ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
เกร็ดธรรมชวนยิ้มของ “หลวงพ่อพุธ ฐานิโย” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=90&t=55933 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ชาติสยาม [ 06 เม.ย. 2009, 16:36 ] |
หัวข้อกระทู้: | เกร็ดธรรมชวนยิ้มของ “หลวงพ่อพุธ ฐานิโย” |
จาก...หนังสือ ฐานิยปูชา กรุณาจับเก้าอี้ไว้ดีๆ ครับ ใครไม่รู้เห็นว่าศึกษาธรรมะจนบ้าไปแล้ว เอิ๊กๆ อ๊ากๆ อยู่คนเดียว คงคิดกันไม่ถึงว่า มุขครูบาฯ เข้าขั้นเทพ คนโพสต์โพสต์ไปก็เจ็บกระบังลมไป ขอเตือนไว้ก่อน เอาละครับ ---------------- เจิมรถ งานหนึ่งซึ่งมีผู้มาขอความกรุณาให้หลวงพ่อทำให้อยู่เนืองๆ คือ การเจิมรถ มีทั้งรถเก่านำมาเจิมใหม่ รถออกจากอู่ใหม่ๆ รถส่วนตัว รถโดยสาร หลวงพ่อท่านก็เมตตาทำให้ทุกครั้ง แต่ท่านมักจะพูดเสมอว่า "มาให้หลวงพ่อเจิมให้น่ะ คนเจิมก็รถคว่ำมาหลายครั้งแล้ว" หวัง "เจิมรถน่ะมันไม่ถูกหรอก ต้องเจิมคนจึงจะถูก" (ฮาาาา) ---------------- เหล็กไหล มีโยมผู้หญิงคนหนึ่งเป็นลูกศิษย์อาจารย์องค์หนึ่งอยู่แถวชลบุรี มานั่งเฝ้านอนเฝ้าหลวงพ่ออยู่หลายวัน หลวงพ่อก็ไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร จนวันหนึ่งเขาบอกว่าที่เขามาเฝ้าอยู่นี่ เพราะมีคนบอกว่าหลวงพ่อมีเหล็กไหลอยากจะมาขอ หลวงพ่อจึงบอกว่าท่านไม่มีหรอก "แต่มีอยู่แห่งหนึ่ง ทราบว่ามีเหล็กไหลมากมาย ถ้าคุณอยากได้จะบอกที่ให้ อยากรู้ไหมล่ะ" เมื่อโยมต้องการจะรู้แหล่ง ท่านจึงบอกว่า.. "ไปที่หัวรถไฟแน่ะ ทุกวันจะมีเหล็กไหลจากโคราชไปกรุงเทพฯ วันละหลายๆ เที่ยว" ไม่ทราบว่าพอโยมได้คำตอบอย่างนี้แล้วมีปฏิกิริยาอย่างไร อีกครั้งหนึ่ง มีโยมมาจากศรีสะเกษ มาเสนอขายเหล็กไหลให้หลวงพ่อในราคา ๖๐,๐๐๐ บาท โดยบรรยายสรรพคุณว่ามีแล้วจะทำให้ร่ำรวย หลวงพ่อตอบข้อเสนอว่า "ก่อนคุณจะมา ทำไมไม่สืบประวัติฉันก่อนว่า ฉันเป็นพระนักค้าหรือเปล่า คุณไปรวยคนเดียวซะ ถ้าฉันอยากจะรวย ฉันไม่มาห่มผ้าเหลืองอยู่อย่างนี้หรอก" ---------------- ถ้าศาสนาพุทธเสื่อมจากประเทศไทย มีข่าวคราวเกี่ยวกับความวุ่นวายในคณะสงฆ์ไทยหลายกรณี อีกทั้งยังมีแผนทำลายพุทธศาสนาจากศาสนาอื่นๆ จนทำให้ลูกศิษย์หลายคนเป็นห่วงกลัวว่า พุทธศาสนาจะเสื่อมจากประเทศไทย หลวงพ่อบอกว่า "ถ้าพุทธศาสนาเสื่อมจากประเทศไทยจะไปเจริญที่รัสเซีย ตอนนี้รัสเซียเขาก็เริ่มค้นคว้าทางจิตกันมาก แม้ว่าจะมีจุดประสงค์ไว้ใช้ประโยชน์ในทางโลก แต่การทำสมาธิพอถึงจุดหนึ่งจะถึงจุดสันติเหมือนกัน เขาจะมีความศรัทธาในพุทธศาสนา และเนื่องจากรัสเซียเป็นประเทศมหาอำนาจ เขาจะสามารถเผยแพร่พุทธศาสนาได้กว้างไกลมาก คอยดูกัน ถ้าใครอยู่ได้ถึง ๒๐๐ ปีข้างหน้า ถ้าไม่เป็นไปตามนี้ ศพหลวงพ่ออยู่ที่ไหนเยี่ยวรดได้เลย" ---------------- อริยเจ้า ที่กุฏิวัดป่าสาลวัน มีผู้นำจดหมายฉบับหนึ่งมาถวายหลวงพ่อ ท่านหยิบเปิดดู เป็นซองถวายในปวารณาจ่าหน้าซองว่า "ขอถวายแด่พระอริยเจ้า" จึงพูดขึ้นมาว่า.."เราไม่ใช่พระอริยเจ้าก็บริโภคของเขาไม่ได้ซิ" ---------------- ไม่ใช่ความผิดของขโมย มันเป็นความผิดของเรา เด็กสาวคนหนึ่งของมีค่าเค้าถูกขโมยไป จึงมาปรับทุกข์กับหลวงพ่อ ขอให้หลวงพ่อเมตตาช่วยเหลือ หลวงพ่อจึงเล่าเรื่องให้เป็นอุทาหรณ์ว่า พระองค์หนึ่งมาปรึกษาหลวงพ่อเรื่องไปแจ้งความ นาฬิกาโอเมก้าราคาแพงถูกขโมยไป..หลวงพ่อจึงแกล้งนั่งหลับตา.. พอลืมตามาก็บอกท่านว่า.. "หลวงพ่อรู้แล้วว่ามันไม่ใช่ความผิดของขโมยหรอก มันเป็นความผิดของเราเอง ที่อยากมีของแพงไว้ช่วยให้ขโมยมันอยากได้" พระองค์นั้นฟังแล้วได้คิดก็เลยล้มเลิกความตั้งใจว่าจะไปแจ้งความ ส่วนอีกเรื่ององค์หนึ่งมาโวยวายว่าถูกขโมยวิทยุทรานซิสเตอร์ หลวงพ่อเลยบอกว่า ดีแล้ว มันช่วยลดการสร้างบาปของท่าน เพราะเมื่อท่านมีวิทยุอยู่เปิดฟังไป เพลินเข้ามันก็เผลอไปฟังเพลง ---------------- อยู่ยงคงกระพัน ปกติเวลาหลวงพ่อว่างๆ หรือนั่งคุยกับญาติโยมในกุฏิ บางทีท่านก็นำด้ายมาถักเป็นสายสิญจน์ ลูกศิษย์อีกคนหนึ่งจึงพูดเล่นว่า "น่าจะเอาสายสิญจน์หลวงพ่อไปขายหาทุน" อีกคนเสริมว่า "สายสิญจน์หลวงพ่อนี่ดีนะ ผูกไว้ในรถก็ได้" หลวงพ่อแทรกขึ้นมาว่า "ไปคุยว่าดีอะไรก็ดีได้ แต่อย่าไปคุยว่าอยู่ยงคงกระพันล่ะ เดี๋ยวหลวงพ่อจะถูกลองของ" จากนั้น ท่านจึงเล่าเรื่องเสริมว่า.. .."วันหนึ่งมีคนมาหาหลวงพ่อ เขาบอกว่าลูกศิษย์หลวงพ่อที่เป็นพระชื่ออินทร์มีไหม หลวงพ่อถามว่า "ถามทำไมหรือ " (คนที่มาหา)..."ท่านไปทำเครื่องรางของขลังขาย" (หลวงพ่อ)..."แล้วมีอะไรอีก " (คนที่มาหา)..."ท่านคุยว่าอยู่ยงคงกะพัน " (หลวงพ่อ)... "มีอะไรอีกไหม" (คนที่มาหา)..."ย่อหย่อนในพระวินัย" (หลวงพ่อ)..."เอาอย่างนี้ ถ้าอยากรู้ว่าเป็นลูกศิษย์หลวงพ่อหรือไม่ ให้ลองเอาปืนมาส่องสมอง ถ้าใครสมองกระจาย นั่นแหละลูกศิษย์หลวงพ่อ เพราะหลวงพ่อไม่เคยสอนเรื่องอยู่ยงคงกะพัน ใครสมองไม่กระจายไม่ใช่ลูกศิษย์หลวงพ่อ…" ---------------- จิตที่เผชิญกับเหตุการณ์ร้ายแรงเฉพาะหน้า ช่วงปลายเดือนพฤษภาคม ๒๕๓๔ เกิดโศกนาฏกรรมครั้งใหญ่ คือ เครื่องบินโดยสารขนาดใหญ่ของสายการบิน Lauda Air ของประเทศออสเตรีย ตกที่ อ.ด่านช้าง จ.กาญจนบุรี ผู้โดยสารและพนักงานเสียชีวิตหมดทั้งลำ ๒๓๓ ศพ ผู้มีชื่อเสียงในสังคมชั้นสูงของเมืองไทยก็เสียชีวิตในอุบัติเหตุครั้งนี้หลายท่าน เช่น รองราชเลขาธิการสำนักพระราชวัง ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เจ้านายฝ่ายเหนือ ฯลฯ เหตุการณ์ครั้งนั้นก็สร้างความสะเทือนใจและความหวาดหวั่นในมรณภัยที่มาอย่างกระทันหัน สำหรับหลายคน ศิษย์ผู้หนึ่งก็เกิดความกลัวภัยเช่นนี้มาก จึงมาเรียนถามจากหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ ถ้าเรานั่งอยู่ในเครื่องบิน แล้วรู้ว่าเครื่องบินกำลังจะตก จะภาวนาให้จิตสงบได้อย่างไร เพราะปกติที่ฝึกอยู่ จิตก็ไม่เคยสงบได้อย่างรวดเร็วสักครั้ง ต้องใช้เวลาและช่วงเครื่องบินจะตกนี่เรามีเวลาไม่มาก" หลวงพ่อตอบว่า "จิตที่ฝึกภาวนาอยู่เสมอ เมื่อมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าเกิดขึ้น มันจะรวมอย่างรวดเร็ว" หลวงพ่อยกตัวอย่างเหตุการณ์ที่เกิดกับท่านเองว่า "เมื่อวันที่ ๒๑ เมษายน ๒๕๒๑ ขณะที่เดินทางโดยรถยนต์ จาก จ.อุบลราชธานี กลับมาโคราช พอถึงโค้งด่านเกวียนเกิดพลิกคว่ำไปหลายตลบ ขณะรถพลิกไปนั้น จิตได้รวมอย่างรวดเร็วและเกิดเป็นความสว่างลอยเด่นอยู่ แลเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทุกอย่าง พอเราพลิกไปตลบสุดท้ายก็กลับมาตั้งอยู่ในสภาพปกติ แต่หลังคาโป่งแหลมขึ้นไปเป็นจั่วเลย ก็ถามตัวเองว่าพวกนี้เขาตายกันหมดหรือเปล่า แล้วเราล่ะยังอยู่หรือตายไปแล้ว พอดีมีผู้เดินทางไปด้วยคนหนึ่งก็รู้สึกตัวขึ้นมา ก็ร้องบอกว่า หลวงพ่อหัวแตก เลือดไหลเต็มไปหมด หลวงพ่อจึงเอามือลูบคลำศีรษะดู มือแดงฉานไปหมด นึกเอะใจลองดมดู จึงได้หัวเราะกันลั่นเพราะคิดว่าเลือด นั้นที่แท้คือน้ำหมาก เพราะในรถที่นั่งไปมีกระโถนหมากวางขนาบหลวงพ่อข้างหน้าใบหนึ่ง ข้างหลังใบหนึ่ง พอรถพลิกคว่ำน้ำหมากก็หกรดศีรษะพอดี" ---------------- พูดตรงๆ ก็ได้ หลวงพ่อพุธเผชิญ ๑๘ มงกุฎ หลวงพ่อเล่าเรื่องเกี่ยวกับเครื่องราชอิศริยาภรณ์ที่จะได้รับจากการบริจาคเงินทำบุญ มีรายหนึ่ง มาติดต่อเรื่องเครื่องราช มีญาติมีโยมที่ทำบุญที่จะขอเครื่องราช "ผมรับจะเป็นการติดต่อให้ก็ได้ แต่ว่าผมขอรายละ ๔ หมื่น" เรา(หลวงพ่อ)ก็ย้อนถามว่าในเมื่อได้แล้วไปรับที่ไหน.. "ไม่ต้องลำบากหรอกครับ ผมเอามาถวายท่านเอง แล้วท่านก็แจกให้ญาติให้โยมที่ทำบุญ" เรา(หลวงพ่อ)ก็บอกว่า "เครื่องราชนี่มันก็เหมือนกับพัดยศของพระ มันต้องไปรับจากพระหัตถ์ของในหลวงหรือตัวแทนในหลวง แล้วจะให้ราษฎรอย่างคุณนี่เอามาแจก มันไม่สมศักดิ์ศรี ไม่มีใครเขาทำกันหรอก เชิญคุณไปซะ ถ้าขืนชักช้าเดี๋ยวฉันจะเรียกตำรวจมาคุยกับคุณ มันก็เลยรีบไปเลย" อีกเรื่องหนึ่ง.."ตอนที่ขอสมณศักดิ์นี่ เจ้านี่วิ่งไปเที่ยวหาติดต่อที่นี่ไปๆ มาๆ มาหาเรา ๒ หน ๓ หน มันก็ไม่ได้เรื่อง ลงหนสุดท้ายมันก็บอกว่า (นักต้ม) "โอ๊ย ผมไม่มีตังค์ใช้ขอหลวงพ่อหน่อย" (หลวงพ่อ) "เออ ! ถ้าพูดกันตรงๆ อย่างนี้ก็ได้ ฉันนี่เดินท่องมาจนทั่วประเทศไทยแล้วจะมาเสียท่าคนขนาดคุณนี่ ไอ้ขีดข้าราชการขั้นเอกที่อยู่บนบ่าคุณนี่ มันจะทำให้คุณเข้าตะรางนะ เอาออกซะ ถ้าคุณขืนพูดอย่างนี้อีกทีหลังฉันจะเรียกตำรวจมาคุยกับคุณ ว่าคุณเป็นขั้นราชการขั้นเอกจริงหรือเปล่า" "มันรู้หมดนะคนในกรมการศาสนานี่มันระบุชื่อปั๊บๆ คนไหนมีตำแหน่งหน้าที่อะไรมันรู้หมด พวกนี้มันเรียนมาเพื่อต้ม" "รายหนึ่งมาขอยืมเงิน มาอ้างว่าเป็นญาติอย่างโน้นอย่างนี้ โอ๊ย เจ้าไปสืบมาจากไหนน้อ ญาติข้าไม่มีหรอกคนแบบนี้ คนไปเที่ยวหาต้มหาแกงพระนี่ ญาติฉันไม่เคยมี เอากันอย่างนี้ดีกว่า ถ้าอยากได้ตังค์ไปใช้ก็ขอกันดีๆ เราไม่เคยเสียท่าให้ใคร ถ้ามีใครเขาจะมายืมตังค์ เราบอกว่า "ให้ลดทิฐิมานะลงซะ แล้วใช้คำว่า ขอ แล้วคุณจะได้ทันที คำว่ายืมนี่ พระสงฆ์ทำนิติกรรมทางกฎหมายไม่ขึ้น คุณจะมาเซ็นสัญญาให้ฉัน ฉันก็ไม่มีสิทธิฟ้องร้องคุณ เพราะฉะนั้นใช้คำว่าขอเอาดีกว่า" ---------------- ไม่บังอาจดอก..ถ้า.. ไปงานหลวงปู่บุดดา เขาเอาพานมาวางไว้หน้าพระแต่ละองค์ มีคนมาถวายปัจจัยกันมากมาย เรานั่งไม่ถึงชั่วโมงได้ซองปัจจัยตั้งใหญ่ขนาด ๔-๕ ถุง พอชักรู้สึกเมื่อยเลยลุกขึ้นมาถามหาว่าลูกศิษย์วัดอยู่ไหน บอกให้เขาเอาเงินทั้งหมดไปมอบไว้ให้ เขาถามว่า "ท่านไม่เอาไว้ใช้หรือ" หลวงพ่อ "ฝากไว้ให้หลวงปู่สร้างวัด" เขาถามว่า "พระไม่เอาเงินแล้วเอาอะไรใช้ นั่งรถเก๋งมา เอาค่าน้ำมันที่ไหน" หลวงพ่อ "ถ้าไม่มีเงินค่าน้ำมันก็ไม่บังอาจนั่งรถเก๋งหรอก หลวงพ่อน่ะไม่มีวันอดหรอก ขอแค่ให้มีคนให้เท่านั้นแหละ" ---------------- ทำไมหลวงพ่อจึงฉันหมาก เมื่อมีกิจนิมนต์ที่ กทม. หลวงพ่อมักจะไปพักที่วัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม) คณะศรัทธาที่ กทม. มักจะกราบขอฟังธรรมอยู่เสมอ บางรายก็มาขออย่างอื่นเช่น สายสิญจน์ ชานหมาก วันหนึ่งมีชายคนหนึ่งมากราบขอ ชานหมาก ไว้บูชา เมื่อได้รับแล้วก็ถามหลวงพ่อว่า "หลวงพ่อครับ ทำไมหลวงพ่อถึงฉันหมาก" หลวงพ่อก็ตอบด้วยปฏิภาณทันทีว่า "ก็เพราะคุณมาคอยขอหมากจากฉันน่ะซี" ---------------- ค่าปรับ วันที่ ๑๖ พฤษภาคม ๒๕๓๔ หลวงพ่อเดินทางจากที่พักวัดสระปทุม (วัดปทุมวนาราม) เพื่อไปแสดงธรรมให้ข้าราชการกระทรวงศึกษาธิการฟัง ขณะเลี้ยวรถทางแยกเชิงสะพานยศเส เลียบคลองผดุงกรุงเกษม น้องที่ขับรถให้หลวงพ่อสังเกตว่า ตำรวจกำลังเรียกจับแท็กซี่คันหนึ่ง เกิดความสงสารแท็กซี่จึงพูดขึ้นว่า "มันไม่ยุติธรรมเลยนะ จับแต่แท็กซี่ ทีรถเบนซ์ รถวอลโว ทำไมตำรวจไม่ไปจับบ้าง" หลวงพ่อจึงเปรยว่า "เราก็ไม่ได้รับความยุติธรรมเหมือนกัน คนอื่นเขาถูกจับแล้วปรับ ของเราก็ถูกจับเหมือนกัน ตำรวจไม่ปรับแต่ขอเหรียญแทนค่าปรับ" ---------------- รวมคำสอน “หลวงพ่อพุธ ฐานิโย” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=40915 ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อพุธ ฐานิโย” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=50583 |
เจ้าของ: | นะโมwatpa [ 07 เม.ย. 2009, 15:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: เกร็ดธรรมชวนยิ้มของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย |
ขอบพระคุณมากๆ ค่ะสำหรับข้อความทั้งหมด ทำให้อยากภาวนาและอมยิ้มและระลึกถึงพ่อแม่ครูบาอาจารย์ เช่น หลวงปู่เจี๊ยะ หลวงตามหาบัว พระอาจารย์วัดป่าทุกองค์ ที่กริยา ที่คำพูดขององค์ท่านทำให้เราสุข สงบอย่างที่สุด อนุโมทนาสาธุค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |