ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
“ต้นพระศรีมหาโพธิ์” พันธุ์ไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=87&t=53747 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 27 ส.ค. 2011, 10:52 ] |
หัวข้อกระทู้: | “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” พันธุ์ไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ |
ประวัติ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ทั้ง ๔ ต้น ณ พุทธคยา แดนตรัสรู้ ต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ “พุทธคยา” มีชื่อเรียกอีกชื่อว่า วัดมหาโพธิ์ (Mahabodhi Temple) เป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า โดยมี “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ริมฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา เป็นโพธิญาณพฤกษาหรือพันธุ์ไม้ที่พระพุทธเจ้าประทับตรัสรู้ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านทิศตะวันตกด้านหลังของพระมหาเจดีย์พุทธคยา และมีพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ประดิษฐานคั่นอยู่ระหว่างกลาง รวมทั้งหมดมี ๔ ต้น และทั้ง ๔ ต้นนี้ได้เจริญเติบโตทดแทนกันมาเรื่อยๆ จากที่เดิมและมีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน นับเป็นอนุสรณ์สถานที่มีคุณค่าของชาวพุทธและมวลมนุษยชาติทั่วโลก ทั้งนี้ เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๔๕ พุทธคยา ได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็น “มรดกโลก” ประเภทมรดกทางวัฒนธรรม จากองค์การยูเนสโก (UNESCO) (๑) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๑ เป็นต้นไม้คู่พระบารมีและเป็นสหชาติของพระโพธิสัตว์ เกิดขึ้นพร้อมกับวันที่พระโพธิสัตว์ประสูติ ตามพุทธประวัติกล่าวว่า สหชาติมี ๗ ประการ (สัตตสหชาติ) คือ พระนางพิมพา, พระอานนท์พุทธอนุชา, นายฉันนะ, อำมาตย์กาฬุทายี, ม้ากัณฐกะ, ขุมทรัพย์ ๔ มุมเมือง และต้นอัสสัตถพฤกษ์หรือต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๑ เป็นต้นที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้พระสัมมาสัมโพธิญาณ พระองค์ได้รับการถวายหญ้ากุสะจำนวน ๘ กำจากโสตถิยพราหมณ์ เพื่อปูเป็นที่ประทับเมื่อใกล้รุ่งของวันเพ็ญ เดือน ๖ จึงตรัสรู้เป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า และพระองค์ตรัสว่า ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นต้นไม้แทนพระพุทธองค์ หากใครได้ไหว้ได้สักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็เท่ากับว่าได้ไหว้สักการะพระพุทธองค์ และหลังจากที่พระพุทธองค์เสด็จดับขันธปรินิพพานแล้ว มีผู้เลื่อมใสศรัทธามากราบไหว้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นจำนวนมาก ในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช กษัตริย์ชาวพุทธผู้ยิ่งใหญ่ พระองค์ทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภ์ทำให้พระพุทธศาสนาเจริญรุ่งเรืองเป็นอันมาก เช่น ทรงสร้างพระเจดีย์ถวายเป็นพุทธบูชาจำนวนถึง ๘๔,๐๐๐ องค์ ฯลฯ ซึ่งทำให้พระเจ้าอโศกมหาราชไม่สนพระทัยในความสุขส่วนพระองค์เหมือนเช่นเคย ว่างเว้นจากราชกิจก็มาปฏิบัติธรรมใต้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ไม่กลับวังที่ประทับ ทรงเคารพรักต้นพระศรีมหาโพธิ์เป็นอย่างยิ่ง จะเสด็จไปนมัสการอยู่ตลอดเช้าเย็น จึงเป็นเหตุให้เหล่าพระมเหสีนางสนมทั้งหลายไม่พอพระทัยที่พระองค์ทรงเอาใจใส่ต้นพระศรีมหาโพธิ์มากเกินไป ต่างพากันโกรธแค้นอิจฉาต้นพระศรีมหาโพธิ์ พระมเหสีองค์ที่ ๔ ของพระเจ้าอโศกมหาราช พระนามว่า มหิสุนทรี (พระนางติษยรักษิต) ได้รับสั่งให้นางข้าหลวงนำยาพิษและน้ำร้อนแอบไปรดที่โคนต้นพระศรีมหาโพธิ์เพื่อทำลาย บางแห่งบอกว่า พระนางเอาเงี่ยงกระเบนมีพิษมาทิ่มรากต้นพระศรีมหาโพธิ์ จนทำให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ตายไปในที่สุด รวมอายุของต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นแรกประมาณ ๓๕๒ ปี เมื่อพระเจ้าอโศกมหาราชทรงทราบ ก็ทรงวิสัญญีภาพ (สลบ) ล้มลงในที่นั้น ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงมีรับสั่งให้มหาดเล็กเอาน้ำนมโค ๑๐๐ หม้อไปรดที่บริเวณรากของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มตายลงไปนั้นทุกวัน และทรงตั้งสัตยาธิษฐานพร้อมกับการสักการะก้มกราบ พระองค์ทรงมีพระราชปรารภว่า หากแม้ว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ไม่แตกหน่อขึ้นมาแล้วไซ้ร์จะไม่ยอมลุกขึ้นเป็นอันขาด ด้วยพุทธานุภาพและพระราชศรัทธาอันแรงกล้าแห่งพระเจ้าอโศกมหาราช เป็นที่อัศจรรย์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ภายหลังก็แตกหน่องอกขึ้นมาใหม่ จึงได้นับหน่อนี้เป็นต้นที่ ๒ และมีอายุยืนต่อมาอีกหลายร้อยปี พระเจ้าอโศกมหาราชทรงดีพระทัยเป็นอันมาก จึงทรงมีรับสั่งให้ก่อกำแพงล้อมรอบไว้เพื่อป้องกันอันตรายที่จะเกิดขึ้นกับต้นพระศรีมหาโพธิ์อีก (๒) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๒ ถือเป็นต้นที่แตกหน่อมาจากต้นแรก การที่พระเจ้าอโศกมหาราชได้เผยแผ่พระพุทธศาสนาไปทั่วโลก จึงมีการนำต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปปลูกในประเทศต่างๆ ด้วย เช่น คณะของพระโสณเถระ-พระอุตตรเถระ เดินทางไปยังดินแดนสุวรรณภูมิ และคณะของพระมหินทเถระ-พระนางสังฆมิตตาเถรี เดินทางไปยังประเทศศรีลังกา เป็นต้น โดยพระภิกษุและพระภิกษุณีเหล่านี้ได้นำต้นหรือกิ่งของต้นพระศรีมหาโพธิ์ไปด้วย ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๒ ถูกทำลายจนล้มตายอีกครั้งในรัชสมัยพระเจ้าปูรณวรมา กษัตริย์ชาวพุทธแห่งแคว้นมคธ เนื่องจากแคว้นมคธได้ถูกรุกรานโดยพระเจ้าสาสังการ กษัตริย์ชาวฮินดูแห่งแคว้นเบงกอล ซึ่งเมื่อขึ้นครองราชย์ก็ทรงมีนโยบายทำลายพระพุทธศาสนา ครั้นเมื่อได้ยกกองทัพมาถึงบริเวณต้นพระศรีมหาโพธิ์ ก็ไม่พอพระทัยด้วยเพราะพระองค์นับถือฮินดู จึงทรงรับสั่งให้ตัดต้นและขุดราก ใช้ฟางอ้อยสุม ใช้น้ำมันราด และเผาต้นพระศรีมหาโพธิ์ซึ่งมีอายุประมาณ ๘๗๑-๘๙๑ ปี จนล้มตาย รวมทั้ง รับสั่งให้ทำลายพระพุทธรูปในพระมหาเจดีย์พุทธคยาทั้งหมด มีเพียงพระพุทธรูป “พระพุทธเมตตา” เท่านั้นที่รอดพ้นจากการถูกทำลายในคราวนั้น เนื่องจากนายทหารผู้ที่ได้รับคำสั่งให้ไปทำลายพระพุทธรูปไม่กล้าทำลายเพราะเป็นชาวพุทธ จึงได้ใช้วิธีเอาแผ่นอิฐมาก่อเป็นกำแพงปิดทางเข้าห้องบูชาเพื่อไม่ให้ใครเห็น เป็นการกำบังพระพุทธรูปไว้อย่างมิดชิด ๗ วันหลังจากนั้น พระเจ้าสาสังการทรงได้รับผลกรรมจากการสั่งให้ทำลายต้นพระศรีมหาโพธิ์ ฯลฯ ทั่วพระวรกายเกิดแผลพุพอง เน่าเปื่อยเนื้อหลุดเป็นชิ้นๆ อาเจียนเป็นพระโลหิต และสิ้นพระชนม์อย่างอนาถที่พุทธคยา ในตอนนั้น พระเจ้าปูรณวรมา ได้เสด็จมาพอดี จึงตีทัพของแคว้นเบงกอลแตกพ่ายไป ต่อมาได้มาพบเห็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ล้มตายเช่นนั้น ก็ทรงเสียพระทัยเป็นอย่างยิ่ง จึงรับสั่งให้ทหารพร้อมด้วยชาวบ้านร่วมกันไปรีดน้ำนมโค ๑,๐๐๐ ตัว แล้วกลั่นให้ข้นเหลือ ๘ ตัว เอาน้ำนมที่ได้เทราดตรงบริเวณหลุมต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นเก่าที่ถูกเผา พระองค์ทรงนอนคว่ำหน้าลงกับพื้น พร้อมตั้งสัตยาธิษฐานตามแบบพระเจ้าอโศกมหาราช โดยทรงมีพระราชปรารภว่า ถ้ามาตรแม้นหน่อแห่งต้นโพธิ์ยังไม่งอกขึ้นตราบใด ข้าพเจ้าก็จักไม่ยอมจากไปจากสถานที่นี้โดยตราบนั้น ข้าพเจ้าขอยอมถวายชีวิตเพื่อบูชาอุทิศต่อพระศรีมหาโพธิ์ตลอดชั่วลมปราณ ด้วยสัจจวาจากิริยาธิษฐานของพระองค์นี้นี่แล หน่อน้อยที่ ๓ ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ก็งอกขึ้นมาอย่างอัศจรรย์ พระองค์เมื่อได้ทอดพระเนตรเห็นหน่อน้อยงอกขึ้นมาใหม่อีกครั้งหนึ่ง ก็เกิดปีติโสมนัส จึงจัดการสร้างกำแพงล้อมต้นพระศรีมหาโพธิ์นั้นไว้อย่างแน่นหนา เพื่อป้องกันมิให้ศัตรูเข้ามาทำลายได้อีกต่อไป จึงได้นับหน่อนี้เป็นต้นที่ ๓ (๓) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๑๘ นายพลโทเซอร์ อเล็กซานเดอร์ คันนิ่งแฮม (Sir Alexander Cunningham) ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีชาวอังกฤษ หัวหน้าคณะสำรวจพุทธสถานในช่วงอังกฤษปกครองประเทศอินเดีย เป็นผู้มีคุณูปการต่อพระพุทธศาสนาเป็นอันมากเนื่องจากเป็นผู้ขุดค้นพบพุทธสถานหลายแห่ง รวมทั้ง สถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า จนทำให้พระพุทธศาสนาเป็นที่รู้จักของชาวอินเดียหลังจากลืมเลือนไปแล้วกว่า ๘๐๐ ปี ท่านได้เดินทางไปที่เมืองพุทธคยาเป็นครั้งที่สอง พบว่าต้นพระศรีมหาโพธิ์ทรุดโทรมมาก ประชาชนชาวฮินดูในบริเวณนั้นได้ตัดกิ่งก้านไปทำเชื้อเพลิง ครั้นเมื่อประมาณปี พ.ศ. ๒๔๒๑-๒๔๒๓ ได้เกิดพายุใหญ่ เป็นเหตุให้ต้นพระศรีมหาโพธิ์เบียดกับพระมหาเจดีย์พุทธคยา กระทั่งหักโค่นล้มลงไปทางทิศตะวันตกและล้มตายไปเอง ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ นี้มีอายุยืนนานมากประมาณ ๑,๒๕๘-๑,๒๗๘ ปี (๔) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๔ ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๔ เป็นต้นที่ยังคงยืนต้นอยู่เหนือพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ ที่พุทธคยาในปัจจุบัน เป็น ๑ ใน ๒ หน่อที่แตกขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ ที่ล้มตายไป และได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๒๓ ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ได้เดินทางไปที่พุทธคยาอีกครั้ง พบกับต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ล้มอยู่ และได้พบหน่อโพธิ์งอกอยู่ที่ใต้ต้นเดิม จำนวน ๒ หน่อ หน่อหนึ่งสูง ๖ นิ้ว ได้บำรุงดูแลปลูกไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งสูง ๔ นิ้ว แยกนำไปปลูกไว้ในที่ไม่ไกลจากต้นเดิมทางด้านทิศเหนือ ห่างกันประมาณ ๒๕๐ ฟุต ท่านเซอร์คันนิ่งแฮม เข้าใจว่าสถานที่ท่านนำต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นหลังไปปลูกนั้น เป็นสถานที่ที่พระพุทธองค์เสด็จประทับยืนทอดพระเนตรพิจารณาต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้ประทับตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ที่เรียกว่า “อนิมิสเจดีย์” แต่ความเห็นนี้ไม่ตรงตามพระบาลีและคนส่วนมากเข้าใจกัน เพราะตามพระบาลีนั้นกล่าวไว้ว่า อนิมิสเจดีย์อยู่ทางด้านทิศตะวันออกเฉียงเหนือของต้นพระศรีมหาโพธิ์ ปัจจุบัน “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” หน่อหรือต้นที่ ๔ ทั้ง ๒ ต้นยังคงยืนต้นอยู่ มีอายุยืนถึงทุกวันนี้กว่า ๑๓๗ ปี (นับจากเริ่มปลูกประมาณระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๕๖๐) ท่านสาธุชนชาวพุทธผู้มีกุศลศรัทธาสามารถเดินทางไปกราบสักการะได้ด้วยตนเอง ปัจจุบันมีสายการบินไทยบินตรงจากสนามบินสุวรรณภูมิถึงพุทธคยา โดยใช้เวลาบินเพียง ๓ ชั่วโมง ๑๕ นาทีเท่านั้น ท่านก็จะได้กราบสักการะต้นพระศรีมหาโพธิ์ ที่แดนตรัสรู้แล้ว ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ โดยตรงเป็นครั้งแรก ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปลูกไว้ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ และวัดอัษฎางคนิมิตร เกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี ⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱
สหชาติทั้ง ๗ ที่บังเกิดขึ้นพร้อมกับ การประสูติของพระโพธิสัตว์ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48425 “พระพุทธเมตตา” องค์พระประธานในพระมหาเจดีย์พุทธคยา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=34195 สัตตมหาสถาน สถานที่เสวยวิมุตติสุขที่ยิ่งใหญ่ ๗ แห่ง http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39332 ⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱ |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 27 ส.ค. 2011, 17:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ประวัติต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง ๔ ต้น ที่พุทธคยา แดนตรัสรู้ |
ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย ในปัจจุบันนี้นับเป็นต้นพระศรีมหาโพธิ์ หน่อหรือต้นที่ ๔ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ที่สำคัญที่ยังคงยืนต้นอยู่ในปัจจุบันนี้ มี ๓ ต้น คือ (๑) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ พุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยืนต้นอยู่เหนือพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ ในปัจจุบันนี้นับเป็น “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” หน่อหรือต้นที่ ๔ เป็น ๑ ใน ๒ หน่อที่แตกขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ ที่ล้มตายไป โดยท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้บำรุงดูแลปลูกหน่อหนึ่่งไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งแยกนำไปปลูกไว้ ในที่ไม่ไกลจากต้นเดิมทางด้านทิศเหนือ ห่างกันประมาณ ๒๕๐ ฟุต ปัจจุบันต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง ๒ ต้นยังคงยืนต้นอยู่ มีอายุยืนถึงปัจจุบันนี้ กว่า ๑๓๗ ปี (นับจากเริ่มปลูกประมาณระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๕๖๐) ได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ โดยตรงเป็นครั้งแรก ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปลูกไว้ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ และวัดอัษฎางคนิมิตร เกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี (๒) ต้นอานันทโพธิ์ ณ วัดเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย เป็นต้นดั้งเดิม โดยเป็นต้นโพธิ์ที่ได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยพุทธกาล ที่ประตูหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) (ปลูกจากเมล็ดของ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้) โดยพระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงเรียกชื่อว่า อานันทโพธิ์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก ที่ยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐) มีอายุกว่า ๒,๕๖๐ ปี (มีอายุมากกว่าพุทธศักราช) และชาวพุทธนับถือว่ามีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสอง รองจาก “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยาในสมัยพุทธกาล หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และประทับเสวยวิมุตติสุขของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้ แต่อย่างใด มีกล่าวถึงในอรรถกถา แต่เมื่อคราวพระอานนท์ได้มายังพุทธคยา เพื่อนำเมล็ดพันธุ์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้ กลับไปปลูก ณ วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) ตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งปรารถนาให้มีสิ่งเตือนใจเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปประทับที่อื่น ประวัติความเป็นมาของ “ต้นอานันทโพธิ์” จากหนังสือปูชาวัลลิยะ ของสมาคมมหาโพธิ์ เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ได้กล่าวไว้พอสรุปใจความได้ว่า... “แม้ว่าพระเชตวันมหาวิหาร จะเป็นที่ยังความสะดวกและความสงบให้เกิดได้ ยิ่งกว่าสถานที่แห่งใดๆ อันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ได้ประทับพักตลอดปีไม่ แต่ละปีพระพุทธองค์ทรงประทับพัก เพียง ๓ เดือนในพรรษาเท่านั้น ส่วนอีก ๙ เดือนของปีนอกฤดูฝน พระองค์เสด็จจาริกออกไปแสดงธรรมในคามนิคมชนบทและหัวเมืองอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปสู่ที่อื่นประมาณปีละ ๙ เดือน ชาวนครสาวัตถีผู้เลื่อมใสในพระธรรม ใคร่จะทูลเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจ ไม่ปรารถนาให้พระองค์เสด็จไปประทับแห่งใดๆ จึงพากันเกิดความเดือดร้อนใจ ปรึกษากันว่า จะทำไฉนหนอ จึงจะทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่ตลอดปีได้ เมื่อพระองค์ต้องเสด็จไป ก็ทำให้เกิดความอ้างว้างใจ จะหาสิ่งใดของพระองค์ให้ปรากฏอยู่เป็นเครื่องระลึกแทนองค์พระพุทธเจ้าได้ ความนั้นทราบถึงพระอานนท์เถระ พุทธอุปัฏฐาก เป็นต้น จึงนำกราบทูลให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณา เพื่อจะยังมหาชนให้สมปรารถนา จึงรับสั่งให้นำผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด) ที่ตำบลพุทธคยา มาปลูกไว้ที่หน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี เพื่อเป็นเครื่องหมายแทนพระองค์ จักได้เป็นที่บูชากราบไหว้ของคนทั้งปวง ครั้งนั้นพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้าย ทราบความประสงค์ของพระพุทธเจ้า จึงทูลอาสาแสดงฤทธิ์ โดยเหาะไปในอากาศถึงตำบลพุทธคยา นำเอาผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด) กลับมายังพระเชตวันมหาวิหารได้ในวันเดียวกันนั้น ครั้นนำผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด) มาแล้ว ก็มีการปรึกษากันว่า ผู้ใดจักสมควรเป็นผู้ปลูก เบื้องต้นชาวเมืองและพระสงฆ์พร้อมใจกันถวายพระเกียรติ แด่พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ผู้ครองกรุงสาวัตถี ให้ทรงเป็นผู้ปลูก แต่ทรงปฏิเสธ โดยบอกว่าฐานะกษัตริย์ย่อมไม่มั่นคงถาวร ทายาทที่จะมาภายหลังจะให้ความคุ้มครอง บารุงรักษาต้นโพธิ์ต่อไปนี้ได้หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ จึงควรยกเกียรตินี้ให้แก่คนอื่น ในที่สุดก็ได้ตกลงให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ปลูก เพราะด้วยคิดกันว่า ต้นโพธิ์จะอยู่ภายในที่สาคัญของท่านอย่างหนึ่ง และท่านมีบริวารข้าทาสหญิงชายมาก คงสืบตระกูลช่วยกันรักษาต้นโพธิ์ ต่อๆ กันไปได้อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปลูกเสร็จก็ได้มีการฉลองต้นโพธิ์ และพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จประทับนั่งอยู่ภายใต้ต้นโพธิ์ ๑ ราตรี ตั้งแต่นั้นมา ชาวเมืองก็พากันกราบไว้ต้นโพธิ์เสมือนเครื่องระลึกแทนพระพุทธเจ้า ที่เรียกชื่อว่า อานันทโพธิ์ นั้นเป็นเพราะว่าพระอานนท์เป็นผู้จัดการดูแล เรื่องการปลูกและรดน้ำจนต้นโพธิ์เจริญเติบโตนั่นเอง” อานันทโพธิ์ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่ ณ ภายในวัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) เมืองสาวัตถี รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้ อานันทโพธิ์ คือต้นโพธิ์ที่มาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ ชาวพุทธทั่วโลกจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาถูกทำลายมาแล้ว ๓ ครั้ง แต่ที่วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) นี้ยังคงอยู่ ชาวพุทธเราจึงเชื่อว่า ต้นอานันทโพธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา (๓) ต้นพระศรีมหาโพธิ์ ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา (เมืองอนุราธปุระ เป็นเมืองมรดกโลกและเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศศรีลังกา) หลังพุทธกาลในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓ พระนางสังฆมิตตาเถรี พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช พระภิกษุณีรูปสุดท้ายในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ขณะทรงอัญเชิญพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนามาเผยแผ่ในประเทศศรีลังกาเป็นครั้งแรก ได้ทรงนำกิ่งด้านขวาของ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพร้อมกันด้วย โดยทรงเดินทางลงเรือมามอบให้แด่พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ เพื่อให้ประดิษฐาน (ทรงปลูก) ไว้ ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐) มีอายุกว่า ๒,๓๐๕ ปี อันเนื่องมาจากชาวศรีลังกาได้ทำนุบำรุงรักษาดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีตลอดมา มีการค้ำด้วยไม้ที่หุ้มด้วยทองคำ และทำรั้วกำแพงทองคำล้อมรอบไว้ ผู้ที่จะเข้าไปกราบสักการะต้องผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๓๕๗ พระสมณทูตไทยได้นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมืองอนุราธปุระ มาด้วยจำนวน ๖ ต้น โดยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปลูกไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น นอกนั้นให้ปลูกไว้ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, วัดสุทัศนเทพวราราม, วัดสระเกศฯ และที่เมืองกลันตัน ประเทศมาเลเซีย แห่งละ ๑ ต้น อนึ่ง ครั้งที่ ศ.ดร.นรนิติ เศรษฐบุตร เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีโอกาสไปสักการะ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา และได้อัญเชิญหน่อของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้ไปสักการะในครั้งนั้น มาปลูกไว้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นที่ร่มเย็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ รวบรวมและเรียบเรียงเนื้อหามาจาก :: (๑) บทความ โพธิญาณพฤกษา : ต้นโพธิ์ (ต้นอัสสัตถะ) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=17&t=19553 (๒) บทความของพระมหา ดร.คมสรณ์ คุตฺตธมฺโม เจ้าอาวาสวัดไทยเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี ประเทศอินเดีย บางตอนในหนังสือ...คู่มือเส้นทางบุญสู่สังเวชนียสถาน http://www.oknation.net/blog/mylifeandw ... 07/entry-1 (๓) หนังสือปูชาวัลลิยะ สมาคมมหาโพธิ์ เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย เว็บไซต์เผยแพร่ศิลปวัฒนธรรมกวย http://www.kuay.org ขอขอบพระคุณที่มาของรูปภาพ :: ซึ่งบันทึกและเอื้อเฟื้อโดย คุณ Venfaa Aungsumalin ⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱
พุทธสังเวชนียสถาน : สถานที่อันเป็นที่ระลึกถึงพระพุทธเจ้า http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39377 สุทัตตะ อนาถบิณฑิกเศรษฐี อุบาสกผู้มีอุปการคุณต่อพระศาสนา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=50333 พระสังฆมิตตาเถรี ภิกษุณีรูปสุดท้ายในประวัติศาสตร์เถรวาท http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=57241 ⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱⊰⊱ |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 23 ก.พ. 2012, 19:01 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ประวัติต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง ๔ ต้น ที่พุทธคยา แดนตรัสรู้ |
“ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา รัฐพิหาร ประเทศอินเดีย อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ซึ่งยืนต้นอยู่เหนือพระแท่นวัชรอาสน์ หรือโพธิบัลลังก์ ในปัจจุบันนี้นับเป็น “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” หน่อหรือต้นที่ ๔ เป็น ๑ ใน ๒ หน่อที่แตกขึ้นมาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ ต้นที่ ๓ ที่ล้มตายไป โดยท่านเซอร์คันนิ่งแฮม ผู้เชี่ยวชาญทางโบราณคดีชาวอังกฤษ ได้บำรุงดูแลปลูกหน่อหนึ่่งไว้ที่บริเวณต้นเดิม อีกหน่อหนึ่งแยกนำไปปลูกไว้ ในที่ไม่ไกลจากต้นเดิมทางด้านทิศเหนือ ห่างกันประมาณ ๒๕๐ ฟุต ปัจจุบันต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง ๒ ต้นยังคงยืนต้นอยู่ มีอายุยืนถึงทุกวันนี้กว่า ๑๓๗ ปี (นับจากเริ่มปลูกประมาณระหว่างปี พ.ศ. ๒๔๒๓-๒๕๖๐) ได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของชาวพุทธ ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ ๕ ประเทศไทยได้พันธุ์ต้นพระศรีมหาโพธิ์ จากพุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ โดยตรงเป็นครั้งแรก ล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๕ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปลูกไว้ ณ วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม กรุงเทพฯ และวัดอัษฎางคนิมิตร เกาะสีชัง อ.เกาะสีชัง จ.ชลบุรี |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 23 ก.พ. 2012, 19:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ประวัติต้นพระศรีมหาโพธิ์ทั้ง ๔ ต้น ที่พุทธคยา แดนตรัสรู้ |
“ต้นอานันทโพธิ์” ณ วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) เมืองสาวัตถี แคว้นโกศล ชมพูทวีป เป็นต้นดั้งเดิม โดยเป็นต้นโพธิ์ที่ได้ปลูกเป็นต้นแรกในสมัยพุทธกาล ที่ประตูหน้าวัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) (ปลูกจากเมล็ดของ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้) โดยพระอานนท์เป็นผู้ดำเนินการตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี จึงเรียกชื่อว่า อานันทโพธิ์ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นต้นโพธิ์ที่มีอายุยืนที่สุดในโลก ที่ยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐) มีอายุกว่า ๒,๕๖๐ ปี (มีอายุมากกว่าพุทธศักราช) และชาวพุทธนับถือว่ามีความสำคัญและศักดิ์สิทธิ์เป็นอันดับสอง รองจาก “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ พุทธคยาในสมัยพุทธกาล หลังจากตรัสรู้อนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ และประทับเสวยวิมุตติสุขของพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ปรากฏหลักฐานว่าพระพุทธองค์ได้ทรงเสด็จมา ณ ที่แห่งนี้ แต่อย่างใด มีกล่าวถึงในอรรถกถา แต่เมื่อคราวพระอานนท์ได้มายังพุทธคยา เพื่อนำเมล็ดพันธุ์ของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พระพุทธเจ้าทรงประทับตรัสรู้ กลับไปปลูก ณ วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) ตามความปรารภของอนาถบิณฑิกเศรษฐี ซึ่งปรารถนาให้มีสิ่งเตือนใจเมื่อพระพุทธเจ้าทรงเสด็จไปประทับที่อื่น ประวัติความเป็นมาของ “ต้นอานันทโพธิ์” จากหนังสือปูชาวัลลิยะ ของสมาคมมหาโพธิ์ เมืองกัลกัตตา ประเทศอินเดีย ได้กล่าวไว้พอสรุปใจความได้ว่า... “แม้ว่าพระเชตวันมหาวิหาร จะเป็นที่ยังความสะดวกและความสงบให้เกิดได้ ยิ่งกว่าสถานที่แห่งใดๆ อันเป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้า แต่พระองค์ได้ประทับพักตลอดปีไม่ แต่ละปีพระพุทธองค์ทรงประทับพัก เพียง ๓ เดือนในพรรษาเท่านั้น ส่วนอีก ๙ เดือนของปีนอกฤดูฝน พระองค์เสด็จจาริกออกไปแสดงธรรมในคามนิคมชนบทและหัวเมืองอื่น เมื่อพระพุทธเจ้าต้องเสด็จไปสู่ที่อื่นประมาณปีละ ๙ เดือน ชาวนครสาวัตถีผู้เลื่อมใสในพระธรรม ใคร่จะทูลเฝ้าพระพุทธเจ้าอยู่เป็นนิจ ไม่ปรารถนาให้พระองค์เสด็จไปประทับแห่งใดๆ จึงพากันเกิดความเดือดร้อนใจ ปรึกษากันว่า จะทำไฉนหนอ จึงจะทูลเชิญพระองค์ให้ประทับอยู่ตลอดปีได้ เมื่อพระองค์ต้องเสด็จไป ก็ทำให้เกิดความอ้างว้างใจ จะหาสิ่งใดของพระองค์ให้ปรากฏอยู่เป็นเครื่องระลึกแทนองค์พระพุทธเจ้าได้ ความนั้นทราบถึงพระอานนท์เถระ พุทธอุปัฏฐาก เป็นต้น จึงนำกราบทูลให้ทรงทราบ พระผู้มีพระภาคเจ้าผู้ทรงพระมหากรุณา เพื่อจะยังมหาชนให้สมปรารถนา จึงรับสั่งให้นำผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด) ที่ตำบลพุทธคยา มาปลูกไว้ที่หน้าวัดพระเชตวันมหาวิหาร เมืองสาวัตถี เพื่อเป็นเครื่องหมายแทนพระองค์ จักได้เป็นที่บูชากราบไหว้ของคนทั้งปวง ครั้งนั้นพระมหาโมคคัลลานะ อัครสาวกฝ่ายซ้าย ทราบความประสงค์ของพระพุทธเจ้า จึงทูลอาสาแสดงฤทธิ์ โดยเหาะไปในอากาศถึงตำบลพุทธคยา นำเอาผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด) กลับมายังพระเชตวันมหาวิหารได้ในวันเดียวกันนั้น ครั้นนำผลสุขแห่งโพธิ์ (เมล็ด) มาแล้ว ก็มีการปรึกษากันว่า ผู้ใดจักสมควรเป็นผู้ปลูก เบื้องต้นชาวเมืองและพระสงฆ์พร้อมใจกันถวายพระเกียรติ แด่พระเจ้าปเสนทิโกศล กษัตริย์ผู้ครองกรุงสาวัตถี ให้ทรงเป็นผู้ปลูก แต่ทรงปฏิเสธ โดยบอกว่าฐานะกษัตริย์ย่อมไม่มั่นคงถาวร ทายาทที่จะมาภายหลังจะให้ความคุ้มครอง บารุงรักษาต้นโพธิ์ต่อไปนี้ได้หรือไม่ก็ไม่ทราบได้ จึงควรยกเกียรตินี้ให้แก่คนอื่น ในที่สุดก็ได้ตกลงให้ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี เป็นผู้ปลูก เพราะด้วยคิดกันว่า ต้นโพธิ์จะอยู่ภายในที่สาคัญของท่านอย่างหนึ่ง และท่านมีบริวารข้าทาสหญิงชายมาก คงสืบตระกูลช่วยกันรักษาต้นโพธิ์ ต่อๆ กันไปได้อีกอย่างหนึ่ง เมื่อปลูกเสร็จก็ได้มีการฉลองต้นโพธิ์ และพระพุทธองค์ก็ได้เสด็จประทับนั่งอยู่ภายใต้ต้นโพธิ์ ๑ ราตรี ตั้งแต่นั้นมา ชาวเมืองก็พากันกราบไว้ต้นโพธิ์เสมือนเครื่องระลึกแทนพระพุทธเจ้า ที่เรียกชื่อว่า อานันทโพธิ์ นั้นเป็นเพราะว่าพระอานนท์เป็นผู้จัดการดูแล เรื่องการปลูกและรดน้ำจนต้นโพธิ์เจริญเติบโตนั่นเอง” อานันทโพธิ์ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่ ณ ภายในวัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) เมืองสาวัตถี รัฐอุตตรประเทศ ประเทศอินเดีย ตราบเท่าถึงปัจจุบันนี้ อานันทโพธิ์ คือต้นโพธิ์ที่มาจากต้นพระศรีมหาโพธิ์ พุทธคยา สถานที่ตรัสรู้ ชาวพุทธทั่วโลกจึงให้ความสำคัญเป็นอย่างมาก ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยาถูกทำลายมาแล้ว ๓ ครั้ง แต่ที่วัดเชตวันมหาวิหาร (วัดพระเชตวัน) นี้ยังคงอยู่ ชาวพุทธเราจึงเชื่อว่า ต้นอานันทโพธิ์ มีความศักดิ์สิทธิ์ไม่แพ้ต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่พุทธคยา บริเวณโคนต้นอานันทโพธิ์ จะมีชาวพุทธนำกลีบดอกไม้ หลากสีสดสวยมาสักการะโดยรอบ แลดูงดงาม นอกจากนี้ก็ยังมีเสาเหล็กมาช่วยค้ำยัน เพื่อช่วยพยุงกิ่งของต้นอานันทโพธิ์มิให้ทรุดพังลงมา |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 23 ก.พ. 2012, 22:56 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ประวัติ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ทั้ง ๔ ต้น ที่พุทธคยา แดนตรั |
“ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา (เมืองอนุราธปุระ เป็นเมืองมรดกโลกและเมืองหลวงแห่งแรกของประเทศศรีลังกา) หลังพุทธกาลในรัชสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช เมื่อราวพุทธศตวรรษที่ ๓ พระนางสังฆมิตตาเถรี พระราชธิดาของพระเจ้าอโศกมหาราช พระภิกษุณีรูปสุดท้ายในประวัติศาสตร์พระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท ขณะทรงอัญเชิญพระคัมภีร์ทางพุทธศาสนามาเผยแผ่ในประเทศศรีลังกาเป็นครั้งแรก ได้ทรงนำกิ่งด้านขวาของ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ พุทธคยา ประเทศอินเดีย อันเป็นสถานที่ตรัสรู้ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาพร้อมกันด้วย โดยทรงเดินทางลงเรือมามอบให้แด่พระเจ้าเทวานัมปิยติสสะ เพื่อให้ประดิษฐาน (ทรงปลูก) ไว้ ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา ต้นพระศรีมหาโพธิ์ต้นนี้ยังคงยืนต้นอยู่มาจนถึงปัจจุบัน (ปี พ.ศ. ๒๕๖๐) มีอายุกว่า ๒,๓๐๕ ปี อันเนื่องมาจากชาวศรีลังกาได้ทำนุบำรุงรักษาดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีตลอดมา มีการค้ำด้วยไม้ที่หุ้มด้วยทองคำ และทำรั้วกำแพงทองคำล้อมรอบไว้ ผู้ที่จะเข้าไปกราบสักการะต้องผ่านการตรวจสอบของเจ้าหน้าที่เพื่อความปลอดภัย ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย รัชกาลที่ ๒ ปี พ.ศ. ๒๓๕๗ พระสมณทูตไทยได้นำหน่อต้นพระศรีมหาโพธิ์ เมืองอนุราธปุระ มาด้วยจำนวน ๖ ต้น โดยล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ ๒ ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้นำไปปลูกไว้ที่เมืองนครศรีธรรมราช ๒ ต้น นอกนั้นให้ปลูกไว้ที่วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์, วัดสุทัศนเทพวราราม, วัดสระเกศฯ และที่เมืองกลันตัน ประเทศมาเลเซีย แห่งละ ๑ ต้น อนึ่ง ครั้งที่ ศ.ดร.นรนิติ เศรษฐบุตร เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้มีโอกาสไปสักการะ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ณ เมืองอนุราธปุระ ประเทศศรีลังกา และได้อัญเชิญหน่อของต้นพระศรีมหาโพธิ์ที่ได้ไปสักการะในครั้งนั้น มาปลูกไว้ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต เป็นที่ร่มเย็นอยู่จนถึงทุกวันนี้ |
เจ้าของ: | Duangtip [ 31 ม.ค. 2019, 13:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ประวัติ “ต้นพระศรีมหาโพธิ์” ทั้ง ๔ ต้น ณ พุทธคยา แดนตรัส |
ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |