วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 04:27  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 26 ต.ค. 2019, 15:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


การละกิเลสด้วย ศีล สมาธิ ปัญญา
พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
แสดงธรรม ณ โรงพยาบาลสงฆ์ กรุงเทพมหานคร
เมื่อวันที่ ๑ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๒๕


รูปภาพ

ณ โอกาสต่อไปนี้ จะได้นำธรรมะอันเป็นคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
มากล่าวบรรยายเพื่อประดับสติปัญญาของท่านผู้ฟัง
แต่ความจริงการศึกษาธรรมะและการฟังธรรมะนั้น เราฟังกันมาจนมากมายแล้ว
เข้าใจว่าสมาคมนี้มีนักศึกษาธรรมะและนักรู้ธรรมะที่มีความละเอียดลึกซึ้งมาก
แต่การรู้ธรรมะ หรือธรรมะที่เราศึกษารู้ตามตำรับตำรานั้น
เป็นแต่เพียงเครื่องอุปกรณ์หรือแผนที่ ที่เราจะถือเป็นหลักดำเนินการปฏิบัติ

ณ บัดนี้ เราทั้งหลายก็ได้สมาทานเบญจศีล คือศีล ๕
อันเป็นหลักการที่เราจะละกิเลส ด้วยเจตนาคือความตั้งใจ
กิเลสบางอย่างเราละได้ด้วยความตั้งใจที่จะละ
เช่น กิเลสส่วนหยาบๆ ที่เป็นไปในทางกาย ทางวาจา อันนี้เป็นหลักการละได้
เช่นอย่างศีล ๕ เมื่อท่านสมาทานมาแล้วสักครู่นี้
อันนี้เป็นหลักการละกิเลส ที่จะพึงก้าวล่วงทางกาย ทางวาจา
กิเลสส่วนนี้เราตั้งใจเจตนางดเว้น โดยไม่ล่วงละเมิดสิกขาบทนั้นที่เราสมาทานมา
และการละกิเลสด้วยการตั้งใจนี้ บางทีอาจจะมีการขาดตกบกพร่อง
แต่เราก็ตั้งใจพากเพียรพยายามที่จะละ
คืออาศัยความพยายามพากเพียรที่จะละบ่อยๆ ละให้มากๆ
เป็นการฝึกหัดนิสัยของเราให้เคยชินต่อการละกิเลสส่วนนี้
เมื่อหนักๆ เข้า นิสัยที่เราฝึกหัดจนเคยชินนั้น มันจะกลายเป็นนิสัย
และกลายเป็นอุปนิสัยคือความเคยชิน
เมื่อเป็นอุปนิสัยแล้ว เจตนาที่จะละเว้นกิเลสส่วนนี้
มันจะกลายเป็นสภาพความเป็นเอง ซึ่งจะเป็นคุณธรรมเกิดขึ้นประจำจิตของเรา
เมื่อเป็นเช่นนั้นเราก็จะกลายเป็นผู้มีสติสัมปชัญญะ รู้สึกสำนึกผิดชอบชั่วดี
จนกลายเป็นอุปนิสัยที่แท้จริงฝังแน่นอยู่ในจิตของเรา

หลักการละความชั่ว ประพฤติความดี ในขั้นศีลธรรม
ซึ่งเป็นไปโดยความตั้งใจนั้น ก็หมายถึงละความชั่วตามกฎของศีล ๕ ประการ
ดังที่ท่านทั้งหลายได้สมาทานมาแล้วนั้น
แต่สำหรับกิเลสซึ่งเป็นสิ่งที่ฝังแน่นอยู่ในจิตใจของเรามาตั้งแต่นมนานนั้น
เราจะต้องอาศัยการฝึกหัดอบรมในทางจิต
ในเมื่อกล่าวถึงการอบรมในทางจิต
จะหนีไปจากหลักของการบำเพ็ญสมาธิ
หรือเจริญภาวนาด้วยอุบายอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้
เพราะการบำเพ็ญสมาธิเท่านั้น จะเป็นพื้นฐานให้จิตของเรามั่นคง
ในการที่จะตั้งใจมั่นต่อการละความชั่วและประพฤติความดี
วิธีการบำเพ็ญสมาธิก็มีหลายแบบหลายอย่าง แต่จะด้วยประการใดก็ตาม
สำคัญอยู่ที่ผู้ปฏิบัติจะต้องตั้งใจกำหนดรู้ลงที่จิตของตน
โดยอุบายวิธีที่จะเหนี่ยวเอาอารมณ์อย่างใดอย่างหนึ่ง
มาเป็นเครื่องบริกรรมภาวนาหรือเป็นอารมณ์พิจารณา
เพื่อเป็นอุบายให้เราได้ พละ หรือ อินทรีย์
คือ ศรัทธาพละ ทำให้เราเกิดศรัทธาในการที่จะปฏิบัติ
วิริยะพละ ทำให้เราเกิดความพากเพียรในการปฏิบัติ
สติพละ ความตั้งใจที่จะปฏิบัติ
สมาธิพละ ความมั่นคงในการที่จะปฏิบัติ
และปัญญาพละ ความรอบรู้ภายในดวงจิต
ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่นักปฏิบัติจะพึงอบรมให้เกิดให้มีขึ้น

ดังนั้นการบำเพ็ญสมาธิ โดยหลักความเป็นจริงแล้ว
เรามุ่งที่จะให้จิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ มีอุปจารสมาธิและอัปปนาสมาธิ เป็นลำดับ
จนกระทั่งได้บรรลุฌาน คือ ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน และจตุตถฌาน
ซึ่งเป็นพื้นฐานเบื้องต้น ทำให้จิตได้สมถะ
เพราะสมถกรรมฐานหรือสมถจิตนั้น เป็นพื้นฐานให้เกิดสติปัญญา
เพราะฉะนั้นการบำเพ็ญสมาธินี้
จึงเป็นสิ่งจำเป็นที่เราทุกคนจะต้องตั้งใจบำเพ็ญกันอย่างจริงจัง

ถ้าหากว่านักปฏิบัติทั้งหลายมาตั้งใจที่จะบำเพ็ญสมาธิภาวนากันอย่างแท้จริง
โดยตัดความลังเลสงสัยใดๆ ออกจากจิตใจให้หมดสิ้นแล้ว
แม้เราจะยึดเอาอารมณ์กรรมฐานอย่างใดอย่างหนึ่งมาเป็นคู่ของใจ
แม้แต่บริกรรมภาวนาพุทโธ พุทโธ พุทโธ หรือยุบหนอ พองหนอ ก็ตามแต่
หรือจะเอาอะไรอย่างใดอย่างหนึ่ง มาเป็นเครื่องพิจารณาของจิตก็ได้ทั้งนั้น
บริกรรมภาวนาก็ดี หรือการพิจารณาอะไรก็ดี จุดมุ่งหมายเพื่อให้จิตมีสมาธิ
และเป็นการอบรมสติให้สตินั้นกลายเป็นมหาสติปัฏฐาน


เมื่อจิตได้กลายเป็นมหาสติปัฏฐานแล้ว สติประกอบกับจิต กลายเป็นตัวผู้รู้
ผู้รู้ซึ่งได้นามว่าพุทธะเกิดขึ้นกับจิตของผู้ปฏิบัติ
นับจำเดิมจากนั้นจิตก็สามารถปฏิวัติตัว ไปสู่ภูมิจิต ภูมิธรรม ได้ตามลำดับขั้น
ซึ่งทั้งนี้สุดแล้วแต่ความพากเพียรพยายามของท่านผู้ใด
ดังนั้น การศึกษาธรรมะก็ดี การเรียนธรรมะก็ดี
ถ้าปราศจากการปฏิบัติอย่างจริงจังแล้ว
ผลที่จะพึงเกิดจากการปฏิบัตินั้น ย่อมไม่มี
ดังนั้นสิ่งที่จำเป็นจริงๆ ก็คือการปฏิบัติจริง ทำจริง

อาศัยหลักที่ว่า ภาวิตา อบรมให้มากๆ พหุลีกตา กระทำให้มากๆ
เช่น อย่างเราจะเอาคำภาวนาพุทโธๆ พุทโธ เป็นต้น ก็ดี
ถ้าท่านผู้ใดจะคิดหรือตัดสินใจให้แน่วแน่ลงไปว่า
ลองดูซิฉันจะภาวนาพุทโธอย่างเดียว แล้วมันจะมีผลอะไรเกิดขึ้นหรือไม่
แล้วก็ตั้งใจนั่งบริกรรมภาวนาพุทโธ
หรือเราจะไม่นั่งก็ตาม เดินภาวนาพุทโธ ก็ได้
ยืนภาวนาพุทโธ ก็ได้ นอนภาวนาพุทโธ ก็ได้
ยืน เดิน นั่ง นอน กิน ดื่ม ทำ พูด คิด ทำสติกำหนดจิตนึกพุทโธไว้ในใจ
เอา พุทโธ เป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ
จนสามารถทำจิตให้จดจ่ออยู่กับคำว่าพุทโธ
แม้ว่าในขั้นต้นนี้ จิตของเรายังไม่สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
ตามแบบฉบับตามที่ท่านกล่าวไว้แล้วก็ตาม
แต่ปัญหาสำคัญเมื่อจิตของเรามาอยู่กับพุทโธเป็นส่วนมากแล้ว
แล้วเราจะมีความรู้สึกกับอารมณ์อื่นๆ นั้นอย่างไร
เข้าใจว่าถ้าจิตมีเครื่องยึด จิตมีเครื่องอยู่
จิตของเราคงจะพรากจากอารมณ์ที่วุ่นวายต่างๆ
ให้เข้ามาจดจ่ออยู่กับคำว่าพุทโธ เมื่อเวลากระทบอารมณ์สิ่งใดเข้าแล้ว
โดยที่ไม่ได้ตั้งใจ จิตของเราจะวิ่งไปหาพุทโธ
แล้วก็อาจจะบรรเทาความวุ่นวายที่จะเกิดขึ้นกับจิตได้บ้าง
อันนี้เป็นผลที่เราจะได้รับจากการภาวนาพุทโธ

การที่เราจะทำสมาธิภาวนาให้ได้รับผลจริงจังนั้น
อยู่ที่การกระทำจริงและทำให้มากๆ เป็นสำคัญ
การภาวนาพุทโธๆ พุทโธนี้ แม้ว่าบางท่านอาจจะกล่าวว่า
การภาวนาพุทโธ จิตเป็นได้แค่เพียงขั้นสมถกรรมฐาน ไม่ถึงขั้นวิปัสสนากรรมฐานก็ตาม
แต่ขอให้ท่านลองทำดูซิว่า เมื่อสามารถที่จะภาวนาพุทโธ ทำจิตให้สงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ
เมื่อจิตภาวนาพุทโธแล้ว จิตสงบลงไปพอสว่างขึ้นมา คำว่าพุทโธนั้นจะหายไป
ในเมื่อพุทโธหายไปแล้ว จิตของผู้ปฏิบัติภาวนานั้นน้อมเข้าไปสู่ลมหายใจ
ยึดเอาลมหายใจเข้าออกเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ
ตามรู้ลมหายใจเข้าไปเรื่อยๆ เพียงแต่รู้อยู่ที่ลมหายใจอย่างเดียวเท่านั้น
แล้วจิตจะค่อยสงบละเอียดลงไปทีละน้อย ทีละน้อย
จนกระทั่งผ่านอุปจารสมาธิแล้ว ก็เข้าไปถึงอัปปนาสมาธิตามลำดับ

เมื่อจิตเข้าไปถึงจุดที่เรียกว่าอัปปนาสมาธินั้น
ขอทำความเข้าใจกับท่านผู้ปฏิบัติอีกครั้งหนึ่งว่า
จิตอยู่ในอัปปนาสมาธิจะมีลักษณะนิ่งๆ แล้วก็มีความสว่างเป็นเครื่องหมาย
สมาธิที่ถูกต้องและสมาธิที่แท้จริงนั้น ย่อมมีความสว่างภายในจิตเป็นเครื่องหมาย
ถ้าสมาธิอันใดมืดไม่มีความสว่าง สมาธิอันนั้นท่านเรียกว่าโมหสมาธิ

ความสว่างของจิตนั้น เป็นสัญลักษณ์ที่จะทำให้จิตมีสติสัมปชัญญะดีขึ้น
และความรู้สึกของผู้ทำให้ถึงขั้นอัปปนาสมาธิได้นั้น
จะมีความรู้สึกอยู่ภายในจิตอย่างเดียว
ความรู้สึกของจิตที่จะติดต่อไปโลกภายนอกไม่มี
เพราะในขณะนั้น ลมหายใจได้หายขาดไปแล้ว เมื่อลมหายใจหายขาดไปแล้ว
ลมหายใจก็เป็นกายส่วนหนึ่ง ร่างกายที่เป็นตัวเป็นตนนี้ก็หายไป
ในเมื่อตัวตนโดยสมมติบัญญัติคือกายหายไปแล้ว ลมหายใจก็หายไปแล้ว
ตัวตนที่เรียกว่าอัตตทีปะ มีตนเป็นเกาะ อัตตสรณะ มีตนเป็นที่พึ่ง
คือจิต จะปรากฏเด่นชัด ในเมื่อจิตปรากฏเด่นชัด และความรู้สึกภายในจิตเด่นชัด
นั่นแหละคือคำที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า อัตตา หิ อัตตโน นาโถ ตนเป็นที่พึ่งของตน
เมื่อใครทำจิตให้บรรลุถึงขั้นนี้ ก็จะได้รู้สึกในทันทีว่า
อัตตาตัวตนที่เป็นที่พึ่ง เป็นที่เกาะ หรือมีตนเป็นสรณะนั้น จะปรากฏอย่างเด่นชัด
และในบางครั้ง ถ้าผู้มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้หน่อย
ก็จะเกิดความรู้ขึ้นมาว่า แท้ที่จริงอัตตาตัวตนที่เป็นรูปร่างกายนั้น
มันไม่ใช่ตัวตนอย่างแท้จริง ไม่ใช่ที่พึ่งพาอาศัยกันอย่างแท้จริง
แต่แท้ที่จริงตัวตนที่เป็นที่พึ่งที่อาศัยก็คือจิต
ดวงจิตที่ปรากฏเด่นชัดอยู่นั่นแหละ จะเป็นตัวตนที่พึ่งที่อาศัย
และอีกอย่างหนึ่งที่จะทำให้ผู้ภาวนานั้นรู้จักว่าอะไรคือตัวตน
ตัวตนที่จะเป็นที่พึ่งอย่างจริงจังนั้นคืออะไร
นอกจากว่าจะรู้ว่าตัวตนอันเป็นที่พึ่งของตัวเองอย่างแท้จริงคืออะไรแล้ว
ย่อมจะสามารถรู้ว่า สภาพจิตเดิมอันแท้จริงนั้นคืออะไร

ในขณะที่เรามีความรู้สึกอยู่อย่างนั้น จิตของเราจะรู้สึกว่ามีความบริสุทธิ์สะอาด
และเรียกว่าเป็นจิตที่อยู่เหนือความสุขความทุกข์ เพราะในขณะที่สภาพจิตเป็นเช่นนั้น
สุขก็ไม่ปรากฏ ทุกข์ก็ไม่ปรากฏ เป็นสภาพจิตที่นิ่งอยู่เฉยๆ
ในขั้นนี้ ถึงแม้ว่าสติปัญญาอย่างอื่นจะไม่เกิดขึ้นในขณะนั้นก็ตาม
หากใครสามารถทำจิตให้บรรลุถึงความเป็นเช่นนี้บ่อยๆ เข้า
จะเป็นฐานที่ให้เกิดสติ เกิดสัมปชัญญะ ซึ่งมันจะเกิดอย่างที่เราไม่รู้สึกตัว
ทีนี้ตามตำราที่ท่านกล่าว่า จิตอยู่ในสภาพของสมถกรรมฐานนั้น
ย่อมไม่มีความรู้ที่จะเกิดขึ้นในขณะนั้น
อันนี้เป็นความจริง ใครๆ อย่าไปปฏิเสธมติอันนี้

แต่ทีนี้เราอาจจะเกิดสติปัญญาขึ้น
ต่อเมื่อจิตของเราถอนจากสมาธิในขั้นนี้ออกมาแล้ว
เราจะมีสติสัมปชัญญะตามรู้ เมื่อจิตเกิดความคิดขึ้นมา
โดยธรรมชาติของจิตแล้ว จะไปสงบนิ่งอยู่ตลอดกาลไม่ได้
ถึงคราวถึงกาลถึงเวลาแล้ว จิตก็ย่อมถอนออกมาจากสมาธิ
ในเมื่อจิตถอนออกมาจากสมาธิ ก็เกิดความรู้สึกขึ้นมา
จิตก็จะมีความคิดเกิดขึ้น จิตจะคิดเรื่องอะไรไม่สำคัญ
สำคัญอยู่ตรงที่ว่า สติ ตัวที่จะตามรู้ทันความคิดนั้น เป็นตัวการที่สำคัญ
ถ้าหากผู้ภาวนาไม่ด่วนพรวดพราดออกจากการปฏิบัติสมาธิ
ใช้เวลาตามกำหนดรู้ตามความคิดของตนเองไป
ความคิดอันนั้นกลายเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติ
ในเมื่อจิตมีความคิด จิตก็มีเครื่องรู้
ในเมื่อจิตมีเครื่องรู้ สติก็มีเครื่องระลึก
ถ้าหากว่าจิตตามรู้ทัน หรือสติตามรู้ทันความคิดเมื่อไร
ความคิดอันนั้นจะกลายเป็นภูมิความรู้ กลายเป็นภูมิปัญญาของผู้ปฏิบัติ
แต่ท่านผู้นั้นไม่หลงความคิดของตัวเอง

ถ้าหากสติสัมปชัญญะมีพลังแก่กล้า
แม้จิตจะเกิดความรู้ความคิดอะไรขึ้นมาก็ตาม
ความรู้และความคิดอันนั้นจะกลายเป็นภูมิปัญญาของจิต
จิตอาจจะคิดเรื่องดีก็ได้ อาจจะคิดเรื่องชั่วก็ได้
แต่สำคัญอยู่ที่ตัวสติซึ่งรู้เท่าทันความคิดอันนั้น
เมื่อคิดขึ้นมาแล้วจิตไม่มีความยึด
เมื่อไม่มีความยึดกับความคิดของตนเอง
ปฏิกิริยาพึงให้เกิดความยินดีความยินร้ายย่อมไม่มี
เป็นแต่เพียงกิริยาสักว่าคิดๆ แล้วก็ปล่อยว่างไป เมื่อเป็นเช่นนั้น
สติตัวผู้รู้มันก็จะตามทันความคิดของตัวเองตลอดไป

ถ้ายิ่งตามกำหนดรู้ความคิดนี้ ถ้าสติตามทันความคิด
ความคิดอันนี้มันยิ่งจะเกิดมากขึ้น
เพราะยิ่งจ้องดู ยิ่งตามรู้ตามเห็น ยิ่งตามทันเท่าไร
ความคิดมันยิ่งจะเกิดมากขึ้นเท่านั้น
บางทีมันอาจจะเกิดขึ้นมาอย่างที่เราไม่สามารถจะกำหนดทัน
ถ้าสติอ่อนเมื่อไร กำหนดตามรู้ความคิดไม่ทัน
จิตไปหลงยึดถือสิ่งนั้นๆ เข้า มันก็เกิดเป็นตัวกิเลส
ถ้ายินดีก็เป็นกามตัณหา ถ้าติดก็เป็นภวตัณหา ถ้าหากว่ายินร้ายก็เป็นวิภวตัณหา
ถ้าจิตคิดแล้ว มีสภาพปกติ มีแต่ความปกติเป็นหนึ่ง ไม่ยึด ไม่หลง
ไม่เกิดความยินดี ไม่เกิดความยินร้าย นั่นแหละคืออาการดับกิเลส

ความคิดที่เรายังไม่มีสมาธิ ที่เรายังไม่มีสติสัมปชัญญะรู้เท่าทันความคิด
ความคิดอันนั้นสามารถที่จะเอาจิตของเราไปบดขยี้
ให้เกิดความสุข ให้เกิดความทุกข์ ซึ่งสุดแท้กิเลสจะปรุงไป
อันนี้เป็นความคิดในสมัยที่เรายังไม่มีสมาธิ
ไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ อันเป็นพละหรือเป็นอินทรีย์
แต่ถ้าหากว่าจิตผ่านความเป็นสมาธิบ่อยๆ สติก็จะกลายเป็นพละ เป็นอินทรีย์
สามารถที่จะรู้ทันกับความรู้สึกนึกคิดที่เกิดขึ้นภายในจิตได้
และจะสามารถประคับประคองจิตให้ดำเนินไปสู่ภูมิจิตภูมิธรรมได้
เมื่อจิตรู้เท่าทันอารมณ์ คือความคิดที่เกิดขึ้นในจิต มันก็กลายเป็นตัวสติปัญญา

ปัญญานี้ ถ้าจะว่ากันตามความเข้าใจโดยทั่วๆ ไป
ปัญญาที่เราใช้สัญญาแล้วมาน้อมนึกคิดพิจารณาธรรมะตามที่เราเข้าใจ
โดยความตั้งใจ อันนี้มันเป็นสติปัญญาธรรมดาๆ
แต่ถ้าปัญญาที่เกิดจากสมาธิ อันนั้นมันเป็นสมาธิปัญญา
แต่เราจำเป็นจะต้องอาศัยปัญญาในขั้นจินตามยปัญญาหรือสุตมยปัญญา
ที่เกิดจากการคิด ที่เกิดจากการฟัง
แล้วก็น้อมนำมาพินิจพิจารณาตามหลักการ
เช่น เราจะพิจารณาพระไตรลักษณ์ว่าสิ่งนี้ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา
เราใช้สติปัญญาไปอย่างธรรมดาๆ ค้นคิดพิจารณาไปตามหลักที่เราเรียนรู้มา
และพร้อมๆ กันนั้น ก็พยายามทำจิตให้เป็นสมาธิไปด้วย
เมื่อจิตสงบลงไปเป็นสมาธิเมื่อไร เมื่อนั้นปัญญาที่เกิดจากความคิด
ปัญญาที่เกิดจากฟัง มันก็จะเป็นคุณธรรมอุดหนุน
ให้เกิดปัญญาในขั้นสมาธิปัญญา หรือภาวนามยปัญญา

ปัญญาตามสัญญาหรือความทรงจำ
เป็นอุปกรณ์ทำให้เกิดปัญญาในขั้นสมาธิภาวนา เป็นสิ่งที่อาศัยซึ่งกันและกัน
เพราะการบริกรรมภาวนาก็ดี การค้นคิดพิจารณาตามสัญญาที่เราเรียนมาก็ดี
ทั้งสองอย่างนี้ เป็นอุปกรณ์ให้จิตเกิดสมาธิ
แต่สมาธิที่เกิดจาการบริกรรมภาวนานั้น
ส่วนมากเมื่อจิตสงบลงไปแล้วจะไม่ค่อยเกิดความรู้อะไรขึ้นมา
แต่ถ้าสมาธิที่เราได้ผ่านการพิจารณาอะไรมาแล้ว
เมื่อจิตสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ จะทำให้เกิดมีปัญญาในสมาธิขึ้นมา
เพราะอาศัยปัญญาความรู้ในทางที่เราทรงจำมาด้วยสัญญานั้น
เป็นคุณธรรมที่เกื้อกูลอุดหนุนกันไป

นี้คือข้อสังเกตในการที่เราจะพึงทำความเข้าใจในขณะที่บำเพ็ญภาวนา
และถ้าหากว่าจิตของเราได้ผ่านการพิจารณาอะไรมาแล้ว
เมื่อจิตสงบลงไปในขั้นอุปจารสมาธิ ถ้าเกิดสติปัญญาความรู้ขึ้นเอง
สติปัญญาความรู้อันนั้นยังจะมีสมมติบัญญัติอยู่
เมื่อจิตรู้อะไรขึ้นมายังจะเรียกชื่อสิ่งที่รู้นั้นว่า เป็นสิ่งนั้นเป็นสิ่งนี้ สิ่งนี้เป็นอย่างนั้น
แต่ถ้าจิตสงบละเอียดลงไปกันจริงๆ แล้ว
จะใช้คำว่าจิตอยู่ในระดับของอัปปนาสมาธิก็สุดแล้วแต่ผู้ฟังจะเข้าใจ
แต่ประสบการณ์บางครั้งที่มันเกิดขึ้นนั้น
จิตอยู่ในลักษณะที่สงบนิ่งสว่าง มีความสว่างไสว
แต่ถ้าหากว่ามีสิ่งที่ผ่านเข้ามาเป็นเครื่องรู้ของจิต เป็นเครื่องระลึกของสติอยู่ตลอดเวลา
แต่สิ่งที่รู้ที่ปรากฏขึ้นมานั้น จิตไม่มีความสำคัญมั่นหมายว่าจะเรียกสิ่งนั้นว่าเป็นอะไร
มีแต่สิ่งที่มีอยู่ เป็นอยู่ตลอดเวลา
อันนี้คือลักษณะของภูมิจิตที่สงบอย่างละเอียด แล้วเกิดภูมิความรู้ขึ้นมา
เข้าใจว่าสัจธรรมที่เกิดขึ้นกับจิตนั้นย่อมอยู่เหนือสมมติบัญญัติ
แม้ในขณะนั้น จิตตัวผู้รู้เขาก็จะไม่สมมติเรียกตัวเขาเองว่าจิตตัวผู้รู้
แม้แต่สิ่งที่รู้ที่ปรากฏอยู่นั้น จิตก็ไม่เรียกว่าอะไร
เข้าใจว่าภูมิความรู้ในขั้นนี้ อยู่ในขั้นที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติ
ของจริงที่ปรากฏขึ้นในจิตของผู้ภาวนานั้น
จะต้องอยู่เหนือสมมติบัญญัติเสมอ ถ้าสิ่งใดที่ยังมีสมมติบัญญัติอยู่
สิ่งนั้นก็ยังไม่ใช่ความจริง หรือยังไม่ใช่สัจธรรมนั่นเอง

การทำสมาธินั้น ขอให้ทุกท่านจงเข้าใจว่า สมาธิเป็นกิริยาของจิต
ส่วนการนั่งก็ดี การยืนก็ดี การเดินก็ดี การนอนก็ดี
อันนั้นเป็นแต่การเปลี่ยนอิริยาบถ

นั่งกำหนดจิต บริกรรมภาวนา หรือพิจารณาอะไรก็ตาม เรียกว่านั่งสมาธิ
ถ้าการกำหนดจิตหรือบริกรรมภาวนา พิจารณาอะไร ไปในท่าเดินเรียกว่าเดินจงกรม
ถ้ากำหนดจิตพิจารณาหรือบริกรรมภาวนาในท่ายืน เรียกว่ายืนสมาธิ ยืนทำสมาธิ
ถ้านอนสีหไสยาสน์ กำหนดจิต บริกรรมภาวนาหรือพิจารณา ก็เรียกว่านอนทำสมาธิ
การทำสมาธิในท่านั่ง ท่ายืน ท่าเดิน ท่านอน
ใช้กิริยาอาการกำหนดจิต บริกรรมภาวนา หรือพิจารณาอย่างเดียวกันหมด
อันนั้นเป็นแต่เพียงเปลี่ยนอิริยาบถ เพื่อให้ร่างกายสบายพอสมควรเท่านั้นเอง
เพราะฉะนั้นการปฏิบัติสมาธิอย่าไปติดวิธีการ
ถ้าจะติดก็ให้ติดวิธีกำหนดจิต หรือบริกรรมภาวนา
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การบริกรรมภาวนานี้
เป็นอุบายทำจิตให้ติดอยู่กับสิ่งๆ หนึ่งในเบื้องต้นก่อน
เพื่อจิตจะได้พรากจากความคิดที่วุ่นวายกับเรื่องอื่นๆ
แล้วมารวมกับสิ่งๆ เดียว คือบริกรรมภาวนานั้น
เราจะได้ทดสอบว่า จิตของเราอยู่กับบริกรรมภาวนานั้นหรือเปล่า
แล้วก็เป็นอุบายที่จะทำให้จิตมีสมาธิ

ดังนั้น ณ โอกาสต่อไปนี้ ขอทุกท่านได้โปรดกำหนดจิตทำสมาธิ
ตามแบบฉบับที่ตนเคยฝึกหัดชำนิชำนาญมาแล้ว จะเป็นแบบใดก็ตาม
สมาธิแต่ละแบบๆ นั้น ความมุ่งหมายก็อยู่ที่ว่าทำจิตให้เป็นสมาธิ
ให้มีสติปัญญา ให้รู้จริงเห็นจริงในสภาวธรรม
แล้วก็เป็นอุบายให้จิตปล่อยวางความยึดมั่นถือมั่นในสิ่งต่างๆ
ไม่ให้เกิดมีอาการของกิเลสขึ้น หรือให้หมดกิเลสเป็นที่สุด อันนี้คือจุดมุ่งหมาย



:b8: :b8: :b8: จาก : หนังสือ ธรรมปฏิบัติและตอบปัญหาการปฏิบัติธรรม
โดย พระภาวนาพิศาลเถร (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย), พ.ศ.๒๕๓๐
กรุงเทพฯ : หอรัตนชัยการพิมพ์


หมายเหตุ : ธรรมบรรยายเรื่องนี้เขียนไว้เมื่อครั้งที่ พระราชสังวรญาณ (หลวงพ่อพุธ ฐานิโย)
ยังดำรงสมณศักดิ์ที่ พระภาวนาพิศาลเถร


:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อพุธ ฐานิโย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=50583

:b44: รวมคำสอน “หลวงพ่อพุธ ฐานิโย”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=40915

:b44: ประมวลภาพ “หลวงพ่อพุธ ฐานิโย” วัดป่าสาลวัน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=28489


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron