วันเวลาปัจจุบัน 19 มี.ค. 2024, 09:07  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 พ.ค. 2009, 22:04 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ตำ น า น พ ร ะ บ ร ม ส า รี ริ ก ธ า ตุ

พระบรมสารีริกธาตุ
คือธาตุส่วนต่างๆ ในพระวรกายของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
ที่กลายเป็นพระธาตุหลังถูกพระเพลิง


ซึ่งแยกชิ้นส่วนเป็นของแข็ง คือ กระดูก
ส่วนที่เป็นของอ่อน คือ ส่วนเนื้อหนังและอวัยวะภายในทั้งหมด

ซึ่งกล่าวได้ว่า

“พระวรกายของพระพุทธเจ้าทั้งหมดหลังการถูกพระเพลิง
จะกลายเป็นพระบรมสารีริกธาตุทั้งสิ้น”


พระบรมสารีริกธาตุของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
หรือที่เรียกเป็นภาษาสามัญว่า “กระดูกของพระพุทธเจ้า”
เป็นพระธาตุที่เกิดขึ้นภายหลังการถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ


รูปภาพ

หลังจากทรงเสด็จดับขันธปรินิพพาน
ได้มีการจัดการพระศพเยี่ยงพระเจ้าจักรพรรดิทั่วไป
คือพระห่อพระศพด้วยผ้าใหม่ แล้วหุ้มสำลีสลับกัน ๕๐๐ ชั้น
ใส่ลงในรางน้ำมันที่ทำด้วยเหล็ก แล้วปิดด้วยฝาเหล็ก
ตั้งเผาบนไม้หอม เสร็จแล้วจึงนำไปบรรจุในสถูป
ที่สร้างไว้บนทางสี่แพร่งเพื่อเป็นที่สักการบูชาของคนที่มาทั้งสี่ทิศ


แต่ในการถวายพระเพลิงพระศพของพระพุทธเจ้า
ได้จัดสถานที่ให้ประชาชนได้มาถวายบังคม ๗ วัน
ก่อนที่จะอัญเชิญพระศพเข้าพระนคร

เสร็จแล้วจึงได้อัญเชิญพระเพลิงติดขึ้นในทันใด
เมื่อพระศพไหม้พระเพลิงดับ
จึงได้มีพิธีรวมพระอัฐิธาตุและพระอังคาร (เถ้าถ่าน)
ไปตั้งสักการะกลางพระนครอีก ๗ วัน

ซึ่งปรากฏว่าหลังพระเพลิงดับ

พระฉวี (หนังกำพร้า) พระมังสะ (เนื้อ) พระจัมมะ (หนัง)
และพระลสิกา (ไขข้อ) และพระนารหุ (เอ็น)


ได้ไหม้และกลายเป็นเถ้าถ่าน


ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า

ภายหลังได้กลายเป็นพระธาตุทั้งสิ้น
นอกจากนี้ผ้าชั้นนอกและผ้าชั้นในคู่หนึ่งไม่ไหม้


ส่วนพระอัฐิธาตุทั้งปวงนั้นไหม้ทั้งหมด
แต่กลับกลายเป็นเกล็ดสีขาวบริสุทธิ์
สัณฐานใหญ่เท่าเมล็ดถั่วแตก
สัณฐานกลางเท่าเมล็ดข้าวสารหัก
สัณฐานเล็กเท่าเมล็ดผักกาด และเท่าเมล็ดงา


รูปภาพ

รูปภาพ

ส่วนที่ยังเป็นชิ้นตามรูปเดิม คือ

พระอุณหิสธาตุ (พระอัฐิหน้าผาก) ๑
พระทาฐธาตุ (พระเขี้ยวแก้ว) ๔
พระอักขธาตุ (พระรากขวัญ) ๒
พระทันต์ทั้ง ๓๖ ซี่
พระเกศา พระโลมา และพระขนา


ตามตำนานพบพระบรมสารีริกธาตุมีเพียง ๔ สัณฐาน
ตามที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้น


แต่ตามความเป็นจริงแล้ว
พระบรมสารีริกธาตุยังมีสัณฐานพิเศษ
นอกเหนือจากที่ตำรากล่าวไว้อีกมากมาย


นอกจากนี้ยังเชื่อกันว่า
พระบรมสารีริกธาตุในส่วนที่มาจากกระดูกนั้น จะสามารถลอยน้ำได้
แต่ต้องค่อยๆ เอาภาชนะช้อนองค์พระธาตุไปวางไว้ในน้ำ
ให้น้ำค่อยๆ รองรับองค์พระธาตุ

ลักษณะการลอยนั้นองค์พระธาตุจะลอยปริ่มน้ำ
กดน้ำจนเป็นแอ่งคล้ายวังน้ำวน
และองค์พระธาตุก็จะอยู่ระดับเดียวกันกับผิวน้ำ
แล้วจะค่อยๆ เคลื่อนเข้ามารวมกัน

พระธาตุของพระอรหันต์ชั้นสูงก็เช่นเดียวกัน
เมื่อพระสาวกได้บำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมชั้นสูง
จิตใจที่บริสุทธิ์หมดซึ่งกิเลส
พลังแห่งการสั่งสมบารมีจะปรากฏให้เห็น
ซึ่งเราเรียกพระธาตุของพระอรหันต์ว่า
“พระอรหันตธาตุ” ซึ่งสามารถลอยน้ำได้เช่นกัน


รูปภาพ

รูปภาพ

:b8: :b8: :b8:

• ข้อมูลจาก : ตำนานพระบรมสารีริกธาตุ ใน พระธาตุเจดีย์ มรดกล้ำค่าของเมืองไทย : PHRA THAT CHEDI Thailand’s Precious Heritage โดย ทศพล จังพานิชย์กุล บริษัทคอมม่าดีไซน์แอนด์ พริ้นท์ จำกัด, พิมพ์ครั้งแรก ธันวาคม ๒๕๔๖, หน้า ๑๐-๑๑
• ภาพจาก : พระบรมสารีริกธาตุ (Buddha Relics) โดย มูลนิธิพระบรมธาตุ ในพระสังฆราชูปถัมภ์


:b47: เหตุการณ์ต่อเนื่องจาก “วันอัฏฐมีบูชา”
โทณพราหมณ์ แบ่งพระบรมสารีริกธาตุออกเป็น ๘ ส่วนเท่าๆ กัน
แล้วมอบให้ผู้ครองนครทั้ง ๘ นำไปสักการบูชาที่บ้านเมืองของตน

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=48446

:b44: พระบรมสารีริกธาตุ (ท่านพ่อลี ธัมมธโร)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=51360

:b44: เหตุที่อัฐิกลายเป็นพระธาตุ มีช้ามีเร็วต่างกัน !?!
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=33571

:b44: พระบรมสารีริกธาตุ จัดเป็น “พระธาตุเจดีย์”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=43001

:b44: พระธาตุหลวงปู่ขาว อนาลโย (คุณหญิงสุรีพันธุ์ มณีวัต)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=44367


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 07 ก.ค. 2009, 04:39 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 21 มี.ค. 2009, 20:48
โพสต์: 745


 ข้อมูลส่วนตัว


ขอกราบนอบน้อม พระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระปักเจกพระพุทธเจ้าทั้งหลาย พระธรรม และ พระอริยสงฆ์ทั้งหลาย ขอให้ข้าพเจ้ามีส่วนในธรรมของพระอริยเจ้าทั้งหลาย

.....................................................
“เวลาทำสมาธิ ให้ระลึกลมหายใจเข้าออก ให้รู้ลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องบังคับลมหายใจ ตามรู้ลมหายใจเข้าออก สงบก็รู้ ไม่สงบก็รู้ สงบก็ไม่ยินดี ไม่สงบก็ไม่ยินร้าย ไม่เอาทั้งสงบและไม่สงบ เอาแค่รู้ตามความเป็นจริงของสภาวธรรมปัจจุบันนั้น”

ธรรมเหล่านี้เป็นไปเพื่อคลายกำหนัด
เป็นไปเพื่อไม่ประกอบสัตว์ไว้
เป็นไปเพื่อไม่สั่งสมกิเลส
เป็นไปเพื่อความเป็นผู้มักน้อย
เป็นไปเพื่อสันโดษ
เป็นไปเพื่อความสงัดจากหมู่คณะ
เป็นไปเพื่อปรารภความเพียร
เป็นไปเพื่อความเป็นคนเลี้ยงง่าย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ธ.ค. 2015, 21:27 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 พ.ค. 2010, 13:34
โพสต์: 1654

งานอดิเรก: ฟังเพลง และฟังธรรมตามกาลเวลา
สิ่งที่ชื่นชอบ: อภัยทาน
อายุ: 39
ที่อยู่: กรุงเทพมหานคร

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:

.....................................................
ธรรมอำนวยพร
ขอให้.....มีจิตที่รู้ ที่ตื่น ที่เบิกบาน (พุทธะ)
ขอให้.....ทำการงานด้วยความสุข (อิทธิบาทสี่)
ขอให้.....ขจัดทุกข์ได้ด้วยปัญญา (อริยสัจสี่)
ขอให้.....มีดวงตาที่เห็นความจริง (ไตรลักษณ์)
ขอให้.....เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไปด้วยไตรสิกขา (ศีล, สมาธิ, ปัญญา)


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 3 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร