาวาสก็ไปนิมนต์ เวลาที่มานิมนต์ก็อยู่พร้อมหน้ากันหลายคน มี พล.อ.อ.อาทร โรจนวิภาต กับภรรยาคือ คุณสิริรัตน์ โรจนวิภาต รวมอยู่ด้วย หลังจากนั้นจึงมาดูวัด ก่อนที่จะเข้ามาวัดก็อธิษฐานก่อนว่า “ถ้าหากที่นี้ควรจะมาอยู่ ก็ขอมีอะไรสักอย่างใดอย่างหนึ่งให้ปรากฏ” วันนั้นเมื่อฉันเพลเสร็จ หลังเที่ยงแล้วก็ปรากฏมีฝนตกขณะแดดกำลังจัด ไม่มีแต่ฝนเท่านั้นแต่ยังมีลูกเห็บก้อนโตกว่าหัวแม่มือหล่นลงมาเกลื่อนซ้อนกันเต็มบริเวณวัดทั้งหมดเลย พอมาดูสภาพของวัดก็มีกุฏิเจ้าอาวาสที่อยู่ได้เพียงหลังเดียว กุฏิอีกหลังหนึ่งคนเดินมาก็มองเห็นเพราะฝาโปร่ง นกบินมาก็มองเห็นเพราะหลังคาโปร่ง หอสวดมนต์ก็เย้จะพับฐาน ศาลาก็โย้จะล้ม วิหารก็หลังคาผุ โบสถ์ก็จะพัง ไม่มีอะไรดีเลยมีสภาพเหมือนกับวัดร้าง ในฐานะที่หลวงพ่อใหญ่ท่านมาบอก จึงยอมรับว่าจะมาช่วยก่อสร้าง

หลวงพ่อมาอยู่ที่วัดท่าซุง
วันที่ ๑๑ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๑๑ เจ้าอาวาสกับคณะได้เอาเรือยนต์ขนาดใหญ่ไปรับ ช่วยขนของมาอยู่ที่วัดท่าซุง การมาก็มีเณรมา ๒ องค์ มีสุนัข ๑๒ ตัว พอมาถึงวัดตามลีลาที่หลวงพ่อปานท่านไปไหน ต้องเข้าพระอุโบสถก่อน จะไปช่วยสร้างวัดไหนก็ตาม ท่านต้องเข้าพระอุโบสถไปไหว้พระในพระอุโบสถก่อนแล้วจึงขึ้นศาลา ตามระเบียบของท่านอาตมาก็ทำตามนั้น เมื่อเข้าไปไหว้พระแล้วก็อธิษฐานว่า “ถ้าอยู่ที่วัดนี้จะมีความเจริญรุ่งเรือง ก็ขอให้ท่านเจ้าของที่ เทวดาก็ดี พรหมก็ดี หรือพระก็ตาม ที่ท่านคุ้มครองสถานที่อยู่แสดงองค์ให้ปรากฏ” ก็ปรากฏว่ามีพระคือหลวงพ่อใหญ่เป็นหัวหน้าและก็มีพระอีกหลายองค์จำนวนมากมานั่งข้างหน้าเต็มไปหมด พอท่านแสดงให้เห็นและก็ยืนยันว่า “ท่านจะช่วย” แต่มีอีกองค์หนึ่งไม่ยอมเข้าโบสถ์เดินไปเดินมาวนอยู่หน้าโบสถ์ ไม่ยอมเข้าประตูมา ก็นึกแปลกใจจึงถามว่า “ท่านองค์นั้นมีความเห็นอย่างไรครับ เห็นว่าผมควรจะมาอยู่หรือไม่ควรมาอยู่ ถ้าท่านเห็นว่าผมควรจะมาอยู่ก็ขอให้เข้ามาในโบสถ์ ถ้าไม่ควรมาอยู่ก็อย่าเข้ามา และผมจะเดินทางกลับทันที”

ท่านก็เข้ามาและบอกว่า “คุณควรมาอยู่แต่ว่าการอยู่ต้องระวังให้มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเรื่องการเงินที่นี่ ทั้งคนทั้งพระเขาต้องการเงิน ที่เขาให้คุณมานี่เขาหวังจะได้เงินจากคุณ แต่คุณเป็นคนตรงไปตรงมา จะไม่น้อมใจไปตามเขา ต่อไปเขาจะประกาศตนเป็นศัตรูกับคุณ เขาจะมีความดีกับคุณอยู่ประมาณครึ่งปี หลังจากนั้นก็ไม่มีดีอีกแล้วเพราะว่าเขาไม่ได้รับผลตามที่เขาต้องการ” ก็เลยถามท่านว่า “แล้วจะเป็นอย่างไรต่อไป” ท่านก็บอกว่า “ในที่สุดเขาก็จะแพ้ไปเอง คำว่าแพ้หมายถึงเขาจะเลิกราไปเอง เราก็จะเป็นอิสระ” ถามว่า “การจะเป็นอิสระ เขาจะแพ้ไปด้วยอำนาจอะไร” ท่านบอกว่า “จะมีพระผู้ใหญ่ในกรุงเทพฯ วัดไม่โตนักแต่ยศสูง รูปร่างผอม สูงโปร่ง เป็นพระผู้ใหญ่ตรงไปตรงมา เก่งในพระกรรมฐานมาก กำลังใจของพระองค์นี้เป็นพระที่ควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง จะเข้ามาอุ้มชูคุณให้เป็นไปตามความเป็นจริง” ถามว่า “เป็นเพราะอะไรครับ” ท่านก็บอกว่า “เพราะเขาจะร่วมมือกันฟ้องคุณ” และท่านก็บอกว่า “วัดที่คุณเห็นเวลานี้ ที่มันไม่พอจริงๆ และที่จริงๆ มันจดคลองยาง แต่เขาสร้างโรงเรียน ทางวัดกับทายกเลยยกให้เป็นที่ของโรงเรียนไป

เป็นอันว่าวัดติดโรงเรียนไม่ใช่วัดติดคลองยาง และประการที่สองโบสถ์ชำรุดถ้าคุณจะสร้าง เขาก็ไม่ยอมให้สร้างเพราะเขารู้ว่าคุณสร้างก่อนจ่ายทีหลัง เขาไม่ได้เงินแน่ ต่อไปคุณก็จะซื้อที่ใหม่ฝั่งตรงข้ามถนน แต่ความจริงถนนเขาตัดผ่านที่ของวัด ที่ฝั่งโน้นที่เป็นของชาวบ้านเวลานี้เดิมก็เป็นที่ของวัด แต่บรรดาเจ้าอาวาสที่สึกไปแล้วกับเจ้าอาวาสปัจจุบันร่วมมือกันขายแก่ชาวบ้าน ที่วัดจึงเหลือแค่ ๖ ไร่ เนื้อที่ของวัดจริงๆ มี ๓๗๐ ไร่” ถามว่า “ผมควรจะอยู่หรือควรจะไม่อยู่” หลวงพ่อใหญ่ ท่านยืนยันว่าควรจะอยู่แล้วเขาจะแพ้พ่ายไปเอง

พบหลวงพ่อขนมจีน
ตอนแรกที่มาอยู่ กุฏิที่เจ้าอาวาสให้อยู่มีแต่พื้นกับหลังคา ฝาก็ไม่มี ต่อมาต้องมาสร้างกระต๊อบอยู่โคนต้นโพธิ์ คืนแรกที่มาอยู่วัดท่าซุง เขามีลิเกฉลองให้ แต่อาตมามีนิสัยดูลิเก ดูละคร ดูหนัง ไม่สนุกมาตั้งแต่อายุ ๒๕ ปี จึงนอนเฉยๆ ก็มีพระองค์หนึ่งก้าวเข้ามาทางหน้าต่าง พูดสำเนียงเป็นเจ๊กชัดๆ จึงถามว่า “ท่านชื่ออะไร” ท่านตอบว่า “ชื่อเส็ง” (ที่อาตมาเรียกว่าหลวงพ่อขนมจีน ในอดีตท่านเคยเป็นน้อง” ถามว่า “ท่านอยู่ที่ไหน” ตอบว่า “ผมเคยเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุง รองจากหลวงพ่อใหญ่ เมื่อหลวงพ่อใหญ่ท่านมาอยู่ที่นี่ ท่านมาธุดงค์ปักกลดที่นี่ ชาวบ้านเขานิมนต์ให้ท่านอยู่เป็นเจ้าอาวาส ผมเป็นคนแจวเรือค้าขายมีความเลื่อมใส จึงมาอยู่กับท่าน ช่วยท่านในฐานะเป็นช่าง ต่อมาก็บวช เมื่อหลวงพ่อใหญ่มรณภาพไปแล้ว ท่านก็เป็นเจ้าอาวาสแทน”

ท่านบอกอีกว่า “วัดที่ตั้งอยู่เวลานี้ ความจริงตั้งอยู่ในป่าช้าเก่า แม่น้ำสายเดิมจริงๆ เป็นแม่น้ำสายเล็ก ศาลาการเปรียญตั้งอยู่กลางแม่น้ำ เสาหงส์ก็อยู่กลางแม่น้ำในปัจจุบัน ต่อมามีเรือเมล์วิ่งรอกเข้าออก ลูกคลื่นก็ตีตลิ่งพังแม่น้ำจึงกว้างขึ้น เขาจึงต้องย้ายกุฏิมาอยู่ที่นี่ และเมื่อก่อนแม่น้ำสะแกกรังตอนหลังแล้ง น้ำก็แห้ง ก็ต้องกินนํ้าในบึงเล็กๆใกล้ๆ ท่านก็ชี้ให้ดู เวลานี้คือตึกกลางน้ำสมัยนั้นเป็นบึงเล็กๆ” ถามว่า “ที่วัดนี้เคยมีพระอริยเจ้าบ้างไหม” ท่านตอบว่า “มี” ถามว่า “ตอนก่อนมีใครบ้าง” ท่านบอกว่า “ท่านไม่ทัน แต่ตอนหลังๆ หลวงพ่อใหญ่เป็นพระอริยเจ้าท่านเป็นพระอนาคามี แต่ว่าก่อนจะตายท่านเป็นพระอรหันต์” ถามว่า “หลวงพ่อละเป็นอะไร” ท่านบอกว่า “ข้าก็ไม่รู้ หลวงพ่อใหญ่ไปไหนข้าก็ไปที่นั่นแหละ”

ก็เป็นอันว่าท่านยอมรับว่าท่านเป็นพระอรหันต์ ถามว่า “หลังจากนั้นมีใครบ้างเป็นพระอริยเจ้า” ท่านบอกว่า “นับเรื่อยมาหลายสมัยจนกระทั่งถึงหลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้ สององค์พี่น้องในขณะที่ทรงชีวิตอยู่เป็นผู้ทรงฌาน แต่ก่อนจะตายทั้งสององค์เป็นพระอรหันต์ เพราะทุกขเวทนามันหนัก เห็นโทษของการเกิด แก่ เจ็บ ตาย เห็นโทษของร่างกายจึงเป็นพระอรหันต์ไป หลังจากนั้นต่อมาก็เป็นภิกขุพานิช หมายความว่า ขายกินกัน คือ ขายกุฏิ ขายฝากุฏิ ขายที่วัด รวมความว่าวัดนี้มีคนขโมยของวัดมาก”
เมื่ออาตมามาอยู่ที่วัดท่าซุงแล้ว เจ้าอาวาสไม่ยอมให้สร้างพระอุโบสถที่ทรุดโทรมมากแล้วที่ฝั่งเดิม ในที่สุดก็มาซื้อที่ฝั่งตรงข้าม ๑๒ ไร่ และก็ซื้อเรื่อยมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้มีที่ทั้งหมดจริงๆ ประมาณ ๒๐๐ไร่เศษ คนนั้นซื้อบ้าง คนนี้ซื้อบ้าง การสร้างวัดท่าซุงดังที่เห็นในเวลานี้ขอบรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายโปรดทราบว่า อาตมาไม่ได้มีเงินก้อนมาจากไหน แต่มาจากศรัทธาของบรรดาท่านทั้งหลายมากบ้างน้อยบ้างตามกำลังศรัทธาที่ร่วมทำบุญกันมา

หลวงพ่อจันทร์เจ้าของชื่อวัดจันทาราม(ท่าซุง) ท่านอยู่บนพระนิพพาน

เมื่อวันที่ ๑๓ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ เวลาเย็นเกือบ ๑๘.๐๐ น. อาตมาป่วยมากมีอาการปวดและอืดอาเจียนเป็นเสมหะ ได้มีพระเนื้อเต็มรูปร่างสูงท่านหนึ่งมานั่งด้านขวามือ ท่านเอามือมาลูบที่อกไปมา ๒-๓ ครั้ง แล้วท่านก็พูดว่า “ร่างกายอย่ามีอันตรายนะ” จึงถามพระท่านนี้ว่า “ท่านชื่ออะไร” ท่านตอบว่า “ผมชื่อจันทร์” เจ้าของชื่อวัดจันทาราม (ท่าซุง) นั่นเอง

หลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นเจ้าอาวาสองค์ที่ ๓ ของวัดนี้ สมัยนั้นวัดนี้เจริญรุ่งเรืองและมีชื่อเสียงมากจึงให้นามว่า “วัดจันทาราม” สมัยก่อนนั้นชื่อวัดอะไรไม่ทราบเพราะว่าหลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นพระยาและเป็นนักรบเก่ามาก่อน คงจะแก่ถึงบวช เมื่อบวชเข้ามาแล้วก็สอนวิชาความรู้ต่างๆ สอนกระทั่งวิชาการรบให้แก่ชาวบ้าน และมีผ้ายันต์สีแดง หนังเหนียวมาก ถ้าทหารไปพักที่วัดท่านจะแจกผ้ายันต์สีแดง พอแจกเสร็จก็ให้แทงกันเดี๋ยวนั้นทั้งกองทัพ โดยถอดเสื้อก่อน จะเห็นว่าคนสมัยนั้นไม่ว่าชาวบ้านหรือทหารคลุกคลีตีโมงอยู่กับวัด และวัดก็เต็มไปด้วยธรรมวินัย พระส่วนใหญ่ก็เป็นพระดี เพราะถ้าไม่ดีจริงๆ ก็อดตาย พระสมัยนั้นมีดีอยู่ ๒ อย่างคือ

๑) ดีเพราะสมณธรรมดี โดยมากคนเขาชอบฤทธิ์
๒) ถ้าสมณธรรมไม่ดี ก็ต้องมีวิชาความรู้พิเศษดี ความรู้พิเศษก็เช่น ทำนํ้ามนต์เก่ง ทำอิทธิฤทธิ์เก่ง ด้วยวิชาการ ต้องเก่งอย่างใดอย่างหนึ่ง

การเก่งอย่างนั้นก็เกิดจากอารมณ์สมาธิ คืออารมณ์จิตต้องเป็นสมาธิ หลวงพ่อจันทร์ท่านบอกอาตมาว่า “ต่อมาภายหลังท่านได้เป็นพระอริยเจ้า คือเป็นพระอรหันต์”

พระสงฆ์สององค์สมัยหลวงพ่อเล่งกับหลวงพ่อไล้เป็นพระอรหันต์ก่อนตาย

วันที่ ๑๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ ตอนสายอาตมานอนภาวนา เห็นพระสงฆ์มายืนห่างๆ ๒ องค์เป็นพระหนุ่มผิวคล้ำทั้งคู่ คิดว่าผีจึงทำเฉยๆ ต่อมาคิดว่าผีพระจะมาทำไม จึงถามท่านว่า“ท่านเป็นใคร” ท่านตอบว่า “ผมไม่ใช่ผี ผมเป็นพระ” ถามท่านว่า “ท่านอยู่ที่ไหน” ท่านตอบว่า “ท่านเป็นพระอรหันต์ก่อนตาย” ถามว่า “ท่านเป็นพระสมัยไหน” ท่านตอบว่า “สมัยหลวงพ่อเล่ง หลวงพ่อไล้” เมื่อพูดถึงหลวงพ่อทั้งสององค์ก็ปรากฏ หลวงพ่อเล่งท่านพูดว่า “คุณอย่าหนักใจคนแถวนี้เลยว่ามันขโมยของวัด เพราะว่ามันขโมยมาเป็นปกติอยู่แล้ว สมัยผมมันก็ขโมยไม่เลือก” ถามพระหนุ่ม ๒ องค์ว่า “สมัยหลวงพ่อทั้งสององค์มีพระอรหันต์ ทำไมวัดไม่เจริญ เพราะพระอรหันต์มีที่วัดไหน วัดนั้นจะเจริญถึงที่สุด เป็นกฎธรรมดา” พระทั้งสององค์ก็ตอบว่า “วัดเจริญครับ มีกุฏิ ๘ หลัง เรียงกับหอสวดมนต์ และมีกุฏิ ๙ หลังอยู่หนึ่งหลัง ศาลา พระอุโบสถ วิหาร สมัยนั้นเจริญ แต่เมื่อสิ้นพระอรหันต์แล้ว พวกเจ้าอาวาส ทายก ชาวบ้านช่วยกันขายหมด..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 16:33 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๑ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา


“..พระอรหันต์ทุกองค์ไม่มีองค์ไหนมีความประมาทในชีวิต ยกตัวอย่างพระอรหันต์ที่มรณภาพแล้วให้ฟังองค์หนึ่งว่า พระองค์นี้ก็คือ หลวงปู่ดู่ วัดสะแก จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ใครไปคุยกับท่าน ท่านก็คุยธรรมะ ถ้าใครไปชมท่าน ท่านก็บอกว่าท่านยังเลวอยู่มาก หลวงปู่ท่านบอกท่านไม่มีอะไรดีเลย แต่เวลาตายแล้ว หลวงปู่ดู่ท่านไม่ไปนรก สวรรค์ก็ไม่ไป พรหมโลกก็ไม่ไป ท่านไปพระนิพพาน ที่พูดอย่างนี้ไม่ใช่ไปพยากรณ์นะ คือว่าถ้าพระองค์ไหนก็ตามคิดว่าตัวไม่ดี องค์นั้นเป็นพระที่ดีที่สุด ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า “บุคคลใดมีความรู้สึกตัวเองว่าเป็นพาล ตถาคตกล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นบัณฑิต” คำว่า “พาล” แปลว่า “โง่” คือรู้ตัวเองว่าไม่ดี

ทีนี้หลวงปู่ดู่ท่านคิดว่าตัวท่านเป็นพาล แต่อารมณ์จิตของท่านผ่องใส ท่านเห็นแต่ความไม่ดีของร่างกาย หมายถึงร่างกายทุกส่วนมันไม่ดี..”

เรื่องที่ ๑๒ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ มรณภาพแล้วท่านไปพระนิพพาน


“..ขึ้นไปพระจุฬามณีเจดียสถาน บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก พอจะเข้าประตูก็พบพระอรหันต์องค์หนึ่งออกมา ท่านคือ หลวงพ่อวัดปากน้ำ ภาษีเจริญ ถามท่านว่า “หลวงพ่ออยู่ที่ไหนครับ”ท่านบอกว่า “แกเสือกบอกเขาแล้วว่า ข้าไปอยู่นิพพาน แกมาถามข้าทำไม” ถามต่อว่า “หลวงพ่อไปหรือเปล่า ถ้าไม่ไปผมโกหกเขานะ”

ท่านตอบว่า “ไม่โกหกหรอก ข้าไปนิพพานแน่” เรื่องที่เขาพูดหาว่าข้าเป็นพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ที่ตั้งฐานกำหนดลมไว้ ๗ ฐาน เกินพระพุทธเจ้า เพราะพระพุทธเจ้าท่านกำหนดไว้ ๓ ฐาน เขาเลยหาว่าข้าแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้า แต่ความจริงเจตนาข้ามันเป็นอย่างนี้ ไอ้คนจิตฟุ้งซ่าน ถ้าจะมีอารมณ์จิตเป็นสมาธิจะต้องจับหลายๆ แห่ง เพราะต้องระวังมากอารมณ์ถึงจะทรงอยู่ นี่เขาไม่สนใจกัน มีแกคนเดียวที่เข้าใจดี และกายเทพ กายพรหม กายธรรม กายนิพพานก็เหมือนกัน ก็มีแกคนเดียวที่เข้าใจข้า นอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้า เอาเรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ได้สอนมาสอน”

กายทิพย์ หมายความว่า ได้อุปจารฌานเล็กน้อย จัดเป็นกายทิพย์
กายเทพ ก็เข้าถึงจุดอุปจารฌาน จะเกิดเป็นเทวดาชั้นยามาได้เหมือนกัน ถ้าพูดถึงกายภายในเหมือนกันหมด
กายพรหม ก็เป็นที่ทรงฌานได้ครบองค์ฌาน พอตายแล้วไปเป็นพรหม ก็เลยเรียกว่ากายพรหม
กายธรรม ก็หมายถึงว่า ได้อริยเจ้า
กายนิพพาน ก็หมายถึงว่า คนนั้นได้อรหันต์แล้ว

ท่านบอกว่า “มีแกคนเดียวที่พอพูดให้ชาวบ้านเขาฟัง มันตรงตามความประสงค์ของข้านอกนั้นเขาหาว่าข้าบ้าๆ บอๆ บางคนหาว่า อวดอุตตริมนุสสธรรม ข้าก็ไม่ว่าอะไรเขาหรอก”หลังจากนั้นอาตมาก็ลาท่านเข้าไปในพระจุฬามณี วันนี้พระอรหันต์เต็มเอี๊ยด พรหมออกมาหมดแล้ว เทวดาก็ยังไม่กลับ พระอรหันต์เหมือนเอาดาวไปวางไว้สวยสะพรั่ง ร่างกายเป็นเหมือนแก้ว พระอรหันต์นิพพานแล้วบ้าง พระอรหันต์คนบ้าง ก็สวยเหมือนกัน พระพุทธเจ้าทรงเปล่งฉัพพรรณรังสีต่างๆ สวยมาก..”

เรื่องที่ ๑๓ หลวงพ่อเขียนถึงการมรณภาพของหลวงปู่คำแสน วัดดอนมูล จังหวัดเชียงใหม่

“..คำว่า “คำแสนนุสรณ์” คำนี้อาจจะเป็นที่สะเทือนใจสำหรับผู้ที่เคารพนับถือหลวงปู่คำแสน ซึ่งเป็นที่เคารพของผู้เขียนและท่านทั้งหลายอยู่บ้าง โดยท่านอาจจะคิดว่าเป็นวาจาที่ปรามาสเกินไป โดยเจตนาของผู้เขียนแล้ว กล่าวเพียงให้สั้นเข้าเท่านั้น ไม่มีเจตนาปรามาสแต่ประการใด ถ้าบังเอิญเป็นที่ไม่ถูกใจท่านผู้ใดบ้าง ผู้เขียนขอประทานอภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วย
หลวงปู่คำแสน เป็นพระที่น่ารักและเคารพมากของผู้เขียน มีความรู้สึกว่าท่านเป็นที่น่ารักและควรแก่การเคารพอย่างยิ่ง ด้วยความรู้สึกและอาการสัมผัสแล้ว เข้าใจว่า

ท่านเป็นพระที่สมบูรณ์ด้วยศีลาจารุวัตรครบถ้วน
อารมณ์ก็แสนจะเยือกเย็น เป็นที่รักแก่ผู้ที่พบเห็น
จริยาก็เรียบร้อย ไม่โดกเดกรุ่มร่ามเหมือนผู้เขียน
ส่วนลึกของความสามารถ เรื่องนี้ถ้าจะพูดกันให้จบต้องใช้หนังสือสัก ๕๐๐ หน้า ก็ไม่แน่ว่าจะครบถ้วนตามความสามารถ ขอพูดโดยย่อว่า ท่านมีความสามารถดังนี้
๑) เป็นนักธุดงค์ที่มีความสมบูรณ์ในปฏิปทาธุดงค์จริงๆ
๒) การตัดอารมณ์ ตัดได้ดีตามที่พระพุทธเจ้าต้องการ
๓) ความสามารถพิเศษที่ท่านหวงและห้ามไม่ให้พูดก่อนท่านตาย คือ

อารมณ์ทรงตัวในด้านตัดอารมณ์ เรื่องนี้ขอพูดย่อแต่เพียงว่า ท่านมีความสบายทุกอย่างในอารมณ์
ความสามารถพิเศษ วันหนึ่งนั่งคุยกันตามลำพัง ท่านชวนเล่นสนุกกันสองต่อสอง ได้กราบเรียนท่านว่า ท่านเป็นพี่ขอให้ท่านเล่นให้ดูแต่ผู้เดียว ท่านค้านว่าถ้าอย่างนั้นน้องก็จะเอาเปรียบ

เป็นอันว่าวันนั้นตกลงกันไม่ได้ ต่อมาอีกหลายเดือน เมื่อมีโอกาสพบกันครบคณะคือ หลวงปู่คำแสน หลวงปู่ชุ่ม หลวงปู่ทืม การพบกันคราวนั้นเป็นการพบกันอย่างบังเอิญ ไม่มีใครเจือปนอยู่เลย พบกันแบบนักบวชซุกซน ไปชนกันเข้าโดยที่มิได้ตั้งใจ แต่ละท่านต่างก็ปรารภเหตุและผลในการปฏิบัติรู้สึกดีใจที่ทุกท่านเปิดเผยความจริงอย่างไม่มีอะไรปิดบัง เรื่องนี้พูดให้ฟังไม่ได้ ต่อมาท่านก็ทำสนุกให้ดู โดยหลวงปู่ชุ่มเริ่มต้นก่อน โดยท่านกล่าวหาว่าหลวงปู่คำแสนว่า มีดีแต่ชอบคุดดี เมื่อโต้เถียงกันอยู่ครู่หนึ่งหลวงปู่คำแสนก็สรุปสั้นๆ ว่า เราโตแล้วอย่าเล่นอย่างเด็กเลย ท่านหนึ่งในที่นั้นก็พูดว่า คนที่ไร้ความสามารถเท่านั้นที่เขาจะพูดอย่างนี้ คนที่มีความสามารถไม่มีใครเขาพูดอย่างนี้ เพราะเวลานี้มีด้วยกัน ๔ คน หลวงปู่คำแสนท่านยิ้ม ไม่ยอมพูดอะไรทั้งหมด ท่านหาเรื่องคุยเรื่องอื่น เมื่อคุยกันไปสัก ๒ นาที ปรากฏว่าหลวงปู่คำแสนหายไปจากที่คุย กายหายแต่เสียงยังปรากฏ คุยกันตามปกติแต่มองไม่เห็นตัว ต่อมาปรากฏว่าหลวงปู่ชุ่มก็กายหายแต่เสียงมี สำหรับหลวงปู่ทืมก็กลายเป็นหนุ่มขาวสวยกว่าปกติมาก ผู้เขียนงงเต็มที่

ในที่สุดเวลาผ่านไปสัก ๕ นาที ก็มีสภาพปกติ ถามท่านว่า หลวงปู่ทั้งสามเล่นกลแบบไหนครับ ท่านก็ตอบว่า เล่นแบบเด็กอมมือ ท่านถามว่า คุณทำไมไม่เล่น ผู้เขียนก็กราบเรียนท่านตามความจริงว่า เล่นไม่เป็น ไม่เคยฝึกวิชากล แล้วต่างคนต่างก็หัวเราะ หลวงปู่ชุ่มท่านต่อว่า หลวงน้องเอาเปรียบหลวงพี่ คนอย่างนี้บาปหนัก จึงกราบเรียนท่านว่า บาปมันหนักมันก็วิ่งตามผมไม่ทัน ผมสามารถหนีมันพ้น เท่านี้ผมสบายใจแล้ว ท่านทั้งสามก็หัวเราะพร้อมกัน

เป็นอันว่าหลวงปู่คำแสนท่านมีดีมาก เรื่องที่พูดให้ฟังนี้เป็นเกร็ดความดีที่พระพุทธเจ้าท่านถือว่าเป็นความดีที่มีสาระน้อย จึงห้ามติดและห้ามเล่นดีประเภทนี้ให้คนอื่นเห็น ท่านทรงห้ามนั้นดีแล้ว ถ้าไม่ห้าม ผู้ที่พบความดีประเภทนี้เพียงเล็กน้อยก็จะลืมตัว ในที่สุดก็จะเป็นเหยื่อความชั่วคือ ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ต้องจมอยู่ในวัฏฏะต่อไป มีอีกนิดหนึ่ง ความจริงมีมากแต่เกรงใจคนจัดพิมพ์จะต้องจ่ายเงินมาก ที่เขียนมานี้เห็นว่ามากเกินไปหรือไร้สาระ จะตัดทอนหรือทิ้งไปเลยไม่เอาลงพิมพ์เลยก็ได้ ด้วยคุณบุญรับไปหาขอให้เขียน น้ำกำลังเข้าท่วมวัด

ขณะเขียนเป็นวันที่ ๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓ น้ำกำลังขึ้นเต็มที่ระบาดเข้ามาในที่นอน ขณะที่เขียนนี้นั่งแช่น้ำเขียนเป็นเรื่องหรือไม่เป็นเรื่องก็ช่าง เพราะแฉะก็แฉะ หนาวก็หนาว ไม่เขียนมาให้เกรงว่าคุณบุญรับจะเสียกำลังใจ มาว่าเรื่องของหลวงปู่กันต่อไป

วันหนึ่งนั่งคุยกัน ท่านถามว่า บอกได้ไหมว่าได้อะไรไว้ ผู้เขียนได้กราบเรียนท่านว่า ผมไม่ได้อะไรเลย และก็ไม่อยากได้อะไร ท่านยิ้มแล้วท่านบอกว่า เท่านี้พอแล้ว ผู้เขียนก็ไม่เข้าใจความหมายของท่าน ท่านคงไม่คิดว่า “ผู้เขียนเป็นพระอรหันต์” เพราะผู้เขียนเป็นเพียงพระกังหัน หมุนไม่หยุด ท่านอาจจะคิดว่าเจ้าเบื๊อกนี่คิดว่าจะดีที่แท้ก็เป็นลิงป่าธรรมดานั่นเอง คุยกันไปสักประเดี๋ยวท่านก็เล่นกลอีก ตอนนี้ไม่ขอบอกว่าเล่นอะไร เป็นการเล่นแบบทบทวนความรู้ ในที่สุดท่านก็ต่อว่า ว่าไม่ได้อะไรทำไมรู้ จึงกราบเรียนท่านว่า ผมอ่านหนังสือมาก ผมรู้ตามหนังสือเขียนไว้

ท่านยิ้มแล้วพูดว่า ใครๆ เขาก็รู้ตามหนังสือเหมือนกันทั้งนั้นแหละ ท่านทำท่าเหมือนไม่เชื่อ แต่ความจริงผู้เขียนไม่มีดีอะไรเลย ที่รู้ก็เพราะจากหนังสือจริงๆ สำหรับหลวงปู่ท่านจะคิดอย่างไรเป็นเรื่องของท่าน แต่คิดว่าท่านคงไม่คิดว่าผู้เขียนเป็นคนรู้ นอกจากจะเข้าใจถูกว่า เจ้าลิงป่าเอ๋ย จงเจียมตัวเจียมตนกับเขาบ้าง จะได้พ้นจากความเป็นสัตว์เดรัจฉาน ถ้าท่านคิดอย่างนี้ก็ต้องขอบพระคุณท่าน ที่ท่านคิดตรง คิดถูกตามความเป็นจริง

พูดมากรำคาญคนอ่าน ขอสรุปว่าหลวงปู่ที่รักท่านตายไปแล้ว อีกไม่นานผู้เขียนก็ตาย ท่านตายไปคงดีที่สุด อย่างนี้ก็เพราะไม่รู้ว่าท่านไปไหน แต่ด้วยความรักและเคารพในท่าน ก็เลยคิดเอาเองตามใจคนที่รักกัน คิดว่าท่านคงไปดี สำหรับผู้เขียนนี้ยังไม่แน่ใจเลยว่า เมื่อตายแล้วจะไปอยู่นรกขุมไหนดี
ด้วยอำนาจพระพุทธบารมีและความดีของหลวงปู่ที่สั่งสมไว้มากและบำเพ็ญมานาน ขอให้หลวงปู่ช่วยดึงผู้เขียนให้พ้นจากนรกเมื่อผู้เขียนตายด้วย และอาศัยความดีที่หลวงปู่ประทานแสดงให้ปรากฏบางประการ และกรุณาแนะนำธรรมที่ควรปฏิบัติไว้หลายประการ ผู้เขียนจะขอน้อมเกล้ารับไว้ปฏิบัติตามจนวันตาย
คณะกรรมการขอให้ผู้เขียนมาเป็นกรรมการด้วย พิจารณาตัวแล้วเห็นว่าไม่สมควร จึงขอเพียงเป็นผู้อุปถัมภ์ในงานศพ ในงานทำศพถ้าไม่ป่วยจะมาอยู่ตลอดงาน

ขออนุโมทนาที่ทุกท่านเมตตาเจ้าภาพ ช่วยเป็นภาระและธุระกันคนละอย่างสองอย่างจนงานนี้ลุล่วงไปด้วยดี สมศักดิ์ศรีที่เป็นเชื้อชาติไทยแท้..”
พระมหาวีระ ถาวโร
วัดท่าซุง อ.เมือง จ.อุทัยธานี

๑๓ ตุลาคม ๒๕๒๓


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 16:36 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๔ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสุทัศน์ฯ ท่านบอกว่าท่านแก่แล้วไม่รู้จะไปไหน เลยตั้งใจไปนิพพาน


“..สมเด็จพระพุฒาจารย์ (เสงี่ยม จันทสิริ ) วัดสุทัศน์ฯ มรณภาพเมื่อวันที่ ๒๗ มกราคม ๒๕๒๖ หลังจากมรณภาพแล้วท่านมาหาอาตมา ได้ถามท่านว่า “เวลาตอนจะตายท่านรู้สึกอย่างไร” ท่านบอกว่า “ถามความรู้สึกไม่ได้ เดี๋ยวข้าจะเล่าให้ฟัง อาการมันเป็นอย่างนี้ ที่เขาว่าหัวใจข้าล้มเหลวนั้นที่จริงจิตใจข้าไม่ล้มเหลว แต่ก้อนเนื้อหัวใจมันล้มเหลว ไปนั่งดูมัน ดูจังหวะการเต้นของหัวใจมันไม่แน่นอน” ถามต่อว่า “ในช่วงนั้นมันก็หลายวันอยู่ นอกจากหัวใจล้มเหลวแล้วมันมีทุกขเวทนาอะไรอีกบ้าง” ท่านก็บอกว่า “ขันธ์ ๕ โดยทั่วไปมันดีนะ แล้วข้าก็นั่งดูมันไป คือเข้าไปดูข้างใน ต้องแยกจิตเข้าไปดูนะ ข้าก็เหมือนแก นั่งดูแล้วก็ดึงนั่นกระตุกนี่ เพราะหัวใจล้มเหลว ระบบประสาทต่างๆ มันก็ไม่ทรงตัว” ถามว่า “แล้วยังไงต่อไป” ท่านก็บอกว่า “ข้าก็ตัดสินใจได้ ไอ้คำปราศรัยของแกดีโว้ย ปรารภถึงนิพพานเรื่อย” ท่านหมายถึงเทปที่เคยสนทนากับท่านเมื่อหลายปีมาแล้ว ท่านบอกว่า “ข้าแก่แล้วไม่รู้จะไปไหน เลยตั้งใจไปนิพพาน”

ท่านเป็นสมเด็จฯ แต่จิตท่านไม่เก็บอะไร พยายามวางโลกธรรม คนทั่วไปดูแล้วเห็นว่าบ้าๆบวมๆ จะเห็นว่ามีศักดิ์ศรีไม่สมที่จะเป็นสมเด็จฯ ใช่ไหม อย่างเมื่อคราวไปงานพิธีพุทธาภิเษกที่วัดสามพระยา ปีนั้นเป็นการทำบุญวันเกิด สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ตอนนั้นท่านเพิ่งเป็นสมเด็จฯได้ปีเดียว พอตอนฉันเพลเขาจัดสำรับไว้ให้ ๓ สำรับ ของสมเด็จวัดสามพระยาสำรับหนึ่ง ของสมเด็จพระพุฒาจารย์สำรับหนึ่ง ของอาตมาสำรับหนึ่ง ก็บอก “ผมไม่เอาละหลวงพ่อ เดี๋ยวผมไปฉันข้างนอกดีกว่า” ท่านก็ถาม “ทำไมล่ะ” ก็บอก “กินข้าวกับอาตมากินไม่สะดวก” ท่านก็บอก“เฮ้ย กินสำรับรวมกัน” บอก “ไม่เอาละ เดี๋ยวมองหน้ากันไม่ถูก เอามือไปจิ้มกะปิเข้าก็ยุ่ง” ว่าแล้วก็ลุกมาเลย ท่านก็ตามมาบ้าง ถามท่านว่า “หลวงพ่อไม่ฉันข้าวข้างในหรือ สมเด็จฯท่านจัดสำรับให้” ท่านก็บอก “วันนี้กินข้าวกับฤๅษีดีกว่าว่ะ” พอนั่งปุ๊บท่านก็บอก “มีแต่ก๋วยเตี๋ยวน้ำไม่มีแห้งนี่หว่า” อาตมาก็กระเซ้าว่า “จะกินข้าวหรือก๋วยเตี๋ยว” ท่านก็บอก “ก๋วยเตี๋ยวมันก็คือข้าวเหมือนกันว่ะ”

ท่านวางตัวแบบนี้ ไม่ถือตัวทั้งๆที่เพิ่งเป็นสมเด็จฯ ได้ปีเดียว แสดงว่าท่านไม่ติดโลกธรรม เราต้องมองกันมุมนี้ ถ้ามองในแบบคนถือยศถือศักดิ์ จะกลายเป็นว่าสมเด็จฯ ไม่รักษาศักดิ์ศรี ย้อนมาคุยกับท่าน หลังจากที่ท่านตายแล้ว อดนึกไม่ได้ว่าตอนท่านเป็นหนุ่มๆ ท่านคิดอย่างไร เสียงบอกมาเลยว่า “หนุ่มๆ ข้าไม่ได้นึกโว้ย” ท่านบอกว่า “ยังไงๆ ข้าได้เปรียบต้องไปก่อนละ เพราะข้าแก่กว่าต้องโกยก่อน ได้เปรียบตอนแก่ก็เพราะว่าความวุ่นวายน้อย หากจะไปแต่งงานกับสาวๆ อีสาวจะอาเจียนตายเรื่องนี้เลิกได้ อยากจะรวยก็ไม่รู้จะเอาไปไหน จะโกรธจะไปฆ่าใครก็ไม่แน่ว่าเราจะฆ่าเขาหรือว่าเขาจะฆ่าเรา อย่างดีก็แค่ได้แต่แช่งในใจ”

ท่านทำภาพให้ดูก่อนตาย ประสาทมันเต้นยึกๆ ยักๆ ท่านดูทุกขเวทนาข้างใน พอออกมาดูข้างนอก “ร่างกายนี่มันโสโครกทุกอย่าง ยิ่งข้างในยิ่งเลอะไม่เป็นเรื่อง ปกติไม่ป่วยก็เดินไม่ค่อยจะไหว ไม่ได้สติสตัง ไอ้ร่างกายนี่มันไม่มีอะไรดีเลย นึกอยู่ว่าได้เวลาก็จะไป” ก็เลยถามท่านว่า “แล้วทำไมไม่ไปเสียล่ะ” ท่านก็บอก “ยังไม่ไป ลอยมันบนดินเล่น” ถามท่านว่า “อยู่ที่ไหน” ท่านบอก “เขาลือกันว่าผมไปเป็นอรูปพรหม” ถามท่านว่า “แล้วเจริญอรูปฌานหรือเปล่า” ท่านบอกว่า “เปล่าโว้ย” มีคนเขาดูกันบอกไปเป็นเทวดาบ้าง ไปเป็นอรูปพรหมบ้าง ถามท่านว่า “แล้วจะไปไหน” ท่านก็บอก “ข้าไม่รู้จะไปไหนก็ไปที่แกอยากจะพูด ใครเขาจะโง่ ก็รู้แล้วว่าอรูปฌานมันเป็นฌานโลกีย์”

เรื่องที่ ๑๕ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชทรงลาจากพุทธภูมิเมื่อวันที่ ๒๙ มกราคม ๒๕๓๓

“..เมื่อพ.ศ. ๒๕๐๐ อาตมาป่วยหนัก ไปนอนพักรักษาตัวที่กรมแพทย์ทหารเรือ (ปัจจุบันโรงพยาบาลสมเด็จพระปิ่นเกล้า) ไปนอนอยู่ที่ตึก ๑ เป็นห้องพิเศษ เวลาประมาณ ๔ ทุ่มเศษๆ ไฟฟ้าในห้องยังไม่ดับและประตูก็ใส่กลอนแล้ว ถึงเวลานอน นอนคนเดียวยังไม่หลับ ปรากฏว่ามีคนๆหนึ่งมายืนอยู่ข้างเตียง เป็นชายลักษณะเป็นคนล่ำๆ ท่าทางแข็งแรงทะมัดทะแมงปราดเปรียวมาก เป็นคนผิวขาว หน้าค่อนข้างจะสี่เหลี่ยมนิดๆ แต่มีเนื้อเต็ม นุ่งกางเกงขาสั้นสีขาวเหนือเข่านิดหนึ่ง ใส่เสื้อแขนสั้นสีขาวเหนือศอกหน่อย

ก่อนที่อาตมาจะเห็นท่านผู้นี้ ก็เพราะขณะที่ไปนอนป่วยอยู่ที่นั่นก็มีความรู้สึกว่า บรรดาผีทั้งหลายอาจจะแกล้งได้ง่าย เนื่องจากกำลังใจของคนป่วยความเข้มแข็งน้อย ก็นึกว่าในที่นี้เป็นเขตพระราชฐานของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช จึงขอพึ่งบารมีท่านให้คุ้มครอง พอท่านมายืนก็มองเห็น ไม่ต้องหลับตาไม่ต้องเข้าฌาน ในเมื่อผีจะแสดงตัวให้ปรากฏ แต่ความกลัวไม่มีเพราะเรื่องนี้ชินมาตั้งแต่บวชพรรษาที่ ๑ ก็เลยถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ท่านผู้นั้นก็ถามว่า “เมื่อกี้ท่านนึกถึงใคร” ก็ตอบท่านว่า “นึกถึงสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช”

ท่านก็บอกว่า “ผมนี่แหละ พระเจ้าตากสินมหาราช” ก็เลยมองไปมองมา ดูลักษณะการแต่งตัวของท่าน ท่านถามว่า “มองอะไร” ก็บอกว่า “มองดูลักษณะพระเจ้าตากสินมหาราช” ท่านถามว่า “เชื่อหรือยังว่าเป็นพระเจ้าตากสินมหาราช” ตอบว่า “ยังไม่เชื่อ ที่มองนี่เพราะยังไม่เชื่อ” ท่านถามว่า “ไม่เชื่อตรงไหน” ก็บอกว่า “ไม่เชื่อตรงกางเกงกับเสื้อเพราะพระมหากษัตริย์ไม่น่าจะนุ่งแบบนี้” ท่านถามว่า “กษัตริย์ต้องทรงเครื่องกษัตริย์นอนเชียวหรือ นี่มัน ๔ ทุ่มกว่าแล้วนะ” ก็บอกว่า “จะรู้ได้อย่างไรในเมื่อเป็นกษัตริย์ เวลาเป็นผีมาแสดงตนให้ปรากฏก็ต้องใช้เครื่องทรงแบบกษัตริย์” ท่านบอกว่า “ใช้เครื่องทรงกษัตริย์ก็ได้” พอพูดจบเครื่องทรงก็เป็นกษัตริย์ ท่านถามว่า “เชื่อหรือยัง” ตอบว่า “ตอนนี้เชื่อแล้ว”

ต่อมาก็คุยกันตั้งแต่ ๔ ทุ่มเศษๆ ถึงตี ๕ ครึ่ง คุยกันเรื่องในอดีต ความเป็นมาของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชตั้งแต่เป็นเด็กชายสินไว้หางเปีย จนกระทั่งถึงขั้นวางแผนให้รัชกาลที่ ๑ เป็นพระมหากษัตริย์ เป็นการยืนยันว่าพระองค์ไม่ได้ถูกรัชกาลที่ ๑ ประหารชีวิต เมื่อรัชกาลที่ ๑ ขึ้นเถลิงราชสมบัติแล้ว ก็นำสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชท่านบวชเป็นพระแล้วนั่งคานหามไปส่ง ออกทางปากท่อตอนกลางคืนไปส่งที่ถ้ำในจังหวัดนครศรีธรรมราช ลูกชายของท่านมีสองคน คนพี่ให้เป็นเจ้าเมืองนครศรีธรรมราชจะได้บำรุงพ่อ คนน้องก็ให้ทุนเป็นพ่อค้าสำเภา เป็นการหาทรัพย์สินเข้าเมือง เป็นการยืนยันว่าสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชก่อนจะสวรรคตเป็นพระสงฆ์ ไม่ได้ถูกฆ่าตาย พระองค์สวรรคตที่นครศรีธรรมราช ถ้ำที่ท่านพักก็ยังอยู่กุฏิหลังนั้นเขาทำเลียนแบบไว้ แต่ความจริงกุฏิที่อยู่จริงๆ ดีกว่านั้น เขาทำให้มีความผาสุกกว่านั้น ออกจากถํ้าท่านก็มีที่พัก มีห้องพักแบบสบายๆ ความจริงท่านไม่ได้สั่งแต่ลูกชายเป็นคนสร้างให้ ท่านอยู่ด้วยความสงบ คนที่เป็นกษัตริย์มาแล้ว เป็นทุกอย่างมาแล้ว มันก็หมดความโลภ ความโกรธ ความหลง และก็เป็นคนแก่ด้วยก็หมดความรัก ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมของท่านก็เป็นไปด้วยความเคร่งครัดแต่ไม่ได้เคร่งเครียด คำว่า “เคร่งครัด” คือ “ปฏิบัติตรงไปตรงมาในมัชฌิมาปฏิปทา”

ก่อนท่านจะลากลับ อาตมาถามว่า “ขอหวยสัก ๒ ตัวได้ไหม” ท่านบอกว่า “สมัยผมมีแต่หวยจับยี่กี หวยแบบเลขท้าย ๓ ตัว ๒ ตัว แบบนี้ไม่มี เรื่องหวยนี่ผมไม่รู้หรอก แต่เวลานี้ผมมีสตางค์ติดกระเป๋ามาเพียงแค่ ๒๕ สตางค์ ผมขอถวายหมด” พูดแล้วท่านก็หยิบเหรียญโยนไปใต้เตียงเห็นเลข ๒๕ ใสแจ๋ว พอตอนเช้าบรรดาพยาบาลและนายทหารประจำตึกมาถามว่า “เมื่อคืนมีอะไรบ้างครับ” ก็เลยเล่าให้ฟังว่าเมื่อคืนสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชมาเยี่ยม ขอหวยท่าน ท่านบอกว่าไม่มี มีแต่เงินเหรียญ ๒๕ สตางค์ แล้วท่านก็โยนไปใต้เตียง ปรากฏว่าภายในวันนั้นข่าวกระจายไปทั่วกรมอู่ ทุกคนเล่นเลขท้าย ๒ ตัว ถูกกันมาก

ต่อมาวันที่ ๒๙ มกราคม พ.ศ. ๒๕๓๓ วันนั้น พ.อ.สถาพร ได้นำดาบเล่มหนึ่งมาจากเมืองตาก เขาบอกว่าเป็นดาบของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เพื่อมาให้เจ้ากรมการสัตว์ทหารบกที่จังหวัดนครปฐม คืนนั้นก็นำดาบตั้งไว้ในที่มีเครื่องสักการะ พอตอนดึกเวลาประมาณสัก ๖ ทุ่ม เวลาจะนอนก็ทำจิตเป็นสมาธิตามปกติของพระ ก็เห็นภาพสมเด็จพระเจ้าตากสินฯ สวยงามมากมาที่ดาบ ถามท่านว่า “มาทำไม” ท่านบอกว่า “ก็เขาว่าดาบของผมนี่ครับ ผมก็มาทำให้มันหน่อย” ถามว่า “ทำแล้วจะมีประโยชน์อะไรบ้าง” ท่านก็บอกว่า “ประโยชน์มี”

หลังจากนั้นก็คุยกันถามว่า “เวลานี้ลาจากพุทธภูมิหรือยัง” ท่านบอกว่า “ยังไม่ได้ลา” จึงถามว่า “ตั้งใจจะเป็นพระพุทธเจ้าจริงๆ หรือ” ท่านบอกว่า “เวลานี้พระโพธิสัตว์ที่มีบารมีเต็มรอคิวกันยาวเหยียด ผมก็อยากจะลาพุทธภูมิเหมือนกัน แต่ก็ไม่แน่ใจว่าถ้าลาแล้วจะมีผลเป็นประการใด” ก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปคุยกับพระกันดีกว่า ไปด้วยกันไหม” ท่านบอกว่า “ไปซิ ที่มานี่ก็จะมาชวนไปหาพระด้วยกัน”

เมื่อไปถึงกราบท่านแล้วก็ถามว่า “เวลานี้เทวดาสินเป็นพระโพธิสัตว์ อยากจะทราบว่าจะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่เท่าไร หลังจากพระศรีอารย์ไปแล้ว” พระท่านก็บอกว่า “จะเป็นพระพุทธเจ้าองค์ที่ ๓๐ หลังพระศรีอารย์นิพพานแล้ว” ก็เล่นเอาเทวดาสินต้องไปนั่งยิ้มที่ชั้นดุสิตอีกถึง ๓๐ พระพุทธเจ้า ก็เลยถามพระท่านว่า “ถ้าเทวดาสินจะลาจากพุทธภูมิ เมื่อไรจะไปนิพพาน” ท่านบอกว่า “เทวดาสินนี่ ถ้าหากลาจากพุทธภูมิเป็นสาวกภูมิ กำลังเต็มมานานแล้ว ก็เหลือแค่ เอหิภิกขุ เท่านั้นก็พอแล้ว ถ้าตรัสว่า เอหิภิกขุ เทวดาสินก็เป็นพระสมบูรณ์แบบ” ท่านก็เลยเข้าไปกราบพระ พระท่านก็บอกว่า “เอหิภิกขุ เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” เพียงเท่านี้ เทวดาสินก็กลับสภาพจากเทวดาเป็นวิสุทธิเทพ

นี่เป็นเรื่องของนิมิตลืมตา ไม่ใช่นิมิตหลับตา ไม่ได้เข้าฌานสมาบัติ ถ้าถามว่า “ถ้าไม่เข้าฌานสมาบัติ แล้วรู้ได้อย่างไร” ก็บอกว่า “ท่านแสดงภาพให้รู้ มันก็รู้ด้วยกันทุกคนแหละ ไม่ว่าใคร”คนที่เห็นผีเข้าฌานหรือเปล่า เดินไปแล้วก็ถูกผีหลอก ต้องเข้าฌานหรือเปล่า สภาพนี้ก็เหมือนกัน ผีไม่ได้หลอกแต่ว่าผีมาชวนคุย ผีมาบอกตามความเป็นจริง ก็ไม่จำเป็นต้องเข้าฌานสมาบัติ...”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 16:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๖ พระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ก่อนสิ้นชีพิตักษัยทรงเปล่งวาจาว่า “หญิงขอลาไปนิพพาน”

“..เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมาได้มีโอกาสเดินทางไปเยี่ยมตำรวจตระเวนชายแดนทางภาคใต้กับ ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต คืนวันที่ ๑๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ อาตมานอนพักที่กองกำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ พอ ๖ ทุ่มเศษก็ตื่นดูนาฬิกา คิดว่าเมื่อคืนที่แล้วก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษ ที่คลองปางมีเรื่องตำรวจตระเวนชายแดนถูกยิง วันนี้ก็ตื่น ๖ ทุ่มเศษอีก ไม่ทราบว่าจะมีเรื่องอะไรอีก พอตื่นขึ้นมาแล้วก็นอนไม่หลับ จึงทำสมณธรรมตามแบบพระ พระมีกิจที่ต้องทำอันหนึ่งคือ เมื่อตื่นขึ้นมาแล้วต้องทำสมณธรรม เมื่อทำไปจิตถึงที่สุดเวลาประมาณตี ๒ ปรากฏว่ามีฉัพพรรณรังสีรัศมี ๖ ประการปรากฏชัด มีแสงสว่างไสวเหมือนไฟฟ้าสักแสนแรงเทียนในห้อง เมื่อแสงสว่างหายไปก็ปรากฏรูปพระคล้ายพระสงฆ์มีความสวยสดงดงามมาก มีแสง ๖ สีพุ่งออกจากพระวรกาย ถ้าภาพอย่างนี้ปรากฏทางพระพุทธศาสนาท่านเรียกว่าเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อปรากฏเป็นพระรูปพระโฉมขึ้นมาแล้วก็ทรงแย้มพระโอษฐ์แล้วก็ตรัสว่า “วิภาวดี เสร็จกิจแล้ว กิจอื่นที่จะต้องทำไม่มีต่อไปอีก”

คำว่า “เสร็จกิจ” ก็หมายถึง “กิจที่จะต้องปฏิบัติตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทประหารไม่มีแล้วที่จะต้องทำ” เมื่อมีพระสุรเสียงตรัสจบแล้วภาพนั้นก็หายไป อาตมาก็คิดในใจว่า เสียงอย่างนี้ ภาพอย่างนี้ เราเคยพบ เมื่อตรัสอย่างนี้เป็นพุทธพยากรณ์ ก็แสดงว่าท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ต้องเป็นพระอรหันต์ พูดกันตามทัศนะถ้าหากว่าเป็นอย่างนั้น เมื่อเสียงหมดไปภาพหายไป อาตมาก็นอนไม่หลับเพราะไม่อยากจะหลับ ก็เจริญสมณธรรมเรื่อยไป ปรากฏว่าเวลา ๔ นาฬิกามีภาพประหลาดเกิดขึ้น เป็นภาพดวงไฟเล็กดวงนิดเดียวมีความร้ายแรงมากร้อนจัด และมีภาพ พันตำรวจโท สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา ผู้กำกับการตำรวจตระเวนชายแดนเขต ๘ ยืนอยู่แล้วล้มลงทับภาพดวงไฟนั้น แล้วลุกขึ้นมาจากไฟแต่ไม่ไหม้ แล้วภาพไฟก็หายไป เมื่อเห็นภาพนี้ก็เข้าใจว่า วันพรุ่งนี้เหตุร้ายจะต้องเกิดกับเราแล้ว และก็เป็นเหตุร้ายที่เราแก้ไขไม่ได้เพราะภาพไฟที่ปรากฏร้ายแรงมาก พยายามดับเท่าไรก็ไม่ดับ ความร้ายแรงของไฟไม่สลายตัวและก็ไม่ย่อหย่อนลงไป

ความจริงท่านหญิงวิภาวดี รังสิต เป็นลูกศิษย์เจริญพระกรรมฐานกับอาตมาเป็นเวลา ๘ เดือน หลังจากที่ท่านมาเรียนพระกรรมฐานด้วยสัก ๗ วัน ไม่ใช่เกาะครูเป็นแต่เพียงมาศึกษาพอเข้าใจแล้วก็กลับไปปฏิบัติเอง ๗ วันผ่านไปก็ปรากฏว่าท่านได้ธรรมปีติเป็นกรณีพิเศษเป็น อุพเพงคาปีติ สามารถควบคุมสมาธิได้ตามเวลาที่ต้องการ หลังจากนั้นท่านก็เจริญวิปัสสนาญาณ เพราะกรรมฐานมี ๒ อย่างคือ สมถภาวนาด้านสมาธิจิตซึ่งต้องควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ถ้าฝึกเฉพาะสมถภาวนาไม่ฝึกควบคู่กับวิปัสสนาญาณ ก็เอาดีไม่ได้ เมื่อสมาธิเข้มข้นดีแต่วิปัสสนายังอ่อน ตอนหลังท่านก็พยายามฝึกควบวิปัสสนาญาณให้มีความเข้มแข็งเท่าสมาธิจิต

จากนั้นมาท่านหญิงวิภาวดีก็ตรัสเป็นปกติว่า “ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” ความหมายของท่านก็คือ “พระนิพพาน” ฉะนั้นทรัพย์สินใดๆ ที่มีอยู่ก็ดีไม่ต้องการสะสมไว้ มีความต้องการอย่างเดียวคือ “ทำอย่างไรชาวไทยทั้งประเทศจึงจะมีความสุข” ท่านเสียสละทุกอย่าง ทรัพย์สินส่วนพระองค์ท่านเสียสละมาก

การเจริญพระกรรมฐานของท่านเข้าถึงจุดปลายคือเปล่งวาจา “ต้องการพระนิพพาน” ก่อนสิ้นชีพิตักษัยประมาณ ๓ เดือน พบหน้าใครท่านก็พูดว่า “ทรัพย์สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ชีวิตไม่มีความหมาย ฉันต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน” แสดงว่าท่านมีจิตใจจับพระนิพพานเป็นอารมณ์จริงๆ มาเป็นเวลา ๓ เดือน ถ้าพูดกันตามพระไตรปิฎก คนที่จะมีอารมณ์รักพระนิพพานจริงๆ ก็ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป แต่ท่านหญิงตอนนั้นจะเป็นพระโสดาบันหรือไม่นั้น อาตมาไม่รับรองเพราะไม่ใช่พระพุทธเจ้า พูดตามอาการที่ปรากฏ

รุ่งเช้าวันที่ ๑๖ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๐ เวลาก่อน ๗ นาฬิกา อาตมาก็รีบไปที่โรงปูนซิเมนต์ที่พักของท่านหญิงวิภาวดี ก่อนขึ้นฮ. ก็ประชุมกันก่อนว่า วันนี้เราจะไปพระแสงกับเคียนซา แต่ก่อนไปต้องไปรับตำรวจที่บาดเจ็บ ๒ คนที่บ้านหลังคลองที่ไปเมื่อวันวาน และการไปคราวนี้ขอให้คนที่ไปกับฮ. ลงที่กองร้อย ๓ ตำรวจตระเวนชายแดนซึ่งอยู่ห่างจากสถานที่ที่จะไปรับตำรวจบาดเจ็บ ๑ กิโลเมตร แม้แต่ท่านหญิงวิภาวดีก็ต้องลงเช่นเดียวกัน ขอให้ฮ. ไปรับโดยเฉพาะแล้วนำตำรวจบาดเจ็บไปส่งโรงพยาบาลสุราษฎร์ธานี แวะเติมน้ำมันก่อนแล้วกลับมารับพวกเราประมาณเที่ยง หลังจากฉันเพลที่กองร้อย ๓ ตชด.แล้ว พวกเราจะไปเคียนซากับพระแสง ไปเยี่ยมตำรวจอีก ๒ จุด แต่อาตมาก็บอกทุกคนว่า “วันนี้พวกเราสู้เขาไม่ได้ ไม่เหมือนเมื่อวานนี้เราสู้เขาได้ เราจึงกล้าลงกลางฐานที่ตั้งของเขานับจำนวนร้อยที่ติดอาวุธ เราก็กล้าลง แต่วันนี้เราทำอย่างนั้นไม่ได้ เพราะเป็นวันเปิดเราสู้เขาไม่ได้”

ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทโปรดทราบว่า คนเราที่บอกว่าเก่ง หนังเหนียว เนื้อเหนียว กระดูกเหนียว ยิงไม่เข้า ฟันไม่เข้าก็ตาม ทั้งๆ ที่คล้องพระอยู่ แต่วันหนึ่งก็ถูกยิงตายได้ถ้าเป็นวันเปิด เป็นอันว่าถ้าวันเปิดประสบกับใครก็ตาม คนนั้นไม่สามารถเอาชีวิตรอดได้ และวันนั้นความจริงอาตมาก็ทราบว่า ถ้าร่วมไปที่บ้านหลังคลองก็ดี ที่เคียนซาหรือที่พระแสงก็ดี อาตมาเองก็จะถูกยิงที่ขาต่ำกว่าเข่า ไม่ถูกกระดูกแต่ถูกเนื้อตรงน่อง แต่ก็ตั้งใจว่าเมื่อพูดว่าจะไปแล้วก็ต้องไป ชีวิตตำรวจทหารเขาเสียสละได้เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ก็ไอ้เลือดเรานิดหนึ่งไม่เกิน ๑๐๐ ซีซี ที่ต้องหลั่งไหลออกจากกาย เพราะการเข้าไปเยี่ยมคนที่มีคุณ ทำไมเราจะสละไม่ได้ เป็นอันว่าวันนั้นยอมเสียเลือดเพราะรู้แล้วว่าถ้าไปก็เสียเลือดตัวเอง จะคุ้มครองไม่ได้

สำหรับท่านหญิงวิภาวดีอาตมาก็หนักใจมาก เพราะนิมิตตอนกลางคืนบอกชัดว่าอย่างไรก็ตาม “วันนี้ท่านหญิงวิภาวดี จะไม่สิ้นชีวิตไม่ได้ เพราะว่าเป็นจุดจบ” ถ้าพุทธพยากรณ์นั้นเป็นจริง คือว่า “ตามธรรมดาฆราวาสถ้าเป็นพระอรหันต์วันนี้ วันรุ่งขึ้นก็ต้องนิพพาน” การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสที่ไม่สามารถบวชเป็นพระได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งผู้หญิงบวชไม่ได้ ผู้ชายถ้าบวชทันได้ไม่เป็นไร

ฉะนั้น “การนิพพานของพระอรหันต์ที่ยังเป็นฆราวาสนี่ ก็ต้องนิพพานด้วยอุบัติเหตุ” อย่างในสมัยเมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่ เมื่อบุคคลใดได้บรรลุอรหัตผล องค์สมเด็จพระทศพลทรงทราบว่า ถ้าเขาไม่เคยถวายผ้าไตรจีวรไว้ในพระพุทธศาสนาในชาติก่อน ถ้าพระองค์ตรัสว่า “เอหิภิกขุ” แปลว่า “เจ้าจงเป็นภิกษุมาเถิด” ผ้าไตรจีวรที่สำเร็จด้วยฤทธิ์ก็ไม่มี เป็นอันว่าการบวชไม่สมบูรณ์แบบ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า “ถ้าเธอจะบวช ขอให้เธอไปหาผ้าจีวรมาก่อน ได้ผ้ามาแล้วตถาคตจะบวชให้” แล้วท่านผู้นั้นเดินไปหาผ้าทีไร ก็ถูกวัวแม่ลูกอ่อนขวิดตายทุกที จะนิพพานโดยลักษณะนั้น สำหรับท่านหญิงวิภาวดีก็เช่นเดียวกัน ปัจจุบันหาวัวแม่ลูกอ่อนไม่ได้ ถ้าจะให้รถชนตายเจ้าของรถก็มีความผิด จะให้ตกต้นไม้ตาย ท่านก็ไม่ได้ขึ้นต้นไม้ เพราะการตายของพระอรหันต์จะต้องไม่มีโทษแก่บุคคลที่ทำให้ตาย เมื่อข้าศึกยิงมาข้าศึกไม่มีโทษเพราะไม่รู้ว่าใครเป็นคนยิง เมื่ออาตมาทราบอย่างนี้ก็เลยเตือนท่านว่า “ท่านหญิง วันนี้เราสู้เขาไม่ได้ ยังไงๆ ที่บ้านหลังคลองท่านหญิงจะไปไม่ได้ ต้องลงพร้อมกับอาตมาที่กองร้อย ๓” ท่านก็ตกลง

เมื่อถึงกองร้อย ๓ เครื่องบินส่งพวกเราลงกันหมด พอเครื่องบินขึ้นปรากฏว่าท่านหญิงวิภาวดีไม่ลง พอเหลียวไปดูถาม พระครูบาธรรมชัย ที่ไปด้วยกันว่า “หลวงปู่ ท่านหญิงไม่ลงรึ” เพราะท่านลงทีหลัง หลวงปู่บอกว่า “ท่านหญิงเขียนจดหมายใส่ย่ามมาให้” ขณะกำลังอ่านอยู่นั่นเอง เจ้าหน้าที่วิทยุวิ่งมาแจ้งว่า “หลวงพ่อครับ เครื่องบินเราถูกยิง” พอเขาบอกเท่านั้นก็บอกเขาไปว่า“เราเสียท่าเขาแล้ว”

ต่อจากนั้นตำรวจก็เอารถยนต์มารับอาตมาไปที่เครื่องบินลงที่บ้านส้อง ไปถึงก็พบว่าเครื่องบินถูกยิง ๙๘ รู แต่ทะลุเพียงนัดเดียวนอกนั้นไม่ทะลุเครื่องบินเลย กระสุนนัดนั้นแหละที่สังหารท่านหญิงวิภาวดี คือทะลุท้องเครื่องบินขึ้นมาทะลุหัวรองเท้าของผู้กำกับฯ สุดินทร์ แล้วทะลุเข้าข้างหลังท่านหญิงวิภาวดี เมื่อรู้ว่า ฮ.ถูกยิงทุกคนก็เข้าล้อมท่านหญิงหมด แต่จุดที่คนล้อมกระสุนไม่เข้าแต่ไปเข้าจุดว่าง เมื่ออาตมาไปถึงเห็นท่านหญิงนอนนิ่ง จึงขึ้นไปบนเครื่องบินก็ทำพิธีแบบพระ “ขออาราธนาบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ทั้งหมด อาราธนาขอให้บรรเทาทุกขเวทนาของท่าน” เพราะทราบว่าท่านเจ็บมาก เห็นท่านนอนเฉยๆ จึงถามว่า “ท่านหญิงปวดไหม” ท่านก็ตรัสว่า “ปวดเจ้าค่ะ หายใจขัดๆ”

แล้วท่านก็เปล่งวาจาดังๆ ว่า “โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายเป็นทุกข์ ไม่ต้องการอีก ขอไปนิพพาน ขอลาไปนิพพาน” แล้วก็เปล่งวาจาดังขึ้นอีกว่า “หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวให้ทรงทราบ และทูลท่านชายปิยะให้ทรงทราบด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” แล้วท่านก็เปล่งวาจาอีกว่า “นิพพาน นิพพาน นิพพาน” นิ่งสักประเดี๋ยวเวลาผ่านไป ๓ นาทีได้ ท่านก็เปล่งเสียงดังๆ ว่า “โอ สว่างแล้วๆ เห็นนิพพานแล้วๆ นิพพานสวยเหลือเกิน หญิงขอลาไปนิพพานแล้ว หลวงปู่ หลวงพ่อ หญิงขอลาไปนิพพาน ขอหลวงพ่อได้กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและสมเด็จพระบรมราชินีนาถ และท่านชายปิยะด้วยว่า หญิงขอลาไปนิพพาน” พอสิ้นเสียงก็ปรากฏว่าท่านสิ้นลมปราณ

การที่นำเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีมาเล่าให้ฟัง ก็เพราะเป็นเรื่องที่วิพากษ์วิจารณ์กันมากว่า อาตมาทราบได้อย่างไรว่าท่านหญิงวิภาวดีจะไปไหน ความจริงรู้ได้อย่างไรนี้ตอบไม่ยาก เพราะว่าจะไปไหนนั้นก็อาศัยการเปล่งวาจาของท่านเป็นเหตุ คนถูกยิงเจ็บขนาดนั้น เสียงครางนิดหนึ่งก็ไม่มี การบิดตัวแสดงอาการเจ็บหน่อยหนึ่งก็ไม่มี นอนสงบนิ่งเป็นปกติเหมือนกับคนนอนหลับแบบสบายๆ แต่พอไปถามเข้าว่า “เจ็บไหม” ท่านก็บอกว่า “เจ็บมากและก็มีหายใจขัดๆ” เวลาพูดเสียงก็ปกติ ก่อนจะสิ้นชีพสังขารก็เปล่งวาจาว่า “ขอไปนิพพาน” โดยเฉพาะตอนสุดท้ายที่พูดว่า “สว่างแล้ว สว่างแล้ว” เสียงสดใสมากแสดงอาการดีใจเหมือนคนไม่เจ็บ มีพระโอษฐ์ยิ้มแสดงความรื่นเริง หน้าตาสดชื่น พระสุรเสียงดังชัดมากแสดงอาการดีใจ เพราะเคยทำงานด้วยกันจึงรู้ว่า เวลาท่านดีใจท่านมีเสียงแบบไหนแสดงกิริยาแบบไหน วันนั้นแสดงแบบนั้นทั้งหมด เมื่อท่านบอกว่า ท่านจะไปนิพพาน เราก็ต้องบอกว่าท่านไปพระนิพพาน เพราะท่านพูดแล้วท่านก็ตาย เราจะไปเถียงท่านไม่ได้ ท่านจะไปหรือไม่ไปก็เป็นเรื่องของท่าน

และก็มีคนถามว่า “ในเมื่ออาตมาทราบว่าจะมีอุบัติเหตุแบบนั้น ทำไมจึงไม่ช่วยป้องกัน” อาตมาก็มานั่งนึกว่า คนที่เขาพูดนี่คงคิดว่าอาตมาเองคงจะไม่ตาย เพราะคนอื่นจะตายป้องกันเขาได้ ตัวเองมันก็ต้องไม่ตาย แต่เขาคงลืมไปกระมังว่า องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงเป็นอาจารย์ใหญ่ของอาตมาจริงๆ ท่านก็ต้องนิพพาน (ภาษาชาวบ้านเรียกว่าตาย) หรือ พระโมคคัลลาน์ พระอัครสาวกฝ่ายซ้ายผู้มีฤทธิ์ถูกโจรทุบ เวลานั้นองค์สมเด็จพระบรมครูก็ยังทรงพระชนม์อยู่ ทำไมไม่ช่วยป้องกันไว้ แต่นั่นเป็นกฎของกรรม พระโมคคัลลาน์ถูกโจรล้อมท่านก็หนีไป ๒ ครั้ง พอโจรมาล้อมเป็นครั้งที่ ๓ ท่านก็มาพิจารณาว่า “มันเรื่องอะไร” ก็ทราบว่า “กรรมที่จะเกิดขึ้นนี้เป็นกรรมเมื่อ ๑๐๐ อัตภาพมาแล้ว เราเคยทุบพ่อทุบแม่ตาย กรรมนั้นมาสนอง” ท่านจึงยอมให้โจรทุบ เมื่อโจรทุบแล้วท่านก็ไม่ยอมตาย เมื่อโจรไปแล้วท่านก็ประสานกาย ประสานกระดูก เหาะไปกราบทูลลาพระพุทธเจ้าเข้านิพพาน

เป็นอันว่าถ้าคนจำจะต้องตาย แม้แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ยังทรงร่างกายอยู่ไม่ได้ ปล่อยให้ร่างกายพัง พระโมคคัลลาน์ท่านเป็นจอมฤทธิ์ ท่านก็ไม่สามารถจะป้องกันตัวท่านเองได้ แล้วการที่อาตมาจะไปบังคับให้ท่านหญิงวิภาวดีไม่ตายจะได้ไหม ถ้าจะพูดกันอีกที โยมผู้ชายและโยมผู้หญิงท่านเป็นพ่อเป็นแม่ผู้ให้กำเนิดอาตมา ชีวิตจะทรงอยู่ได้ก็เพราะอาศัยท่าน แต่เวลาที่ท่านทั้งสองจะตาย อาตมาก็ห้ามไม่ได้ แล้วจะให้ไปห้ามใครได้ เป็นอันว่าเรื่องของท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ทำไมต้องตายและอาตมาทำไมไม่ป้องกันไว้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 16:45 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๗ โยมน้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรกของหลวงพ่อ


“..ตอนที่อาตมามาอยู่ที่วัดท่าซุงใหม่ๆ นั้น มีลูกศิษย์รุ่นแรกอยู่ ๓ คนคือ โยมน้อย โยมพวง และโยมทองดี เป็นทายกทายี่กาประจำวัด เอากล้วย อ้อย ผักบ้าง ปลาบ้าง ส่งมาถวายเป็นประจำ ถ้าย้อนอดีตของ ๓ ท่านนี้ ขอดู จุตูปปาตญาณ ในสมัยพระยากาญจนบุรี (ท่านขุนแผน) เวลายกทัพต้องไปพักที่วัดจันทาราม (ท่าซุง) และทั้ง ๓ ท่านนี้ สมัยนั้นก็เป็นหัวหน้าเกณฑ์ชาวบ้านให้เอาอาหารมี ปลา เนื้อ ผัก มาให้กองทัพ สมัยนั้นชื่อวัดจันทารามมีชื่อเสียงมาก เพราะหลวงพ่อจันทร์ท่านเป็นพระยาและเป็นนักรบเก่ามาก่อน มาบวชอยู่ที่วัดนี้ได้ฝึกวิชาทหารให้แก่ชาวบ้านและมีผ้ายันต์แดง หนังเหนียวมาก ถ้าทหารที่ไปพักที่วัดท่านจะแจกผ้ายันต์สีแดง พอแจกเสร็จก็ให้แทงกันเดี๋ยวนั้นทั้งกองทัพ โดยถอดเสื้อก่อน พอมาชาติปัจจุบันนี้ ทั้ง ๓ ท่านมาเกิดก่อนอาตมา เวลาที่อาตมามาอยู่วัดท่าซุง ทั้ง ๓ ท่านก็มาเจริญพระกรรมฐานและเอาอาหารมีผัก ปลา มาถวายเป็นประจำ

โยมน้อย แก้วแดง มีความเข้มแข็งในทาน ศีล เจริญภาวนาครบทุกอย่าง และเจริญพระกรรมฐานเก่งมาก เวลานั้นก็เจริญพระกรรมฐานกันอยู่ ๓ คน เป็นประจำแน่นอน บางวันก็มีคนอื่นมาร่วมด้วยบ้าง ต่อมาโยมน้อยเป็นโรคมะเร็งในกระเพาะ ก่อนที่อาตมาจะเข้ากรุงเทพฯ หนึ่งวันได้ไปเยี่ยมท่านที่บ้าน เห็นท่านนอนเฉยไม่แสดงอาการอะไรทั้งหมด ไม่เคยครางไม่เคยบ่น ถามว่า“โยมปวดไหม” ท่านตอบว่า “ปวดมากเจ้าค่ะ” ถามว่า “เวลานี้โยมนึกถึงอะไร” ก็ตอบว่า “นึกถึงพระนิพพานอย่างเดียวเจ้าค่ะ” ถามว่า “โยมเห็นพระไหม” ตอบว่า “เห็นเจ้าค่ะ” ถามว่า“เห็นรูปร่างเป็นอย่างไร” ตอบว่า “รูปร่างใสเป็นแก้ว” ถามว่า “พระองค์นั้นเป็นใคร โยมทราบไหม” ตอบว่า “ทราบ” ถามว่า “ใครล่ะ” ตอบว่า “พระพุทธเจ้า เจ้าค่ะ” บอกว่า “พรุ่งนี้อาตมาต้องไปกรุงเทพฯ เพราะว่าจะต้องไปสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลมบ้านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์” ท่านก็พยักหน้า อาตมาทราบแล้วว่าอีก ๒ วัน โยมน้อยจะตาย ที่ไม่ครางเลยเพราะจิตเป็นฌานจับพระนิพพานเป็นปกติ จึงบอกว่า “อย่าลืมพระนิพพานนะ” ท่านตอบว่า “ไม่ลืมเจ้าค่ะ เห็นเสมอเป็นปกติ ที่นิ่งไม่ครางเพราะจิตจับที่พระนิพพาน อารมณ์เป็นสุข”

เวลา ๒ ทุ่ม อาตมาสอนพระกรรมฐานที่บ้านซอยสายลมที่กรุงเทพฯ พอเริ่มอาตมาเห็นขบวนๆ หนึ่ง มีรถแก้วแพรวพราวเป็นระยับ มีขบวนนางฟ้า เทวดา และพรหมล้อมรอบ ลอยผ่านหน้า และได้ยินเสียงเรียก “หลวงพ่อเจ้าคะๆ ขอลาไปพระนิพพาน” พอกลับวัดโยมพวงมาเล่าให้ฟังว่า โยมน้อยตายตอนยามต้น ตอนนั้นโยมพวงกำลังนั่งเจริญพระกรรมฐานอยู่ เห็นภาพขบวนรถแห่โยมน้อยในอากาศลอยมาใกล้ผ่านหน้าเห็นชัดมาก มีเสียงตะโกนลงมาว่า “พวงเอ๊ย พวง นิพพานนะน้องนะ” จำได้แต่เสียงแต่ตัวจำไม่ได้เพราะสวยมาก โยมพวงบอกอาตมาว่า “ขี่เกวียนสวยเหลือเกิน แต่เกวียนไม่มีม้าเทียมไม่มีโคเทียม เป็นงอนข้างหน้ามีเทวดาลาก”

และคืนเดียวกันนั้นเองมีเด็กสาวคนหนึ่งอยู่ในตลาดอุทัย ไม่ได้เกี่ยวข้องกันเลยไม่เคยรู้จักกันเลย คืนนั้นเธอนอนฝันเห็นขบวนรถแห่โยมน้อยในอากาศชัดมากเหมือนที่โยมพวงเห็น เด็กคนนี้ไม่เคยมาที่วัดเลยบอกว่า “โยมน้อยนั่งเกวียนไปสวยมาก แพรวพราวเป็นระยับ มีเทวดา นางฟ้า มีพรหมล้อมรอบ” และได้บอกว่าจำได้แต่เสียงเพราะท่านสวยเหลือเกิน มีชฎาใส่ ทั้งตัวแพรวพราวไปหมด คนในขบวนที่มาก็มีสภาพเดียวกัน สวยพรรณนาไม่ไหว

เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ อาตมาไปพบโยมน้อย แก้วแดง กับคุณตานา ท่านแต่งตัวสวย ทั้งสองท่านมีความสุขไปนานแล้ว ท่านโยมน้อย แก้วแดง เป็นความหวังพระนิพพานในบรรดานักปฏิบัติชุดแรกที่อาตมาสอนพระกรรมฐาน ส่วนคุณตานา นั้นก่อนตายบูชาพระเจริญพระกรรมฐานเป็นปกติ เมื่อป่วยมากได้นิมนต์พระมาสวดพระปริตร หรือที่ชาวบ้านเรียกว่าต่อนาม เมื่อพระเริ่มสวดกราบพระเสร็จ กำลังฟังพระสวดก็ตายเวลานั้น..”

เรื่องที่ ๑๘ ท่านจ่าพัว ชระเอม ตายแล้วไปอยู่บนแดนพระนิพพาน

“..ท่านโยมพัวที่เราจะไปเผาพรุ่งนี้ เราเผาแต่ซากเท่านั้น ตัวจ่าพัวเราเผาไม่ได้ เพราะร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา ร่างกายของจ่าพัวไม่ใช่เราไม่ใช่ของเรา ความจริงโยมพัวท่านไม่เคยเจริญฌานสมาบัติ ท่านจดหมายมาเสมอว่า วิตกเหลือเกินเกรงว่าตายแล้วจะตกนรก ไอ้คนกลัวตกนรกมันตกไม่ได้ เพราะจดหมายทุกฉบับปรารภเรื่องนี้เป็นสำคัญ อาตมาเองก็ไม่ทราบว่าท่านทำอะไรไว้บ้าง เมื่อกี้ท่านมานั่งคุยให้ฟังว่า สมัยที่เป็นตำรวจเอาหนักเหมือนกัน เพราะเป็นมือปราบคนหนึ่ง และมีอีกข้อหนึ่งคือว่าภาษาของโบราณ รถไฟ เรือเมล์ ยี่เก ตำรวจ นอกจากปราบแล้วยังเจ้าชู้อีกด้วย ท่าทางตอนหนุ่มๆ ท่านคงเป็นคนรูปหล่อและกรุ้มกริ่ม เรื่องเจ้าชู้นี่ท่านคุยให้ฟัง เมื่อผมมีชีวิตอยู่อยากจะคุยให้อาตมาฟังมันก็ไม่ถนัด ผมวิตกเรื่องนี้มันหนัก และสมัยปราบปรามครั้งใหญ่ โจรดังบ้าง บางทีก็จับมาได้ ๔-๕ คนยิงตายเลย ปราบจริงๆ และแถมเจ้าชู้จริงๆ เสียด้วย เป็นกรรมหนักที่ท่านหนักใจ แต่ว่าก็อาศัยจิตของท่านน้อมในกุศลนับตั้งแต่ปี ๒๕๑๕ เป็นต้นมาที่มาพบอาตมา อย่าง “หนังสือประวัติหลวงพ่อปาน” โยมพัวให้เงินค่าพิมพ์เป็นคนแรก และเคยเขียนจดหมายมาบอกว่า “ท่านเป็นคนตาเหล่ ไม่เหล่ก็ตาบอด เพราะเวลานี้ไม่เห็นที่อยู่ของท่านเวลาตายไปแล้ว” อาตมาก็เป็นแต่เพียงแนะนำบอกว่า “ทำใจให้เป็นสุข ให้มีความมั่นใจ” ท่านก็มีความมั่นใจพร้อมๆ กับความสะเทือนใจเพราะเกรงว่าไอ้บาปตัวนี้มันจะเข้ามายุ่ง

ตอนบั้นปลายชีวิตของท่านทำทุกอย่างเพื่อหนีบาปตัวนี้ ตอนนี้ตัวจาคะก็เกิดตัดใหญ่ ถวายเงินมาที่วัดนี้แสนกว่า ที่วัดอื่นอีก ลูกท่านก็ดีไม่มีใครขัดคอ พ่อจะทำอะไรก็ทำตามชอบใจ เข้าใจว่าท่านคงจัดทรัพย์สินต่างๆ ให้ลูกหมดแล้ว ตามส่วนสิทธิที่เขาจะพึงได้ ท่านก็ทำทุกอย่างในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจตัดกายได้ มาในขั้นสุดท้ายท่านป่วยหนัก อาตมาไปเยี่ยมโยมพัว ไปครั้งแรกไปนั่งอยู่ตอนบวงสรวง พระท่านมาเตือนว่า “จะมากักเขาไว้ดาวดึงส์ได้อย่างไร ในเมื่ออารมณ์เขาจะเข้าถึงได้” ก็เลยบอกให้ท่านภาวนาว่า “นิพพานัง” จับพระนิพพานเป็นอารมณ์ พอไปเยี่ยมครั้งที่สอง ท่านบอกขึ้นไปได้แล้ว ตอนนี้ตู้โต๊ะในบ้านไม่เอาไว้แล้วส่งเข้าวัดหมด

จาคะตัวเดียวเป็นตัวสำคัญ ในเมื่อตัดทรัพย์สินได้ ก็ตัดอารมณ์ใจตัดกายได้ มาถึงขั้นสุดท้ายตอนป่วยหนักและตายไป เมื่อตายแล้วท่านมาเล่าให้อาตมาฟังว่า ตอนป่วยมากใกล้จะตายก็ไม่นึกว่าตัวเองจะไปไหนได้หรอก ก็นั่งฟังเทปนอนฟังเทป ฟังไปฟังมา อารมณ์ใจค่อยละเอียดไปทีละน้อยๆ เพราะความมั่นใจยังไม่มี จนกระทั่งเวลาใกล้จะสิ้นชีพ อารมณ์ใจรวบรวมหนักเพราะทุกขเวทนามันบีบหนัก จนกระทั่งมีอารมณ์จิตเป็นสุข พอจิตเป็นสุขก็เห็นพระ พระองค์แรกที่โยมพัวเห็นคืออาตมา

ต่อมาพระพุทธเจ้าท่านเสด็จมา แนะนำบอกว่า “องค์นี้เป็นพระพุทธเจ้า” เมื่อเห็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีรัศมีกายผ่องใส สวยสดงดงามมาก จิตที่เกาะอะไรทั้งหมดก็ตัดหมดทันที ท่านโยมพัวก็เข้าไปกอดพระบาทพระองค์แน่นเลย พระพุทธเจ้าตรัสว่า “ไปพระนิพพานกับพ่อไหมลูก” ท่านตอบว่า “ไปครับ แต่ผมกลัวไปไม่ได้” พระองค์ทรงชี้ให้ดูร่างกายของโยมพัวในเมืองมนุษย์และตรัสว่า “เป็นทุกข์ไหม” ท่านตอบว่า “ทุกข์ครับ” ตรัสต่อไปว่า “ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่อีกเหรอ” ท่านตอบว่า “ไม่รักครับ” พระองค์จึงตรัสว่า “งั้นก็ไปพระนิพพานกับพ่อ” เพียงเท่านี้เอง ท่านก็ทิ้งร่างกายเนื้อตามพระพุทธเจ้าไปอยู่บนแดนพระนิพพานทันที เพราะจิตท่านเกาะเฉพาะพระพุทธเจ้าอย่างเดียว จึงไม่เกาะร่างกาย

ท่านบอกอาตมาว่า เมื่อเห็นร่างกายหยุดทำงานแล้ว ก็มองดูร่างกายเห็นว่าน่าเกลียดขนาดนี้หรือนี่ อันนี้เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ท่านมีความสุขที่สุด คิดไม่ถึงว่าในชีวิตความสุขใหญ่ขนาดนี้จะมีกับผม คิดแต่เพียงว่าถ้าอยู่ดาวดึงส์ก็บุญตัวแล้ว ท่านขอบคุณอาตมาที่ช่วยท่าน

เป็นอันว่า เราได้บุคคลตัวอย่างคือ ท่านโยมพัว ชระเอม ก่อนตายท่านมีอารมณ์โปร่ง ท่านเกาะพระ จุดนี้เป็นจุดสำคัญที่สุด อาตมา “นึกว่าจะไปบังสุกุลท่าน” แต่ท่านโยมพัวบอกว่า เล่นแต่ซากไปเถอะ ตัวผมนี่ไม่ได้แล้ว...”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ก.ค. 2011, 17:07 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๑๙ หลวงพ่อเขียนไว้อาลัยในงานพระราชทานเพลิงศพคุณเฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยาเรื่องอ๋อย


“..เรื่องนี้ ที่ให้ชื่อว่าเรื่องอ๋อยก็เพราะว่าคุณอ๋อย หรือว่า เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ไม่มีใครเรียกว่าเฉิดศรี ทุกๆ คนเรียกว่าอ๋อย เด็กก็อ๋อย ผู้ใหญ่ก็อ๋อย เพื่อนกันก็อ๋อย แถมอาตมาเองก็อ๋อยเหมือนกัน ไม่เคยเรียกคุณอ๋อยว่าคุณเฉิดศรี คราวหนึ่งย่องไปเขียนจดหมาย จ่าหน้าซอง จะใช้คำว่าเฉิดศรี กลับเผลอเอาตัว บ ใส่ลงไปให้ กลายเป็นเฉิบศรีไป เป็นเหตุให้เด็กๆ ล้อเลียนกันว่า คุณเฉิบศรี

ความจริงการที่จะเขียนเรื่องของคุณอ๋อย ให้นามว่า “อ๋อย” นี้ท่าน พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารผู้เป็นสามีได้ปรารภกับอาตมาวันที่ไปเผาคุณอ๋อยว่า หนังสืออนุสรณ์ในงานศพคุณอ๋อยยังไม่ได้จัดพิมพ์ เพราะยังไม่ได้เขียน อยากจะเขียนสำหรับแจกจ่ายโดยให้บัตรไว้ก่อน บอกว่าหลังจากวันเผาไปแล้ว ๓ เดือนจะมีหนังสือแจกให้ผู้มีบัตรมีสิทธิ์มารับหนังสือได้ อยากจะให้อาตมาเขียนสักเรื่องหนึ่ง อาตมาก็ไม่มีเวลาอยู่ หลังจากกลับมาจากงานคุณอ๋อยแล้ว ก็เดินทางไปจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไปแจกของกับคนจนที่อยู่ในแดนทุรกันดาร แต่ว่าการแจกแบบป่าวประกาศ ท่านทั้งหลายจะถือเอาแก่นกันจริงๆน่ะไม่ได้ มันก็มีทั้งเปลือกบ้าง แก่นบ้าง กระพี้บ้าง ไปตามเรื่องตามราว ทั้งนี้เพราะอะไร? เพราะทราบว่าเจ้าหน้าที่แจ้งว่า ส่งข่าวไปกระชั้นเกินไป อาตมาเองก็เป็นคนใหม่ สำหรับจังหวัดแม่ฮ่องสอน ไม่เคยไปเลยในชีวิต มันก็เป็นเรื่องที่แปลกที่สุด ทุกจังหวัดไปได้ แต่ว่าจังหวัดแม่ฮ่องสอนไม่เคยไปก็เป็นที่น่าเสียดายว่า ถ้าอ๋อยยังมีชีวิตอยู่จังหวัดนี้อ๋อยก็มีโอกาสจะไปด้วย แต่ว่าในชีวิตของเธอ เธอจะได้เคยไปบ้างหรือเปล่า อาตมาไม่ทราบ เพราะพ่อของเธอเคยเป็นนายอำเภอ แล้วต่อมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด อาจจะเคยมีโอกาสไปจังหวัดแม่ฮ่องสอนมาก่อนก็ได้

เวลากลับมาวันที่ ๑ ถึงวัดก็ลุกไม่ขึ้น จังหวัดแม่ฮ่องสอนนี่มันสอนให้อาตมารู้จักจริงๆ สิ่งที่น่ารู้จักนั่นก็คือความหนาว มันหนาวเย็นจับใจจริงๆ คนที่เคยนอนอยู่ในห้อง ในตู้น้ำแข็งบ่อยๆ ถ้าไปที่จังหวัดแม่ฮ่องสอนในฤดูหนาว ไม่ต้องเอาตู้น้ำแข็งไปด้วย ระวังมันจะเย็นจนเราแข็งก็แล้วกัน ความเย็นของจังหวัดแม่ฮ่องสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเขตออบหลวง หรือจังหวัดอะไรก็ไม่ทราบ ออบหลวงนี่บ้านของท่าน พลอากาศเอกทวี จุลละทรัพย์ ท่านเป็นผู้นำในการไปแจกของ เพราะอาตมาไม่เคยรู้จักจังหวัดแม่ฮ่องสอน แต่ท่านเคยเป็นผู้แทน ท่านก็รับอุปการะดี ให้บ้านพัก เป็นผู้นำทาง ให้คำแนะนำทุกอย่างในเรื่องของจังหวัดแม่ฮ่องสอน และได้ความอุปการะจาก พ.อ.(พิเศษ) ชวาล จัดการในระหว่างการเดินทาง และเลี้ยงอาหารในขณะที่ไปจังหวัดเชียงใหม่ ไปพักที่จังหวัดเชียงใหม่คืนแรกเมื่อวันที่ ๒๗ ตอนเย็น ภรรยาของท่านพ.อ.ชวาล เอาอาหารมาเลี้ยงคนทั้งหมด ที่มีจำนวนหลายสิบคน แล้วตอนเช้าก็เลี้ยงอีก เพราะคนไปทั้งหมดจริงๆ แยกกันเป็น ๒ ขบวน จำนวนทั้งหมด ๑๓๖ คน ถ้าท่านผู้อ่านอยากจะถามว่ายกขบวนกันไปทำไม ก็ขอตอบว่า ต้องการจะให้คนทั้งหลายทราบว่าของที่ทำบุญมากับอาตมาเพื่อแจกจ่ายคนจนนั้น อาตมาไม่ได้เอาไปขายเพื่อซื้อกางเกง เป็นแต่เพียงเอาไปแจกเท่านั้นให้เขาเห็น คนจำนวนมากที่ไปนี้ ไม่ได้เปลืองเงินอาตมาเลย ไม่หนักทั้งแรง ไม่หนักทั้งเงิน เพราะแต่ละคนเขาช่วยการเดินทางกันทั้งหมด

การเดินทางคราวนี้อาตมาต้องจ่ายเองไปสามหมื่นสามพันบาทเศษ ต้องเช่ารถบัส ๒ คัน สองหมื่นแปดพันบาท นอกนั้นก็ค่าอาหารการบริโภคและอื่นๆ จุกๆ จิกๆ รวมทั้งหมดแล้วสามหมื่นสามพันบาทเศษ แต่ท่านทั้งหลายช่วยกันมาจริงๆ สามหมื่นสองพันบาทเศษนิดหนึ่ง อาตมาคงจ่ายไปจริงๆ ประมาณพันบาท จะถึงหรือไม่ถึงก็ไม่ทราบ แล้วทุกคนก็ดีแสนดี

เห็นทุกคนเขาดีมีการคล่องตัวก็นึกถึงอ๋อย มีคนบางคนเขาให้สมญาคณะที่ไปนี้ว่าคณะกองทัพลิง ทำงานว่องไวคล้ายลิงทำจริงๆ บอกว่าเวลานี้จะเคลื่อนที่ละนะ ของมีเท่าไรขนให้หมด แหม.. ของนี่มากจริงๆ อาตมานั่งมองแล้ว คิดว่าครึ่งชั่วโมงนี่แกจะขนหมดหรือไม่หมด แต่ทั้งผู้หญิงผู้ชายสาวแก่แม่ม่ายไม่รู้ วิ่งขนกันพึ่บพั่บๆ ไม่ถึง ๑๐ นาทีเรียบร้อย อาตมาเห็นก็ตกใจ แต่ว่าคนทั้งหลายที่จะรวดเร็วได้อย่างนี้ก็คิดถึงอ๋อย เพราะอ๋อยเป็นกำลังใหญ่ในการก่อสร้างศรัทธากับบรรดาประชาชน เนื้อแท้นั้นคนเราเกิดมาจะให้เป็นที่นิยมของคนทุกคนมันก็แสนยาก ทั้งนี้เพราะอะไร ก็เพราะว่าต่างคนต่างก็มีความพอใจไปคนละอย่าง บางคนชอบขู่ บางคนก็ชอบปลอบ คนไหนชอบปลอบ ถ้าไปขู่เข้าก็ลาน คนที่ชอบขู่พูดจานุ่มนวลเกินไปก็ชักจะขึ้นหน้าขึ้นตา ใช่ไม่ได้

ฉะนั้น คุณอ๋อยจึงไม่ชนะใจคนทุกคนได้ จะหาคนชมอย่างเดียวโดยไม่มีใครติก็ถือว่าไม่ได้เกิด แต่เกิดมาแล้วไม่มีใครชมเลยก็ถือว่าไม่ได้เกิดเหมือนกัน เพราะว่าคำติและคำชมเป็นธรรมดาของโลก ฉะนั้น คุณอ๋อย เมื่อสมัยมีชีวิตอยู่จึงมีทั้งคนติและคนชม เมื่อคุณอ๋อยตายไปแล้ว ท่านเจ้าภาพ คือ พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ เจ้ากรมการสื่อสารทหารผู้สามีและบรรดาลูกหลานและญาติทั้งหมดและเพื่อนที่จัดงานคราวนี้ก็ต้องมีทั้งคนชมและคนติ อาตมาเข้าไปในงานศพก็มีทั้งชมและติเหมือนกัน ให้ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา

โดยเฉพาะอย่างยิ่งก็มีท่านชายสองคนมานั่งอยู่ข้างหน้า ความจริงคนเขาไปเขามาก็ทักกันอยู่ไม่ขาดสาย ก็ต้องหันไปทักคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง คนละคำครึ่งคำ บางคนก็ไม่ได้ทักเลย แล้วก็มีคน ๒ คนไปนั่งหน้าๆ ไม่ทราบว่านั่งทำไม ถามว่ามีธุระอะไรเธอก็ยิ้ม อาตมาก็ไม่มีเวลาทักเธออีก เพราะว่าคนไปก็นั่งไหว้ คนมาก็นั่งไหว้ ทักคนนั้นบ้างคนนี้บ้าง ปรากฏว่าเธอลุกออกมาแล้ว มีคนมาแจ้งข่าวว่าเธอแสดงความไม่พอใจมาก ก็ต้องขอขอบคุณท่านที่ท่านไม่พอใจ ทำไมจึงขอบคุณ ก็เพราะว่าวันนั้น ถ้ามีคนไหว้จริงๆ มีแต่คนยิ้มแย้มแจ่มใส โลกธรรมที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสก็ผิด มันต้องมีคนติบ้างถึงจะถูก แต่คนติอาจจะไม่เพียงคนสองคน อาจจะหลายคนก็ได้ นั่นถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เป็นอันว่าการเกิดมาในโลก ท่านทั้งหลาย เราไม่พ้นจากการติและการชม ทำยังไงเราจึงจะพ้นความจริง เรื่องพ้นจากการติและการชมเป็นของไม่ยาก ให้ใช้คาถาภาวนาไว้บทหนึ่งว่า “ช่างมัน” ช่างมันๆ ว่าไว้เรื่อยๆ ใครมาชมก็ยิ้ม ใครมาติก็ยิ้ม ยิ้มดะ เขาพูดด้วยก็ยิ้ม เขาไม่พูดด้วยก็ยิ้ม เอ๊ะ ตอนนี้ท่าจะไม่ดี ตอนไม่พูดด้วยแล้วยิ้มนี่ ดีไม่ดีพวกจะจับส่งโรงพยาบาลบ้า ก็ถ้าเรายิ้มทางปากไม่ดี เราก็ยิ้มในใจว่า เออ นี่รู้จักกันดีๆ วันนี้เจอะหน้ากันเขาไม่ยักพูดกับเรา เราก็ยิ้ม ยิ้มเพราะอะไรยิ้มเพราะว่าวันนี้สบาย ไม่ต้องเหนื่อยด้วยการพูด ถ้าเขามาพูดจาปราศรัยด้วยเราก็ยิ้ม ใจบอกว่า เออ วันนี้ดี ได้พูดถ้าใครเขานินทาว่าร้ายว่าเราไม่ดียังงั้นไม่ดียังงี้ เราก็ยิ้ม ยิ้มเพราะว่าโลกธรรมตามคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านี่เป็นความจริง เป็นสัจจธรรม

ท่านบอกว่า นินทาปสังสา เป็นโลกธรรม ธรรมดาของชาวโลก ถ้าใครเขาสรรเสริญเราก็ยิ้ม ยิ้มทำไม ยิ้มเพราะว่าคนสรรเสริญนี่ ถ้าสรรเสริญด้วยเจตนาดีก็ดีไป แต่ดีไม่ดีอาจจะสรรเสริญเอาเราไปใช้เป็นทาสเสียก็ได้ เราก็ยิ้มอีก ถ้าเราถูกเขาใช้ด้วยความไม่จำเป็น คือสิ่งที่เขาใช้ไม่มีความจำเป็นสำหรับเราเลย แต่ว่าเป็นความจำเป็นสำหรับเขา ประโยชน์อะไรที่เราจะได้รับจากการใช้ของเขานั้นไม่มี เราก็ยิ้ม ทำไมจึงยิ้ม ยิ้มเพราะว่าเรามีโอกาสช่วยเขา เขามีโอกาสได้ใช้เรา เรามีโอกาสได้ทำงานให้แก่เขา เป็นสาธารณประโยชน์ ถ้าอยู่ดีๆ ใครเขาโกงสตางค์ไป เราก็ยิ้ม ทำไมจึงยิ้ม การที่ยิ้มก็เพราะนึกถึงพระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า อทินนาทานาเวรมณี ว่าในโลกนี้มันมีขโมยมาก ถ้าเราไม่ถูกลัก ถูกโกง ถูกขโมยเลยพระพุทธเจ้าก็พูดผิด

เป็นอันว่าการที่ประกาศตนเป็นสาวกขององค์สมเด็จพระสามิสรนี่ถูกแล้ว ที่สมเด็จพระประทีปแก้วท่านบอกว่าโลกนี่มันมีขโมย โลกมันมีคนคดโกง ถ้าเราไม่ถูกโกงเสียบ้าง เราไม่แน่ใจว่าขโมยมันจะมีหรือไม่มี เป็นแต่เพียงข่าวลือว่าเขาปล้นกันที่นั่นขโมยกันที่นี่ เราไม่ถูกเลยมันก็ไม่แน่ใจ แล้วก็ไม่มีความรู้สึกว่าคนที่ถูกโกง ถูกขโมยเขามีความรู้สึกเป็นยังไง เป็นการศึกษาไปในตัวเสร็จ เมื่อได้รับการศึกษาแล้วเราก็ยิ้ม ว่าโลกนี้มีขโมยหนอ ถ้าเราถูกโกหกมดเท็จให้จับได้ เราก็ยิ้ม ยิ้มเพราะคำโกหกมดเท็จนั้นไม่มีประโยชน์อะไรสำหรับเราและสำหรับเขา ถ้าเราไม่เชื่อเสียอย่างเดียว โกหกจะมีประโยชน์อะไร ถ้าเราเชื่อมันก็เป็นผลร้ายสำหรับเรา เราไปเชื่อเขาทำไม ไปโทษเขาทำไม มันไม่ถูก เราไม่เชื่อเขาเสียมันก็หมดเรื่อง

เป็นอันว่า เรื่องของธรรมดาของโลก ถ้าเราจะเห็นว่าโกหกเป็นของดี การลักการขโมยเป็นของดี การนินทาว่าร้ายเป็นของดีนี่เป็นปัจจัยให้เรายิ้มได้ก็เพราะเรามีความรู้สึกอยู่ว่าของอย่างนี้มันเป็นธรรมดาของโลก ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าเป็นธรรมดา ใจเราก็ยอมรับนับถือว่า มันเป็นธรรมดาจริงๆ โลกทั้งโลกไปที่ไหนก็ไปเถอะ ที่จะเว้นจากการเบียดเบียนทางกายซึ่งกันและกันนั้นไม่มี ที่จะเว้นจากการเบียดเบียนกันในทรัพย์สินนั้นไม่มี จะเว้นจากการละเมิดความรักกันนั้นไม่มี จะเว้นจากการเบียดเบียนกันด้วยวาจานั้นไม่มี คนทั้งโลกที่ไม่เมาไม่มี บางคนก็เมาเหล้า บางคนก็เมารัก บางคนก็เมายศ บางคนก็เมาความร่ำรวย บางคนก็เมาจน เมารวยนี่ดี เมารักก็ดี เมาเหล้าก็ดี แต่เมาจนนี่แย่หน่อย ถ้าคนจนจริงๆเขาไม่เมา เขารู้จักว่าจนนี่มันเป็นทุกข์ แต่ว่าคนรวยแล้วนึกว่าจนนี่ยุ่ง เขาเรียกว่าเมาจน มีเงินสักร้อยล้าน พันล้าน หมื่นล้าน แสนล้านก็ไม่พอ นี่เขาเรียกว่าเมาจน ไม่ได้เมารวย มีความรู้สึกอยู่เสมอว่ามีเงินสักเท่าไรก็ไม่พอ มันยังจนอยู่เสมอ อันนี้เป็นปัจจัยให้มีความทุกข์

ทีนี้ถ้าเราคิดว่าจะไม่เมาเลย ทำยังไงมันก็เป็นของไม่ยาก จะยกตัวอย่างให้ดูสัก ๒ คน นั่นก็คืออ๋อยและพระองค์หญิงวิภาวดี ๒ คน นี่ลืมเมาโลก เป็นยังไง? ความจริงตอนก่อนทั้งสองท่านนี้อาจจะเมาทั้งโลก จะเมาโลกมากกว่าเมาธรรม แต่ว่าตอนท้ายปลายมือของทั้งสองนี่มีคติคล้ายคลึงกัน คือขี้เกียจเมาโลก แต่ไปหวานธรรมธรรมะนี่เขาไม่เรียกเมา เขาเรียกหวาน หวานตรงไหน สำหรับ พระองค์หญิงวิภาวดี รังสิต เจริญพระกรรมฐานมาประมาณ ๘ เดือน แต่ท่านจะเริ่มทำมาก่อนหน้านี้หรือเปล่าอาตมาไม่ทราบ ดูจริยาที่ท่านทรงมีความเมตตาปรานี สงเคราะห์คนที่อยู่ในถิ่นกันดาร เงินส่วนกลางไม่มีก็สละทรัพย์ส่วนพระองค์ไปแจกจ่ายช่วยโรงเรียน ช่วยการประกอบอาชีพ ช่วยอะไร

ทุกอย่าง อาตมาเคยร่วมทางกับท่าน ท่านลืมเมาชีวิต ลืมเมาศักดิ์ศรี เวลาไปกับท่าน คำว่าหม่อมเจ้าไม่มีสำหรับท่าน ท่านนั่งตีเข่ากับชาวบ้านได้ทุกคน เป็นกันเองทุกอย่าง เวลาจะบริโภคอะไรต้องดูก่อนว่าอะไรที่ท่านมี คนอื่นมีไหม ถ้าไม่มีท่านแจกทันที ของอะไรก็ตามที่ขึ้นชื่อว่าดีจะไม่ทรงครองแต่ผู้เดียว องค์ท่านเองไม่มีไม่เป็นไร ขอให้คนอื่นมีก็แล้วกัน คนยากจนเข็ญใจจะแต่งตัวปุปะมาประการใดก็ตาม ไม่ทรงมีความรู้สึกรังเกียจ เข้าคลุกคลีจับมือไม้ได้ทันที แล้วพระอารมณ์ของพระองค์หญิงตอนท้ายก็ทรงเปล่งพระวาจาอยู่เสมอ ว่าชีวิตไม่มีความหมาย ทรัพย์สินในวังวิทยุไม่มีความหมาย เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน ท่านตรัสเรื่องพระนิพพานเป็นปกติจนมีอารมณ์ชิน ในเวลาท่านสิ้นชีพิตักษัย ในเวลานั้นก็ทรงเปล่งคำว่า นิพพานๆ ๆ แล้วทรงแย้มพระโอษฐ์ แล้วลมหายใจก็หมดไป เป็นอันว่าพระองค์หญิงวิภาวดีเป็นคนหวานธรรมไม่เมาโลก
เรา..คือ..จิต

สำหรับ คุณอ๋อย นี่ก็เหมือนกัน ถ้าเมาโลกละก็บ้าไปนานแล้ว ก่อนจะตายนี่บ้าไปหลายปี เพราะอะไร เพราะว่าวาจาที่เข้ามากระทบโสตประสาทนี้ก็ดี จดหมายก็ดี แม้อาตมาเองก็ได้รับจดหมายในนามของคุณอ๋อย สวดไม่ใช่อย่างพระสวด สวดอย่างชาวบ้านสวด สวดกันอย่างหนัก อาตมาอ่านจดหมายแล้วก็ยิ้ม อ๋อยได้รับอ่านจดหมายอ๋อยก็ยิ้มเหมือนกัน ไม่ทราบว่าไปเรียนมาจากไหน ยิ้มทำไม? เธอถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา รู้จักคนว่าคนที่เขาด่าเรามันถูกเราหรือเปล่ามันไม่ถูก ด่าเรานี่เขาด่าเนื้อด่าหนัง ไอ้ “เรา” น่ะคือใจ เหมือนกับคนสวมเกราะลงไปแล้ว คนเอาไม้มาตีมันไม่ถูกตัว มันถูกเกราะ คำด่าก็เหมือนกัน “เรา” คือจิต เขาด่าเราไม่ถูกจิต ถูกแต่ที่กาย ความจริงเขาด่ากายเขาไม่ได้ด่าใจ เขาไม่ได้มองเห็นเนื้อแท้ของใจ นี่ถ้าคนเราเกิดมาไม่ถูกด่าเสียเลย เราก็เอาดีไม่ได้ ไม่มีการระมัดระวังตัว การด่ามันดีหรือไม่ดีเราไม่รู้ ถ้าเราไม่ถูกด่า เราก็อยากด่าชาวบ้าน คิดว่ามันโก้มันเก๋ดี ถ้าถูกด่าเข้าสักทีแล้วยั้งใจไม่อยู่มันก็จะเกิดโทสะ โทสะมันเกิดขึ้นมามันก็กลุ้ม ทำให้กินไม่ได้นอนไม่หลับ ไม่มีอะไรเป็นประโยชน์ แต่เราถูกด่าแล้วยิ้มได้นี่มันเป็นประโยชน์ ฉะนั้น คนที่ถูกด่าบ่อยๆ อารมณ์จิตจะชิน ชินกับการถูกด่า หรือถ้าถูกตีบ่อยๆ หนังมันก็ด้าน

เมื่อศึกษาธรรมะจิตใจก็รู้เท่าทันสภาวการณ์ เราก็ยิ้มให้กับคนด่าได้ ถ้าเขาด่ามาเมื่อไร เราว่าโอ้ เอาแล้วซิ มาเจอะลูกน้องอดีตหลวงวิเชียรเข้าแล้ว หลวงวิเชียร สมัยนั้นท่านอยู่ปากคลองสาน โรงพยาบาลคนบ้า ถ้าเราไปสำนักคนบ้า เราจะได้ยินเสียงด่ากันทุกวัน ไอ้การด่ากัน การว่ากัน การทะเลาะกันนี่มันเป็นปกติของคนบ้า ถ้าใครเขามาด่าเรา เขามาว่าเรา เราก็ยิ้มได้ บอกว่าโอหนอ แล้วเราจะไปลงโทษคนบ้าที่มาด่าเราด้วยเรื่องอะไร เราก็ยิ้มได้ว่า โอ..คนนี้บ้ามากกว่าเรานะ เราก็ว่าบ้ามากอยู่แล้ว นี่เขาบ้ามากกว่าเรา เราบ้าลดน้อยกว่าเขา ยิ้มได้อีก ถ้าหากว่ามันลดไปได้เมื่อไรเราก็ยิ้ม ลดไปนิดหนึ่งก็ยิ้ม ลดไปอีกหน่อยเราก็ยิ้ม ยิ้มเพราะลดตัวเองจากความบ้าลงได้

แล้วก็ในขั้นสุดท้าย อ๋อยทำยังไง โรคอย่างนี้ท่าน พระครูหลวงน้ามหาอำพัน บอกว่า ท่านประสบของจริงมา ๒ ท่าน ท่านที่ ๑ คือท่านเจ้าคุณ นร. คนที่ ๒ ก็คือคุณอ๋อย อ๋อยก็ดี ท่านเจ้าคุณ นร.ก็ดี ท่านบอกว่าโรคนี้มันปวด สองท่านนี้ไม่เคยบ่นไม่เคยครางเรื่องนี้เป็นความจริง มีวันหนึ่งอาตมาไปพักอยู่ที่บ้านอ๋อย ทุกวันอยากจะเยี่ยมอ๋อย แต่พอไปถึงญาติโยมทั้งหลายมาหาจนหาเวลาว่างไม่ได้ ปลีกตัวไปเยี่ยมไม่ได้ หมดเวลาตอนเย็นขึ้นไปพักหน่อยหนึ่ง ถึงเวลาทุ่มครึ่งก็ลงไป บางทีไม่ทันหายเหนื่อย ใจยังริกๆ เพราะความเหนื่อย แต่ญาติโยมพุทธบริษัทมีมาจำนวนมากก็ลง เวลาที่จะเยี่ยมอ๋อยได้ก็ตอนเช้า พอเช้าจริงๆ มีแขกมาตัดตอน วันนั้นก็ไม่ได้เยี่ยมอ๋อยทั้งวัน มีวันหนึ่ง หนุ่ยมาบอกว่าแม่วันนี้ท่าทางไม่ค่อยดีกระสับกระส่ายมาก เมื่อคืนนอนไม่หลับ อิดโรยมาก อาตมาจึงถือโอกาสว่า วันนี้ใครจะมาก็ช่าง ต้องขึ้นไปเยี่ยมอ๋อยให้ได้ อยู่แค่นี้ไปเยี่ยมอ๋อยไม่ได้

พอขึ้นไปแล้วดูท่าทางเธออิดโรยจริงๆ พอเห็นหน้า เธอก็ยิ้ม ยิ้มแล้วทำท่าจะลุก อาการเพลียดูจะหายไป ทั้งนี้เพราะอาศัยธรรมปีติเป็นสำคัญ คำว่า ธรรมปีติ นี่ก็หมายถึงความปลื้มใจ ความเต็มใจ ความอิ่มใจ ทำให้ทุกขเวทนามันหาย ทำท่าจะลุกก็เลยบอกว่าอ๋อยไม่ต้องลุก คุยกันตรงนี้ดีกว่า เธอก็คุย การคุยเธอก็ปรารภเรื่องพระนิพพานเป็นสำคัญ นิพพานอยู่ที่ไหนไม่จำเป็น ไม่ต้องสนใจ สนใจอย่างเดียวว่าเราจะไปนิพพานก็แล้วกัน ไปได้ไม่ได้เราก็ตั้งใจไปนิพพาน ถ้าตั้งใจไปนิพพานจริงๆ ก็ตั้งใจไปนิพพานไว้ ทรงพรหมวิหาร ๔ ให้ครบถ้วน ให้อภัยแก่คนทำผิด เราทำดี เขาด่ายิ้ม เราทำชั่ว เขาด่าเราก็ยิ้ม ทำดีเขาด่าเราก็ยิ้มน่ะ ยิ้มทำไม ยิ้มก็เพราะว่าคนนั้นเขาตาบอด เราทำดีเขาหาว่าชั่ว แสดงว่าเขาชั่วมากกว่าเรา

อย่างที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสกับพราหมณ์ พราหมณ์โมโหโทโสพระพุทธเจ้าในฐานะที่คนรับใช้ของเขาไปมีความเคารพในพระพุทธเจ้ามากกว่าเขา เพราะเขาเป็นคณาจารย์ จึงไปด่าองค์สมเด็จพระพิชิตมาร ที่ประทับในพระวิหารไปยืนด่าอย่างคนพาลด่า พระพุทธเจ้าก็นั่งยิ้ม พอด่าไปเหนื่อยแล้วก็เลิก ชี้หน้าพระพุทธเจ้า บอกว่า “พระสมณโคดม ท่านแพ้ฉันแล้ว ฉันด่าท่าน ท่านไม่ด่าตอบนี่ท่านแพ้” พระพุทธเจ้าก็ทรงแย้มพระโอษฐ์ เห็นไหม ถูกด่าแล้วก็ยังยิ้ม เขาถามว่า “หัวเราะทำไม” ทรงตอบว่า “ทำไมจะไม่ยิ้มล่ะ เธอด่าฉันหาว่าฉันแพ้นี่ ความจริงฉันไม่ได้แพ้เธอนะ เธอนั่นแหละเป็นผู้แพ้” เขาถามว่า “ทำไม” ทรงตอบว่า “คนที่ด่าเราแล้วนั่นนะ ถ้าเราไปด่าตอบก็แสดงว่าเราน่ะเลวกว่าคนที่เขามาด่า การที่เรายับยั้งอดใจได้ เราตัดเสียได้ไม่โกรธในคำด่า ตัดความโกรธได้เด็ดขาด ถือว่าเป็นผู้ชนะ แล้วก็เป็นผู้ชนะชนิดไม่กลับแพ้”

พราหมณ์นั้นฟังก็ตกใจ คิดว่าด่าจะได้ผล กลับไม่ได้ผล กลับหมอบราบคาบแก้วองค์สมเด็จพระทศพลว่าองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสดีแล้ว ตรัสถูกแล้ว มีเหตุมีผลดี คนด่านี่เป็นคนชั่ว ถ้าเขาโกรธเรามา แล้วเราโกรธตอบก็แสดงว่าเราก็เลวมากกว่าเขา
อ๋อยที่ยิ้มไปจะรู้เรื่องนี้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ เพราะไม่เคยแนะนำแต่เธอก็ยิ้มได้ทั้งๆ ที่เขาด่าเขาว่าเขานินทา อดทนยิ้มได้ทั้งๆ ทุกขเวทนามีมาก และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ชีวิตบั้นปลายของเธอ เธอก็มีพระนิพพานเป็นอารมณ์ ฟังเทปเรื่องพระนิพพานเป็นปกติ

เป็นอันว่าอ๋อย เวลานี้ตายจากโลกนี้ไปแล้ว สิ่งที่ตายก็คือขันธ์ ๕ ตามที่พระพุทธเจ้าท่านว่า เตสังวู ปสโม สุโข แปลว่า การเข้าไปสงบกาย นั้นชื่อว่ามีความสุข อ๋อยปล่อยกายไว้แล้ว กายเขาจะทำยังไงอ๋อยไม่เคยบ่น จิตใจของอ๋อยคงจะมีความสุข เพราะเธอปรารภธรรมอยู่ตลอดเวลา ก่อนจะตายก็ฟังเสียงธรรมทุกวันจากเทปบันทึกเสียง คนที่สดับธรรมอยู่อย่างนี้ ดูตัวอย่างท่านงูเหลือมก็ดี ท่านค้างคาวก็ดี เป็นสัตว์เดรัจฉาน ตายแล้วไปเกิดเป็นเทวดา จากเทวดามาเป็นคน ฟังเทศน์ครั้งเดียวเป็นอรหันต์ได้ฉันใด สำหรับอ๋อยเป็นคนมีความพอใจอยู่ในธรรมะ มีความรักพระนิพพานเป็นอารมณ์ มีความเมตตาปรานี รู้จักเกื้อกูลแก่บุคคลทั้งหลายไม่เลือกหน้า ถ้าอ๋อยนี่ต้องตายไปตกนรกอาตมาจะดีใจมาก ดีใจตรงไหน ดีใจเพราะอาตมาเองก็ต้องลงนรกตามอ๋อยเหมือนกัน ถ้าคนรับคำสอนจากอาตมาไป เขาทำใจขนาดนั้นเขาลงนรก ตัวครูตายไปแล้วมันก็ต้องลงนรกตามลูกศิษย์ แล้วอาจจะตกลึกกว่าเพราะว่ามีความรู้มากกว่า

เอาละ ท่านทั้งหลาย ขึ้นชื่อว่าความตายเป็นของธรรมดา เราจะไปยุ่งอะไรกับชีวิต คนทุกคนเกิดเท่าไร ตายเท่านั้น มีคนเขาถามว่า อ๋อยจะตายรู้ล่วงหน้าหรือเปล่า ก็บอกว่าทราบ รู้ล่วงหน้ามานานแล้วว่าอ๋อยต้องตาย ถ้าจะถามว่า ทราบจากฌานอะไร ก็ต้องตอบว่าทราบจากฌานธรรมดา คือที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “คนมีความเกิดเป็นเบื้องต้น มีความแก่ในท่ามกลาง มีความตายในที่สุด มนุษย์และสัตว์เป็นอย่างนี้ เกิดเท่าไรตายทั้งหมด” จะต้องใช้ฌานอะไร.
หมายเหตุ คืนวันที่ ๑๒ มกราคม ๒๕๒๑ เป็นคืนวันที่คุณอ๋อยตายและเป็นวันที่ตั้งศพสวดพระอภิธรรมคืนแรกที่บ้านซอยสายลมนั้น อาตมามาถึงตอนเกือบ ๒ ทุ่ม พอมาถึงใครๆ ก็เข้าไปรุมถาม อาตมาให้คำตอบว่า พระท่านสั่งมาว่าถ้าใครถาม เรื่องนี้ให้ตอบว่า “กายใสเป็นแก้ว จิตเป็นประกายพรึก”

เรื่องที่ ๒๐ หลวงพ่อเขียนไว้อาลัยในงานพระราชทานเพลิงศพคุณจันทนา วีระผล จันทนานุสรณ์


“..เมื่อคืนวันที่ ๘ มิถุนายน ๒๕๓๒ เวลาประมาณ ๒๐.๓๕ นาที กำลังฉันยารักษาโรคเพราะกลับจากสอนกรรมฐานที่ซอยสายลมใหม่ๆ ทุกคราวที่กลับจากซอยสายลม ต้องปรับปรุงร่างกายไม่น้อยกว่าหนึ่งอาทิตย์ ร่างจึงจะทรงตัวได้ ขณะฉันยา ได้ยินเสียงจากโทรศัพท์พรนุชพูดกับมาลินีบุตรสาวเจ๊จันทนา ได้ยินว่าอยากให้อาตมาเขียนคำไว้อาลัย หนังสือจะพิมพ์อยู่แล้ว ฟังแล้วก็เห็นใจ ตั้งใจเขียนเท่าที่ควรจะเขียน เพราะเขียนแล้วต้องส่งข่าวกันทางโทรศัพท์ เขียนมากก็ไม่ได้ เป็นอันว่าเขียนกันตามที่คิดว่าควรเขียน

เจ๊จันทนา วีระผล ที่เขียนว่าเจ๊ ก็เพราะปกติเรียกอย่างนั้น เจ๊จันทนาเป็นคนมีศรัทธาสูงมาก หลายปีมาแล้ว เมื่อรู้จักกันใหม่ๆ จำไม่ได้ว่าใครแนะนำให้รู้จัก เจ๊ทำบุญเป็นปกติเดือนละหลายพันบาท บางเดือนหลายหมื่นบาท ต่อมาไม่นานนัก อาตมาจะสร้างมณฑปเป็นเจดีย์ห้ายอด ประดับกระจกทั้งหลัง ที่บรรดานักบุญทั้งหลายเรียกว่า พระจุฬามุณี เจ๊จันทนาถามว่าค่ากระจกเท่าไร อาตมาก็ตอบไป ได้บอกว่าทำบุญตามที่เห็นสมควรก็แล้วกัน เจ๊ตัดสินใจทำบุญนิดๆ หน่อยๆ เธอพูดอย่างนั้นจริงๆ ขอทำบุญนิดๆ หน่อยๆ หนึ่งแสนบาท อาตมาฟังแล้วตะลึง เพราะไม่เคยรับเงินแสนจากใครมาก่อนเลย ต่อมาเจ๊ก็ทำบุญทุกเดือน มาทราบภายหลังว่า ทำบุญประจำเดือนละ ๗,๐๐๐ บาท ส่วนที่ทำพิเศษเป็นแสนนั้นมีสลับหลายครั้ง

มาตอนหลังใกล้มรณภาพนี้ ทำบุญสร้างวิหาร ๑๐๐ เมตร และพระพุทธชินราชหลายแสนบาท ต่อมาก็ดำริสร้างโคมไฟในวิหาร รวมสร้างทั้งโคมใหญ่และโคมเล็ก ๒๓ โคม และช่วยให้ซื้อโคมไฟได้ถูกลงมาก โคมใหญ่ราคาปกติที่ร้านค้าขายราคาโคมละ ๓ แสนบาท แต่เจ๊ขอร้องทางร้านค้าให้เอาเพียงโคมละหนึ่งแสนแปดหมื่นบาท โดยขนาดย่อมราคาปกติโคมละหนึ่งแสนบาท เจ๊ขอร้องไห้ลดลงมาเหลือโคมละห้าหมื่นบาท ต่อมาเมื่อใกล้มรณะ ขอลดโคมขนาดย่อมได้อีก ๒,๐๐๐ บาท เหลือโคมละ ๔๘,๐๐๐ บาท ทำให้วิหารมีโคมไฟฟ้ามากขึ้น เพราะราคาถูกลง
นอกจากจะมีเจตนาเป็นมหากุศลแล้ว ทุกครั้งที่พบกัน จะต้องปรารภเรื่องไปนิพพานเป็นปกติ เวลานี้เธอมรณะไปแล้ว จะไปนิพพานได้หรือไม่ เป็นเรื่องของความบริสุทธิ์ของใจไม่มีกำลังใจที่จะพยากรณ์ได้
ปติปูชิกา

ในพระธรรมบทมีเรื่องๆ หนึ่งที่น่าสนใจ คือท่านปติปูชิกา ก่อนตายท่านปรารภอยากไปอยู่ในสำนักของสามี ทำบุญคราวไรเป็นอธิษฐานขอให้ไปเกิดในสำนักสามี เมื่อตายแล้วพระพุทธเจ้ายืนยันว่า เธอไปเกิดในสำนักของสามีบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แต่ทว่าเจ๊จันทนาปรารถนานิพพาน สูงมากกว่าท่านปติปูชิกา ความประสงค์ของท่านจะสมหวังหรือไม่เป็นเรื่องของกำลังใจ
ในที่สุดนี้ อาตมาขออวยพรให้คณะผู้จัดงานศพ และท่านที่มาในงานศพทุกท่านจงมี ความสุขสมหวังตามที่ตั้งใจจงทุกประการเถิด
พระสุธรรมยานเถระ

เจ๊จันทนาตาย

เมื่อคืนวานนี้มีคนโทรศัพท์มาว่า “แม่เขาตาย” คนที่ตายคือ คุณจันทนา วีระผล เมียเฒ่าแก่ สุวรรณ วีระผล คือว่าถ้ามาทุกครั้ง แกต้องมาทำบุญตอนเช้ามาถวายสตางค์ มาถวายอาหารเป็นประจำ ทีนี้ลูกสาวเขาโทรศัพท์ไปบอกว่าแม่เขาตาย แต่เขาไม่ได้บอกว่าแม่เขาตาย บอกแม่เขาเสีย ฉันก็นึก เอ คนดีๆ มันจะเสียยังไงหว่า ถามว่าอาการเป็นยังไงมาก่อน เขาบอกว่าไม่มีอาการมาก่อน ก็พอดีตอนพูดอยู่นั่นตัวแกก็ปรากฏ เขาบอก “ฉันไม่ได้ตาย ฉันไปเอง” ถามว่า “อาการโรคที่จะต้องตายมันเป็นโรคอะไร” แกบอกว่า “ต้องเป็นโรคไม่ตรงกับหมอพิสูจน์” หมออาจพิสูจน์ตามตำรา ตามวิชาความรู้ ถ้าไปไหนไม่รอดก็บอกหัวใจวาย คนที่หัวใจไม่วายไม่ตายหรอก ก็เลยถามว่า “ไม่ตายเอง หมายความว่าอย่างไร” แกบอกว่าอย่างนี้ คืนแรกก่อนจะตายแกไปเยี่ยมศพน้องชาย น้องชายตาย เมื่อเห็นศพก็มีความรู้สึกว่า น้องของเราเกิดทีหลังเราเขายังตาย แล้วเราล่ะ ชีวิตของเราก็ต้องตายเหมือนกัน ตายวันนี้ พรุ่งนี้ก็ไม่แน่ ความตายจะมาเมื่อไรก็ได้ มันไม่เลือกนะ แกก็มานั่งนึกถึงตัวแก แกเจ็บตา แกคิดถึงร่างกายแก ร่างกายก็ไม่ดี ไม่ปกติ ถ้ามันจะตายก็เรื่องของความตายมาถึง

ทีนี้ต่อมาขณะเดินจงกรม เดิมไปเดินมา เดินมาเดินไป ลูกสาวบอกขณะเดินจงกรม เด็กเข้าไปมองแกไม่เห็น คือว่าจิตกำลังตั้งอยู่ในอารมณ์ฌาน คือจิตไม่สนใจอะไร จิตไม่ต้องการจะมองใครเวลานั้น จิตตั้งจุดเดียวคือหวังพระนิพพาน คนนี้เจอะหน้าทีไรบอกต้องการนิพพาน เคยไปถามฉันที่วัด แกชี้มือไปข้างบนบอก “ฉันจะขึ้นไปข้างบนได้ไหม” ไอ้กุฏิฉันมัน ๒ ชั้น ถาม “เจ๊จะขึ้นไปทำไมชั้นบน” บอก “ไม่ช่าย จะขึ้นไปบงโน้ง” บนโน้นคือนิพพาน

หลังจากตอนเช้าเดินจงกรมแล้ว ตอนสายก็เอนตัวลงนอนพักผ่อน พอพักผ่อนไปจิตมันเป็นสุขมาก มีปีติมาก อะไรต่ออะไรมันเกิดให้เห็นเยอะเต็มจักรวาลไปหมด สวยสดงดงามบอกไม่ถูก เทวดาบ้าง พรหมบ้าง นางฟ้าบ้าง พระอริยะบ้าง เห็นไปหมดทุกชั้น แกบอกอย่างนั้นนี่คนจะตายบุญมาก สังเกตจะเป็นอย่างนี้ทุกคนนะ คนที่จะตายถ้ามีบุญเข้าสนองจะเป็นแบบนี้ทุกคน เวลานั้นแกบอกว่ามีปีติมาก ก็มีท่านผู้มีเกียรติ ๒ ท่าน คือ ๒ ลุง ท่านพระยายมราชกับท่านนายบัญชี ท่านมา ท่านถามว่า “เอ็งจะอยู่ต่อไปหรือว่าจะตายวันนี้หรือจะไปวันนี้” ท่านก็เปิดบัญชีบอกว่า “ถ้าเอ็งจะอยู่ต่อไปยับยั้งใจไว้แค่นี้นะ อีกนิดหนึ่งไว้ต่อปีที่ ๑๒ เอ็งจะอยู่ต่อไปได้ ๑๒ ปี หากว่าเอ็งจะไปวันนี้ ขยับใจไว้นิดหนึ่งจะถึงจุดนี้”

เจ้าของร่างกายถามว่า “ถ้าฉันอยู่ร่างกายจะเป็นอย่างไร” เวลานี้แกก็เบื่อร่างกายเต็มที เดี๋ยวป่วยๆ คนก็ไม่แก่สาวน้อยแล้ว ๗๐ กว่า คือไม่มีความแก่แล้วมีแต่หง่อม ลุงก็บอกว่า “ร่างกายก็มีสภาพแบบนี้ ดีบ้างไม่ดีบ้าง” แล้วลุงก็บอกว่า “บ้านเอ็งหลังนี้นะ” บอกมันสวยสดงดงาม พอชี้ให้ดูมันใกล้เหลือเกิน บ้านมีเยอะแยะ วิมานก็เยอะแยะ บ้านของแกมันสวย ท่านบอกว่า “ออกจากร่างกายวันนี้ ร่างกายจะเป็นแบบนี้” เห็นเลย แกก็เลยตัดสินใจว่าไปดีกว่า ไปแล้วมีความสุข พอตัดสินใจไปดีกว่า ก็ขยับจิตออกนิดหนึ่ง แค่ ๒ นาทีก็ถึง ถึงแล้วจิตก็ออกจากร่าง จิตออกจากร่างตัวก็นอนเฉย กว่าลูกสาวจะไปเห็นก็ ๕ โมงเย็น เห็นว่าแม่นอนสายเกินไป ก็เข้าไปปลุก ตัวแข็งแล้ว เลยถามว่า “ตอนที่ไปเองหมายความว่าอย่างไร” บอก “ฉันออกไปเอง ไม่ได้ป่วยตาย”ถามว่า “ออกไปแล้วมันเป็นอย่างไรต่อไป” แกบอกว่า “เมื่อจิตออกจากร่างแล้ว ร่างกายค่อยๆ ลดตัวลง ปอดทำงานน้อยลงๆ แล้วก็ดับไปเอง”

เป็นอันว่า ถ้าใครเจ็บไข้ได้ป่วย จิตขยับนิดเดียว ไปถึงจุดนั้นก็ไม่ยาก คือจิตไม่ต้องการทุกอย่าง ไม่ต้องการอะไร ไม่ต้องนึกอะไร ไม่ต้องการร่างกายอย่างเดียว การเกิดไม่ต้องการอีกเท่านั้นแหละ การทำพระกรรมฐาน สิ่งที่ต้องการง่ายๆ ก็คือ
มรณานุสติกรรมฐาน ให้มีความรู้สึกตามความจริงว่า ร่างกายจะต้องตาย นึกไว้เสมอ
ยอมรับนับถือพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระอริยสงฆ์
มีศีล ๕ และกรรมบถ ๑๐ บริสุทธิ์
ก็มีเท่านี้ อันดับแรกของพระนิพพาน ถ้าเข้าจุดนี้ได้ก็เข้าใจไม่ยากนิพพาน คือมีเริ่มต้นแค่นี้ ทำให้ได้ แค่นี้ก็หวังนิพพานได้ ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์..”

เรื่องที่ ๒๑ หลวงพ่อไปพบลูกศิษย์ตายแล้วไปอยู่ที่พระนิพพาน


“..วันหนึ่งไปที่วิมานบนพระนิพพาน พอไปถึงก็นั่งเล่นนอนเล่นตามสบาย นึกว่าไม่มีใครมา ปกติท่านไปทุกวัน วันละหลายๆ เที่ยว ถ้าว่างเมื่อใดก็ไปเพราะจิตเป็นสุข วันนั้นพอไปแล้วก็มีคนเกิน ๒๐๐ คนมาหาแต่งตัวแพรวพราวเป็นระยับเต็มอัตราพระนิพพาน ก็สงสัยว่าพวกนี้มาได้อย่างไรก็เลยถามว่า
“ในสภาพที่เป็นมนุษย์มีรูปร่างแบบไหน ทำให้ดูซิ”
ท่านก็ทำให้ดูสมัยเป็นมนุษย์นุ่งโสร่งก็ขาด ใส่เสื้อก็เก่าแสนเก่ามีผ้าข้าวม้าพาดไหล่ ผอมๆ สูงๆ อาตมาจำได้เคยไปที่วัดบ่อยๆ ถามว่า
“โยม มานิพพานได้อย่างไร การมานิพพานได้ต้องเป็นพระอรหันต์”
โยมตอบว่า “อรหันต์ไม่ได้อยู่ที่เสื้อผ้า อยู่ที่ใจ”
ถามว่า “โยมฝึกพระกรรมฐานถึงขั้นไหน”
ตอบว่า “ผมฝึกไม่มากครับ ไปฝึก มโนมยิทธิ ได้ ๒ ครั้ง แต่ไปพระนิพพานได้ และอาตมาบอกว่าทุกวันให้ไปพระนิพพาน ตั้งใจว่าถ้าตายเมื่อใดขอไปพระนิพพาน ผมก็กำลังป่วยหนัก เห็นพระนิพพานใสชัดเจนมาก วิมานก็สวย คนก็สวย อยู่ใกล้ๆ แค่มือเอื้อม เมื่อจิตออกจากร่างเลยเข้าวิมานไปเลย แล้ววิมานก็พาลอยไป”
เป็นอันว่าการจะไปพระนิพพานได้ ไม่ใช่มีความรู้มาก ต้องจิตสะอาดมาก ความสำคัญขณะที่ป่วยหนักหรือป่วยไม่หนักก็ตาม พอเริ่มป่วยถ้าคนมีจิตเป็นกุศลอยู่แล้ว เขาก็จับนิพพานแล้ว..”

เรื่องที่ ๒๒ หลวงพ่อพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน


“..วันอังคารที่ ๒๐ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๒๐ อาตมานั่งทำจิตสบายสักประเดี๋ยว อารมณ์ก็เป็นสุขคิดว่า ไอ้เกิด ไอ้แก่ ไอ้ตาย มันไม่มีความหมาย เกิดก็แค่นั้น แก่ก็แค่นั้น ตายก็แค่นั้น มันจะตายก็ตาย มันจะอยู่ก็อยู่ ไม่เห็นมีอะไร สักครู่เดียวโยมพ่อในชาติปัจจุบันท่านมา เดิมมาถึงก็พูดว่า “ไง คุณสบายดีหรือ” ตอบท่านว่า “สบายดี โยมเป็นสุขหรือเป็นทุกข์” ท่านก็ตอบว่า “ฉันสุขมาก” ถามว่า “สุขมากสุขอย่างไร ทำไมถึงสุข เมื่อโยมมีชีวิตอยู่ โยมทำแต่ความดีอย่างเดียวหรืออย่างไร ถึงได้สุข” ท่านก็เลยถามว่า “ท่านองคุลีมาล ทำความดีอย่างเดียวหรืออย่างไรถึงไปพระนิพพานได้” หมายความว่าท่านองคุลีมาลน่ะ ร้ายกาจกว่าท่านมาก ทำกรรมที่เป็นอกุศลมากกว่าท่านมาก ท่านยังไปพระนิพพานได้ ทำไมท่านจะเป็นสุขไม่ได้ ถามท่านว่า “โยมไปพระนิพพานนานแล้วหรือ” ท่านตอบว่า “ยัง ท่านอยู่ชั้นยามา” ท่านมาในรูปเดิมตอนแรก แต่พอบอกเป็นสุขอยู่ชั้นยามาเท่านั้น รูปเดิมหายไป ตอนนี้สวยเช้งวับเลย ท่านมีเครื่องประดับขาวทั้งชุด ซึ่งเป็นสีของเครื่องประดับชั้นยามา

โยมพ่อท่าน “พุทโธ” เป็นปกติ ก่อนจะตายท่านห่มสไบเฉียงกราบบูชาพระแบบสบาย ท่านเรียกอาตมาแล้วพูดว่า “นิมนต์คุณมานี่หน่อย” พอเข้าไปท่านก็ยกมือขอขมา จึงถามท่านว่า“โยมขอขมาอะไร” ท่านก็ตอบว่า “ฉันขอขมาพระรัตนตรัย” ท่านชี้มือไปที่พระพุทธรูปแล้วบอกว่า “นั่นพระพุทธ คุณมานั่งเป็นพระสงฆ์เป็นพยานให้ครบหน่อย” จึงถามว่า “พระธรรมอยู่ที่ไหน” ท่านตอบว่า “คุณเป็นพระสงฆ์ต้องมีพระธรรม จึงจะเป็นพระสงฆ์ ฉันมีไตรสรณคมณ์ครบ” แล้วท่านก็ขอขมาพระรัตนตรัย พอเสร็จท่านก็บอกว่า “เสร็จกิจแล้ว” คำว่า “เสร็จกิจ” ของท่านหมายความว่าหมดธุระของท่านแล้ว หลังจากนั้นท่านก็นั่งพิงฝาพนมมือ เวลานั้นเป็นเวลาสักบ่าย ๓ โมง มองดูเห็นท่านนั่งสบายๆ จึงไม่กวนใจอะไรท่าน สักประเดี๋ยวกลับมาดูโยมก็ยังไม่เลิกนั่ง จึงบอกคนอื่นว่าอย่าทำเสียงดังเพราะโยมกำลังนั่งภาวนาอยู่ จนกระทั่งเย็นถึงเวลากินข้าว พี่สาวอาตมาขึ้นไปจะบอกให้ไปกินข้าว พอไปดูที่ไหนได้เข้าฌานเลย ๔ ไปหน่อยเพราะฌาน ๔ นี่ไม่ปรากฏลมหายใจ จึงมาดูเห็นโยมพ่อเข้าฌานละเอียดมาก พอเหลียวไปเห็นท่านไปยืนอยู่ข้างหน้าเลยบอกพี่สาวว่า “โยมเข้าฌานละเอียดมากไปหน่อยแล้ว ไม่ต้องเรียกกินข้าวเพราะท่านไม่กินแล้ว” โยมพ่อท่านบอกว่า “ก่อนจะตายตัวท่านชา” อาตมาถามว่า “การสืบต่อกุศลของท่านไปถึงไหนแล้ว” ท่านตอบว่า “การต่อกุศลข้างบน เวลานี้เป็นพระอนาคามีแล้ว”

เมื่อโยมพ่อพูดจบแล้ว โยมแม่ในชาติปัจจุบันก็เข้ามาหาอาตมาบอกว่า “โยมเป็นสุข” อาตมาถามว่า “โยมเป็นสุขเพราะอาศัยอะไรเป็นปัจจัย” ท่านก็ตอบว่า “คุณจำได้ไหมเวลาก่อนที่ฉันจะตาย ฉันทำอย่างไร” ก็เลยจำได้ว่า “โยมนั่งตาย” ก็เห็นท่านเป็นนางฟ้าบนสวรรค์ชั้นยามาเหมือนโยมพ่อ

อาตมาพาโยมพ่อและโยมแม่ในชาติปัจจุบันไปพระนิพพาน

วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ วันนี้อาตมาป่วยมาก หลังจากไปสั่งงานให้นายช่างทำมณฑปพระยืน ๘ ศอก เสร็จแล้วก็กลับมานอนพัก รู้สึกว่างงมากและเหนื่อยมาก มีความรู้สึกตามความเป็นจริงว่าร่างกายนี้คงจะทรงตัวได้ไม่นาน อาจจะตายภายในไม่ช้านี้ก็ได้ จึงได้รวบรวมกำลังใจขึ้นไปเฝ้าองค์สมเด็จพระจอมไตรคือพระพุทธเจ้าที่วิมานบนพระนิพพาน คำว่า นิพพาน นี้ใครจะว่าสูญก็เป็นเรื่องของท่าน แต่อาตมามีความรู้สึกว่าไม่สูญ ความจริงเรื่องของพระพุทธศาสนา ถ้าเราจะอ่านกันแต่เพียงหนังสืออย่างเดียว ก็คงไม่เข้าถึงพระพุทธศาสนาแน่นอนนัก เพราะความเห็นของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ทางที่ดีก็ควรจะค้นคว้าด้วยวิธีปฏิบัติ แนวปฏิบัติมี ๔ อย่างคือ

๑) สุขวิปัสโก
๒) เตวิชโช
๓) ฉฬภิญโญ
๔) ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ถ้าเราทำได้ครบทุกอย่าง ก็จะไม่สงสัยในพระพุทธศาสนาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่ออาตมาไปถึงพระนิพพานแล้ว ก็ไปนั่งที่ที่เคยนั่ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ประทับอยู่หลายองค์ ไปถึงก็กราบนมัสการท่าน ท่านก็ตรัสว่า “คุณ เทวดา นางฟ้า พรหม เขาคอยอยู่ที่เทวสภาเต็มหมด ทำไมไม่ไปแวะที่นั่นก่อน กลับไปที่เทวสภาก่อน” จึงได้กราบท่านแล้วมาที่เทวสภา พอมาถึงก็เห็นท่านผู้มีพระคุณคือ บิดามารดาเดิม ครูบาอาจารย์ ท่านย่า ท่านปู่ใหญ่ ท่านผู้มีคุณทั้งหลายรวมทั้งในชาติปัจจุบัน ก็ถือว่า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมด เป็นผู้มีคุณทั้งหมด เพราะว่างานทุกอย่างทุกประเภทท่านช่วย ที่ทำสำเร็จขึ้นมาได้ก็เพราะพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอรหันต์ พรหม เทวดา นางฟ้า และท่านย่ากรุณาส่งลูกแก้วให้ แก้วจักรพรรดิพิมานหรือแก้วเพชรจักรพรรดิก็ตาม ตามใจจะเรียก องค์นี้หลวงปู่ชุ่มให้ไว้ก่อน

ต่อมาท่านย่านำองค์เล็กมาให้บอกว่า เป็นองค์น้อง มีไว้ ๒ องค์ งานทุกอย่างจะสำเร็จหมดตามประสงค์ เมื่อกราบขอบคุณท่านเสร็จ อาตมาก็บอกว่า “ต่อนี้ไปอาตมาจะไปพระนิพพาน มีท่านผู้ใดบ้างจะไปพระนิพพานกับอาตมา เชิญไปได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งวิมานหลังใหญ่ที่พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้ทุกท่านไปพักได้ทุกเวลา โดยไม่ต้องมีอาตมานำไป บริเวณทั้งหมดกว้างใหญ่ไพศาลา เดินเล่นตามสบาย หลังจากนั้นต่างองค์ต่างมีวิมานบนพระนิพพานอยู่แล้ว ทุกท่านจะไปวิมานของท่านก็ได้ หรือจะไปเที่ยววิมานของอาตมาก็ได้”

เมื่อพูดจบอาตมาก็ลุกจากที่ เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็ตามมา พอมาถึงอาตมาก็นั่งที่เดิมนมัสการพระพุทธเจ้า เทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมดก็นั่งที่วิมานหลังใหญ่ สำหรับวิมานหลังที่อาตมานั่งก็มีญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดนั่งอยู่เต็ม พอดีหันไปทางขวาพบโยมพ่อในชาติปัจจุบันท่านนั่งอยู่ด้านขวา จึงถามท่านว่า “โยมขึ้นมาบนสวรรค์ได้อย่างไร ในเมื่อโยมมีบาปมากเพราะอาศัยความรักลูกเป็นห่วงลูก เกรงว่าลูกจะอด โดยเฉพาะอย่างยิ่งศีล ๔ ข้อโยมครบถ้วน แต่ศีลข้อที่ ๑ คือ

ปาณาติบาต โยมจับสัตว์คือปลามาให้ลูกกิน มันก็บาป แล้วโยมทำไมจึงมาสวรรค์ได้” โยมก็ตอบว่า“ขณะที่ผมหนุ่มๆ ผมทำอย่างนั้นจริง และไม่ค่อยได้เข้าวัด แต่การปฏิบัติในศีลในธรรมทุกอย่างครบถ้วน เว้นไว้แต่ปาณาติบาต เหล้าก็ไม่กิน ฝิ่นก็ไม่สูบ บุหรี่ก็ไม่สูบ ทุกอย่างครบถ้วน แต่ทว่าตอนแก่ตัว คุณอยู่ที่วัดบางนมโคก็ดี อยู่ที่กรุงเทพฯก็ดี ผมมีความเป็นห่วงคุณเป็นอันมาก ทุกวันทุกคืนนึกถึงแต่คุณองค์เดียวว่า อยู่ไกลจากพี่จากน้องจะมีความลำบาก นึกถึงอย่างนี้จนกระทั่งถึงป่วย ยิ่งเวลาป่วยยิ่งนึกถึงมากขึ้น เพราะอาศัยนึกถึงคุณเป็นอารมณ์อย่างนี้อย่างเดียวโดยเฉพาะ อย่างนี้เรียกว่าเป็น “สังฆานุสติ” คือนึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ พอตายจากความเป็นคนโยมก็ขึ้นไปเกิดเป็นเทวดาชั้นยามา” ตามปกติสมัยเป็นมนุษย์โยมก็ชอบบูชาพระ สวดมนต์อยู่เสมอ ถึงวัดจะไม่ค่อยได้ไปก็ไม่เป็นไรแต่ทำที่บ้าน จึงถามว่า “วิมานของโยมบนพระนิพพานมีแล้วหรือยัง”โยมก็ตอบว่า “มี” และชี้มือไปทางด้านขวาบอกว่า “วิมานของโยมตั้งด้านขวาวิมานของคุณด้านโน้น” อาตมาก็เหลียวไปดูก็เห็นวิมานของโยมสวยสดงดงามมาก

หลังจากนั้นอาตมาได้ถามโยมผู้หญิงในชาติปัจจุบันว่า “โยม ในสมัยที่เป็นมนุษย์ เป็นนักบุญชอบบูชาพระ ชอบไปวัดชอบฟังเทศน์ไม่ขาดเกือบทุกวันพระ เรื่องเกี่ยวกับบุญเกี่ยวกับอะไรก็ตาม สนใจทุกอย่าง เวลานี้โยมอยู่ชั้นไหน” โยมผู้หญิงตอบว่า “อยู่ชั้นยามาเหมือนกับโยมพ่อ แต่ว่าฉันชอบบูชาพระ ทุกวันจะให้นางฟ้าก็ดี ฉันก็ดี จะช่วยกันเก็บดอกไม้ในวิมานเป็นดอกไม้สีขาว ชั้นยามานี้สีขาวหมด แล้วนำมาบูชาพระ” อาตมาถามว่า “ดอกไม้ที่เหลือจากการบูชาพระมันไม่เหี่ยวไม่แห้งหรือ” ท่านก็บอกว่า “ไม่เหี่ยวไม่แห้ง ถ้าเราไม่ต้องการดอกไม้ก็หายไป ไม่ต้องเอาไปทิ้งแล้วก็ไปเก็บมาใหม่ ทำอย่างนี้ทุกวัน” ถามว่า “ในเมื่อโยมเป็นนักบุญแบบนี้ เวลานี้โยมมีวิมานบนพระนิพพานแล้วหรือยัง”

ท่านตอบว่า “ยัง” อาตมาแปลกใจ ถามว่า “โยมผู้ชายความจริงเสียเปรียบโยมผู้หญิง เพราะทำปาณาติบาตมาก แต่โยมผู้หญิงไม่ค่อยได้ทำปาณาติบาต บาปไม่ค่อยได้ทำ ทำแต่บุญ ทำไมจึงไม่มีวิมานบนพระนิพพาน พระพุทธเจ้าเทศน์ตั้งหลายครั้ง โยมจำไม่ได้หรือ” ท่านบอกว่า “จำเหมือนกันแต่มันเพลินความสุข ไม่เคยคิดว่าจะจุติ ไม่เคยคิดว่าจะตายจากวิมานนี้” จึงบอกว่า“นับว่ามีความประมาทมาก ถ้าอย่างนั้นขอให้โยมออกมานั่งข้างหน้า” ท่านก็มานั่งข้างหน้า อาตมาบอกให้ท่านหันหน้าไปทางพระพุทธเจ้า ท่านก็หันหน้าไปทางพระพุทธเจ้าแล้วกราบพรพุทธเจ้า

สมเด็จองค์ปฐมก็ทรงเทศน์ว่า “เจ้าผู้เจริญ เจ้ายังไม่มีวิมานอยู่บนพระนิพพานใช่ไหม” โยมผู้หญิงก็ตอบว่า “ใช่เจ้าค่ะ” พระองค์ตรัสต่อว่า “ทั้งนี้เพราะเจ้ามีความประมาทมากเกินไป มีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ถือตัวว่ามีบริวารมาก มีวิมานใหญ่ มีความสุขตั้งใจบูชาพระ แต่การบูชาพระของเธอเป็นการบูชาพระแต่ผิวเผิน เป็นการเข้าถึงพระแบบผิวเผินไม่ใช่ลึกซึ้งนัก ฉะนั้นจึงไม่มีวิมานอยู่บนนิพพาน เธอจงทบทวนถึงความจริงของเธอในสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอมีบาปอะไรบ้าง” โยมก็ตอบว่า “มีบาปหลายอย่างเจ้าค่ะ” ท่านก็ถามว่า“เธอรู้จักนรกไหม” โยมก็ตอบว่า “ไม่รู้จักเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “เธอเชื่อไหมว่ามีนรก” โยมก็ตอบว่า “เชื่อเจ้าค่ะ” ท่านตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้น เธอจงดู” แล้วท่านก็ชี้มือลงเบื้องต่ำ เห็นนรกแดงฉานไปหมด มีตั้งหลายขุม ขุมใหญ่ ๘ ขุม ขุมเล็กรวมแล้ว ๔๐๐ กว่าขุม

ท่านบอกว่า “บาปของเธอที่มีอยู่ ตถาคตจะพูดให้ฟัง บาปอย่างนี้ในเมื่อเธอจุติจากชั้นยามา จะพุ่งหลาวลงนรกขุมนี้ เธอจงดูการลงโทษ การถูกเผาไฟจะมีอย่างนี้ตลอดเวลา ไฟนรกโชติช่วง พื้นเหล็กก็แดงฉาน ทั้งหอกทั้งดาบ ดาบก็ฟัน หอกก็แทง ค้อนก็ทุบ เมื่อพ้นบาปขุมนี้แล้วต่อไปก็ลงขุมที่ ๒ ไม่ใช่นับ ๑,๒,๓ ตามลำดับขุมนรกนะ เป็นขุมที่ ๒ ที่ต้องลง เมื่อลงแล้วก็ต้องลงขุมที่ ๓ จากนั้นก็มาขุมที่ ๔ ขุมที่ ๕ ลงหลายขุม เธอจงจำไว้ว่า การที่เธอมาเกิดเป็นนางฟ้าชั้นยามานี่เพราะอาศัยบุญเล็กน้อย ที่ชอบการบูชาพระ ชอบให้ทาน ชอบรักษาศีล ชอบเจริญภาวนา แต่กำลังใจของเธอไม่มีความจริงจัง ทำตามประเพณีเสียส่วนมาก เห็นผู้ใหญ่เขาทำก็ทำ จิตใจมีความไม่มั่นคงนัก เพราะอาศัยบุญเล็กน้อยที่เธอนึกถึงก่อนตาย บันดาลให้เธอมาเกิดบนสวรรค์ชั้นยามา จงอย่าลืมว่าในอีกไม่ช้านัก เธอก็จะหมดบุญ ในเมื่อหมดบุญแล้วก็จะต้องลงนรก เธอกลัวไหม” เธอก็บอกว่า “กลัวเจ้าค่ะ”

ตอนนี้รู้สึกว่าหน้าท่านจะซีด ผิวพรรณไม่ค่อยผ่องใสแสดงว่ากลัวนรก สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ดูก่อน หญิงผู้เจริญ เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน ตถาคตจะแนะนำให้ตัดนรกดีไหม เอาไหม ถ้าปฏิบัติได้ นับแต่นี้ไปเธอจะไม่ลงนรก จะไม่ต้องเกิดเป็นมนุษย์ ไม่ต้องเกิดเป็นเทวดา นางฟ้า ไม่ต้องเกิดเป็นพรหม จะมานิพพานเลย ความเป็นมนุษย์ เธอก็เต็มไปด้วยความทุกข์ ทรัพย์สินที่หามาได้มันก็ไม่ค่อยจะพอใช้ ตัวเองน่ะเหลือใช้แต่ลูกๆ บ้าง เพื่อนบ้านใกล้เคียงบ้างช่วยกันใช้บ้าง เธอก็มีแต่ความหนักใจ ความเป็นมนุษย์ก็มีความแก่เป็นประจำ เธอก็ไม่นึกถึงความแก่ ความเป็นมนุษย์มีความป่วยเป็นประจำ เธอก็ลืมนึกถึงความป่วย ความเป็นมนุษย์ต้องมีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจเป็นประจำ พ่อตาย แม่ตาย พี่ตาย น้องตาย ลูกตาย หลานตาย เห็นอยู่เสมอ แต่เธอไม่เคยนึกว่าจะตาย

อาศัยที่เป็นคนประมาทในสมัยที่เป็นมนุษย์ มาเป็นนางฟ้าก็เป็นนางฟ้าประมาท เพลิดเพลินในทิพยสมบัติมากเกินไป มีวิมานหลังใหญ่ มีบริวารมาก มีความสุข ไม่มีการงาน ทุกสิ่งทุกอย่างสำเร็จด้วยความเป็นทิพย์ มีความสุขมากเกินไปจนลืมนึกถึงความตายจากการเป็นนางฟ้า ถ้าตายจากความเป็นนางฟ้าเมื่อไรต้องลงนรกเมื่อนั้น ต่อไปนี้ตถาคตจะแนะนำว่า ถ้าเธอปฏิบัติได้จะไม่ต้องลงนรกต่อไป บาปทั้งหมดจะไม่ให้ผล มีอย่างเดียวคือก้าวเข้าสู่พระนิพพาน ถ้าเธอตัดสินใจได้ตามนั้น วิมานจะปรากฏบนนิพพาน”

หลังจากนั้นท่านก็เทศน์ ๕ ข้อคือ

ข้อ ๑ “เธอจงคิดไว้เสมอว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง ความตายเป็นของเที่ยง การเป็นเทวดา นางฟ้า พรหม จะไม่มีอายุอยู่ตลอดกาลตลอดสมัย สักวันหนึ่งข้างหน้าเราจะต้องตายหรือที่เรียกว่า “จุติ” ศัพท์ชาวบ้านเขาเรียกว่าตาย เธอเข้าใจและแน่ใจไหม” โยมก็ตอบว่า “แน่ใจเจ้าค่ะ จุติแน่แต่ไม่รู้เวลา” ท่านก็บอกว่า “ใช้ได้ ให้มั่นใจว่าวันหนึ่งจะต้องจุติ วิมานหลังที่เธออยู่ทั้งหมดจะหายไป สมบัติปัจจุบันจะไม่มีสำหรับเธออีกเหมือนกับสมัยที่เป็นมนุษย์ เธอสะสมทรัพย์สมบัติไว้มาก แต่เธอตายจากความเป็นมนุษย์แล้วคนอื่นเข้ามาปกครอง เวลานี้สมบัติเป็นชิ้นเป็นท่อนเป็นตอน จากชิ้นใหญ่เป็นชิ้นเล็ก บางชิ้นก็ถูกขายไปบ้าง เธอก็ไม่สามารถจะห้ามปรามเขาได้ เธอเหน็ดเหนื่อยมากฉันใด ทรัพย์สมบัติส่วนนั้นเธอก็ไม่สามารถปกครองระวังรักษาได้ ข้อนี้ก็ฉันนั้น ขอเธอจงนึกว่าสักวันหนึ่งข้างหน้า วิมานที่สวยสดงดงามของเธอ บริวารของเธอ ร่างกายที่เป็นทิพย์ของเธอจะสลายตัว นั่นคือตาย” ท่านถามว่า “นึกออกไหมและมีความมั่นใจไหม” โยมก็ตอบว่า “มีความมั่นใจเจ้าค่ะ คราวนี้มั่นใจแล้วว่าต้องจุติ เพราะเทวดา นางฟ้า พรหม เคยจุติให้เห็นอยู่เสมอ แต่ก็ไม่ค่อยคิดว่าตัวจะต้องจุติ เวลานี้คิดแล้วเจ้าค่ะ”ท่านถามว่า “เธอมั่นใจรึ” โยมก็ตอบว่า “มั่นใจเจ้าค่ะ”

ข้อที่ ๒ “ต่อไปนี้เธอจงกลับใจเสียใหม่ การบูชาพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ที่เธอทำอยู่เป็นของดีแต่ว่าความมั่นคงยังมีน้อย ยังมีความเคารพตามแบบประเพณีนิยม หลังจากนี้ไป จงตัดกำลังใจว่า เราจะมีความเคารพในพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง เคารพในพระธรรมอย่างยิ่ง เคารพในพระอริยสงฆ์อย่างยิ่ง หมายความว่าจิตเราจะไม่ปล่อยพระพุทธเจ้า ไม่ปล่อยพระธรรม ไม่ปล่อยพระอริยสงฆ์ จิตจะจดจ่ออยู่ที่พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์เป็นปกติ” ท่านถามว่า “เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้แล้วเจ้าค่ะ เวลานี้มีความมั่นใจเพราะอยู่ต่อหน้าพระพุทธเจ้า ต่อหน้าพระปัจเจกพุทธเจ้า ต่อหน้าพระอริยสงฆ์ และต่อหน้าพรหม เทวดาทั้งหมด ทุกอย่างมีความมั่นใจหมด”

ข้อที่ ๓ พระพุทธเจ้าตรัสถามว่า “เธอต้องการมาพระนิพพานไหม” โยมก็ตอบว่า “ต้องการอย่างยิ่งเจ้าค่ะ ทีแรกไม่เคยทราบเลยว่านิพพานมีอยู่” ท่านก็ถามว่า “ลูกชายของเธอพาเทวดา นางฟ้า พรหม มาอยู่เสมอ ทำไมจึงไม่ตามมา” โยมตอบว่า “ไม่อยากจะไปไหนมีความสุขกับ วิมาน มีความสุขกับการบูชาพระ เวลาบูชาพระแล้วไม่อยากเลิกนั่งอยู่ข้างหน้าพระ” ท่านบอกว่า “ทีหลังเอาใหม่ เอากายนั่งที่นี้ เอาใจนั่งไว้ที่พระ กายจะนั่งจะนอนจะยืนจะเดินก็ได้ แต่ใจนั่งไว้ที่พระ คือใจนึกถึงพระพุทธเจ้า ใจนึกถึงพระธรรม ใจนึกถึงพระอริยสงฆ์เป็นนิจ ทุกสิ่งทุกอย่างที่เราจะทำ เราจะนึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ก่อน เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “มั่นใจแล้วเจ้าค่ะ”

ข้อที่ ๔ ต่อไปท่านก็บอกว่า “ศีล ๕ เธอสามารถรักษาได้ไหม” โยมตอบว่า “เมื่อสมัยเป็นมนุษย์ศีล ๕ บางสิกขาบทบกพร่องเจ้าค่ะ” สมเด็จองค์ปฐมจึงตรัสว่า “นี่เธอ ฉันถามในฐานะที่เป็นนางฟ้านะ ไม่ใช่ถามถึงความเป็นมนุษย์ เวลานี้ความเป็นมนุษย์หมดไปแล้ว เรื่องบาปประเภทนั้นไม่ต้องคิดถึงมัน เวลานี้เราไม่มีบาปจะทำมีทำอย่างเดียวคือบุญ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเทวดา นางฟ้า ชั้นยามา ได้เปรียบกว่าชั้นอื่นนอกจากชั้นดุสิต นั่งบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลตลอดเวลา” แล้วท่านก็ถามว่า “มีความมั่นใจไหมว่า จะรักษาศีล ๕ ได้ครบ” โยมก็นิ่ง ท่านก็บอก

๑ “ปาณาติบาต การไม่ฆ่าสัตว์เธอทำได้ไหม” โยมนิ่งประเดี๋ยวก็ตอบว่า “ได้เจ้าค่ะ”
๒ “อทินนาทาน การไม่ลักทรัพย์เธอทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”
๓ “กาเมสุมิจฉาจาร เธอจะไม่ละเมิดความรักของผู้อื่นทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”
๔ “มุสาวาท จะไม่กล่าวเท็จทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ”
๕ “สุราและเมรัย เราจะไม่ดื่มทำได้ไหม” โยมก็ตอบว่า “ทำได้เจ้าค่ะ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสุราเมรัย การพนัน ในสมัยที่เป็นมนุษย์ก็ไม่ทำอยู่แล้ว”

สมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ความจริงการเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหม ก็มีศีล ๕ เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะการฆ่าสัตว์ก็ไม่มีสัตว์จะฆ่า การขโมยทรัพย์ก็ไม่มีความจำเป็นจะขโมย ถ้าไม่ใช่ทรัพย์สินของเรา เราเอามาไม่ได้ เพราะที่นี่มีแต่ความเป็นทิพย์ ความรักในระหว่างเพศก็ไม่มี การพูดมุสาวาทก็ไม่มี เพราะไม่มีความจำเป็น การดื่มสุราเมรัยก็ไม่มีจะดื่ม รวมความว่าการเป็นเทวดา เป็นนางฟ้า เป็นพรหม มีศีลบริสุทธิ์อยู่แล้ว”

ข้อที่ ๕ “ต่อนี้ไปเธอจงตัด ทำลายอวิชชาคือความโง่ เธอนึกว่ามนุษยโลกดีหรือไม่ดี” โยมก็ตอบว่า “ไม่ดีเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “ไม่ดีเพราะอะไร” โยมตอบว่า “เพราะว่า เกิดแล้วก็แก่ มีการงาน มีการป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความปรารถนาไม่สมหวัง ต้องตาย ตายแล้วก็ไม่สามารถนำทรัพย์สมบัติที่หามาได้ติดตัวไป และความเป็นมนุษย์ก็วุ่นวายเรื่องการงาน เหน็ดเหนื่อยอยู่เสมอ เหนื่อยทั้งกายเหนื่อยทั้งใจ” ท่านบอก “ก็ถูกแล้ว เธอต้องการเป็นมนุษย์อีกไหม” โยมบอกว่า “ไม่ต้องการเจ้าค่ะ” ท่านถามว่า “การเป็นนางฟ้า เทวดา พรหม จะต้องจุติเธอต้องการอีกไหม” โยมก็ตอบว่า “ไม่ต้องการเจ้าค่ะ”

ท่านก็ถามว่า “การมาอยู่ที่นิพพานนี่ไม่ต้องไปไหน ไม่ต้องจุติ ไม่มีการป่วย ไม่มีกิจการงานใดๆ อะไรก็ตามถ้าเป็นความเหมาะสมก็จะปรากฏขึ้นมาเองโดยที่เราไม่ต้องจับ ไม่ต้องนึก เธอต้องการไหม” โยมตอบว่า “ต้องการเจ้าค่ะ” และท่านก็บอกว่า “ให้เธอนิ่งสักประเดี๋ยวหนึ่ง ตัดสินใจว่าทั้ง ๕ ข้อนี้จะทำได้ไหม” โยมก็นั่งนิ่งสักอึดใจหนึ่งก็ลืมตาขึ้นมาบอกว่า “ตัดสินใจได้แล้วเจ้าค่ะ พร้อมแล้วที่จะมานิพพาน ร่างกายในความเป็นทิพย์นั้นจะจุติเมื่อไรไม่เสียดาย ขอมานิพพานอย่างเดียว” พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า “ก็จบแค่นี้” พอท่านบอกว่าจบแค่นี้ วิมานก็ปรากฏทันที ท่านชี้ให้ดูทางด้านขวามือของท่าน ท่านหันหน้าไปทางทิศใต้บอกว่า “โน้น วิมานของเธอปรากฏแล้ว สวยสดงดงามอย่างยิ่ง หลานหญิงคือ พรทิพย์ กับ พวงทิพย์ พาย่าไปชมวิมานซิ” โยมก็บอกว่า “ยังไม่ไปเจ้าค่ะ พระพุทธเจ้ายังอยู่ที่นี่ก็ยังไม่ขอลุกไปก่อน”

หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าก็เสด็จเข้าวิมาน เทวดา นางฟ้า และพรหมทั้งหมด ต่างคนต่างเข้าวิมาน แยกย้ายไปสู่วิมานของตนในนิพพาน ที่ยังไม่มีวิมานก็กลับที่เดิมและบอกว่า ตั้งใจจะปฏิบัติให้ได้ตามที่พระพุทธเจ้าสอนเมื่อกี้นี้เป็นของไม่ยาก ต้องพยายามมีวิมานให้ได้..”

เรื่องที่ ๒๓ ชวนเทวดา นางฟ้า พรหม ไปพระนิพพาน


“..บันทึกเสียงเมื่อวันที่ ๑๖ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๕ ย้อนไปพูดถึงวันที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๓๕ วันนั้นปรากฏว่าป่วยหนักมีอาการไข้ซ้อน ท้องก็เสีย ปรากฏว่ามีอารมณ์ฟุ้งซ่าน อารมณ์มืดไม่สามารถจะไปพระนิพพานได้ มีอาการเป็นอย่างนี้อยู่ถึง ๒ วัน ต่อมาวันที่ ๑ สิงหาคม ๒๕๓๕ จิตเริ่มโปร่งไข้ลดตัวลง จึงไปเฝ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ประทับ

กราบทูลถามท่านว่า “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า อารมณ์ฟุ้งไม่สามารถจะมองเห็นนิพพานได้และไม่สามารถจะไปนิพพานได้ อารมณ์อย่างนี้ถ้าตายจะพลาดนิพพานไหม”
องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรัสว่า “ภิกขุ ดูก่อนภิกขุ จิตมีสภาพจำ ถึงแม้ว่าจะไม่ได้คิดถึงนิพพาน แต่อารมณ์เจาะจงพระนิพพานของจิตมีอยู่ ถ้าเธอตายเวลานั้นก็ไม่สามารถจะพลาดนิพพานได้ ต้องมานิพพานได้แน่นอน”

หลังจากนั้นก็นมัสการกราบทูลถามพระองค์เรื่องของกระแสจิต ท่านก็ตรัสว่า “เรื่องของจิตให้เกาะพระนิพพานเป็นอารมณ์ ถึงแม้จะอยู่ข้างล่างก็ดี อยู่ข้างบนก็ดี ยามปกติก็ตามให้ถือว่าเราต้องการนิพพานไว้เสมอ ถ้าจิตต้องการนิพพานไว้เป็นปกติอย่างนี้ถึงแม้ว่าอาการป่วยเกิดขึ้นจิตจะมัวไปบ้างจิตไม่เกาะนิพพาน แต่ว่าจิตมีสภาพจำ จิตก็สามารถจะไปพระนิพพานได้ทันทีในเมื่อออกจากร่าง” ต่อจากนั้นก็กราบทูลองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าว่า “ข้าพระพุทธเจ้าจะไปเทวสภาก่อน” สมเด็จองค์ปฐมก็ตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นฉันจะไปด้วย” พระพุทธเจ้าก็เสด็จ อาตมาก็ตามเสด็จพระพุทธเจ้ามาที่เทวสภา

พอมาถึงที่ประทับพระองค์ก็ประทับบนธรรมมาสน์สูง อาตมานั่งแท่นต่ำแต่รู้สึกว่าจะสูงกว่าเทวดานิดหน่อย เวลานั้นปรากฏว่าเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ทุกชั้นมาหมด เพราะว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาด้วย เมื่อนั่งเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็นั่งพนมมือหันหน้าไปทางเทวดานางฟ้ากับพรหมบอกว่า “ท่านทั้งหลายที่มีพระคุณ ที่เคยเป็นบิดามารดาบ้าง เป็นญาติผู้ใหญ่บ้าง เป็นผู้มีคุณต่างๆ บ้าง เป็นครูบาอาจารย์บ้าง และก็ทุกองค์ทุกท่านที่มีคุณกับอาตมาทั้งหมด ทั้งนี้ก็เพราะว่างานการทุกอย่าง ท่านช่วยทุกอย่างการสร้างวัด การจะไปไหนก็ตาม ทุกท่านเมตตาปรานี พยายามป้องกันภยันตรายต่างๆ อาตมาขอขอบคุณทุกท่าน”

หลังจากนั้นเทวดากับพรหมทั้งหมดก็กราบพระพุทธเจ้า ก็หันไปทางพระพุทธเจ้าเหมือนกันยกมือพนม ท่านก็เทศน์ว่า “ดูก่อน ท่านทั้งหลายที่มาประชุมทั้งหมด จะเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี ขอทุกท่านจงอย่าลืมความตาย นั่นหมายถึงการจุติ เพราะว่าเวลานี้ยังมีเทวดากับนางฟ้าบางส่วนมีความเพลิดเพลินในทิพยสมบัติเกินไปหลังจากที่มาจากมนุษย์ อยู่ที่เมืองมนุษย์มีแต่ความวุ่นวาย มีแต่ความทุกข์ ต้องประกอบกิจการงานทุกอย่าง ต้องกระทบกระทั่งกับอารมณ์ มีความปรารถนาไม่ค่อยจะสมหวัง ทุกอย่างต้องใช้แรงงาน แต่เมื่อมาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า ทุกอย่างหมดสิ้นหมายความว่าไม่ต้องทำอะไรทั้งหมด ร่างกายอิ่มเป็นปกติ ร่างกายเยือกเย็นอบอุ่นเป็นปกติ ไม่ต้องอาบน้ำ ไม่ต้องห่มผ้า และมีความปรารถนาสมหวัง หมายความว่าจะไปทางไหนก็สามารถลอยไปถึงที่นั่นได้ทันทีทันใด ความป่วยไม่มี ความแก่ไม่มี ร่างกายไม่มีการเปลี่ยนแปลง

ความเป็นทิพย์อย่างนี้ท่านทั้งหลายจงอย่ามัวเมา จงอย่ามีความเข้าใจผิดว่าเราจะอยู่ที่นี่ตลอดกาลตลอดสมัย ทั้งนี้เพราะว่าอายุเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีอายุจำกัดตามบุญวาสนาบารมี ถ้าหมดบุญวาสนาบารมีก็ต้องจุติคือตาย แต่ว่าท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า เทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมทั้งหมด ที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมดแม้แต่ท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็มาก จงอย่าลืมว่าทุกท่านยังมีบาปติดตัวอยู่ เมื่อการสะสมบาปมาเป็นชาติๆ ยังมีมากมาย” พระพุทธเจ้าตรัสอย่างนี้ อาตมาก็ใช้กำลังใจดูร่างกายเทวดา นางฟ้าก็พรหม เห็นเงาบาปอยู่ภายในหนามาก เป็นอันว่าทุกองค์ต่างคนต่างมีบาป แต่ก็มาเป็นเทวดา มาเป็นนางฟ้า มาเป็นพรหมได้ และก็ดูตัวเอง เวลานั้นร่างกายของตัวเองก็เป็นทิพย์ บาปมันก็ท่วมท้นเหมือนกัน

ต่อไปองค์สมเด็จพระภควันต์ตรัสว่า “ภิกขเว ดูก่อน ภิกษุทั้งหลาย (เวลานั้นมีพระมาด้วยหลายองค์) และท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ที่นี่ทั้งหมด จงอย่าลืมว่าทุกท่านมีบาปติดตัวมามากมาย อาศัยบุญเล็กน้อยก่อนจะตายจิตใจนึกถึงบุญก่อนจึงได้มาเกิดบนสวรรค์บ้าง มาเกิดบนพรหมบ้าง ถ้าหากว่าท่านจุติเมื่อไร โน้นนรก” ท่านชี้พระหัตถ์ลง เห็นนรก ไฟสว่างจ้าแดงฉานไปหมด “ท่านทั้งหลายจะต้องพุ่งหลาวลงนรกเพราะใช้กฎของกรรมคือบาป ต้องชำระหนี้บาปกว่าจะเกิดมาเป็นคนก็นานหนักหนา ถ้ามาเป็นคนแล้วก็ไม่แน่ใจว่าจะได้กลับมาเป็นเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ ทั้งนี้เพราะว่าเป็นคนแล้วอาจจะทำบาปใหม่ กลับลงนรกไปใหม่ก็ได้ ฉะนั้นเมื่อท่านทั้งหลายมาถึงที่นี่ มาอยู่บนสวรรค์ก็ดี พรหมโลกก็ดี เป็นทางครึ่งหนึ่งของพระนิพพาน ระหว่างมนุษย์กับนิพพาน” เวลานั้นเทวดา นางฟ้า พรหมทั้งหมด อาตมาก็เหมือนกันเห็นพระนิพพานใสสว่างจ้า มีวิมานสีเดียวกันคือสีแก้วแพรวพราวเป็นระยิบระยับคือแก้วสีขาว พระอรหันต์ทั้งหลายที่อยู่ที่นั่นมีความสุขขนาดไหน มีความเข้าใจหมด รู้หมด เห็นหมด และองค์สมเด็จพระบรมสุคตก็ตรัสกับเทวดา นางฟ้าใหม่ว่า

ท่านทั้งหลายจงหวังตั้งใจคิดว่า ถ้าการจุติมีขึ้นคราวนี้ ถ้าบุญวาสนาบารมีของเรานี้สิ้นสุดลง เราจะไม่ไปเกิดเป็นมนุษย์ เราจะไม่เกิดเป็นเทวดา เราจะไม่เกิดเป็นนางฟ้า เราจะไม่เกิดเป็นพรหม เราต้องการไปพระนิพพานจุดเดียว และการไปพระนิพพานนี้ท่านทั้งหลายต้องยึดอารมณ์พระนิพพานเป็นสำคัญ สำหรับพรหมก็ดี เทวดา นางฟ้าเก่าๆ ก็ดี ตถาคตไม่หนักใจ ทั้งนี้เพราะมีความเข้าใจแล้ว ก็แสดงว่าพรหม เทวดา นางฟ้าเก่าๆ เป็นพระอริยเจ้ามาก ที่มีความเป็นห่วงก็เป็นห่วงพรหม เทวดา นางฟ้าใหม่ๆ ที่มาเกิดใหม่ๆ อย่าหลงความเป็นทิพย์ หมายความว่ายังมีความเพลิดเพลินในความเป็นทิพย์ ยังมีความรู้สึกว่าอยากจะเกิดอยู่ที่นี่ตลอดไป จะไม่มีการจุติ จะไม่มีการเคลื่อน เป็นความเห็นที่ผิด จงคิดตามนี้เพื่อพระนิพพานนั่นคือ

๑) จงมีความรู้สึกว่า เราจะต้องจุติวันนี้ไว้เสมอ เรื่องอาการของชีวิตเป็นของไม่แน่นอน เราจะตายเมื่อไหร่ก็ได้ ความตายเป็นของเที่ยง ความเป็นอยู่เป็นของไม่เที่ยง
๒) เมื่อคิดอย่างนี้แล้วทุกท่านจงอย่าประมาท จงใช้ปัญญาพิจารณาความดีของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ว่าท่านทั้งหลายควรจะเคารพไหม ถ้าจิตใจของท่านมีศรัทธา มีความเคารพในพระพุทธเจ้า ในพระธรรม ในพระอริยสงฆ์ ก็เป็นอาการขั้นที่ ๒ ที่ท่านจะไปนิพพานได้
๓) หลังจากนั้นขอให้ท่านทั้งหลายจงทรงศีลให้บริสุทธิ์ จะเป็นศีล ๕ ก็ตาม ศีล ๘ ก็ตาม กรรมบถ ๑๐ ก็ตาม ศีล ๑๐ ก็ตาม ศีล ๒๒๗ ก็ตาม

พอท่านพูดมาถึงศีล ๒๒๗ ก็คิดในใจว่าเทวดาจะไปบวชที่ไหน องค์สมเด็จพระจอมไตรก็หันหน้ามาตรัสว่า “ฤๅษี เทวดาไม่ต้องบวชอย่างเทวดาชั้นยามาก็ดี ชั้นดุสิตก็ดี อย่างนี้เขามีศีลครบถ้วนบริบูรณ์ถึง ๒๒๗ เหมือนกับความเป็นพระ พรหมก็เช่นเดียวกัน ทุกท่านอยู่ด้วยธรรมปีติ ทุกท่านอยู่ด้วยความสุข เขาไม่มีอาบัติ สิ่งที่เป็นอาบัติไม่มี สิ่งที่จะเป็นบาปไม่มี” และท่านก็หันหน้ากลับไปหาเทวดา นางฟ้า กับพรหม ตรัสว่า “ขอทุกท่านจงอย่าลืมคิดว่า เราจะเป็นผู้มีศีล ให้ตั้งใจเฉพาะศีล ๕ ก็ได้ ศีล ๘ ก็ได้ ศีล ๑๐ ก็ได้ กรรมบถ ๑๐ ก็ได้ ศีล ๒๒๗ ก็ได้ ตั้งใจไว้ว่าเราจะไม่ละเมิดในศีล

๔) หลังจากนั้นจงมีจิตใช้ปัญญาคิดว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี นางฟ้าก็ดี พรหมก็ดี มีสภาพไม่เที่ยงและจะต้องมีการจุติในวาระสุดท้าย ในเมื่อการจุติจะเกิดขึ้นอารมณ์อย่าเป็นทุกข์ จงคิดไว้เสมอว่าในเมื่อเราจะต้องจุติเราจะไม่ยอมลงอบายภูมิ เราจะไม่เกิดเป็นมนุษย์ ท่านทั้งหลายจงดูภาพของมนุษย์ (แล้วทรงชี้มาที่เมืองมนุษย์) มนุษย์เต็มไปด้วยความวุ่นวาย มนุษย์เต็มไปด้วยความโสโครก มนุษย์เต็มไปด้วยความทุกข์ มนุษย์เต็มไปด้วยการงานต่างๆ มนุษย์มีความหิว มีความกระหาย มีความอยาก มีความต้องการไม่สิ้นสุด สิ่งทั้งหลายที่ก่อสร้างขึ้นมาแล้วจะเป็นทรัพย์สินอย่างไรก็ตาม ในเมื่อเราตายจากความเป็นมนุษย์เราก็หมดสิทธิ์ อย่างบางท่านเป็นพระมหากษัตริย์อยู่ในพระราชฐานดีๆ สร้างไว้เป็นที่หวงแหน คนภายนอกเข้าไม่ได้ เข้าได้แต่คนภายใน แต่ว่าเมื่อตายแล้วถ้ากลับไปเกิดเป็นคน หากว่าท่านไม่ได้เกิดในตระกูลกษัตริย์ตามเดิมท่านเป็นประชาชนคนภายนอก ท่านจะไม่มีสิทธิ์เข้าเขตนั้นเลยทั้งๆ เป็นของที่ท่านสร้างเอาไว้ทำเอาไว้ทุกอย่าง ท่านยังไม่มีสิทธิ์ ความไม่แน่นอนของความเป็นมนุษย์มันเป็นทุกข์อย่างนี้ ถ้าเกิดเป็นคนก็ต้องตะเกียกตะกาย ดูภาพมนุษย์ทั้งหลายไม่มีใครหยุดต้องเดินไปเดินมาทำกิจการงานทั้งวันเพื่อผลประโยชน์หน่อยเดียวคือเงิน ถ้าไม่มีเงินก็ไม่สามารถจะมีชีวิตทรงตัวอยู่ได้ เพราะมีความจำเป็นต้องหาเงิน”

ในเมื่อท่านตรัสอย่างนี้แล้วก็ตรัสต่อว่า “จงอย่าคิดเป็นมนุษย์ต่อไป ตัดความเป็นมนุษย์เสีย เลิกความหมายของมนุษย์ เห็นว่ามนุษย์เป็นทุกข์ มนุษย์มีสภาพไม่เที่ยง ไม่มีความทรงตัว มีความเกิดขึ้นและมีความเปลี่ยนแปลง มีความแก่ มีความป่วย มีการพลัดพรากจากของรักของชอบใจ มีความตายในที่สุดและจงอย่าอยากเป็นเทวดา อยากเป็นนางฟ้า เป็นพรหมต่อไป เพราะเทวดา นางฟ้า และพรหมก็อยู่ในสภาพไม่เที่ยงเหมือนกัน เมื่อมีความเกิดในเบื้องต้นก็มีความเปลี่ยนแปลงไปเป็นธรรมดา และมีการจุติในที่สุด ทุกคนหวังพระนิพพานเป็นที่ไป ตั้งใจไว้เสมอว่าเราจะเป็นผู้มีศีล เราจะนับถือพระไตรสรณาคมน์คือ พระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และก็เราจะต้องจุติในวันหน้า”

ตถาคตมีความรู้สึกว่าท่านทั้งหลายที่เป็นเทวดา นางฟ้า พรหมเก่าๆ มีความเข้าใจดีแล้ว หมายถึง ปฏิบัติได้ นี่คืออารมณ์พระโสดาบันกับอารมณ์พระอรหันต์ สำหรับเทวดา นางฟ้า หรือพรหมใหม่ๆ จงตั้งใจไว้เสมอว่า จงลืมความเป็นทิพย์เสีย อย่าเพลิดเพลินเกินไป อย่ามีความสุขเกินไปแล้วมันจะทุกข์ทีหลัง ตั้งใจคิดว่าความสุขที่ได้มานี้เราได้มาจากบุญเล็กน้อยเท่านั้น และก็บาปใหญ่ที่ขังอยู่ในตัวของเรายังมีอยู่ ถ้าเราเผลอไม่สร้างความดี ในเมื่อจุติจากความเป็นเทวดาในภพนี้ สรุปแล้วทุกคนต้องลงอบายภูมิ จงดูภาพนรกว่ามีขุมไหนบ้างที่น่าอยู่ น่ารัก มันไม่น่าอยู่ ไม่น่ารัก จงดูภาพมนุษย์ว่ามนุษย์เมืองไหนบ้างที่น่าเกิด ดินแดนไหนที่มีความสุขไม่มีการงานนอกจากจะมองไม่เห็นความสุขของมนุษย์แล้ว ก็ดูเทวดา นางฟ้ากับพรหม มนุษย์ที่เดินเกลื่อนกล่นทุกคนอยู่ในเมืองมนุษย์เคยเป็นเทวดา นางฟ้าและเคยเป็นพรหมมาแล้ว แต่ว่าท่านทั้งหลายจงตั้งใจไว้เฉพาะ จงดูภาพพระนิพพานให้ชัดเจนแจ่มใสว่า ดินแดนพระนิพพานไม่มีที่สิ้นสุด”

พระองค์ตรัสเพียงเท่านี้ก็จบ อาตมาจึงกราบพระองค์ท่านแล้วทูลว่า “จะไปพระนิพพาน” ท่านตรัสว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ชวนเทวดากับพรหมไปด้วยซิ เขาจะได้รู้ว่าพระนิพพานมีความสุขอย่างไร แต่เทวดา นางฟ้า พรหมก็มีหลายท่านที่เคยไปเที่ยวพระนิพพานมาแล้วและที่ท่านเป็นพระอริยเจ้าท่านรู้ แต่ที่ยังไม่เป็นพระอริยเจ้าจะยังไม่ทราบ” อาตมาจึงหันหน้ามาชวนเทวดา นางฟ้ากับพรหม หลังจากนั้นก็ตามพระพุทธเจ้าไปพระนิพพาน เห็นวิมานแพรวพราวเป็นระยับ จึงคิดในใจว่า “วิมานขององค์อื่นมีหลังเดียว แต่ทำไมของเราจึงต้องมี ๓ หลัง”

ท่านสหัมบดีพรหมเข้ามาใกล้แล้วบอกว่า “วิมาน ๓ หลังต้องใช้อย่างนี้ วิมานหลังหนึ่งที่คุณมาทุกวันคุณใช้เป็นปกติ อันนี้เป็นวิมานประจำตัว วิมานหลังตรงหน้าออกไปที่มีรูปร่างคล้ายคลึงกันนั้นเป็นวิมานที่ประทับขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า สำหรับวิมานหลังใหญ่ยาวหลังนั้นเป็นวิมานที่ประทับหรือเป็นที่นั่งของเทวดา นางฟ้า พรหม และพระอรหันต์ที่มาประชุมกัน”อาตมามองดูเทวดา นางฟ้า และพรหม รู้สึกว่ามีจำนวนนับเป็นสิบๆ ล้าน เมื่ออยากจะทราบว่าวิมานหลังนั้นโตก็จริง แต่ถ้าเทียบกับเทวดา นางฟ้ากับพรหมที่มา เทียบกันไม่ได้

ท่านสหัมบดีพรหมก็บอกว่า “ประเดี๋ยวก็รู้” เมื่อขึ้นไปถึงที่ก็ปรากฏว่าวิมานที่ตั้งอยู่เคยมีฝาทึบก็โป่รง เคยเล็กไปหน่อยก็ใหญ่ยาว กว้าง ลึกมาก มีแท่นเป็นที่ประทับของเทวดา นางฟ้าและพรหมทั้งหมด เป็นแท่นแก้วแพรวพราวเป็นระยิบระยับเท่ากับสภาพเป็นทิพย์ของเทวดา นางฟ้ากับพรหม วิมานหลังหน้าสมเด็จองค์ปฐมเป็นหัวหน้า หลังจากนั้นพระพุทธเจ้าทุกๆ พระองค์ก็เสด็จประทับสวยงามเป็นระยับ สง่าผ่าเผยใหญ่โตมาก จับใจ อาตมาก็มานั่งที่วิมานบนแท่นแก้วแต่ต่ำกว่าแท่นของพระพุทธเจ้า

หลังจากนั้นสมเด็จองค์ปฐมตรัสว่า “ฤๅษี ที่นี้เป็นที่อยู่ของเธอ เมื่อตอนต้นเธอถามว่า ถ้าจิตมัวไม่นึกถึงพระนิพพานก่อนตาย เธอจะมาพระนิพพานได้ไหม ขอให้เธอปฏิบัติตามนี้ คือทุกครั้งที่มีความว่างจากการงาน จงมาที่นิพพานมานั่งที่ที่ประทับของเธอ ถ้าพระพุทธเจ้าท่านว่างท่านก็จะมาสงเคราะห์เธอ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่ว่างก็จะเปล่งฉัพพรรณรังสีมาแทนพระองค์ก็เหมือนกับพระองค์มาเอง นอกจากนั้นบริวารของเธอที่มานิพพานแล้วมากมาย เขาก็จะได้มาคุยมาสนทนาด้วย จิตใจของเธอก็จะมีแต่ความชุ่มชื่น พระนิพพานมีแต่อารมณ์แห่งความสุข ไม่มีอารมณ์ความทุกข์ ไม่มีความวุ่นวาย พระนิพพานมีความสุขมาก เวลานี้เธอมีความรู้สึกอย่างไร”

ก็ตอบท่านว่า “ไม่มีกังวล คำว่ากังวลคือความห่วงใยใดๆ ทั้งหมดไม่มี แต่ความจริงอยากจะมานิพพานนานแล้ว” สมเด็จพระประทีปแก้วก็ตรัสว่า “ช้าก่อน รอเวลานิดหน่อย ให้การงานของฉันเสร็จและคนที่จะพึงช่วยเหลือได้ยังมีอยู่ที่เขายังไม่มายังมีอยู่ จงอยู่รอการช่วยเหลือเขาก่อน เมื่อช่วยเหลือเขาเสร็จแล้วเมื่อไหร่ ก็จะมานิพพานได้เมื่อนั้น ให้มีความสุขใจว่า ถ้าเราตายจากความเป็นคน เราจะมีความสุขที่สุดคือนิพพาน ในระหว่างที่เราเป็นคนอยู่ เราก็จะทำทุกอย่างเพื่อความสุขของคนอื่น” ท่านหมายความว่าเป็นความสุขของคนอื่นไม่ใช่ความสุขของตัวเอง

พระองค์ตรัสต่อว่า “เธอทั้งหลายจงดูเทวดา นางฟ้ากับพรหมที่สวยสดงดงามทั้งหมดนี้
ไม่ใช่ว่าจะเคยมานิพพานแล้วทุกองค์ มีบางส่วนเท่านั้นที่รู้จักนิพพานคือขึ้นมาได้นั่นคือความเป็นพระอริยเจ้า ถ้าไม่ใช่พระอริยเจ้าจะมาไม่ได้ นี่อาศัยความดีของเธอ ท่านสงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่าน เธอชวนมานิพพานท่านจึงมากันได้ การกระทำอย่างนี้จงทำเป็นปกติ จงสงเคราะห์ทั้งมนุษย์ทั้งเทวดา ทั้งนางฟ้าและพรหม เทวดานางฟ้าและพรหมท่านก็สงเคราะห์เธอ เธอก็สงเคราะห์ท่านเป็นการตอบสนองกัน เป็นความดีเข้าหากัน สำหรับวันนี้ฤๅษี จวนจะเพลแล้ว ฉันก็จะกลับที่อยู่ เธอก็จงกลับเมืองมนุษย์ เทวดา นางฟ้าและพรหมก็จงกลับวิมานของเธอ” หลังจากนั้นท่านก็ลุก พวกเราก็กราบท่าน

เป็นอันว่าเรื่องการมานิพพานเป็นปกติของอาตมา ถ้ายามว่างเมื่อไรแม้แต่มีเวลาเพียง ๕ นาที ๑๐ นาที ก็จะมานิพพานทันที เพื่อความอยู่เป็นสุขของจิต เมื่อเข้าถึงพระนิพพานเมื่อไรจิตก็มีความสุขเมื่อนั้น..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 11:38 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


ตายแล้วไปไหน ภาคที่ 3 ตายจากความเป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นพรหม, อรูปพรหม

เรื่องที่ 24 ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๔ (ท่านสหัมบดีพรหมองค์ปัจจุบัน)

เรื่องที่ 25 สมเด็จพระสังฆราชวัดราชบพิตรฯ สิ้นพระชนม์เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๑

เรื่องที่ 26 พระราชอุทัยกวี เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นพรหมอนาคามี

เรื่องที่ 27 ตายจากพระสงฆ์ไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราช แล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑

เรื่องที่ 28 ตายจากคนไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๘

เรื่องที่ 29 พระพินิจอักษร (ท่านทองดี) มาบอกหลวงพ่อว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗

เรื่องที่ 30 พระเทพวิสุทธิเมธี วัดอนงคาราม มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗

เรื่องที่ 31 พระสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาทมรณภาพ ท่านมาบอกว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗

เรื่องที่ 32 พระมหาทองปอนด์ วันม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพเมื่อ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒

เรื่องที่ 33 พระสงฆ์มรณภาพเนื่องจากเครื่องบินตกแล้วไปเกิดเป็นพรหมกับเป็นเทวดา

เรื่องที่ 34 ท่านอาฬารดาบสกับท่านอุทกดาบส ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม

เรื่องที่ ๒๔
ตายจากมนุษย์ไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๔ (ท่านสหัมบดีพรหมองค์ปัจจุบัน)


“..ประวัติท่านสหัมบดีพรหม ซึ่งปัจจุบันนี้ท่านอยู่พรหมชั้นที่ ๑๖ คุมแดนรูปพรหมทั้งหมด ๑๖ ชั้น สมัยเป็นมนุษย์เกือบพันปีมาแล้วท่านชื่อ สิงห์ เป็นคนรวยเพราะไม่ดื่มเหล้า ไม่เล่นการพนัน ไม่เจ้าชู้ แต่มีเมีย ๔ คน เป็นคนในบ้านเดียวกัน โดยภรรยาเดิมเห็นว่าสมควร จึงเรียกน้องสาวของภรรยามาและหลานสาวโตเท่าน้าสาวอีก ๒ คน ให้มอบตัวเป็นภรรยา ทั้งสามคนเห็นชอบ ท่านเลยมีภรรยาเพิ่มอีก ๓ คนโดยภรรยาจัดหาให้ ท่านบอกว่าท่านต้องหนักทั้งงานภายในและงานภายนอกอีกมาก แต่อาศัยที่เป็นคนรวยเลยไม่มีอะไรหนักใจ เมื่ออายุ ๓๒ ปีจึงบวชพระ ตั้งใจบวชพรรษาเดียวแต่มันมีความสุข เลยมอบสมบัติทั้งหมดให้ภรรยา แล้วทำพระกรรมฐานเรื่อยมา การทำกรรมฐานก็ไม่ได้เร่งรัดนัก ทำแบบธรรมดาๆ จิตค่อยๆ ลดตัวลงอย่างไม่เดือดร้อน ท่านเป็นพระทรงสมาบัติขั้นสูง พออายุ ๗๒ ปี ได้ พระอนาคามี ท่านตายอายุ ๘๐ ปี แล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๔ แล้วก็เรื่อยมาจนถึงพรหมชั้นที่ ๑๖..”


เรื่องที่ ๒๕
สมเด็จพระสังฆราชวัดราชบพิตรฯ สิ้นพระชนม์เมื่อเดือนสิงหาคม ๒๕๓๑



“..หัวค่ำวันที่ ๒๗ สิงหาคม พ.ศ. ๒๕๓๑ อาตมาทราบข่าวสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิตรฯสิ้นพระชนม์ ประวัติของท่านดีมาก ท่านเป็นพระผู้ใหญ่ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ เป็นพระที่ควรแก่การบูชา ท่านคงไปอย่างน้อยก็พรหมชั้นที่ ๑๒ กระมัง พูดตามความรู้สึก ในจริยาวัตรของท่าน

วันที่ ๘ กันยายน พ.ศ. ๒๕๓๑ คุณหมอวัฒนะได้เอาน้ำเกลือมาถวายอาตมา คุณหมอวัฒนะเป็นหมอร่วมรักษาสมเด็จพระสังฆราช วัดราชบพิตรฯ จึงถามว่า “ทำไมรักษาให้สมเด็จพระสังฆราชสิ้นพระชนม์” คุณหมอตอบว่า “ท่านบ่นว่าเบื่อเหลือเกินครับ” เรื่องเบื่อเป็น นิพพิทาญาณ ของคนมีฌานสมาบัติ แต่ทว่าสมเด็จฯท่านเบื่อตอนป่วยหนัก อย่างนี้อาจจะเป็นการเบื่อของวิปัสสนาญาณก็ได้ ใครจะรู้ใจของท่านแน่นอน อาการป่วยเป็นเหตุให้ใจว่างจาก

๑) ความรักในระหว่างเพศ เพราะทุกขเวทนารบกวน
๒) ความอยากรํ่ารวย เพราะทุกขเวทนารบกวน
๓) ความอยากจะฆ่าใคร เพราะไม่มีแรงและทุกขเวทนารบกวน
๔) สักกายทิฐิ หมดความรู้สึกว่า ร่างกายนี้ดีเป็นสมบัติของเรา เพราะมันกำลังจะตายและมีทุกขเวทนาอย่างสาหัส

เมื่อทุกขเวทนาทำให้เว้นจากอารมณ์ ๔ อย่างตามที่กล่าวมา ถ้าเป็นคนมีธรรมะก็มีหวังหมดสิทธิ์ในการเวียนว่ายตายเกิด เว้นไว้แต่คนไร้ธรรมะเท่านั้น ที่ยังหมกมุ่นกับความเกิดต่อไป สำหรับสมเด็จพระสังฆราชฯ ท่านมีเมตตาสูงและเป็นพระทรงธรรมะ ท่านจะไปทางไหนเป็นเรื่องของท่าน..”

เรื่องที่ ๒๖
พระราชอุทัยกวี เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นพรหมอนาคามี



“..เจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานีคือ เจ้าคุณราชอุทัยกวี ท่านมรณภาพ ถ้าจำไม่ผิดก็เป็นวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๓ ความตายของท่านนี่อัศจรรย์อย่างยิ่ง เป็นการตายที่ไม่เคยมีใครคิดว่าท่านจะตาย แต่เรื่องความตายมันเป็นของธรรมดา แต่เท่าที่ทราบมาในกาลก่อนท่านบอกว่า เมื่อพ.ศ. ๒๕๓๐ คืนวันนั้นทำท่าจะตายครั้งหนึ่ง ท่านป่วยมากอาการไม่ดี ตอนนั้นก็ไม่มีใครคิดว่าท่านจะอยู่ ในคืนนั้นท่านเรียก พระครูประชุม เจ้าคณะอำเภอเข้าไปบอกด้วยวาจาด้วย ให้บันทึกเสียงด้วยและให้บันทึกเป็นหนังสือด้วย เรื่องการเงินและอะไรก็ตามมีที่ไหนเท่าไร ท่านจำได้ดีสั่งเสียเรียบร้อย ท่านบอกว่า “ถ้าฉันจะตายคืนนี้ก็ต้องตายภายในระยะ ๒ ยาม ถ้าเลย ๒ ยามไปแล้วจะยังไม่ตาย” นี่ก็แสดงว่าก่อนจะพูดแบบนี้ต้องมีคนมาบอก คนในที่นี้ต้องมีร่างกายเป็นทิพย์เหมือนกับ ท่านธัมมิกอุบาสก ก่อนจะตาย ก็เห็นเทวดามาล้อมบอกฉันอยู่ชั้นนั้น ฉันอยู่ชั้นนี้ ไปอยู่กับฉันเถอะ ท่านเจ้าคุณราชอุทัยกวี หลวงพ่อองค์นี้ก็เช่นเดียวกัน ท่านก็คงจะต้องสัมผัสติดต่อกันมาก่อน ถึงได้บอกแบบนี้


เป็นอันว่าคืนวันนั้นหลังจาก ๒ ยามไปแล้ว อาการร่อแร่เต็มทีของท่านหายไปกลับกลายเป็นมีกำลังดีเหมือนกับหายจากการป่วยไข้ไม่สบาย ตอนที่อาตมารับสมณศักดิ์เลื่อนเป็นชั้นราชได้ไปนมัสการท่าน เห็นท่านมีสุขภาพดีและก็ปกติทุกอย่างหายจากโรคภัยไข้เจ็บ พวกเราก็ดีใจ เพราะว่าท่านเป็นพระดีจริงๆ ตรงไปตรงมาและมีคุณธรรมจริงๆ รวมความว่าท่านอยู่มาอีก ๓ ปี จนถึงวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๓ ท่านก็มรณภาพ การตายของท่านตามที่ทราบมาเป็นอย่างนี้ เขาบอกว่าในตอนเช้าคนส่งหมูทราบว่าท่านชอบหมูเขาก็นำหัวหมูที่ปรุงแล้วมาถวาย และก็ชอบมะม่วงเขาก็เอามะม่วงไปถวาย ตอนเช้าฉันได้มาก

ต่อมาท่านเรียกคนปฏิบัติมาเป็นสตรีอายุมากแล้ว ให้ไปหยิบปฏิทินร้อยปีมาดูอายุท่านบอกว่า “อายุตั้ง ๙๕ ปี จะให้มันตายเสียทีมันก็ไม่ตาย อยู่ไปก็ลำบาก ร่างกายไปไหนไม่สะดวก” ก็พูดกันแบบคนที่มีความรู้สึกตามความเป็นจริงเรียกกันว่า นักวิปัสสนาญาณแท้ ตอนสายท่านเรียกธนาคารมาขอตรวจดูเงินในบัญชี หลังจากนั้นแล้วท่านก็จำวัด ก็เป็นอันว่าการจำวัดของท่านครั้งนี้ไม่ต้องจำกันอีกต่อไป จำได้ตลอดกาลตลอดสมัยนั่นคือท่านตาย เวลาที่เขานำอาหารเพลไปถวายปรากฏว่าเลิกหายใจแล้ว

ต่อมาวันรุ่งขึ้นวันที่ ๒๔ เมษายน ๒๕๓๓ ตอนบ่ายอาตมาลงรับแขก วันนั้นไม่ค่อยมีใครจะคุยด้วยหาคนคุยด้วยยาก ก็เลยคุยเรื่องท่านเจ้าคณะจังหวัด ท่านเจ้าคุณราชอุทัยกวี บอกว่าพระองค์นี้ฉันเคารพเหมือนพ่อของฉัน เคยพูดกับท่านก็เคยพูด เรื่องการทำบุญก็เหมือนกัน ทำบุญทุกครั้งนิมนต์ท่านจะมาหรือไม่มาก็ตาม ต้องถวายเครื่องสักการะตามสมควร ถือว่าท่านมาไม่ได้แต่เอาใจมาได้ ในสมัยเมื่อท่านยังป่วย อยู่ร่างกายไม่ดีนักพอทนไหวท่านมา ตอนหลังท่านไม่ไหวจึงมาไม่ได้ ในเมื่อกายมาไม่ได้ก็ถือว่าใจมาได้ ในเมื่อใจมาก็ส่งเครื่องสักการะฝากท่านเจ้าคณะอำเภอไป ขณะที่นั่งคุยถึงธรรมะ ไม่ทราบว่าใครเป็นคนถามอาการตายของท่านเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี ได้ถามว่า “เวลานี้มีความรู้สึกว่าท่านไปไหน” ถ้าถามอย่างนี้ก็ตอบกันไม่ยาก ตอบทันทีโดยไม่ต้องคิดว่าเวลานี้ท่านเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานีอยู่วัดทุ่งแก้ว หมายความว่าศพของท่านอยู่ที่นั่น แต่พอตอบเท่านั้นสิ่งที่แปลกก็เกิดขึ้นนั่นคือ มีภาพ ๒ ภาพ ภาพหนึ่งเป็นภาพเจ้าคณะจังหวัดอุทัยธานี เจ้าคุณราชอุทัยกวี หรือเรียกว่า หลวงพ่อราชอุทัยกวี ก็แล้วกัน ท่านอยู่ข้างหน้าแต่ภาพข้างหลังเป็นพรหม สวยงามมาก แพรวพราวเป็นระยับ นึกในใจว่าภาพอย่างนี้ลองหรี่ตาก็เห็น ลองหลับตานึกก็เห็น ลืมตาก็เห็น อย่างนี้ไม่ใช่อำนาจความเป็นทิพย์ของจิตของบุคคลผู้พูด ต้องถือว่าเป็นกำลังของท่านผู้ตายบันดาลให้เห็น อย่างที่ท่านทั้งหลายไม่เคยเห็นผีแล้วย่องไปเห็นเข้านั่นแหละ ถ้าผีบันดาลให้เห็นก็เห็นได้ เรื่องนี้ก็เหมือนกันเป็นเรื่องของผีบันดาล

เมื่อเห็นภาพท่านแล้วก็นึกจะยกมือไหว้ ก็เกรงเขาจะหาว่าบ้าอยู่ๆ ก็ไหว้อากาศ และก็ไหว้ไปข้างหน้าคนที่เป็นฆราวาส มันก็จะไม่เหมาะ ก็เอาใจไหว้นึกไหว้ในใจ ท่านก็ยกมือรับไหว้แล้วก็ยิ้ม อาตมาถามท่านว่า “หลวงพ่อขอรับ ไปอยู่ที่ไหน” ท่านบอกว่า “เวลานี้ไปอยู่อนาคามี” ก็ถามว่า “ทำไมไม่ไปเลยเล่าขอรับ มันอีกนิดเดียว อนาคามีกับนิพพานเป็นของไม่ไกล” ท่านบอกว่า “อีตอนก่อนจะไปมันมีกังวลเรื่องเงินนิดหน่อย” ถามว่า “แก่แล้วยังห่วงสตางค์หรือ” ท่านก็เลยบอกว่า “เรื่องสตางค์ส่วนตัวนั่นไม่ห่วง ห่วงเรื่องเงินสงฆ์เกรงว่าจะผิดพลาด แต่ก็ไม่มีอะไรสำคัญ จิตสะดุดนิดเดียวก็เลยจำต้องพักอยู่แค่เขตของอนาคามี”

เป็นอันว่าวันที่ ๒๓ เมษายน ๒๕๓๓ ก็เป็นวาระที่ท่านตัดความทุกข์ ต่อไปนี้ก็มีแต่ความสุข ขึ้นชื่อว่าความทุกข์สักนิดหนึ่งจะไม่มีกับท่านอีกต่อไป เพราะเขตของอนาคามีเป็นเขตที่มีความสงัดจากความทุกข์ทุกอย่าง ต่อจากนั้นไปก็เข้าเขตนิพพาน เวลานี้เขาพูดกันว่าไม่มีพระอรหันต์ ไม่มีพระอริยเจ้าก็ตาม ขอท่านทั้งหลายจงอย่าลืมว่า โลกที่โกหกมีโลกเดียวคือโลกมนุษย์ เวลานี้อาตมาพูดตามผีบอก และโลกที่ไม่โกหกคือโลกอื่นไม่ใช่โลกมนุษย์ ฉะนั้นเวลานี้ท่านไปอยู่โลกอื่นแล้ว ท่านต้องพูดตามความเป็นจริง..”

เรื่องที่ ๒๗
ตายจากพระสงฆ์ไปรออยู่ที่สำนักท่านพระยายมราช แล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑



“..ขอนำเรื่องราวการชำระหนี้สงฆ์พร้อมทั้งตัวอย่าง ซึ่งจัดว่าเป็นเกร็ดความรู้ที่ได้ประสบมาเองมาเล่าให้ฟังเพื่อจะได้เป็นประโยชน์แก่ท่านทั้งหลาย จะได้นำไปประพฤติปฏิบัติให้ถูกต้อง อีกทั้งจะได้เป็นเครื่องป้องกันตัวเองและผู้อื่นไม่ให้กระทำความชั่วต่างๆ ที่เกี่ยวกับของสงฆ์อีก ทั้งนี้ก็เพราะว่า ของทุกอย่างที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสมบัติของสงฆ์แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสิ่งของหรือวัตถุเครื่องใช้อะไรก็ตาม จะมีราคามากหรือน้อยก็ตาม ผู้ที่นำไปใช้โดยพลการหรือทำสิ่งของเหล่านั้นเสียหาย จะต้องนำสิ่งของเหล่านั้นมาทดแทนให้เหมือนเดิม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ผู้ล่วงละเมิดลงสู่อเวจีมหานรกได้โดยง่าย ในสมัยนี้จะหาบุคคลที่เล่าเกี่ยวกับการชำระหนี้สงฆ์ยากเต็มที พระขนาดไหนก็ตามไม่ค่อยจะมีใครพูดกัน เทศน์ก็ไม่เคยฟัง ได้ฟังอยู่สำนักเดียวคือ สำนักของหลวงพ่อปานเท่านั้น หลวงพ่อปาน ท่านพูดถึงการชำระหนี้สงฆ์ทุกปี พอขึ้นปีใหม่หรือเข้าพรรษาใหม่ๆ ท่านก็ประกาศขอซื้อของสงฆ์ คำว่า “ซื้อของสงฆ์” ท่านซื้อไม้ไผ่ ซื้อผลไม้ ซื้อดอกไม้ที่มีในวัดทั้งหมดปีละ ๑๐๐ บาท ในสมัยนั้นค่าของเงินสูงมาก ท่านขอซื้อไว้ทั้งหมด ในเมื่อพระสงฆ์สาธุ ท่านจะมอบเงินจำนวนนั้นเป็นสมบัติของสงฆ์ เป็นสิทธิของสงฆ์ที่จะพึงใช้ จะใช้ได้ก็ต้องเอาเงินจำนวนนั้นไปใช้ในการก่อสร้างหรือบำรุงสงฆ์ ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาท่านก็ชวนพระชำระหนี้สงฆ์ ตัวท่านเองก็ชำระหนี้สงฆ์เหมือนกัน คราวนี้มาพูดกันถึงการซื้อของสงฆ์หรือชำระหนี้สงฆ์ก่อน ท่านทั้งหลายอาจสงสัยว่าของต่างๆ ที่เป็นสิ่งก่อสร้างก็ดี วัสดุเครื่องใช้ต่างๆ ก็ดี หรือต้นไม้ใบหญ้าก็ดี ของที่อยู่ในวัดทั้งหมด ถ้าหากเรารื้อหรือนำเอาไปใช้แล้วเกิดชำรุดเสียหาย เราจะต้องสร้างแทนเหมือนเดิม ทั้งนี้เพราะทรัพย์สินต่างๆ นี่ เขาสร้างไว้ในวัดเขาไม่ได้สร้างให้พระองค์ใดองค์หนึ่ง เขาสร้างถวายบูชาพระพุทธเจ้า

ผู้เรืองอำนาจรุกรานที่สงฆ์เคยตกนรกขุมที่ ๗ มาแล้ว

คำว่า “ของสงฆ์” ต้องหมายถึงพระพุทธเจ้าเป็นประธาน เป็นของส่วนกลาง ไม่มีใครจะถือสิทธิ์ว่าเป็นของฉันได้ จะมาชี้ว่าสมบัตินี่เป็นของฉัน เป็นของส่วนตัว ถ้าทำอย่างนั้นจะต้องลงนรกหมด เรื่องนรกนี่เขาไม่เว้นใครหรอก หลวงพ่อปานท่านซื้อของสงฆ์เพราะของเหล่านี้อยู่ในวัด ท่านเป็นประมุขของวัด ความจริงถ้าเราจะคิดกันอย่างเราๆ ก็น่าจะคิดว่าท่านควรมีสิทธิ์ ท่านจะให้ใครก็ได้ ท่านจะกินจะใช้อย่างไรก็ได้ แต่ทว่าตามพระวินัยแล้วไม่มีสิทธิ์ ของในวัดถ้าพระองค์ไหนปลูกไว้ ถ้าเขาสึกแล้วก็ตาม เขาตายแล้วก็ตาม ของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ พระองค์ใดองค์หนึ่งจะถือเป็นทายาทกินเองก็ดี ใช้เองก็ดี ทำอย่างนั้นไม่ได้เพราะเป็นของสงฆ์แล้ว เวลาจะกินจะใช้ก็ต้องประชุมสงฆ์ สงฆ์ทั้งหมดต้องประชุมอนุมัติว่า เราจะกินจะใช้ของประเภทนี้ด้วยวิธีการอย่างไร ถ้าหากว่าพระองค์ใดองค์หนึ่งก็ตาม เด็กก็ตาม ฆราวาสก็ตาม กรรมการวัดก็เถอะ ไปถือสิทธิ์ว่าฉันเป็นเจ้าหน้าที่ในวัด จะกินลูกไม้ลูกไหนก็ได้ จะเด็ดดอกไม้ดอกไหนก็ได้ จะโค่นต้นไม้ต้นไหนก็ได้ ไม้ลำไหนก็ได้ หน่อไม้หน่อไหนก็ได้ เอามากินมาใช้ส่วนตัวโดยที่สงฆ์ไม่ลงมติอนุมัติอย่างนี้ มีโทษไปอเวจีมหานรกแน่

วิธีการที่หลวงพ่อปานท่านซื้อของสงฆ์ ท่านบอกว่า ต้นไม้ก็ดีต้นเล็กๆ ไม่ใช่โค่นต้นใหญ่นะ ไม้ลำหรือไม้หน่อบางส่วนไม่ใช่ทั้งหมด เป็นเพียงส่วนเล็กน้อย หรือว่าลูกไม้ก็ตาม ดอกไม้ก็ตาม ถ้าใครจะเด็ดเอาไปดมเอาไปบูชา ท่านบอกว่า ส่วนน้อยประเภทนี้ฉันขอซื้อของสงฆ์ด้วยเงินจำนวน ๑๐๐ บาท เพื่อป้องกันโทษของบุคคลผู้รู้เท่าไม่ถึงการณ์ พระสงฆ์ก็สาธุ เป็นอันว่า เด็กก็ดี ผู้ใหญ่ก็ดี ที่ได้กินมะม่วงบ้าง ฝรั่งบ้าง ผลไม้ที่มีอยู่ในวัดมีอยู่มาก ใครอยากกินอะไรก็เอามากินได้ตามชอบใจ เพราะหลวงพ่อปานท่านซื้อแล้ว ท่านก็ใช้สิทธิ์อนุญาต อย่างนี้เอาไปกินเอาไปใช้ได้

เรื่องชำระหนี้สงฆ์ พอถึงเข้าพรรษาคนทำบุญมาก ท่านก็ประกาศแก่ทุกคนว่า “ใครจะชำระหนี้สงฆ์บ้าง ของสงฆ์ตกอยู่ที่ไหนเรียกว่า ตกน้ำไม่ไหล ตกไฟไม่ไหม้” อย่างวัดร้างที่ปรากฏว่าเป็นพื้นดินเปล่า ไม่มีฐานะแสดงว่าเป็นวัดก็ดี หรือบางแห่งแสดงฐานะว่าเป็นวัดแต่อยู่ในป่าในดงก็ตาม หรือที่มีพระก็ตามเราจะไปนำสิ่งของอะไรก็ตามในเขตนั้นมา จะเป็นต้นหญ้าสักต้น ไม้หักสักอันก็ตาม เขาถือว่าของเหล่านั้นเป็นของสงฆ์ หรือว่าถ้าใครยึดแผ่นดินของสงฆ์ไว้เป็นสมบัติส่วนตัวละก็ซวยขนาดหนัก แบบนี้มีผู้เรืองอำนาจรุกรานที่สงฆ์เคยตกนรกขุมที่ ๗ มาแล้ว ท่านก็บอกว่า คนเราทั้งหมดนี่จะรู้ได้อย่างไรว่า ไม้ลอยนํ้ามาหน้าบ้าน เราเห็นว่าไม่มีเจ้าของเอามาทำฟืน แต่ถ้าไม้นั้นมาจากวัดก็ถือว่าเป็นไม้ของวัด เป็นของสงฆ์ไปเอาเข้ามันก็บาป ต้นไม้ต้นหญ้าต้นฟางที่อยู่กลางทุ่ง สถานที่อย่างนั้นอาจจะเคยเป็นวัดมาก่อนก็ได้ เขาเคยถวายเป็นของสงฆ์ แต่ว่าสภาพวัดมันสูญไป ของที่อยู่ในวัดนั้นทั้งหมดแม้แต่แผ่นดินก็ยังเป็นของสงฆ์อยู่ เราไปเอาต้นหญ้ามาต้นเดียวก็เป็นบาปแล้ว โทษของสงฆ์นี่หนักมาก

แล้วท่านก็ชวนชาวบ้านชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงินจำนวนเท่าไรก็ตาม เอามารวมกันแล้วประกาศต่อหน้าสงฆ์ ขอชำระหนี้สงฆ์ว่า “ถ้าบังเอิญข้าพเจ้าได้เอาของสงฆ์จากวัดไหนก็ตาม วัดที่มีพระสงฆ์ก็ดี วัดร้างที่ไม่มีพระสงฆ์อยู่ก็ดี หรือสถานที่เป็นธรณีสงฆ์โดยไม่ปรากฏเป็นวัดก็ดี บังเอิญจะนำมาก็ขอชำระหนี้สงฆ์ด้วยเงินจำนวนเท่านี้ ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายเห็นสมควร ก็ขอให้สาธุขึ้นพร้อมกัน ถ้าพระสงฆ์ทั้งหลายไม่เห็นสมควรก็ขอให้นิ่งอยู่” ถ้าพระทั้งหมด สาธุ พร้อมกันก็เป็นอันว่าใช้ได้ ชำระหนี้สงฆ์กันแบบนี้ทุกปี ท่านบอกว่า ค่อยๆทำไป เรื่องนี้เป็นเรื่องหนักเพราะว่าเป็นของสงฆ์ลำบากมาก
ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ ต้องชำระหนี้สงฆ์

มีตัวอย่างเรื่องหนึ่ง เมื่อไม่นานมานี้พระองค์หนึ่ง ชื่อ อาจารย์ทิม เป็นพระรุ่นเดียวกับอาตมา อยู่ที่จังหวัดสุพรรณบุรี เป็นนักก่อสร้างเป็นพระดีมาก ระเบียบวินัยก็ดี เงินส่วนตัวท่านไม่มี ท่านมีปฏิปทาเหมือนๆ กับอาตมา คำว่าเงินส่วนตัวไม่มี ได้มาก็จ่ายไป ทีนี้พอท่านป่วย หมอเขาบอกว่าจะต้องต้มยาหม้อและซื้อยาหม้อในราคา ๖๐ บาท ท่านก็เลยบอกพระ “ขอยืมเงินที่เขาสร้างโบสถ์ก่อน เมื่อหายแล้วเวลาใครเขาเอาเงินมาถวายก็จะใช้ให้ ๖๐ บาทเท่านั้นนะ” สร้างโบสถ์หลังหนึ่งต่างกันมากเพราะใครเขาถวายเงินมาท่านเอาไปก่อสร้างหมดไม่เคยเก็บ พอปี ๒๕๐๘ ท่านตาย เงิน ๖๐ บาทเกิดเป็นพิษ พระทิมไปนั่งจ๋อที่สำนักท่านพระยายมราช เวลาทุ่มเศษๆ อาตมากำลังนอนสบายๆ เห็นเทวดาองค์หนึ่งเป็นพวกวชิระมายืนปลายเท้า กราบๆ ถามว่า “มาทำไม” เขาบอกว่า “ท่านใหญ่ให้นิมนต์ไปพบครับ”

ก็เลยบอกว่า “แกไปข้างหน้า ฉันตามไป” ตามไปหน่อยเดียวแกบอกว่า “เดี๋ยวผมต้องไปตามอีก ๒ องค์” เราก็ตรงไปพอถึงก็พบท่านทิมอยู่ที่สำนักท่านพระยายมราช จึงถามว่า “ไง มานั่งอยู่ที่นี่เล่า” แกก็บอกว่า “เป็นหนี้สงฆ์อยู่ ๖๐ บาท” ถามว่า “คนอย่างแกเป็นหนี้สงฆ์ด้วยเรอะ” แกบอก “เป็นหนี้ตอนใกล้จะตาย เพราะหมอสั่งยาให้แต่ไม่มีเงิน ท่านทิมเอาไปสร้างโบสถ์หมด เงินส่วนตัวจริงๆ ที่เรียกว่าตามอัธยาศัยมันไม่เหลือ จึงเอาเงินส่วนนี้ไปซื้อยา” จึงเข้าไปถามท่านพระยายมราชว่า “ยังไงนี่” ท่านบอกว่า “ยังไม่ว่าไง เดี๋ยวค่อยว่า คอยอีก ๒ องค์ก่อน ยังไม่สอบสวน ของสงฆ์นี่หนักมากปิดปากเลย กระเบื้องอันเดียวยังปิดปากเลย เรื่องบุญนี่พูดไม่ได้เลย”

พออีก ๒ องค์มาถึงเรียบร้อยแล้ว ท่านพระยายมราชก็เรียกอาจารย์ทิมเข้าไปถามว่า “ท่านเอาเงินสงฆ์ไปใช้ ๖๐ บาทใช่ไหม” ท่านตอบว่า “ใช่” ท่านถามว่า “จะว่าอย่างไร” ตอบว่า “ไม่มีเรื่องจะว่า” ท่านพระยายมราชก็หันมาถามพวกเราว่า “ท่าน ๓ องค์จะว่าอย่างไร” บอกว่า “ยังมีเรื่องว่าอยู่” ท่านถามว่า “ว่าอย่างไรล่ะ” บอกว่า “ทำอย่างไรพระองค์นี้จะต้องไปเป็นพรหม เขาได้ฌานสมาบัติด้วย ควรจะไปเป็นพรหม” ท่านก็เลยบอกว่า “เวลาตายก่อนจะดับจิต อารมณ์อยู่ในฌาน” บอกว่า “เขาได้สมาบัติ ๘ แต่ตอนนั้นทำไมเข้าฌาน ๒ พอจะตายจริงๆ ไม่ได้ตั้งอยู่ในฌาน ฌานยังตั้งไม่ได้” เลยถามว่า “เรื่องนี้พอจะอภัยกันได้ไหม” ท่านก็เลยบอกว่า “ของสงฆ์อภัยให้กันไม่ได้ ต้องชำระหนี้สงฆ์” ก็บอกว่า “ตกลงฉันช่วยชำระ ๖๐ บาทเรื่องเล็ก” ท่านบอกว่า “ไม่ได้ ชำระด้วยเงินไม่ได้” ถามว่า “แล้วจะเอาอะไร” บอกว่า “ต้องสร้างพระพุทธรูป ๑ องค์หน้าตัก ๑๒ นิ้ว” เลยบอกว่า “เรื่องเล็ก เอาสัก ๑๐ องค์ก็ยังได้” ท่านบอกว่า “องค์เดียวพอแล้ว พระอีก ๒ องค์ท่านก็รับไปคนละองค์ รวมเป็น ๓ องค์” บอกว่า “อย่างนี้ตกลง” ท่านก็เลยบอกว่า “ถ้าอย่างนั้นไปได้ ตามผลของความดี”

ตอนนั้นอาตมาเลยบอกกับท่านทิมว่า “อย่าเพิ่งไป อยู่ที่นี่ก่อน” ถามท่านพระยายมราชว่า “การสอบสวนขอพักเดี๋ยวได้ไหม” ท่านบอกว่า “ได้” ก็เลยบอกท่านทิมว่า “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม” เขาถามว่า “อะไรล่ะ” ก็เลยบอกว่า “เอกัคตากับอุเบกขาน่ะ” บอก “จำได้” “ถ้าจำได้ขอให้ไปตามนั้น” นั่นมันฌาน ๔ ท่านทิมเลยไปเป็นพรหมชั้นที่ ๑๑ ถ้าไปตอนแรกก็ไปด็อกแด็กอยู่แค่กามาจร ต้องช่วยกระตุกตรงนี้ มันพ้นตอนที่เรารับปากจะให้ อารมณ์ที่ปิดปากอยู่ก็หมด ท่านลุงพุฒิ (ท่านพระยายมราช) ท่านตั้งใจช่วยเลยให้คนมาตาม ไม่ได้ตั้งใจคอยใคร พระที่ตามอีก ๒ องค์ องค์หนึ่งเป็นพระอยู่ที่อยุธยา หนุ่มเลยละ ตอนนั้นอาตมาก็อายุ ๔๐ กว่าๆ องค์ที่อยู่อยุธยาก็อยู่ในเกณฑ์ ๓๐ เศษๆ แต่ไม่รู้ว่าวัดไหน รูปร่างสูงๆ ดำๆ อีกองค์หนึ่งรูปร่างหน้าตาดี บอกว่าอยู่สิงห์บุรี ไปตามมา ๓ องค์เลยได้กำไรพระพุทธรูป ๓ องค์ เรื่องเล็กพระ ๑๒ นิ้ว กับคนที่จะไปเป็นพรหม ราคามันไม่เท่ากัน เราสร้างพระ ๑๒ นิ้วเดี๋ยวเดียวคนที่บำเพ็ญบารมีเป็นพรหมมันง่ายเสียเมื่อไหร่ล่ะ

คราวนี้มันก็มีปัญหาอยู่ว่า ทำไมท่านถึงมาเจาะจงเอาฉันไปด้วย ถ้าลงเป็นแบบนี้ก็จะต้องเป็นเครือเดียวกัน อาจารย์ทิมกับฉันรู้จักกันมานานตั้งแต่ตอนบวชใหม่ๆ ส่วนอีก ๒ องค์ไม่รู้ว่าเขารู้จักกันมาเมื่อไหร่ แต่ทั้งสององค์นั้นต้องเป็นเชื้อสายเดียวกัน และปฏิปทาการปฏิบัติก็ต้องเหมือนกัน และแถม ๒ องค์นั้นบ้าๆ บวมๆ เหมือนกัน เงินส่วนตัวไม่มี อาจารย์ทิมก็บ้าเหมือนกัน แต่ดันบ้าตายก่อนมันจะลงนรกเราให้ลงไม่ได้

วิธีกระตุ้นๆ นิดเดียว ถ้าบอกว่า “อาจารย์ทิมเริ่มนั่งเข้าฌานละก็ซวยเลย ใครจะไปเข้าฌานได้อย่างไร ต้องถามถึงอารมณ์เดิมนิดเดียว” ถามว่า “จำอารมณ์หนึ่งได้ไหม เอกัคตากับอุเบกขา” บอก “จำได้” เท่านี้พอแล้ว จำได้ก็เป็นฌาน ๔ จิตก็ตั้งอยู่พอดี พอพูดปั๊บจิตก็ตั้งอยู่ฌาน ๔ พอตั้งอยู่ฌาน ๔ สภาพก็เป็นพรหม ตัวท่านก็เป็นพรหมสวย เลยบอกไปตามอัธยาศัย ฉันจะกลับวัดเดี๋ยวลูกศิษย์ข้าคอย อาจารย์ทิมก็ไปอยู่พรหมชั้นที่ ๑๑

เรื่องนี้เป็นเรื่องของผู้ที่ไม่มีเจตนาโกงเงินสงฆ์ ส่วนพวกที่มีเจตนาโกง ไม่มีทางช่วย เรี่ยไรมา ๑๐๐ บาท เอาของเขาใช้ไป ๙ บาท ๙๐ สตางค์ อีก ๑๐ สตางค์เอาเข้ากระเป๋า อย่างนี้ลงอเวจีมหานรก ของสงฆ์นี่แม้แต่กระเบื้องแตกๆ ก็เก็บเอาไปไม่ได้ หรือของที่สงฆ์เขาไม่ใช้แล้วเห็นว่ามันดีเอาไปบ้านหน่อย อย่างนี้ตกอเวจีมหานรก..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 11:46 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๒๘
ตายจากคนไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๘



“..สมัยที่หลวงพ่อปานพาอาตมาและเพื่อนไปธุดงค์ที่เขาวงพระจันทร์ ท่านพาเดินชมบริเวณไปทางด้านตะวันตกของเขา ท่านชี้สถานที่ที่หนึ่งให้ดู บอกว่าที่ตรงนี้ท่านเคยพบฤๅษีนุ่งขาวห่มขาว นั่งภาวนาอยู่คนเดียวปลูกศาลาเล็กๆ อยู่คนเดียว ก่อนอาตมาบวช ๒๐ ปี ปรากฏว่าท่านเป็นฤๅษีผีมานั่งดักทางท่านอยู่ บอกว่าที่ตรงนี้ คือยอดเขามีพระบรมสารีริกธาตุ หลวงพ่อปานจึงสร้างมณฑปทับที่ที่เห็นพระบรมสารีริกธาตุปรากฏขึ้นมา อาตมากับเพื่อนเมื่อทราบเรื่องต่างก็อยากพบฤๅษีองค์นั้น หลวงพ่อปานบอกต้องถามเขาก่อน ท่านยืนก้มหน้าแต่ไม่หลับตาสัก ๒ นาทีก็บอกว่า “เขาให้พบได้แต่ต้องอย่าโลภนะ ถ้าโลภจะมีอันตราย” คณะธุดงค์ก็รับคำ สักครู่ก็ปรากฏศาลาฤๅษี ท่านฤๅษีเห็นอาตมาและคณะเข้า ต่างก็ยิ้มให้วิ่งเข้ากอดกันทันที แล้วถามว่า “จำกันได้ไหมเพื่อน” อาตมาและคณะต่างก็สงสัย เสียงหลวงพ่อปานร้องมาว่า “ใช้อตีตังสญาณซิลูก” ทุกองค์ต่างก็ใช้ญาณทันที เพราะคล่องกันแล้ว พอนึกก็ใช้ได้ทันทีไม่ต้องไปตั้งท่าทำพิธี เมื่อต่างเข้าฌาน ใช้ฌานตามลำดับฌาน เมื่อฌานตั้งมั่น ญาณก็ปรากฏ ความรู้จริงจึงปรากฏ ท่านฤๅษีองค์นั้นก็คือเพื่อนเก่าของอาตมากับเพื่อนในอดีตชาตินั่นเอง ขณะนี้ท่านเป็นพรหมอยู่ชั้นที่ ๘ อดีตพรหมกับพรหมปัจจุบันต่างก็คุยกันจ้อเลย ไม่ได้คิดว่ามีเพื่อนเป็นผี..”

เรื่องที่ ๒๙
พระพินิจอักษร (ท่านทองดี) มาบอกหลวงพ่อว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗



“..พระพินิจอักษร มีนามว่า “ทองดี” เป็นสมเด็จพระราชบิดาของรัชกาลที่ ๑
ทรงประสูติในเรือฝั่งตรงข้ามกับโบสถ์เก่าวัดท่าซุง ในฐานะที่พระองค์เป็นทั้งชาวสุโขทัยและก็ชาวกรุงศรีอยุธยาและก็ยังเป็นชาวเชียงแสนด้วย ท่านเป็นคนของแผ่นดิน เพราะว่าท่านสืบเชื้อสายมาจากเชียงแสน ชาวเชียงแสนมาตั้งถิ่นฐานที่สุโขทัย ต่อมาพระราชโอรสของพระองค์ได้เป็นใหญ่ในกรุงเทพฯ เป็นอันว่าวงศ์นี้เป็นวงศ์ที่มีคุณต่อประเทศชาติอยู่มาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง พระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช ทรงเป็นแม่ทัพในการกู้ชาติ ที่มีสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นหัวหน้า ต่อมาเมื่อ สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เถลิงราชสมบัติเป็นกษัตริย์ พระองค์ก็เป็นกำลังใหญ่ในการปราบปรามข้าศึก ต่อมาในสมัยพระองค์ทรงเป็นกษัตริย์ก็ทรงปราบปรามข้าศึก รักษาเอกราชให้ชาติไทยอยู่รอดเป็นอิสระจนกระทั่งทุกวันนี้ เวลานี้วงศ์ของท่านทองดีก็ยังครองประเทศชาติอยู่ ท่านพระพินิจอักษรท่านเป็นครูและท่านเป็นหมอด้วย สมัยก่อนคนเป็นหมอง่าย เรียกว่าหมอยาป่าหรือหมอโบราณ ท่านมีความรู้ทางหมออยู่บ้างตามสมควร เรื่องความเป็นหมอคนโบราณถือว่ามีความสำคัญ

คืนวันหนึ่งของปี ๒๕๑๕ เวลาประมาณ ๒๓.๐๐น.เศษ อาตมารู้สึกง่วงนอนเร็วกว่าปกติ จึงเอนกายลงนอน ได้เห็นชายคนหนึ่งรูปร่างขาวท้วม นุ่งผ้าโจงกระเบน สวมเสื้อธรรมดาแต่ยาวลงเลยชายพกประมาณ ๖ นิ้วฟุต มือขวาถือหนังสือเล่มใหญ่แนบกับตัว เห็นภาพนั้นเมื่อดับไฟมืดสนิทและไม่มีแสงสว่างจากภายนอกลอดเข้ามา ก็ทราบว่าชายที่เห็นนั้นไม่ใช่คนธรรมดา เพราะประตูใส่กลอนแล้ว หน้าต่างก็มีลูกกรงเหล็ก ตามความรู้สึกขณะนั้นบอกว่า “ชายผู้นี้คือผี” ชายที่ยืนให้เห็นนั้นท่าทางท่านสุภาพมากยืนเฉยๆ ไม่แสดงอาการผิดปกติ แต่เวลานั้นกำลังง่วงจัดอยากจะหลับท่าเดียว จึงคิดว่ามีธุระอะไรพรุ่งนี้ค่อยมาคุยกันใหม่แต่ต้องมาก่อนง่วงนอน พอวันรุ่งขึ้นเข้านอนก่อนเวลาเพราะเกรงว่าจะง่วงและอาจผิดสัญญากับผีได้ เวลา ๒๒.๐๐ น. ก็เข้าห้องบูชาพระตามปกติ

เมื่อบูชาพระเสร็จก็เข้านอน พอหลังถึงพื้นศีรษะถึงหมอน ก็ปรากฏภาพชายคนเมื่อวานที่ผ่านมา มายืนอยู่ข้างปลายเตียงทางด้านขวา จึงถามท่านว่า “ท่านเป็นใคร” ท่านก็ตอบว่า “ผมคือทองดีครับ” ถามท่านอีกว่า “ทองดีคือใคร” ท่านตอบว่า “ทองดีพ่อทองด้วงครับ” เมื่อท่านตอบแล้วก็คิดไม่ถึงว่าท่านทั้งสองเป็นผู้มีคุณใหญ่ต่อประเทศ และอาตมาก็ยังสำนึกในบุญคุณของท่านที่ท่านเมตตาเสียสละให้ไทยได้เป็นไทอยู่จนทุกวันนี้ ท่านจะมาแสดงตนให้เห็น จึงได้ถามท่านต่อไปว่า “ทองด้วงคือใคร” ท่านตอบว่า “ทองด้วงคือพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกมหาราช” ถามท่านว่า “ที่ท่านมานี้ท่านมีความประสงค์อะไร” ท่านบอกว่า “ผมเป็นครูครับ เมื่อท่านสร้างวัดเสร็จแล้วช่วยสร้างโรงเรียนให้ผมสักหลังหนึ่ง” ก็รับปากท่านว่าถ้าไม่เกินกำลังเต็มใจสร้างให้ท่าน

ท่านเล่าให้ฟังอีกว่า เดิมทีเดียวท่านเป็นข้าราชการที่กรุงศรีอยุธยาได้รับบรรดาศักดิ์ครั้งสุดท้าย ที่พระอักษรสุนทร ต่อมาเมื่อพม่าล้อมกรุงศรีอยุธยา ท่านพาภรรยาและบุตรคนเล็กอายุ ๗ ปีขึ้นไปพิษณุโลกไปอยู่กับเจ้าเรืองพระฝาง (พระยาพิษณุโลก) ท่านตั้งให้เป็นพระพินิจอักษร เพราะให้ท่านเป็นครูสอนหนังสือ (หนังสือราชการ) กับพวกขุนนาง เวลาล่วงมาประมาณปีเศษอาศัยที่คุณพระพินิจอักษรเป็นคนฉลาด มีความสามารถมาก ต่อมาขั้นสุดท้ายท่านได้รับบรรดาศักดิ์เป็น เจ้าพระยาจักรีศรีองครักษ์ แต่ไม่มีใครสนใจในบรรดาศักดิ์นี้ ที่สนใจจริงๆ ก็คือ คุณพระอักษรสุนทร เป็นบรรดาศักดิ์ที่ทางกรุงศรีอยุธยาตั้งให้ ดังนั้นในประวัติศาสตร์ของท่านจึงมีชื่อเพียง พระอักษรสุนทร ท่านบอกว่า “ผมเกิดที่แม่น้ำสะแกตรัง (ชาวบ้านเรียกสะแกกรัง) เกิดในเรือครับ เรือที่ผมคลอดจากครรภ์มารดาอยู่ตรงนี้ครับ” ท่านชี้สถานที่เรือจอดให้ทราบ

เป็นธรรมดาของอาตมาเมื่อคุยกับผี จะเป็นผีระดับไหนก็ตาม ผีมีหลายระดับคือ นรก เปรต อสุรกาย สัมภเวสี ภูมิเทวดา อากาศเทวดา พรหม ทั้งหมดนี้เรายกยอดเรียกผีเหมือนกันหมด เพราะไม่สามารถเห็นเขาได้ตามปกติ เมื่อเขาต้องการให้เห็นเราจึงเห็น เมื่อท่านจะกลับจึงได้ถามว่า “ท่านมาขอร้องตามนี้ก็ไม่ขัดข้อง แต่อยากจะขอเหตุผลสักหน่อยว่า ถ้าท่านเป็นท่านทองดีจริง ท่านจะบอกหรือแสดงอะไรสักอย่างหนึ่งก็ได้เพื่อเป็นหลักฐานควรเชื่อถือได้” ท่านถามว่า “ไม่ไว้ใจท่านหรือ” ก็เรียนท่านว่า “ไว้ใจ แต่ขอไว้เพื่อความมั่นใจ” ท่านก็บอกว่า “วันพรุ่งนี้ทางบ้านโน้นเขาจะรื้อบ้าน (ท่านชี้ไปทางที่ท่านบอกว่าบ้านท่านเคยตั้งที่นั่น) เขาจะรื้อบ้านเขาจะได้เงินกลม ถ้าเขาได้เงินกลมจริงก็เป็นการยอมรับว่าผมคือ “ทองดี” จริง กับอีกเรื่องหนึ่งก็คือต่อจากนี้ไปไม่เกิน ๑ เดือน ทองคำที่ตระกูลผมฝังไว้ใกล้พระอุโบสถจะเลื่อนเข้ามาใต้ถุนที่คุณอยู่ จะมีเสียงดังจากทองที่เลื่อนมาไว้ชัดเจนมาก ถ้ามีเสียงทองเลื่อนจริงก็เป็นเครื่องยอมรับว่าผมคือ “ทองดี” จริง”

พอวันรุ่งขึ้นก็มีคนนำเงินกลมมาให้ ๑๐ กว่าอัน ผู้ให้บอกว่า เจ้าของบ้านเขารื้อบ้าน ขุดดินลงไปเพื่อเอาเสาเรือนขึ้น เมื่อนำเสาขึ้นมาแล้วพบเงินกลมหนึ่งไห เจ้าของให้นำมาถวาย ต่อมาอีกไม่ถึงครึ่งเดือน คืนวันนั้นมีคนมาร่วมเจริญพระกรรมฐานกันมาก ขณะที่ทุกคนกำลังเจริญพระกรรมฐานก็ได้ยินเสียงครืนใต้ดิน ได้ยินชัดมาก เสียงนั้นเลื่อนใกล้เข้ามาพอถึงกลางตึกเสียงก็เงียบ เมื่อเลิกพระกรรมฐานแล้วต่างคนต่างก็ไปดูสถานที่ที่มีเสียง ก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ รุ่งเช้า นายดาบตระกูล เปาริก ออกไปดูบริเวณนั้นเห็นดินยุบลงนิดหน่อยแต่เป็นบริเวณกว้าง ได้เอาเหล็กแทงลงไปปรากฏว่าจมเส้นเหล็กแล้วยังไม่ถึงกันหลุม ทั้งหมดนี้จัดเป็นอภินิหารของท่านได้

ต่อมาตั้งใจจะสร้างโรงเรียนให้ตามที่ท่านขอไว้ ได้ติดต่อทางผู้ช่วยศึกษาธิการจังหวัดสมัยนั้นเรื่องก็เงียบหายไป เมื่อหาทางสร้างโรงเรียนไม่ได้จึงสร้างศาลาการเปรียญแทนให้ชื่อว่า โรงเรียนพระพินิจอักษร ทั้งนี้ก็เพราะว่าศาลาก็คือโรงเรียน คำว่า “เปรียญ” แปลว่า “รู้รอบ” หรือรู้ทุกอย่างทั้งทางโลกและทางธรรม ดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าโรงเรียนซึ่งสอนเฉพาะความรู้ปกติธรรมดา จึงมีความเห็นว่าศาลาการเปรียญมีความสำคัญมาก หลังจากนั้นได้สร้างโรงพยาบาลแม่และเด็กขึ้น จึงคิดจะสร้างรูปท่านไว้เป็นอนุสรณ์ในฐานะที่ท่านเมตตามาหาถึงสถานที่นอน และถ้าชาวบ้านถามก็จะได้บอกว่า “ปั้นรูปต้นวงศ์จักรี เพราะว่าถ้าเรามีความเลื่อมใส มีความจงรักภักดีต่อพระราชวงศ์จักรี คือพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทุกพระองค์ตั้งแต่รัชกาลที่ ๑ ถึงรัชกาลที่ ๙ เราไหว้ต้นวงศ์จักรีองค์เดียวก็ถึงลูกหลานเหลนทั้งหมด”

เวลาที่จะปั้นรูปท่าน รูปตัวอย่างไม่มี ก่อนอื่นปั้นรูปเล็กก่อน โดย คุณยุพดี จักษุรักษ์ เป็นผู้ปั้นรูปเล็กด้วยดินเหนียวก่อน และช่างปั้นรูปใหญ่ชื่อ นายช่างประเสริฐ แก้วมณี จบชั้นประถมปีที่ ๔ อาตมาถามท่านว่า “เอาใครเป็นแบบฉบับที่คล้ายคลึง” ท่านก็บอกว่า “เอารูปรัชกาลที่ ๖ คล้ายคลึงมาก แต่ผมมากกว่านั้น เหลนผมคนนี้ผมน้อยไปหน่อย พุงโตกว่าผมนิดหนึ่ง” ท่านเป็นคนเนื้อเต็ม ปกติท่านไว้ผมทรงดอกกระทุ่ม ท่านบอกว่า “ถ้าปั้นรูปใหญ่ท่านจะมาช่วย มีส่วนคล้ายคลึงประมาณสัก ๓๐ เปอร์เซ็นต์ก็เป็นอันว่าใช้ได้” เพราะไม่มีรูปตัวอย่างให้ดู เมื่อปั้นรูปท่านเสร็จแล้วประดิษฐานไว้ที่หน้าโรงพยาบาลแม่และเด็ก ปรากฏว่า อภินิหารรูปของท่านก็คือ คนไข้ที่รักษาโรคมาจากที่อื่นมาแล้วไม่หายก็รักษาหายได้ ถ้าคนไข้คนไหนไปจุดธูปบูชาท่านขณะที่มารักษา คนไข้คนนั้นโรคจะหายเร็วมาก เป็นที่ยอมรับนับถือจากคนไข้เป็นอันมาก

ต่อมาเมื่อวันที่ ๑๘ พฤศจิกายน พ.ศ. ๒๕๓๐ ท่านมาเล่าให้ฟังอีกว่า เมื่อสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชยกทัพไปปราบพระฝางได้ เมื่อเจ้านายหมดวาสนาบารมี ท่านก็พาภรรยาและบุตรธิดาไปอยู่เมืองเล็กๆ ทางเหนือ อยู่อย่างคนแก่ชอบสงบ ไม่นานนักท่านก็มรณะเพราะไข้ ท่านบอกว่า ท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗..”

เรื่องที่ ๓๐
พระเทพวิสุทธิเมธี วัดอนงคาราม มรณภาพแล้วไปเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๗



“..วันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๒ หลวงพ่อเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อไปกราบศพ พระเทพวิสุทธิเมธี (ไสว สุจิตโต) วัดอนงคาราม ท่านเป็นเพื่อนหลวงพ่อมาตั้งแต่เข้ามาอยู่กรุงเทพฯใหม่ๆ เวลาที่วัดท่าซุงทำบุญประจำปี หลวงพ่อก็นิมนต์ท่านมาทุกปี แต่ตอนนี้ท่านมรณภาพเสียแล้ว มีคนสนใจเรื่องนี้และถามปัญหาดังนี้

ผู้ถาม กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง กระผมได้ยินข่าวมาว่า เมื่อวันที่ ๑๑ พฤษภาคม ๒๕๓๒ หลวงพ่อได้มีโอกาสไปเยี่ยมศพเจ้าคุณไสว วัดอนงคาราม กระผมอยากเรียนถามหลวงพ่อว่า มีความสัมพันธ์ไมตรีอย่างไรจึงเป็นปัจจัยให้หลวงพ่อไปงานนี้ขอรับ

หลวงพ่อ เป็นศากยบุตรพุทธชิโนรสเหมือนกัน ตอบกว้างๆนะ ถ้าตอบแคบๆ คือ เรียนบาลีมาด้วยกัน เริ่มต้นวันเดียวกัน แต่ฉันเป็นพระองค์นั้นเป็นเณร เพราะฉันอยู่บ้านนอก พรรษาที่ ๔ ฉันเข้ามาเรียนเปรียญกับเขา องค์นั้นเป็นเณรอายุ ๑๘ เรียนคู่กันมา และผลที่สุดก็กินข้าวมาด้วยกัน ในขณะที่อยู่วัดอนงคารามก็ล่อนํ้าปลาคลุกพริกป่นเหมือนกัน พริกอะไรรู้ไหม พริกแถวสระบุรี แซบอีหลีโลด เผ็ดยิ่งกว่าพริกธรรมดามาก เวลานั้นอยู่ในระหว่างสงคราม ญาติโยมก็หนีสงครามไป และพระก็หนีสงครามไป พระที่ไม่ไปก็อดต้องเอาข้าวสารมาใส่หม้อเข้าหุงเองเลย

ผู้ถาม แล้ววันที่ไปเยี่ยม ท่านมาหาหลวงพ่อบ้างหรือเปล่าครับ
หลวงพ่อ ไม่ใช่มาหา ไปหาเขาน่ะ ถ้าถามมาหาไหม ก็ต้องตอบว่าคุยกัน
ผู้ถาม แต่งตัวสวยงามหรือเปล่าครับ

หลวงพ่อ เขาไปเป็นพรหมชั้นที่ ๗ ถามว่า “ไปเป็นพรหมได้อย่างไร” เขาบอกว่า “ไอ้โรคนี้ทุกขเวทนามันมากขอรับ ผมต้องใช้ขันติอย่างหนัก” และมีคนเล่าให้ฟังว่า โรคนี้ตามธรรมดากระสับกระส่ายมาก ทุรนทุรายมาก แต่องค์นี้ไม่มีอาการเลย เงียบสงบทุกอย่าง พอเขาพูดแบบนั้นก็ปรากฏว่า มีคนที่พยาบาลอยู่มาหาบอกว่าจริงตามนั้นครับ ก็แสดงว่าเวลานั้นจิตเขาเป็นฌาน ถ้าจิตเข้าถึงสมาธิเบื้องต้นหรืออุปจารสมาธิ ทุกขเวทนาจะน้อยมาก ความรู้สึกน้อยมาก ถ้าจิตเป็นฌานมันมีทุกขเวทนาเหมือนกันแต่พอทน อย่างมะเร็งมันเจ็บมากจริงๆ เป็นอันว่าท่านทนได้ขนาดนั้น จึงได้ถามว่า “ทนได้อย่างไร” ท่านบอกว่า ใช้ขันติอย่างหนัก..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 11:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๓๑
พระสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาทมรณภาพ ท่านมาบอกว่าท่านเป็นพรหมชั้นที่ ๗



“..พระสุชัยมุนี หรือ เจ้าคุณสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท ท่านมรณภาพ สำหรับพระองค์นี้ อาตมาขอยอมรับนับถือว่าเป็นพระดีท่านหนึ่ง เพราะว่าเป็นพระดีจริงๆ ไปอยู่ที่ไหนวัดเจริญที่นั่น สำหรับนักบวชที่ทรงศีลบริสุทธิ์ มีสมาธิทรงตัว มีวิปัสสนาญาณพอใช้ได้ อยู่ที่ไหนก็มีแต่ความเจริญ ตอนที่อยู่วัดหางน้ำสาคร มีสภาพผุพังเกือบจะไม่มีอะไรเหลือหรอ ท่านมาอยู่เพียงไม่กี่ปีก็ปรากฏว่าวัดนั้นรุ่งเรือง เมื่อมาอยู่ที่วัดศรีวิชัย ในสมัยก่อนหน้านั้นเต็มไปด้วยความยุ่งและยาก พอท่านเป็นเจ้าคณะจังหวัดเขาให้ท่านมาอยู่ที่วัดศรีวิชัย ความยุ่งก็สงบไป ความยากใดๆ ทั้งหลายก็ไม่มี

ขึ้นชื่อว่าคนดีเสียอย่าง ถ้าคนดีไปอยู่ที่ไหน สถานที่ก็ดีด้วยและคนที่อยู่ในบริเวณนั้นก็ดีด้วย เพราะว่าพระพุทธเจ้าตรัสว่า
อเสวนา จ พาลานัง ปัณฑิตานัญจ เสวนา
ปูชา จ ปูชนียานัง เอตัมมังคลมุตตมัง
“การไม่คบคนชั่วคือคนพาลอย่างหนึ่ง การคบบัณฑิตคือคนดีอย่างหนึ่ง
การบูชาบุคคลที่ควรบูชา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากล่าวเป็นอุดมมงคล”

เจ้าคุณสุชัยมุนี ท่านไม่คบความชั่ว คนชั่วท่านไม่คบ อารมณ์ชั่วท่านก็ไม่คบ ท่านคบแต่อารมณ์ดี คบแต่คนดี คือคนที่เข้าไปหาท่าน ท่านไม่เคยคิดว่าใครจะเลวเห็นว่าดี เป็นอันว่าพระองค์นี้หนักทั้งศีล หนักทั้งสมาธิ หนักทั้งวิปัสสนาญาณ

ขอประทานโทษที่พูดไปนี้ ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายจะเห็นว่าเป็นการอวดอุตตริมนุสสธรรม อาตมาก็ไม่ขอจะติท่าน แต่ขอพูดตามภาพนิมิต เมื่อวันเสาร์หรือวันอาทิตย์ จำไม่ได้ถนัด ปรากฏว่าพระสุชัยมุนีมาหาแสดงตนเป็นพรหม จึงถามว่า “เป็นพรหมชั้นไหน” ท่านตอบว่า “เป็นพรหมชั้นที่ ๗” ถามว่า “ทำไมจึงเป็นพรหม ทำไมไม่ไปให้สูงกว่านั้น” ท่านบอกว่า “ผมไม่ทันท่านเสียแล้ว แต่ว่าไม่เป็นไรผมก็มีความสบายพอ” พอขยับปากจะถามว่า “จะกลับลงมาเกิดอีกไหม” ก็ปรากฏว่าท่านไปเสียก่อน ก็แสดงว่าท่านไม่อยากจะตอบคำถามนั้น

เห็นไหมท่านเป็นถึงเจ้าคณะจังหวัด อาการป่วยของท่านก็มีอยู่เป็นของธรรมดา “ร่างกายเป็นโรคนิทธัง มันเป็นรังของโรค” ขึ้นชื่อว่าโรคมีในร่างกายของคนทุกคน ไม่มีใครคาดฝันว่าท่านจะตายง่ายตายดาย เป็นอันว่าท่านตายแบบสงบ ถ้าตายแล้วไปเป็นพรหม ก็แสดงว่าขณะที่จะตายนั้นท่านเข้าฌานตาย คนที่ตายด้วยกำลังฌาน อย่างเลวที่สุดท่านก็ไปเป็นพรหม แต่ว่าท่านจะเป็นพระอริยเจ้าหรือไม่ อันนี้ไม่ทราบเพราะไม่เคยถามท่าน แต่ก็สงสัยที่ท่านไม่สะสมเงินทองใดๆ ใครจะนินทาว่าร้ายอย่างไรก็ตาม ท่านไม่เคยสนใจกับวาจาของบุคคลอื่น เมื่อพบกันคราวไรก็ปรารภอย่างเดียวถึงธรรมวินัย และทำตนเป็นกันเองเสมอ สมัยที่ท่านยังไม่เป็นเจ้าคณะจังหวัด เคยพบกันแสดงอาการอย่างไร พอเป็นเจ้าคณะจังหวัดก็เป็นอย่างนั้น ไม่เคยคิดว่าท่านมีฐานะสูงส่งอะไร เห็นหน้ากันคราวใดก็คุยกันแบบเพื่อนเหมือนเดิม

ฉะนั้น ขอบรรดาท่านทั้งหลาย ที่ท่านคิดว่าท่านจะไม่ตาย ดูท่านเจ้าคุณสุชัยมุนี เจ้าคณะจังหวัดชัยนาท อยู่ดีๆ ท่านก็ตาย ก็ขอให้ท่านทั้งหลายตัดตัณหาคือความอยาก คืออยากมีชีวิตทรงตลอดไป อยากจะไม่ต้องการมีความแก่ อยากเป็นคนไม่มีโรคภัยไข้เจ็บ อยากเป็นคนไม่พลัดพรากจากของรักของชอบใจ อยากไม่ตาย จงอย่าคิดมัวเมาในชีวิตในสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ควรตัดสินใจว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วอยู่ที่ไหน เราจะไปที่นั่น ถ้าจะถือว่าเกินวิสัยเกินไป ก็เห็นต้องตำหนิใจสักนิดหนึ่ง ที่พระพุทธเจ้ากล่าวว่า “วิริเยนะ ทุกขมัจเจติ” แปลว่า “บุคคลจะล่วงทุกข์ได้เพราะความเพียร” ถ้าบุคคลใดมี อิทธิบาท ๔ บุคคลนั้นจะปรารถนาอะไรก็ได้ จะเป็นพระพุทธเจ้าก็ได้ จะเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าก็ได้ จะเป็นพระอัครสาวกเบื้องขาวเบื้องซ้ายก็ได้ จะเป็นพระอรหันต์ก็ได้..”


เรื่องที่ ๓๒
พระมหาทองปอนด์ วันม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพเมื่อ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒



“..ตอนเช้ามืดเวลาตี ๔ ของวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒ อาตมาตื่นไม่ทันจะลืมตา พอรู้สึกตัวก็เห็นภาพพระสงฆ์องค์หนึ่งลอยอยู่บนอากาศ แต่การลอยของท่านไม่ได้อยู่ในท่ายืนหรือว่าท่าเดิน หรือท่านั่ง เป็นการลอยในท่านอน รูปร่างอ้วนๆ เป็นคนลักษณะท้วม ผิวเนื้อสองสี ลักษณะสูงต่ำประมาณกลางคน จึงพิจารณาดูว่าพระองค์นี้เป็นใคร ตามความรู้สึกว่าพระองค์นี้เคยรู้จักกันมาก่อนและเป็นคนเคยสืบเนื่องกันมาในชาตินี้ แต่มองเท่าไรก็ไม่เห็นหน้าเพราะมีผ้าคลุมหน้าและคลุมทั้งตัว จึงไม่ทราบว่าพระองค์นี้เป็นใคร ลักษณะการนอนตามความรู้สึกบอกว่าพระองค์นี้ตายแล้วและเป็นการตายสดๆร้อนๆ ไม่นานนัก อาจจะไม่ถึง ๒๔ ชั่วโมง ตื่นขึ้นมาเวลานั้นยังไม่ทันภาวนาแต่มีความรู้สึกตัว จิตมีความรู้สึกว่ารับรู้ลมหายใจเข้าออก นิมิตก็เกิด

ถ้าจะถามว่า “เป็นการใช้ทิพย์จักขุญาณใช่ไหม” ต้องตอบว่า “ไม่ใช่” ภาพนี้เป็นภาพที่แสดงให้เห็นเองไม่สามรถจะบังคับได้ ฉะนั้นเมื่อภาพมีผ้าคลุมตลอดตัวจึงไม่สามารถบังคับให้เปิดผ้าได้ ถ้าเป็นทิพย์จักขุญาณก็สามารถบังคับให้เปิดผ้าได้ อยากจะรู้ชื่อของพระองค์นี้นึกเท่าไรก็ไม่สามารถจะรู้ได้ จึงคิดในใจว่าพระองค์นี้ตายแล้วหรือยัง เวลานั้นปรากฏภาพพระขึ้น ๓ องค์เป็นพระที่มีความสำคัญลอยอยู่หน้าพระองค์นี้ แสดงว่าก่อนที่จะตายพระองค์นี้เห็นภาพพระ ๓ องค์ลอยอยู่เบื้องหน้า ก็มีความชื่นใจว่าลักษณะอย่างนี้เกิดขึ้นเป็นอาการบอกถึงความสุขโดยตรง ฉะนั้นพระองค์นี้อย่างต่ำก็ไปสวรรค์ ถ้าจิตใจมีความมั่นคงก็ไปพรหมโลก ถ้าเวลาที่ใกล้จะตาย จิตใจไม่นิยมร่างกายก็ไปพระนิพพาน เรื่องนิพพานเป็นของไม่หนักนักสำหรับบุคคลที่มีความเข้าใจ

ในเมื่อภาพนั้นยังลอยชัด ลืมตาก็เห็นอย่าคิดว่าภาพนี้เห็นเฉพาะหลับตานะ และก็อย่าลืมว่าไม่ใช่ภาพจากทิพย์จักขุญาณแต่เป็นภาพที่แสดงให้ปรากฏ เวลานั้นมีความรู้สึกอย่างหนึ่งว่าพระองค์นี้ท่านจะไปสู่คติชั้นไหน จึงนึกถึงท่านลุงทั้งสอง พอนึกถึงท่าน ท่านลุงก็มาท่านไม่มาเฉพาะ ๒ องค์ เวลานั้นปรากฏว่ามาเต็มไปหมดมากมาย ก็เลยนึกในใจว่าพระองค์นี้มีบุญจริงๆ เวลาตายของท่านมีเทวดามีพรหมสนใจ จึงถามท่านลุงว่า “พระองค์นี้ตั้งแต่เกิดมาเคยทำบาปอกุศลไหม” ท่านลุงก็ตอบว่า “คนที่เกิดมาในโลกนี้จะไม่เคยทำบาปเลยแสนหายาก เกือบจะกล่าวได้ว่าไม่มีใครเลยในโลกที่ไม่เคยทำบาป การบีบมดให้ตายก็บาป บี้ยุงให้ตายก็บาป การด่าเขาก็บาป นินทาเขาก็บาป การพูดปดมดเท็จก็บาป การดื่มสุราเมรัยก็บาป รักคนที่เขาไม่อนุญาตให้ก็บาป ถือเอาของที่บุคคลอื่นไม่ให้มาเป็นของตนโดยไม่ชอบธรรมก็บาป” ท่านบอกว่า “คำว่าบาปย่อมมีแก่คนทุกคน” ถามท่านว่า “ถ้าพระองค์นี้มีบาป เวลานี้ไปสู่สุคติหรือทุคติ” ท่านก็ตอบตรงๆ ว่า “เวลานี้ไปสู่สุคติ” คำว่าสุคติหมายถึงสวรรค์ก็ได้ พรหมโลกก็ได้ พระนิพพานก็ได้

อาตมาถามว่า “กรรมที่เป็นที่น่าข้องใจของพระองค์นี้มีอะไรบ้าง” ท่านบอกว่า “ตัวท่านเองก่อนจะตายท่านมีความกังวลอยู่อย่างหนึ่ง นั่นคือการไปในงานต่างๆ บางครั้งเขาจะสร้างโบสถ์ สร้างวิหาร สร้างเจดีย์ สร้างศาลาการเปรียญ สร้างวัด สร้างอะไรก็ตาม คนเขาถวายปัจจัยกับวัดและแวะมาถวายให้ท่านด้วย อาการนี้ท่านมีความข้องใจอยู่เล็กน้อยคิดว่า เป็นกิจที่ไม่สมควรที่เรานำมาวัดของเรา น่าจะถวายไว้ที่วัดนั้นแต่สิ่งนั้นได้ทำไปแล้ว” ก็ถามท่านว่า “ถ้าอาการอย่างนั้นเป็นบาปหรือไม่บาป” ท่านลุงบอกว่า “เขาตั้งใจถวายเป็นส่วนตัวก็น่าจะเสียสละมอบไว้กับวัดนั้น เพื่อเป็นบุญเป็นกุศลเป็นการสร้างเจริญศรัทธา สร้างความปลื้มใจแก่บรรดาพุทธบริษัท แต่บางครั้งท่านเผลอไปนำกลับมาวัดด้วย อันนี้ไม่เป็นปัจจัยให้เกิดในอบายภูมิ แต่เป็นอุปสรรคขัดข้องนิดหนึ่งที่จะไปพระนิพพาน” จึงถามท่านว่า “มีอารมณ์หนักไหม” ท่านบอกว่า “ไม่หนัก”

ต่อมาในตอนเช้าเวลาประมาณโมงเศษๆ มีเจ้าหน้าที่เอาโทรเลขมาส่งให้ ในโทรเลขนั้นบอกว่า “พระมหาทองปอนด์ วัดม่อนธาตุ จังหวัดอุตรดิตถ์ มรณภาพเมื่อวันที่ ๑๓ มกราคม ๒๕๓๒” ก็เลยนึกในใจว่า พระองค์นี้ไม่ใช่ใคร คือพระมหาทองปอนด์นั่นเอง ความจริงท่านไม่ใช่ลูกศิษย์อาตมาโดยตรง แต่ว่าท่านยอมรับนับถือว่าเป็นครูบาอาจารย์ของท่าน อย่างนี้ถือว่าเป็นลูกศิษย์เหมือนกัน ถ้าจำไม่ผิดดูเหมือนท่านจะเป็นเปรียญ ๖ ประโยค และได้ปริญญาทางพระพุทธศาสนา เป็นด็อกเตอร์จากอินเดีย ต่อมาก็เป็นเจ้าคณะอำเภอที่ศรีสัชนาลัย จังหวัดสุโขทัย ต่อมาก็ลาออกจากเจ้าคณะอำเภอ มาอยู่อิสระ อย่างนี้ก็ถือว่าต้องการวิเวกก็เป็นความดี ในเมื่อได้รับโทรเลขแล้ว อาตมาก็อยากจะไปงานแต่ก็ไปไม่ไหว กำลังป่วยหนักอาการทางท้องเครียดมาก ได้แต่ส่งใจไปช่วย

เป็นอันว่าพระที่มาลอยให้เห็นก็คือพระมหาทองปอนด์ ก่อนที่พระมหาทองปอนด์จะดับชีพ เห็นพระ ๓ องค์ลอยอยู่เบื้องบน จิตใจก็จดจ่ออยู่ที่พระ ๓ องค์นั้น อย่างนี้เป็นอารมณ์ของมหากุศล ขอบรรดาท่านพุทธบริษัทผู้เป็นสาวกขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว

จงพากันรักษาความดีที่มีไว้แล้วให้เหมือนเกลือรักษาความเค็ม..”


เรื่องที่ ๓๓
พระสงฆ์มรณภาพเนื่องจากเครื่องบินตกแล้วไปเกิดเป็นพรหมกับเป็นเทวดา



“..เมื่อบ่ายวันที่ ๒๗ เมษายน ๒๕๒๓ พระหลายองค์ที่มรณภาพเนื่องจากเครื่องบินของบริษัทเดินอากาศไทย สายนครพนม-กรุงเทพฯ ตกที่ทุ่งรังสิต ตอนนั้นอาตมามาสอนพระกรรมฐานที่บ้านสายลมพอดี ลูกศิษย์ทั้งหลายก็ร่วมกันถวายสังฆทานอุทิศส่วนกุศลให้แก่ผู้ที่เสียชีวิต เนื่องจากเครื่องบินตกทั้งหมดในค่ำวันนั้น พระสงฆ์ที่มรณภาพทั้ง ๕ องค์ คือ พระอาจารย์บุญมา ฐิตเปโม พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม) พระอาจารย์จวน กุลเชฏโฐ พระอาจารย์สิงห์ทอง ธมฺมวโร และพระอาจารย์สุพัฒน์ สุขกาโม ก็มาโมทนาบุญสังฆทาน ทั้งหมด ๔ องค์เป็นเทวดา แต่พระอาจารย์วันเป็นพรหม ท่านอาจารย์วันเมื่อเห็นอาตมาก็ขอขมา อาตมาจึงถามว่า “ขอขมาเรื่องอะไร” ท่านอาจารย์วันตอบว่า “ผมเคยปรามาสท่าน” ถามว่า “ไม่ได้รู้จักกันปรามาสได้อย่างไร” ท่านอาจารย์วันตอบว่า “ผมเคยเห็นท่านในวัง เห็นแล้วก็นึกในใจว่า พระมหานิกายธรรมดา” จึงถามว่า “ทำอย่างไรจึงเป็นพรหม” ท่านตอบว่า “พอเครื่องบินโคลง ผมก็เข้าฌานทันที จึงตายในฌาน..”


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2011, 11:59 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


เรื่องที่ ๓๔
ท่านอาฬารดาบสกับท่านอุทกดาบส ตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม



“..เมื่อองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระองค์ทรงต้องการให้คนอื่นมีความสุขด้วย ทรงนึกว่าใครหนอที่จะรับพระธรรมเทศนาที่พระองค์บรรลุแล้วได้ ก็ทรงหวนนึกขึ้นมาได้ว่าท่านอาจารย์ทั้งสองคือ ท่านอาฬารดาบส กับ ท่านอุทกดาบส สองท่านเป็นอาจารย์สอนให้พระองค์ได้สมาบัติ ๘ ฉะนั้นในเมื่อท่านสอนให้ลูกศิษย์ได้สมาบัติ ๘ ได้ ตัวท่านก็ต้องได้สมาบัติ ๘ ด้วย การได้สมาบัติ ๘ คือ รูปฌาน ๔ และอรูปฌาน ๔ จิตละเอียดมาก ถ้ารับพระธรรมเทศนาจากองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแผล็บเดียวก็เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ คำว่า “ปฏิสัมภิทาญาณ” หมายความว่า

๑) ฉลาด ถ้าเขาพูดมาโดยย่อ ก็สามารถอธิบายให้ละเอียด เข้าใจชัดได้
๒) ถ้าเขาพูดมายาวๆ ก็สามารถย่อให้สั้นเข้า พอจำได้
๓) มีความฉลาดในภาษา มีปัญญารอบรู้ทุกอย่าง มีฤทธิ์ด้วยประการทั้งปวง เป็นอันว่าอภิญญา ๖ และวิชชา ๓ มีอะไร ปฏิสัมภิทาญาณก็มีหมด สำหรับปฏิสัมภิทาญาณนี้ต้องทรงสมาบัติ ๘ ก่อน

องค์สมเด็จพระชินวรทรงคิดว่าจะไปเทศน์ให้ท่านอาจารย์ทั้งสองฟังเพื่อจะได้บรรลุมรรคผล ก่อนที่องค์สมเด็จพระทศพลจะทรงทำอะไรท่านมีพระพุทธญาณเป็นเครื่องรู้ ทรงใช้ทิพย์จักขุญาณดูว่าอาจารย์ทั้งสองเวลานี้อยู่ที่ไหน ก็ทราบได้ว่าเวลานี้ อาจารย์ทั้งสองตายจากความเป็นคนไปเกิดเป็นอรูปพรหม ไม่มีอายตนะคือไม่มีเครื่องรับ ไม่มีตาจะรับ ไม่มีหูจะรับ มีแต่ตาไม่มีหู ตีใบ้ก็ยังใช้ได้ มีแต่หูไม่มีตา ใช้เสียงก็ยังดี แต่นี่ไม่มีทั้งหูทั้งตา มีแต่จิตลอยเคว้งคว้างอยู่ในอากาศ สมเด็จพระบรมโลกนาถก็ทรงปลงอนิจจังว่า “โอหนอ น่าเสียดายอาจารย์ทั้งสอง ฉิบหายจากความดีเสียแล้ว” เพราะว่าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไม่มีโอกาสจะสนองคุณท่านอาจารย์ทั้งสอง เนื่องจากไม่มีอายตนะจะรับ ความจริงพราหมณ์เขาก็เก่ง เขามีการสอนกันถึงสมาบัติ ๘


พรหมที่ว่ามี ๒๐ ชั้น เป็นพรหมที่มีรูป ๑๖ ชั้นและพรหมที่ไม่มีรูปที่เรียกกันว่าอรูปพรหมอีก ๔ ชั้น ความจริงไม่ได้เป็นชั้นที่ต่อสูงขึ้นไปเป็นชั้นที่ ๑๗,๑๘,๑๙,๒๐ หมายถึงไม่ได้อยู่สูงกว่าพรหมที่มีรูปและอรูปพรหมไม่ได้ตั้งปนอยู่กับรูปพรหม แต่อยู่ในช่องกึ่งกลางระหว่างรูปพรหมชั้นที่ ๘ กับรูปพรหมชั้นที่ ๙ จะเห็นเป็นทะเลอากาศขาวเป็นประกายระยิบระยับแพรวพราว มีความกว้างขวางมองหาที่สุดของพื้นที่ไม่ได้ หาวิมานสักหลังก็ไม่มี หารูปกายสักรูปหนึ่งก็ไม่มี สิ่งที่จัดว่าเป็นวัตถุในด้านของความเป็นทิพย์สักหน่อยหนึ่งก็ไม่มี แดนนี้เขาเรียกว่าแดนอรูปพรหม ที่เขาบอกว่าเป็นพรหมแล้วมีรูปร่างเหมือนฟักแฟง แบบนี้ยังไม่รู้จริง ถ้าหากว่ารูปไม่มีแล้วอะไรเป็นพรหม ก็จิตของพรหมแต่ละพรหมที่เห็นเป็นประกายระยิบระยับแพรวพราวอยู่ในบริเวณของอากาศนั้นแต่ไม่มีรูป พรหมทั้งหลายพวกนี้ไม่มีรูปก็เพราะในสมัยที่เป็นมนุษย์เขาไม่ต้องการรูปเขาเกลียดรูป เนื่องจากเวลาหนาวก็ดี ร้อนก็ดี หิวก็ดี กระหายก็ดี ป่วยไข้ไม่สบายก็ดี ปวดอุจจาระปัสสาวะก็ดี ถูกเพื่อนต่อว่าหรือถูกเจ้าหนี้มาทวงหนี้ก็ดี เขาคิดว่าอาการที่ไม่ชอบใจทั้งหมดเป็นเพราะมีร่างกายเป็นสำคัญ ถ้ายังมีร่างกายอยู่เพียงใด ความทุกข์ทั้งหลายเหล่านี้ก็จะปรากฏแก่เรา ฉะนั้นจึงได้บำเพ็ญบารมีในด้านอรูปฌานคือ

๑) อากาสานัญจายตนะ พิจารณาอากาศเป็นสำคัญว่า อากาศหาที่สุดมิได้
๒) แล้วพิจารณา วิญญาณัญจายตนะ ดูวิญญาณว่า วิญญาณนี้ก็หาที่สุดมิได้เหมือนกัน
๓) แล้วก็ได้ อากิญจัญญายตนะ ถือว่าในโลกนี้ไม่มีอะไรเป็นสำคัญ มันสลายตัวหมด
๔) แล้วก็พิจารณา เนวสัญญานาสัญญายตนะ เลยทำอารมณ์ของตัวเป็นคนที่มีความจำแต่ทำเหมือนว่าจำไม่ได้ คือไม่รับรู้อะไรทั้งหมด

สำหรับอรูปพรหมทั้งหมด ๔ ชั้นนี้เป็นพรหมที่มีความอาภัพมาก เพราะว่าเวลาพระพุทธเจ้าเทศน์โปรดไม่มีโอกาสจะรับฟัง ไม่เหมือนบรรดารูปพรหมทั้งหลายที่มีโอกาสฟังเทศน์จากพระพุทธเจ้า เมื่อฟังเทศน์แล้วแต่ละคราว บรรดาพรหมที่เป็นพระอริยเจ้าอยู่บ้างก็เป็นพระอรหันต์เข้านิพพานไป บรรดาพรหมที่ทรงฌานโลกีย์ก็เป็นพระอริยเจ้าเสียก็มาก เป็นอันว่าพรหมมี ๒๐ ชั้นก็จริง เป็นรูปพรหมเสีย ๑๖ ชั้น ตั้งอยู่ระดับหนึ่ง สำหรับอรูปพรหม ๔ ชั้นอยู่อีกเขตหนึ่งไม่ได้ปนกัน..”


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 80 โพสต์ ]  ไปที่หน้า 1, 2, 3, 4, 5, 6  ต่อไป

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร