วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 18:20  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=8



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 ก.ค. 2020, 21:11 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 22 ก.ย. 2012, 08:47
โพสต์: 27


 ข้อมูลส่วนตัว


ร่างทับถม จมดิน สิ้นภพชาติ
ตัดไม่ขาด อาฆาตจิต คิดขุ่นแค้น
แม้นเกิดใหม่ ฉันใด ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอตามแค้น ตามอาฆาต ทุกชาติไป


โพธิสัตว์ฉัททันต์

ครั้งชินวร สอนโลก โปรดเหล่าสัตว์
ให้สละ ตัดรอน ถอนหลงใหล
ขุดรากเหง้า เถากิเลส เหตุเภทภัย
เพื่อจิตได้ คลายเขลา เข้านิพพาน
มีอยู่ครา องค์มหา มุนีตรัส
โปรดบริษัท ณ เชตวันวิหาร
หญิงนางหนึ่ง มองเห็นซึ้ง ถึงโทษกาม
ให้เกรงขาม ครั่นคร้ามร่วง ห้วงอบาย
จึงอำลา ฆราวาส พากเพียรจิต
ไม่ข้องติด อามิสโลก โทษเหลือหลาย
บวชเป็นสงฆ์ วงศ์เถรี หนีวุ่นวาย
ฝึกใจให้ คลายหลง ปลงนิวรณ์
เช้าจรดค่ำ เถรีท่าน เฝ้าย้ำจิต
หมั่นดำริ ตริธรรม คำสั่งสอน
ยืนเดินนั่ง ท่านกระทำ ตามครรลอง
หวังรื้อถอน ผองตัณหา ที่คาใจ
ภิกษุณี พลีใจ ให้ธรรมหมด
ปลีกเลี่ยงหลบ ไม่คบอยู่ หมู่สหาย
เข้าฌานพิศ จิตขันธ์ สรรพางค์กาย
บ่ท้อหน่าย คลายเปลี่ยน เพียรฝึกตน
แต่มีครั้ง คราท่าน นั่งสดับ
ฟังข้ออรรถ ดำรัสธรรม ท่ามกลางสงฆ์
เกิดเผลอจิต พิศมอง จ้องพุทธองค์
ช่างงามสม งามสรรพ ประจักษ์จริง
พระรูปโฉม โนมพรรณ รำไพเพริศ
จ้าบรรเจิด เลิศหาไหน ในชายหญิง
พระปุริสลักษณะ ประทับจินต์
พร้อมอนุพยัญชนะสิ้น ทั่วกายา
ยามทรงพัก ประทับองค์ บนธรรมาสน์
พระฉัพพรรณรังสีอาบ วาบนักหนา
พร่างระยับ วับวาว พราวนัยน์ตา
เกินจักหา ใดเทียบ เปรียบมุนินทร์
พระสำเนียง สุรเสียง จำเรียงเพราะ
ฟังเสนาะ ไพเพราะใจ ให้ถวิล
แสนดูดดื่ม ปลาบปลื้มเหลือ เมื่อได้ยิน
ทั่วหล้าสิ้น เสียงเทียบ เปรียบภูวไนย
จึงปรุงจิต คิดไป ในภพผ่าน
ถึงเมื่อกาล กัปปี มีบ้างไหม
เราเป็นบาทบริจา ข้าจอมไตร
ภาพหลังให้ ผุดเด่น เห็นทันที

มีอยู่ครั้ง สรรเพชญ เสด็จอุบัติ
เป็นจอมสัตว์ นามฉัททันต์ วรรณหัตถี
ครองหิมพานต์ ตระการแคว้น แดนพงพี
เปี่ยมศักดิ์ศรี มีฤทธา กว่าสัตว์ใด
ครั้งนั้นเรา เฝ้าคลอ นรการ
อยู่เคียงข้าง วาบหวามจิต พิสมัย
ออกเที่ยวท่อง ล่องเขา ลำเนาไพร
โตรกโขดเขิน เนินไศล สุขใจจริง
จึงเอิบอิ่ม กระหยิ่มใจ ให้ปราโมทย์
จิตสันโดษ พลันโลดออก นอกกรอบศีล
เปล่งหัวร่อ งอหาย ชอบใจจริง
ลืมตัวสิ้น ทิ้งวัตร สมณะชี
แล้วจู่จู่ อยู่อยู่พลัน ท่านก็เปลี่ยน
จิตวกเวียน เปลี่ยนมาคิด พิศโฉมศรี
อันภรรยา ทั่วโลกา บรรดามี
ยากเป็นศรี เป็นศักดิ์ ภัสดา
จึงเพ่งฌาน ควานค้น ถึงตนเล่า
ครั้งตามเฝ้า เจ้าทันตี ดีไหมหนา
หรือมุ่งติ ตำหนิโทษ โกรธภรรดา
หรือคิดร้าย หมายฆ่า พร่าชีวัน
กาลบัดนั้น ท่านคร้ามใจ วาบไหวจิต
ภาพความผิด ติดตราตรึง จึงโศกศัลย์
ผุดสว่าง กระจ่างเด่น เห็นบาปทัณฑ์
ที่เคยพลั้ง พลาดหลง ลงอบาย
ตนเคยใช้ ให้พราน ผลาญชีวิต
ด้วยทิฐิ ปิดตา พาฉิบหาย
ยิงศรพิษ ปลิดปลง องค์ดำไร
ตัดงาใหญ่ ไอยรา มาเชยชม
พอระลึก นึกย้อน อกร้อนเร่า
ยากบรรเทา ด้วยตนเขลา เศร้าขื่นขม
สุดจักขืน ฝืนใจ ไม่ระทม
จึงร้องห่ม หล่นน้ำตา หน้าทักขิไณย
พุทธองค์ ทรงแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
ถึงเถรี ทีท่า น่าอับอาย
สงฆ์ต่างใคร่ ได้ฟัง คำพระองค์
จึงพนม ก้มกราบ เอ่ยปากถาม
ถึงอาการ ท่าที มีฉงน
ของเถรี นางนี้ ที่ชอบกล
ขอพระองค์ ทรงแจ้ง แถลงความ

พระโลกนาถ ปราชญ์มุนินทร์ ยินดำรัส
ทรงตอบกลับ ตรัสไข ในคำถาม
ถึงเถรี มีประหลาด ยากพบพาน
เดี๋ยวสรวลสันต์ เดี๋ยวพลันไห้ ไม่เข้าใจ
จึงทรงยก ชาดกมี เป็นที่กล่าว
ถึงเรื่องราว เล่าขาน นานเหลือหลาย
ย้อนภพชาติ มากกัป หากนับไป
มีกุญชร ครองป่าใหญ่ ในแดนดง
เหล่าหัตถี มีกัน แปดพันเชือก
คชาเผือก ผู้เกริกใหญ่ ในไพรสณฑ์
ครองหมู่กรี มีเดชา กว่าทุกตน
เที่ยวสุขสม ดงแดน แคว้นหิมพานต์
โขลงมาตงค์ ดำรงพัก ณ สระใหญ่
เหล่าดำไร ลงเวียนว่าย ริมชายน้ำ
สระกว้างยาว น้ำใสขาว พราวตระการ
แต่ละด้าน ห้าสิบสองโยชน์ โอบจดกัน
กึ่งกลางน้ำ หยั่งมิด สิบสองโยชน์
ไร้โตนด โคตรเหง้า เหล่าบัวผัน
พลิ้วระลอก กระชอกซัด รับตะวัน
งามสีสัน พรรณราย ประกายแวว
ห่างตลิ่ง ถิ่นจงกล แลบงกช
ดอกสีสด หมดจดงาม อร่ามแผ้ว
แดงชมพู คู่ขาวเหลือง เรืองรองแวว
ดุจดั่งแก้ว มณีเด่น เปล่งประกาย
ถัดจงกล เหล่าอุบล ปนโกมุท
สวยผ่องผุด บุษบัน ช่างเฉิดฉาย
นิลปัทม์ สัตตบุษย์ ผุดเรียงราย
แผ่ขยาย หลายหลาก ยากเอ่ยนาม
ใกล้ตลิ่ง ริมขอบ รอบบึงใหญ่
มวลสาหร่าย รำไรเด่น เห็นในน้ำ
พลิ้วเอนไหว ไหลตามคลื่น ระรื่นงาม
แพงพวยน้ำ หนามแขยง แซมคู่กัน
สันตะวา ไส้ปลาไหล ขาไก่ด่าง
ผักเป็ดน้ำ เขียวงามแดง แกมสีสัน
พุทธรักษา กกนาทราย หลายหลากพันธุ์
โอนเอนหัน ผันตามลม ชมชื่นใจ

บนตลิ่ง ขึ้นไกล ไปหนึ่งโยชน์
ป่าข้าวโพด ข้าวสาลี มีมากหลาย
ฝักเขียวนวล รวงอร่าม งามจับใจ
ต้องลมไหว ใบครวญดัง ฟังชวนเพลิน
ถัดป่าข้าว ยาวขนัด แตงฟักเขียว
เถาบิดเกลียว เกี่ยวกัน พันยุ่งเหยิง
ผลสุกแก่ แต่ละใบ ใหญ่เหลือเกิน
แตกแดงเยิ้ม ต้องแดดกล้า น่าเสียดาย
ติดไม้เถา ยาวไกล ดงไผ่หว้า
กล้วยพุทรา น้อยหน่าปรู ดูหลากหลาย
จันมะซาง มะขามหม่อน ซ่อนเรียงราย
เหลืองลูกหวาย รายร่วง ท่วมทับกัน
เหล่าไม้ผล อุดมเหลือ เอื้อเฟื้อสัตว์
ไม่อัตคัด ขัดใด ในไพรสัณฑ์
อยู่สบาย กายไม่ทุกข์ สุขประดัง
ดุจสวรรค์ เมืองแมน แดนหิมพานต์

เลยไม้ผล ดงไพร ไกลขอบนอก
เขาโอบกอด รอบกั้น เจ็ดชั้นขวาง
เทือกในสุด ผุดผ่อง เรืองรองงาม
เหลืองอร่าม นามสุวรรณ ปัสสคิรี
ทิศอีสาน ห่างสระไป ไทรใหญ่เด่น
แลมองเห็น เช่นไศล เลื่อมพรายสี
ต้องรำไพ ไสวพราว ราวมณี
ถือเป็นที่ กรีพัก พำนักกาย
ห่างย่านไทร นิโครธใหญ่ แผ่ใบก้าน
แลตระการ ยามแดดแรง พันแสงฉาย
โคนเตียนโล่ง โปร่งระรื่น ชื่นสบาย
คชมากหลาย คลายร้อน นอนพักกัน
ช่วงคิมหันต์ เจ้าฉัททันต์ นั้นไม่เปลี่ยว
พาโขลงเที่ยว ท่องไพร ใจสุขสันต์
กินไม้ผล ชมไม้ดอก หยอกล้อกัน
ร้อนเล่นน้ำ สนานสุข สนุกเชียว
ตกยามเย็น เห็นรวี รี่แสงจ้า
เจ้าโขลงพา พลพรรค พักไทรเขียว
แล้วเลี่ยงหลีก ปลีกตน มาองค์เดียว
ยืนโดดเดี่ยว เหลียวดู หมู่บริวาร
เย็นพระพาย ชายเฉื่อย ระเรื่อยอ่อน
ทิพากร รอนแดง แสงผสาน
สัตตบุษย์ หุบดอกใบ ในสระงาม
ฟ้ามืดค่ำ ดื่มด่ำสุข ทุกราตรี

เข้าวัสสาน พักกาญจนคูหา
เหล่าคชา ว้าวุ่นใจ ไม่สุขี
หลบฝนตก นอนขดถ้ำ ชอกช้ำฤดี
อยากจักหนี พงพีท่อง ล่องพฤกษ์ไพร
จนฝนผ่าน ฤดูกาล นานสิ้นสุด
เหล่าโคบุตร ทนทุกข์นาน รำคาญหลาย
ออกจากถ้ำ ย่ำดง พงพฤกษ์ไพร
ได้ชมนก ชมไม้ ผ่อนคลายเสียที
ป่าเบญจพรรณ เต็งรัง ประชันช่อ
ขาวลออ ช่อเต็ง เปล่งรัศมี
เหลืองอร่าม ดอกรังผ่อง ต้องรวี
ต่างแข่งสี แข่งตระการ งามเคียงกัน
สิ้นเหมันต์ มวลดอกรัง เริ่มคล้ำแตก
กลีบบานแยก แดงแปลกตา คราลมผัน
ปลายงอนช้อย ห้อยดอกเห็น เช่นระฆัง
หลุดขั้วคว้าง เคว้งพลิ้ว ลิ่วตามลม
เหล่าบริวาร เห็นถึงกาล สนานสนุก
ไม่เจ่าจุก รุดเฝ้า เจ้าไพรสณฑ์
แจ้งดำไร ไอยรา พาพวกตน
เล่นกีฬา ดอกรังหล่น หมุนลมปลิว
ท้าวคชินทร์ ยินคำ ดำรีว่า
จึงรีบพา สองภรรยา นำหน้าลิ่ว
เหล่าบริวาร ตามชิด ติดเป็นทิว
แลลิบลิ่ว ริ้วขบวน ชวนเพลินมอง
ขวามหา สุภัททา สง่าสาง
ซ้ายไม่ห่าง จุลลภัททา ภรรยาสอง
บาทบริจา คชาเจ้า เหล่ากุญชร
คู่สมร สองกรินี ศรีวารณ
ดูแฉล้ม แช่มช้อย หยดย้อยยิ่ง
เกินกรินทร์ ถิ่นใด ในไพรสณฑ์
ยุรยาตร นวยนาดย่าง ข้างพระองค์
ช่างงามสม องค์ท้าว เจ้าไอยรา

ถึงป่ารัง แดงสะพรั่ง ดอกรังแก่
ไกวปรวนแปร แลละลาน บานหล่นหล้า
ต้องลมหนุน หมุนติ้ว พลิ้วไปมา
ร่อนถลา ตื่นตาเพลิน เจริญใจ
เหล่ามาตงค์ ดมไร ใจสุขสันต์
เตรียมแย่งกัน ดันรังแกร่ง ดอกแดงใส
หลุดจากพวง ร่วงร่อน ว่อนพฤกษ์ไพร
แล้ววิ่งไล่ ให้สนุก สุขอุรา
โพธิสัตว์ ฉัททันต์ ครั้นแลเห็น
เหล่ากเรนทร์ นาเคศ ชายเนตรหา
จึงเยื้องย่าง ห่างสมร สองภรรยา
ก้าวเข้าหา รังใหญ่แก่ แต่ลำพัง
ครั้นถึงหน้า พญาไม้ รายใบตก
ราชาคช วกพักตร์ มองกลับหลัง
เหล่าพลายสาร ต่างพยัก หน้ารับพลัน
เจ้าไพรหัน ถลันมุ่ง พุ่งเข้าชน
พญารัง สะท้านไหว ใบกิ่งร่วง
ช่อดอกพวง ควงว่อน ร่อนสับสน
ดอกหมุนติ้ว ลิ่วเข้าหา เหล่ามาตงค์
พลันโกลาหล สับสนสุข สนุกกัน
หลังได้ฤกษ์ เปิดงาน การละเล่น
เหล่านาเคนทร์ คเชนทร์สาง ต่างหฤหรรษ์
เที่ยวพุ่งชน ยลดอกไม้ รายร่อนกัน
ร้องสรวลสันต์ สนั่นป่า น่าเพลินใจ
แต่เมื่อครา ท้าวคชา พญาสาร
พุ่งชนรัง มดแดงพลัน ระส่ำระสาย
ตกกายา ชายารอง หมองระคาย
เนื่องอยู่เหนือ ลมไพร ร่วงใส่พอดี
ส่วนเกสร ละอองไม้ กระจายพลิ้ว
ลอยละลิ่ว ปลิวลม พรมมารศรี
ทั่วสรรพางค์ จอมนางใหญ่ ให้ยินดี
เหล่าหัตถี ปรีดาร้อง ก้องพฤกษ์ไพร
อนุรอง มองเห็น เข่นเขี้ยวโกรธ
ลืมตัวโทษ โกรธา ไอยราใหญ่
รักเมียหลวง ห่วงหา เฝ้าอาลัย
ส่วนตนไซร้ ไม่คำนึง นึกถึงกัน
จึงจดจำ กล้ำกลืนแค้น ฝังแน่นจิต
ตามืดมิด ริษยา บ้าโมหันธ์
ไม่ไต่ถาม ความนัย อย่างไรกัน
ด่วนสะบั้น ไมตรี ที่มีมา

ล่วงเดือนห้า หน้าแล้ง ป่าแห้งหมด
ไม่สวยสด ซบเซา เหล่าพฤกษา
ต้องแดดเผา เฉาไหม้ ไร้ชีวา
มวลช้างป่า พาฝูงเปลี่ยน เวียนสระงาม
บ้างหลบแดด แทรกก่าย ใต้เงากร่าง
บ้างเบิกบาน สนานชล ลงเล่นน้ำ
บ้างหมอบจ้อง ภมรดอม ดอกพลองงาม
บ้างเกียจคร้าน พานซุก คลุกโคลนตม
ท้าวพญา คชาธาร สำราญว่าย
ธารน้ำไหล ใสบริสุทธิ์ ใจสุขสม
เคียงนุชนาฏ ขนาบข้าง ไม่ห่างองค์
ดำอาบสรง จนพอควร ชวนขึ้นกัน
ยืนโขดหิน หว่างยุพิน ผินมองหมู่
เหลือบแลดู อยู่ไม่ไกล ใจสุขสันต์
เห็นบริวาร สนานสุข สนุกกัน
จึงสรวลสันต์ หรรษา หาใดเกิน
สองดำรี ศรีภรรยา คชาเจ้า
ต่างคอยเฝ้า ดั่งเงาตาม ไม่ห่างเหิน
คลอแนบชิด ติดข้าง ทุกย่างเดิน
ยิ่งขับเสริม เพิ่มยศศักดิ์ เจ้าฉัททันต์

เพลานั้น มีดำไร ใจอาจหาญ
ว่ายสระงาม ดำน้ำตรง ดงบุหงัน
โผล่กลางกอ หน่ออัมพุช บุษบัน
บานสีสัน ประชันช่อ ล้อลมไกว
มีดอกหนึ่ง ช่างสวยซึ้ง ตรึงดวงจิต
เบ่งบานผลิ เจ็ดกลีบชู ดูสดใส
เจิดจรัส รัศมี มีประกาย
งามเฉิดฉาย ไร้ใดเทียบ เปรียบอุบล
เจ้าพลายเห็น เผ่นพุ่ง มุ่งเข้าหา
ว่ายธารา ฝ่าไป ใจสุขสม
ตั้งใจเด็ด เก็บนำให้ เจ้าไพรชม
ถึงเหนี่ยวโน้ม งวงถอน ประคองมา
แล้วขึ้นฝั่ง ตรงยัง ฉัททันต์เจ้า
พลายสารเข้า เฝ้าหมอบ มอบบุปผา
นาเคศวร ยื่นงวงรับ ปัทมา
พลายพังคา หน้าใส ไกลจากจร
หลังรับก้าน บัวบาน คชสารเจ้า
พลันน้อมเกล้า งวงยาวชู พรูเกสร
ร่วงกระหม่อม กระพองงาม เมื่อยามมอง
ยื่นดอกหอม ประคองให้ เมียใหญ่เชย
อนุเจ้า ท้าวคชา ชายาสอง
เหลือบตามอง คับข้องใจ ใคร่เฉลย
รักเมียใหญ่ ไม่แบ่งใจ ให้ตนเลย
ปากไม่เผย เอ่ยไป ใจจดจำ

แล้ววันหนึ่ง บุญมาถึง ซึ่งผองสัตว์
มีเหล่าพระ คณะหมู่ สู่ไพรสัณฑ์
ห้าร้อยองค์ ทรงพิสุทธิ์ ผุดผ่องพรรณ
พักไม่ห่าง สระใหญ่ ใกล้นที
ท้าวฉัททันต์ ครั้นทราบ เอิบอาบจิต
เกิดดำริ ทิฐิหนุน บุญราศี
คิดถวาย หลายหลากภัตร กับมุนี
จึงป่าวร้อง ชวนน้องพี่ ทำดีกัน
เหล่าพหล พลช้าง เบิกบานยิ่ง
พากันวิ่ง เข้าไพร ใจสุขสันต์
เก็บผลหมาก รากไม้ รายรอบพลัน
อึกทึก คึกลั่น สนั่นไป
ทั้งกล้วยหอม งอมเหลือ เนื้ออร่าม
ทั้งอ้อยตาล มะขามมะพูด ลูกหวาย
ทั้งเผือกมัน ฝรั่งหม่อน กองเรียงราย
แตงมากหลาย มะไฟหวาน บานพะเนิน
ท้าวพารณ คนมะซาง ด้วยน้ำผึ้ง
เคล้านวดคลึง ซึมผิวผ่าน รสหวานเพิ่ม
แล้วกอบใส่ ใบบัว ทูนหัวเดิน
สองนางเสริม ผลาผล ขนตามไป
ฝูงไอยรา หน้าใส ใจเปี่ยมสุข
ไม่ซนซุก หลุกหลิก ผิดวิสัย
เดินเป็นแนว แถวเรียง เคียงกันไป
ดูยิ่งใหญ่ โอฬาร ตระการตา
ถึงที่พัก พำนักสงฆ์ มาตงค์หยุด
เจ้าไพรทรุด คุกเข่ายอบ นอบเกศา
เหล่าบริวาร ผสานตาม สารราชา
ต่างก้มหน้า น้อมเศียร เตียนติดดิน
เจ้าจุลล สุภัททา ภรรยาสอง
ตั้งจิตปอง น้อมจิตตรง องค์ทรงศีล
ขออานิสงส์ ผลทาน เป็นตามจินต์
ชีพแดดิ้น สิ้นใจ ครรไลลา
แม้นเกิดใหม่ ให้สมหวัง ดั่งความคิด
หลังจุติ ปิดอบาย ไกลทุกขา
เกิดในพงศ์ วงศ์มัททะ กษัตรา
มีชื่อว่า สุภัททา กัลยาณี
ครั้นเติบใหญ่ ให้รูปร่าง สะอางโฉม
ใครยินยล ล้นเมตตา มารศรี
เป็นที่รัก สมัครสมาน สามัคคี
เจ้ากาสี รักใคร่ ให้โปรดปราน
นับแต่นั้น พังเจ้า ไม่เฝ้าติด
ไม่ตามชิด สนิทเคล้า เจ้าช้างสาร
ไม่ดื่มกิน ไม่สุงสิง บริวาร
เนิ่นวันผ่าน สังขารรูป ซูบซีดไป
จนวันหนึ่ง ฟ้าให้ครึ้ม ซึมผิดแปลก
วังเวงแทรก แนบเศร้า เหงาไฉน
เหมือนเป็นลาง บันดาลเหตุ แห่งเภทภัย
ผืนป่าใหญ่ เงียบเหลือใจ ไปทั่วกัน
กรินีนิ่ง สิ้นใจ ในที่สุด
ล้มหมอบทรุด ฟุบดิน สิ้นอาสัญ
ชีพสลาย แตกตาย วายชีวัน
ไร้คู่ขวัญ ช่างเปลี่ยวใจ ในดงแดน
ร่างทับถม จมดิน สิ้นภพชาติ
ตัดไม่ขาด อาฆาตจิต คิดขุ่นแค้น
แม้นเกิดใหม่ ฉันใด ไม่เปลี่ยนแปลง
ขอตามแค้น ตามอาฆาต ทุกชาติไป

ปีวันเลื่อน เคลื่อนผ่าน กาลหมุนเปลี่ยน
สุขทุกข์เวียน วนกลับ เกิดดับสลาย
เคยทุกข์ทน พลันพ้นทุกข์ สุขสบาย
เคยเฉิดฉาย มากลายพลาด ยากฝืนกรรม
สิ้นจุลล สุภัททา ภรรยาสอง
เจ้ากุญชร นองน้ำตา พาโศกศัลย์
เฝ้าคำนึง ถึงคู่ อยู่ทุกวัน
ตรอมชอกช้ำ เนิ่นวันผ่าน ก็สร่างไป
ณ ดินแดน แคว้นเขต ประเทศราช
ดารดาษ หลากชน คนหลั่งไหล
กิจการ ร้านค้า หนาเรียงราย
พราหมณ์ศูทรไพร่ ไร้ทุกข์ สุขทั่วกัน
เจ้ามัททะ กษัตรา ราชาใหญ่
ธ มีใจ เมตตา พาสุขสันต์
ไม่ตึงเคร่ง เค้นส่วย เอื้ออวยกัน
ทั่วเขตขัณฑ์ ร่ำลือ ระบือไกล
ยิ่งใกล้ครบ ทศมาส คาดครรภ์คลอด
ทรงประกอบ ครอบคลุม บุญมากหลาย
ตั้งโรงทาน ประทานทรัพย์ สลับไป
ไพร่หน้าใส เริงรื่นใจ ไปทั่วกัน
ครั้นถึงฤกษ์ เบิกฟ้า ชายาประสูติ
ธิดาผุด ผ่องพิลาส ดังจากสวรรค์
ผิวอร่าม งามเหลือ หน่อเนื้อทรงธรรม
นามลือลั่น สุภัททา กุมารี
เมื่อเติบใหญ่ วัยสาว ราวสิบห้า
พระบิดา พาเฝ้า เจ้ากาสี
ถวายตน ปรนนิบัติ คอยพัดวี
องค์ภูมี ปรีดิ์ปลื้ม ชื่นฤทัย
จึงโปรดตั้ง นั่งดำรง สนมเอก
ใต้เศวต ฉัตรงาม เคียงข้างไท้
มีอำนาจ มากล้น สนมใด
หมื่นหกพัน นางใน ใต้บัญชา
ซ้ำบุญเก่า เฝ้าเสริม คอยเติมหนุน
ช่วยพยุง จิตมั่น ตั้งรักษา
เกิดฌานเห็น ภาพอดีต กรีดอุรา
องค์ชายา แค้นโกรธ โทษฉัททันต์

จึงวันหนึ่ง ให้ถึง ซึ่งโอกาส
โฉมพิลาส มากแสร้ง แกล้งโศกศัลย์
อ้างเป็นไข้ ใจไม่สุข ทุกข์ประดัง
เอาน้ำมัน ทากาย หมายหลอกไท
องค์วิภู รู้ข่าว รวดร้าวจิต
นั่งไม่ติด ผิดอาการ เหงื่อพานไหล
รีบย่างองค์ ตรงหา ยอดยาใจ
ห่วงโฉมฉาย ใจหายคิด จิตพะวง
ถึงตำหนัก ตรัสถาม อาการสมร
ไยบังอร จึงนอนไข้ ไม่สุขสม
ผิวเหลืองแปลก แผกไป คนละคน
ให้ฉงน นงพะงา ล้าอ่อนแรง
ท้าวสนม บรรทมใน ที่ไสยาสน์
แค่เอ่ยปาก ทำยากยิ่ง ประวิงแกล้ง
พูดสำเนียง เสียงกระเส่า เล่าสำแดง
บอกแถลง แจ้งเหตุ อาเพศไป
เมื่อคืนน้อง นอนฝัน อัศจรรย์เหลือ
ยากคนเชื่อ เมื่อฟัง คำบอกไข
เกิดความอยาก มากประมาณ เกินห้ามใจ
ถ้าไม่ได้ ใจร้อนเร่า เศร้าฤดี
แถมเจ้าครรภ์ พลันกำเริบเสิบสานซ้ำ
แพ้ประดัง ช่างจำเพาะ เหมาะเหลือที่
ช่วยกันรุม สุมน้อง รุ่มร้อนทวี
อยากจักลี้ หนีหน้า ลาจากไกล
แม้ไม่สม อารมณ์ฝัน ดั่งความคิด
น้องคงจิต ปลิดดับ ชีพตักษัย
ใจคับข้อง หมองเศร้า เฉาแห้งตาย
แหลกสลาย อย่าหมายคืน ฟื้นชีวี

ธรณินทร์ ยินคำ รำพันกล่าว
ให้ตาวาว เฝ้าจำ คำมารศรี
แพ้ครรภ์ท้อง ร้อนรุ่ม กลุ่มฤดี
จึงยินดี ปรีดา หน้าบานครัน
โอ้นงเยาว์ เจ้าแพ้ท้อง หรือน้องพี่
ยุพดี ศรีไผท ไอศวรรย์
เจ้ามีเชื้อ หน่อเนื้อพงศ์ วงศ์เทวัญ
ในกายนั้น ช่างดีเลิศ ประเสริฐจริง
จึงตรัสถาม อาการแพ้ แลความฝัน
เกี่ยวข้องกัน ฉันใด ไยโฉมฉิน
จึงนอนซม อมไข้ ไม่ยอมกิน
ขอยุพิน ผินหน้า บอกมาที

โฉมนงราม ฟังความ ภูบาลกล่าว
ตีหน้าเศร้า เฝ้าถอดใจ ใคร่ไกลหนี
ให้ลำบาก ยากเอ่ย เผยวจี
แพ้ครรภ์นี้ มีประหลาด หากบอกไป
ก่อนเล่าขาน น้องขอถาม ถึงพรานป่า
ทั่วอาณา วนาลี มีเพียงไหน
ขอพระองค์ ทรงบัญชา มาเร็วไว
จึงจักได้ เผยความนัย ให้ทราบกัน
ภูวไนย ได้ฟัง พลันสงสัย
แต่เร่งไป ในฤทัย ใคร่ทราบฝัน
รีบบัญชา เสนาไพร่ ให้รวมกัน
ตรัสแถลง แจ้งคำ กัลยาณี
เหล่าข้าราช ทราบความ ตามคำบอก
กระจายออก รอบแดน แคว้นกาสี
สามร้อยโยชน์ โอบครอบ รอบธานี
แจ้งวจี ภูบดี มีบัญชา
ให้เหล่าพราน ชำนาญไพร ใกล้ไกลล้วน
ยกขบวน รวมพลัน กันพร้อมหน้า
ตามหัวเมือง เคลื่อนพลเข้า เฝ้าราชา
นับเวลา เจ็ดวันมี จากนี้ไป
ผู้ใดฝืน ขืนขัด ดำรัสสั่ง
ให้โบยหลัง ขังรวม ตีตรวนใส่
ทรมาน งานโยธา เป็นข้าไท
ขออย่าได้ เนิ่นช้าไป ให้รีบมา
หลังแถลง แจ้งราช โองการ
เหล่าผองพราน ชำนาญไพร ใจผวา
จัดเสบียง เตรียมเดินทาง ตามบัญชา
มารวมกัน ยังหน้า ศาลาลาน
แล้วเคลื่อนพล ตรงมา พาราหลวง
หลากขบวน ล้วนหลากวัย ให้ล้นหลาม
ทั้งหนุ่มอ่อน ค่อนแก่ แต่ชำนาญ
เรื่องอารัญ วันพนา ป่าพนอง
ถึงกำหนด ครบกาล ตามรับสั่ง
พรานพร้อมพรั่ง นั่งลานเต็ม เห็นสลอน
บรรณารักษ์ ตรวจนับแถว ทุกแนวตอน
อำมาตย์พร้อม น้อมบอก ยอดพรานไพร
หลังรวบรวม จำนวนพราน ตามดำรัส
ยอดประจักษ์ ช่างนับยาก มากเหลือหลาย
หกหมื่นคน เรียงตนเข้า เฝ้าเทิดไท
ขอทรงได้ ทัศนา หน้าบัญชร
องค์ราชัน ครั้นทราบ เอิบอาบนัก
เสด็จตำหนัก เทวี ศรีสมร
เข้าตระกอง ประคองนำ ยังบัญชร
เชิญเนื้ออ่อน เลือกมองพราน ตามสบาย

บัดนั้น….ท้าวสนม สมจิต พิศพรานเถื่อน
ชายตาเคลื่อน พร้อมเอื้อนความ ยามหลับใหล
ฝันเห็นช้าง งางามวาว ขาวอำไพ
กิ่งงอนใหญ่ ไร้คราบ ปราศมลทิน
เปล่งรัศมี มีประกาย เลื่อมพรายพิศ
หกชนิด พิสดาร เกินช้างถิ่น
ทั่วกาสี หามีเทียบ เปรียบคชินทร์
เหล่าทรัพย์สิน สิ้นหล้า ไร้ค่ายล
แม้ไม่ได้ ครอบครอง สองงาคู่
มีชีพอยู่ หดหู่ใจ ไม่สุขสม
กายเฉาแห้ง อ่อนแรงสู้ อยู่ดำรง
คงไม่พ้น ทศมาส ต้องจากลา
องค์ภูมินทร์ ยินคำ รำพันไห้
ให้ร้อนใจ ใคร่ปลอบ ถอดสีหน้า
มองโฉมฉิน พลันผินพักตร์ หันกลับมา
ประกาศหน้า ข้าภูบาล เหล่าพรานไพร
เจ้าทั้งมวล ล้วนฟัง คำสั่งข้า
ใครได้งา มอบภรรยา ของข้าได้
จักประทาน รางวัลงาม ตามชอบใจ
อยากจักได้ สิ่งใด ให้บอกมา
กามสมบัติ อัครค่า ทั่วหล้านั้น
ข้ากำนัล ปันให้ ไม่กังขา
ทั้งแก้วแหวน เพชรนิล แลจินดา
ทาสช้างม้า นาสวน ล้วนเลือกเอา
เหล่าพรานไพร ได้ฟัง พลันฝันหวาน
วาดวิมาน มีบ้านโต โอ่คนเขา
มีเงินทอง กองเรือน เกลื่อนวับวาว
ช่างยั่วเย้า ใจยิ่ง กว่าสิ่งใด
จึงเอ่ยถาม นามกรินทร์ ถิ่นพำนัก
ว่าอยู่ชัฏ พนัสภู คูหาไหน
แคว้นกาสี หามีสาร ดั่งคำไท
ขอจอมไท้ วานบอก ทรงตอบที

เมื่อนั้น โฉมงามฟังพราน เอ่ยถามถิ่น
เจ้าคชินทร์ มิ่งคชา พนาศรี
จึงเพ่งมอง ผองพราน เบื้องล่างมี
หาผู้ที่ มีรูปพักตร์ ดูขัดตา
เนื่องเจ้าชั่ว ทั่วร่าง กลางพรานหมู่
เคยเป็นผู้ คู่เวร จ้องเข่นฆ่า
เจ้ากุญชร คล้องกรรม ผูกพันมา
จักอาสา ราชัน บุกบั่นดง
แล้วนงเยาว์ สะดุดเข้า เจ้าพรานหนึ่ง
จ้องถมึง ขมึงตา ท่าฉงน
เท้าใหญ่งุ้ม ตะปุ่มตะป่ำ ช่างพิกล
เคราแดงล้น พ้นหน้า ตาเหลือกโปน
ท้าวสนม สมจิต พิศอยู่ครู่
จ้องมองดู ศัตรูสาร พลางสุขสม
แล้วชี้หัตถ์ ตรัสเรียกเข้า เฝ้าชั้นบน
ยังตำหนัก บรรทม องค์ชายา

เมื่อนั้นพรานเถื่อน กายเปื้อนดิน ผินเปะปะ
เห็นนางตรัส ยกหัตถ์ชี้ ที่ไหนหวา
นึกสงสัย พรานใดเล่า เฝ้าชายา
ทั่วผืนป่า ข้าก็แน่ ไม่แพ้ใคร
ครั้นเห็นยาม ยืนทวาร เยื้องย่างหา
มองสบตา ทั่วกายา พาสั่นไหว
เกิดตระหนก วิตกคิด ผิดกระไร
พอยามไข ไท้กาสี มีบัญชา
ให้ตัวเขา เข้าวัง ฟังรับสั่ง
อย่างงงัน ทำหน้าบื้อ ทึ่มทื่อหนา
เร่งเร็วรีบ ห้ามกรีดกราย ย้ายย่างมา
ช้าบนบ่า จักหาเศียร เปลี่ยนไม่ทัน
เจ้าพรานไพร ใจชื้น ระรื่นยิ้ม
ให้สมจินต์ วิ่งตามยาม อย่างสุขสันต์
หัวบานเถิก เบิกตามอง ผองเพื่อนพลัน
แบะปากหยัน ลั่นหัวร่อ ห้อตามไป

ถึงทวาร มีนงราม ตามเสด็จ
บอกชั้นเจ็ด ภูเบศรอ พ่ออย่าสาย
พรานงกเงิ่น เดินตาม นางขึ้นไป
พบห้องใหญ่ ให้ไหวหวั่น สั่นฤดี
เห็นเหนือเกล้า เฝ้าจ้อง มองเขม็ง
เนตรวาวเด่น เปล่งอำนาจ ราชสีห์
ครั้นสบเนตร ธเรศตรัส ทักทันที
เจ้าผู้นี้ นี่ฤาพราน ชำนาญไพร
ข้าขอถาม นามระบือ ชื่อออเจ้า
เรียกใดเล่า เผ่าประยูร ตระกูลไหน
จึงอัปลักษณ์ ขัดตา กว่าผู้ใด
ข้าสงสัย ให้ฉงน พิกลตา
พรานรูปชั่ว กลัวก้ม บังคมกราบ
แทบสองบาท เอ่ยปากตอบ บอกพงศา
โสณุดร น้อมกรไหว้ ไท้ราชา
คือนามข้าพระพทุธเจ้า เผ่าพรานไพร
ขอพระองค์ ทรงเฉลย เผยหลักแหล่ง
เจ้าพลายแกร่ง แห่งพนา อยู่ป่าไหน
เกล้าจักบุก รุกฝ่า ตามล่าไป
ตัดงาใหญ่ ให้เทวี ศรีสุดา
องค์กษัตริย์ สดับคำ พลันผินพักตร์
เอ่ยโอษฐ์ตรัส กับยาจิต ขนิษฐา
ขอแม่บอก ตอบแหล่ง แห่งคชา
ว่าอยู่ป่า พนาใด ในธาษตรี
พี่จะใช้ ให้พราน ชำนาญดง
ออกดั้นด้น ค้นทั่วแดน แคว้นกาสี
ทุกยอดผา คูหาไหน ใกล้ไกลมี
วอนน้องพี่ เอ่ยพาที มีวาจา

องค์โฉมฉิน ยินคำ พลันเยื้องย่าง
ยังหน้าต่าง ไม่ห่างช่อง จ้องภูผา
แล้วตรัสให้ ไพร่พราน คลานเข้ามา
ชี้เบื้องหน้า สุดตาลิบ ทิศอุดร
ถัดเขตแดน แคว้นนี้ มีดงป่า
ใต้อาณา คชาเจ้า เหล่าช้างผอง
เป็นสถาน ตระการตา น่าเพลินมอง
เจ็ดเขาห้อม ล้อมมิด ปิดนัยน์ตา
เทือกสุดท้าย พรรณราย เลื่อมพรายส่อง
แววเรืองรอง ทองประกาย บนไหล่ผา
สวยอร่าม งามตรึง ซึ้งอุรา
นามภูผา สุวรรณ ปัสสคิรี
สูงใหญ่ล้ำ ค้ำฟ้า ท้าเวหน
กว่าพนม หนใด ในกาสี
มีกินนร กุญชรม้า สัมพาที
คชสีห์ อินทรีย์หงส์ ปะปนกัน
สัตว์หลายหลาก มากล้น พิกลแปลก
แฝงตัวแทรก แยกกระจาย ในไพรสัณฑ์
ต่างเริงรื่น ชื่นอุรา ทั่วหน้ากัน
เพลินสุขสันต์ หรรษา ท่องป่าไพร
มวลหมู่ไม้ หลายหลาก มากชนิด
ช่างวิจิตร พิสดาร งามไสว
ชูช่อดอก ออกผลดาษ กลาดเกลื่อนไป
กลิ่นรสไซร้ ให้ผิดไกล ไปจากเรา
ณ ยอดสิงค์ กินนร สัญจรพัก
ตั้งยืนหยัด ประจักษ์เด่น เห็นเสลา
สูงเทียมเมฆ เฉกพิมาน กลางฟ้าพราว
เหนือยอดเขา สกาวรุ้ง รุ่งโรจน์เรือง
เชิงศิขริน กินรี มีไทรใหญ่
ใบประกาย เลื่อมคราม งามใดเหมือน
แผ่กิ่งก้าน ย่านพราง ดูลางเลือน
เปรียบเสมือน เครื่องคั่น กั้นนัยน์ตา
เจ้าพญา คชาธาร สำราญยิ่ง
เที่ยวหากิน หิมพานต์ งามใดหา
ชมขุนเขา เงาไม้ สบายอุรา
เหนื่อยก็พา ฝูงพัก พำนักไทร
มีนาคินทร์ คชินทร์สาง ล้นหลามเฝ้า
แปดพันราว งาขาวอ่อน เท่างอนไถ
วิ่งไล่เล่น เป็นยามดู อยู่รอบไทร
กันมิให้ ผู้ใด ใกล้ฉัททันต์
เหล่ามาตงค์ วนเปลี่ยน เยี่ยงทหาร
คอยยืนยาม ไม่ห่างไกล ทั่วไพรสัณฑ์
ก้องเกรี้ยวกราด ตวาดขู่ จู่โจมพลัน
เหยียบขย้ำ ตามขยี้ ไพรีกราย
ขรัวพรานไพร ได้ฟัง พลันเหงื่อท่วม
คิดทบทวน ถ้วนที ฤดีหาย
เปรียบตาบอด เลาะขอบผา ยากฝ่าตาย
คงลับหาย ตายเดียว เปลี่ยวเอกา
จึงร่ำไห้ พิไรวอน องค์จอมเจ้า
เหตุใดเล่า เหล่าเงินทอง ไม่ปองหา
เพชรหลากสี มณีงาม ไม่นำพา
ไยใฝ่หา แต่งานาค ยากสมใจ

ลำดับนั้น เทวี มีดำรัส
เล่าความสัตย์ ตรัสความจริง สิ่งสงสัย
ย้อนภพชาติ อาฆาตหลัง ยังฝังใจ
ครั้งคชใหญ่ ได้ทำลาย น้ำใจนาง
ในครานั้น ฉัททันต์ ทำช้ำเหลือ
คอยจุนเจือ ไม่เบื่อคลอ พนอสาง
นางมหา สุภัททา คชาธาร
ทิ้งเราคว้าง เคว้งเศร้า เฝ้าตรอมใจ
จนโชคหนุน บุญพา วาสนาส่ง
มีเหล่าพงศ์ วงศ์พุทธะ คณะใหญ่
เที่ยวดั้นด้น นอนดงค้าง ไม่ห่างไทร
กรีน้อยใหญ่ ให้ดีใจ ได้ทำบุญ
แลครั้งนั้น เราตั้ง มุ่งมั่นจิต
หน้าอามิส อุทิศทาน อภิบาลหนุน
ขอบุญนำ อำนวย ช่วยเจือจุน
แก้แค้นสุม รุมใจ ให้ได้เทอญ
เหตุฉะนั้น ขอพรานท่าน อย่าพรั่นจิต
ปลุกความคิด ดำริใจ ให้ฮึกเหิม
ออกสืบเสาะ ลัดเลาะป่า ฝ่าดำเนิน
อย่าช้าเนิ่น เร่งเดินทาง ตามคชินทร์
หากสามารถ พิฆาตสาร ล้มช้างได้
ข้าจักให้ ไพร่ทาส มากทรัพย์สิน
เรือกนาสวน ถ้วนทุกแห่ง แหล่งทำกิน
เก็บส่วยสินไหมนา ห้าตำบล

เจ้าพรานฟัง รางวัลงาม พลางยิ้มร่า
สุขอุรา ตาโปนเหลือก เกือบถลน
ปากอ้าค้าง น้ำลายไหล สบใจตน
รีบผสมผเสตาม นางบัญชา
จึงถามองค์ นงราม ถึงความสัตย์
กิจวัตร ดำรี มีใดหนา
เช้าท่องไหน บ่ายพักใด วานไขมา
เกล้าจักหา เวลาปลอด ลอบปลิดปลง
ท้าวสนม สมจินต์ ยินพรานถาม
กำหนดการ ยามท่อง ล่องไพรสณฑ์
แลยามหลับ พักบ่าย คลายร้อนรน
เจ้าดำไร ให้ฉงน เป็นกลใด
จึงตรัสตอบ บอกไป ในข้อวัตร
ให้ประจักษ์ หัสดี มีไฉน
สายท่องป่า หาอาหาร เบิกบานใจ
บ่ายพักไทร ใกล้สระน้ำ สำราญชล
หลังขึ้นน้ำ นรการ พานเลี่ยงหลบ
ปลีกสงบ ลดรำคาญ ความสับสน
ยืนตากลม บนลานดิน สิ้นกังวล
ไร้พหล พลพรรค พิทักษ์กาย
เพลานั้น ท่านจึง ถึงโอกาส
เข่นพิฆาต ปลาตหนี ลี้หลบหาย
พ้นจากนี้ ไม่มีที่ ฆ่ากรีตาย
จักอุบาย ลวดลายใด ให้คิดเอา

เมื่อนั้นพรานไพร ไตร่ตรอง ลำพองจิต
ครุ่นดำริ ตริเหลี่ยมคู ดูไม่เขลา
ต้องขุดหลุม ซุ่มใต้ดิน ลอบยิงเอา
ใกล้ลานดิน คชินทร์เจ้า เหล่าดำไร
ครั้นนาเคศ ผู้เอกหนึ่ง ยืนผึ่งน้ำ
อยู่บนลาน ข้างหลุมดิน น้ำรินไหล
หล่นจากกาย เจ้าพลายงาม ลามแผ่ไป
หยดใส่หัว ข้าเมื่อไร ได้ตายพลัน
จึงยิ้มร่า หน้าบาน ลนลานตอบ
คุกเข่าหมอบ บอกเจ้านาง จางโศกศัลย์
เกล้าสัญญา ตัดงาได้ ไม่นานวัน
โปรดสรวลสันหรรษา ตั้งท่าคอย
พระเทวี ดีใจ ให้คลายเศร้า
กระปรี้กระเปร่า ทุเลาขึ้น ไม่ซึมหงอย
ประทานทรัพย์ นับพัน เจ็ดวันคอย
เสร็จเรื่องย่อย ค่อยเรียกเจ้า เฝ้าอีกครา

หลังส่งพราน นางเทวี มีรับสั่ง
ให้เหล่าช่าง หนังเหล็ก หลอมเหล็กกล้า
เป็นมีดขวาน สามง่ามศร พร้อมนำพา
เป็นเลื่อยดาบ ปลาบคมกล้า ฝ่าป่าไพร
ถุงหนังใหญ่ ใส่สัมภาระหนัก
วางแถวจัด มัดจุก กันหลุดไหล
ถุงมือหนัง เชือกหนัง ตั้งเรียงราย
เสบียงพร้อม ล้อมกองไว้ ให้ลานตา
ครบเจ็ดวัน คำพระนาง พรานเข้าเฝ้า
หน้าแม่เจ้า ตาวาวน้อม พร้อมอาสา
ดูแข็งแกร่ง แรงมากเหลือ เมื่อสบตา
องค์ชายา ยิ้มร่าเปรม เอมอิ่มใจ
แล้วตรัสให้ นางใน ไปนำผ้า
เหลืองจับตา สง่าชม ชนหลงใหล
กาสาวพัสตร์ ตัดเป็นเสื้อ เพื่อพรานไพร
ไว้สวมใส่ ในครา ฆ่าฉัททันต์
ซ้ำตรัสย้ำ กำชับ กับพรานเถื่อน
อย่าแชเชือน ลืมเลือนพลาด อาจอาสัญ
ใส่เสื้อนี้ ยามที่เจ้า เข้าประจัน
กับช้างนั่น หมั่นเตือนใจ ให้สังวร
พรานรับคำ พลันก้ม บังคมกราบ
น้อมรับทราบ นิราศฝ่า ป่าสิงขร
ยกถุงหนัง บรรจุชุด อุปกรณ์
รายเรียงล้อม บริวาร ชำนาญไพร
ได้ฤกษ์พลัน เจ้าพรานลั่น จรัลเคลื่อน
ออกจากเมือง เรืองศักดา สู่ป่าใหญ่
ขบวนเกวียน เรียงแถวตาม งามจับใจ
ผ่านนิคม ชนน้อยใหญ่ ให้โจษจัน
จนสุดเขต ประเทศแคว้น แดนกาสี
เห็นคิรี มีประหลาด มากสีสัน
จึงหยุดเกวียน เสบียงลง คนแบกกัน
สู่ราวไพร ด้วยใจมั่น ดั้นด้นไป

ผ่านดงไผ่ ทุ่งใหญ่แฝก แพรกป่าแขม
ป่าไม้แก่น ไม้เปลือก แทรกเสือกไส
ผ่านป่าชัฏ ลัดลอดใต้ หนามหวายไป
ถึงเขาใหญ่ ไต่ลูกทอย ขึ้นดอยพลัน
(ภูเขาจุลลกาฬ) ข้ามจุลล มหากาฬ นามบรรพต (ภูเขามหากาฬ)
(ภูเขาอุทกปัสส) ข้ามอุทก ปัสสได้ ให้ใกล้ฝัน
(ภูเขาจันทปัสส) ข้ามจันท สุริยภู สู้ทนกัน (ภูเขาสุริยปัสส)
ข้ามมณี ปัสสกั้น ไม่พรั่นใด (ภูเขามณีปัสส)
ผ่านหกเขา เหล่าพราน ไม่คร้ามเข็ด
ข้ามเทือกเจ็ด เจ็ดโยชน์วัด นับสูงได้
นามสุวรรณ ปัสส สลักใจ (ภูเขาสุวรรณปัสส)
เจ้านางให้ ตั้งใจหา ทอดตามอง
มียอดสิงค์ ศิขริน กินนรพัก
ถ้ำพำนัก เกินนับได้ ให้สลอน
สูงเทียมรุ้ง รุ่งสว่าง กระจ่างมอง
เชิงสิงขร มองไสว ไทรใหญ่พราย
เจ้าพรานเถื่อน เคลื่อนตา เพ่งหายอด
กินนรลอบ บินลอดถ้ำ พลันลับหาย
พอแลเห็น ให้ตื่นเต้น เร่งเผ่นกาย
มุ่งที่หมาย ตะกายขึ้น ทะลึ่งปีน
เหล่าบริวาร ลนลาน ตามติดหลัง
แล่นหน้าตั้ง งงงันลุก สะดุดหิน
ลื่นถลำ หน้าคะมำ ทิ่มตำดิน
ลุกได้วิ่ง กลัวทิ้งเดียว เปลี่ยวเอกา
พรานฉกาจ เหงื่ออาบตา ขาถลอก
แขนขัดยอก ไม่มอดไฟ ให้หรรษา
นึกถึงลาภ มากมาย หากได้งา
ฉีกยิ้มร่า อุราเปรม เร่งรีบปีน
ครั้นถึงยอด ทอดตา ก้มหน้าจ้อง
เชิงสิงขร มองเห็นไทร ใต้เงื้อมหิน
ลึกจากผา สง่าสูง เกินยูงบิน
ดูใหญ่ยิ่ง มิ่งแคว้น แดนหิมพานต์
เขียวระรื่น ตื่นตา พาเคลิ้มฝัน
งามสะพรั่ง ใบดกบัง ตะวันฉาน
กิ่งมากหลาย สยายครอบ รอบทิศทาง
วัดจากกลาง สิบสองโยชน์ โอบจดกัน
มีม่านไทร ใหญ่น้อย ห้อยระย้า
ทอนประภา พาสุขกาย พลายหลับฝัน
แปดพันย่าน พร่างตา เพลาวัน
ดุจสวรรค์ สรรค์สร้าง ช่างสบาย
ห่างร่มไทร ออกไป ไม่ไกลนัก
มองเห็นสระ จรัสพราว วาวน้ำใส
รอบบึงน้ำ งามพันธุ์พืช พืดเรียงราย
ผลไม้ มากล้น ปนฟักแฟง
ทันใดนั้น พื้นเลื่อนลั่น ฉับพลันสว่าง
เรืองวาววาม งามรัศมี มีหกแสง
แผ่จากงา คชาเผือก ไม่เคลือบแคลง
ต้องพันแสง แข่งรวี สีเลื่อมพราย
เจ้าคชใหญ่ ย่างจากไทร ไปยังสระ
เคียงพารณะ เมียรักคู่ ดูสดใส
ฝูงบริวาร ตามห้อม ล้อมมากมาย
ยาวเป็นสาย รายลิบ ติดตามมา
โสณุดร มองจ้อง คับข้องจิต
ครุ่นพินิจ คิดวิธี กี่สรรหา
ไม่สำเร็จ จักเล็ดลอด หลอกพังคา
ไต่จากผา ลงหาไทร ให้เงียบงัน
จึงร้อนรุ่ม กลุ้มอุรา ปัญหาใหญ่
ทำอย่างไร ลงพื้นได้ ดั่งใจหวัง
เข้าใกล้ไทร ปีนยอดไม้ ซ่อนกายพลัน
รอกระทั่ง ช้างจากหมด ปรากฏกาย
พอเห็นนก ผกผิน บินถลา
ร่อนทาบหล้า ปัญญาผุด ทุกข์หลุดหาย
สั่งลูกมือ ถือร่มหนัง มาทันใด
พร้อมถุงใหญ่ ใส่จอบคราด แลศาสตรา
บอกลูกน้อง ผองเจ้า เฝ้าสิงขร
แล้วคอยหย่อน ผ่อนเชือก จากเทือกผา
กองบนดิน สองวันสิ้น ข้าลับตา
เตรียมตั้งท่า พร้อมยื้อยุด เมื่อพลุดัง
ครั้นกำชับ ซักซ้อม พร้อมเสร็จสรรพ
เจ้าพรานตัด ใจจำ พลันหันหลัง
เดินหาผา ตามองไทร ไม่อินัง
กางร่มหนัง ถลันโดด โลดลงไป
เสียงลมสี ฉวีกาย ให้ไหวจิต
ตั้งสติ ดำริมุ่ง พุ่งที่หมาย
แม้นถึงฆาต ยากหลบ ต้องตกตาย
แม้นไม่วาย ชีวาตม์ ยากปลิดปลง
พรานถลา ลมพาไกว ไกลที่มั่น
เอียงร่มดัน แนวพลันเปลี่ยน เบี่ยงสับสน
บิดร่มซ้าย ย้ายขวา หน้าหลังจน
จากสับสน ตรงแน่ว เข้าแนวไทร
เห็นไม้ใหญ่ ไม่ไกลกาย คลายอึดอัด
ค่อยขยับ ปรับแนวลม ตรงที่หมาย
ลงยอดไทร ไม่ไหวลั่น กลั้นหายใจ
มองลอดใต้ ใบไม้ดู ไร้หมู่กรี
จึงถอนใจ สูดลมใหม่ เข้าใส่ปอด
หุบกระบอก สอดร่มเสร็จ เก็บเข้าที่
นั่งพักกาย คลายล้า หาวิธี
มองหาที่ ขัดห้างเฝ้า เหล่าผองพลาย
ตกบ่ายแก่ แลไกล ให้ใจหวั่น
เห็นฉัททันต์ ขึ้นน้ำมา กายาใส
หยดน้ำพราว งาวาวสี มีประกาย
เดินเฉียดใกล้ ไทรงาม ไปลานเตียน
ปล่อยพลพรรค พักไทร ไม่พบปะ
ปลีกตนผละ ละวุ่นวาย หลายหลากเสียง
ย่างเดียวดาย สบายนัก ลมพัดเวียน
ไกลจากเสียง สำเนียงร้อง ผองเหล่ากรี
ถึงลานดิน คชินทร์เจ้า ย่างเท้าหยุด
ไร้โคบุตร ซุกซนใกล้ ให้สุขี
สายลมไพร ไหวระรื่น ชื่นฤดี
ฟ้าอาบสี แดงเรื่อ สุขเหลือใจ
ท้าวฉัททันต์ เข้าภวังค์ ดื่มด่ำจิต
พริ้มตาปิด สนิทเห็น เช่นหลับใหล
น้ำเกาะกาย รายลงดิน ซึมสิ้นไป
เจ้าพรานให้ ไตร่ตรอง จ้องมองพลัน
ไหลเป็นทาง ประมาณวา แทรกหล้าหาย
พรานเถื่อนชาย ตาจ้อง ต้องสรวลสันต์
แสยะยิ้ม ฉัททันต์สิ้น ไม่นานครัน
ปลงใจมั่น นั่งหลับนก บนคบไทร

ครั้นรุ่งสาย พลายพล มาตงค์เผ่า
พาฝูงเข้า ลำเนาป่า ลับตาหาย
เจ้าพรานเห็น เผ่นจากห้าง ลงล่างไว้
มือขวักไขว่ ใช้เลื่อยขวาน จามไม้พลัน
ตัดเป็นเสา ราววา ห้าหกแท่ง
เลื่อยตัดแบ่ง แผ่นกระดาน ตามทีหลัง
ไว้วางทับ ประกับเสา ยาวรับกัน
ฟั่นเถาวัลย์ ทำเชือกรัด ไว้มัดตรึง
แล้วขุดหลุม รุนดิน ทิ้งในป่า
ลึกหนึ่งวา หน้าจตุรัส ปักเสาขึง
ผูกคานรัด มัดหัวเสา สี่เส้าตรึง
กระดานขึง ทับคาน ต่างหลังคา
เจาะกระดาน กึ่งกลางโหว่ โผล่หัวได้
ทำแผ่นไม้ ไว้ปิดรู ดูเหมือนฝา
ทายางไม้ ไว้ด้านบน ขนดินมา
โรยแผ่นฝา ติดหน้าแข็ง แกร่งเหมือนดิน
หยิบผ้ากา สาวพัสตร์ มาผลัดเปลี่ยน
แกะเสบียง เกรียมข้าวตาก สากดั่งหิน
แช่น้ำก่อน อ่อนมือจับ ค่อยตักกิน
ครั้นเสร็จสิ้น นิ่งในหลุม ซุ่มพักกาย

ผ่านโมงยาม ทรมาน ช่างนานเหลือ
นั่งนอนเบื่อ เหงื่อก็ไหล ไคลเหนอะหลาย
เสื้อเปียกชุ่ม กลิ่นเหม็นกรุ่น คลุ้งกระจาย
ยิ่งเนิ่นสาย กระวายกระวน จนรำคาญ
หยิบศรใหญ่ ยืดกายดึง ตึงสุดแขน
หน้าไม่แดง แรงยังพอ รอสังหาร
เจ้าคชินทร์ ให้แดดิ้น สิ้นชีพปราณ
แต่ช้างสาร ช่างนานมา พาร้อนรน
นั่งกลัดกลุ้ม ซุ่มลำพัง สองวันผ่าน
เข้าวันสาม คชาธาร ลงธารสรง
หลังขึ้นสระ ฉัททันต์ พลันปลีกองค์
ปล่อยพลายพล ตรงมาลาน สำราญใจ
ยืนโดดเดี่ยว เดียวดาย รอกายแห้ง
ตรงตำแหน่ง แห่งเดิม เพลินลมไหว
หลับตาปิด จิตภวังค์ ช่างสบาย
เย็นพระพาย ชายชื่น รื่นสราญ
น้ำเกาะกาย เจ้าพลายหยด ไหลตกขา
รินหลั่งมา หน้าหลุม ซุ่มสังหาร
ซึมดินหมด ตกรดหัว เจ้าขรัวพราน
ไม่รอรั้ง ดันฝาโหว่ โผล่มายิง

ขวับศรพิษ จมมิดท้อง สารร้องลั่น
เจ้าพรานพรั่น ลั่นดาลหลบ กบดานสิง
เสียงกรีดดัง ฟังกังวาน จากลานดิน
เหล่าพลายสิ้น วิ่งยกโขลง ลัดดงมา
ถึงลานใหญ่ ใจเต้น เห็นเจ้าสาร
ทรมาน อาการหนัก เป็นนักหนา
เลือดไหลหลาก จากท้อง นองพสุธา
ให้โกรธา กราดเกรี้ยว เหลียวรอบกาย
เพ่งตาหา ปัจจามิตร คิดขยี้
ไม่เห็นมี ที่ซ่อนเร้น คงเผ่นหาย
จึงแผดเสียง สำเนียงคลั่ง ลือลั่นไพร
ออกตามไล่ ใคร่กระชาก พรากชีวา
อึกทึก ครึกโครม โจนสับสน
เหล่ามาตงค์ ลนลาน เที่ยวตามหา
เจ้าคนชั่ว ทั่วพนัส ชัฏพนา
หมายเข่นฆ่า พร่าแดดิ้น ให้สิ้นใจ

ฝ่ายมหา สุภัททา ชายาสาร
เห็นนรการ นั่งทรุด ลุกไม่ไหว
เข้าแนบข้าง ไม่ห่างชู้ คู่ฤทัย
คอยชิดใกล้ ดำไรเจ้า เฝ้าระวัง
ท้าวคเชนทร์ เห็นภรรยา หน้าเศร้าสร้อย
จึงเอ่ยถ้อย ค่อยปลอบนาง จางโศกศัลย์
บอกบาดแผล แม้ดูใหญ่ ไม่ฉกรรจ์
ของามขำ ทำใจ ให้ผ่อนคลาย
เหล่าบริวาร ควานหา ปัจจามิตร
ทั่วทุกทิศ ประชิดตาม ไม่ห่างหาย
ไฉนเจ้า เฝ้าข้าง ไม่ห่างกาย
ไม่ละอาย ใจพวกพ้อง ฤาน้องยา
จงเร่งรุด บุกตาม บริวารเถิด
อย่าให้เกิด เล็ดลอด ออกนอกผา
มัวช้าอยู่ ศัตรูไป ไกลลับตา
ผองคชา จักพาโกรธ โทษนงราม

ท้าวชายา น้ำตาไหล จำใจจาก
เจ้าโขลงนาค ยากขัดใจ ให้เกรงขาม
ละล้าละลัง รังรอ ท้อดวงมาน
สุดสงสาร สางไท้ ตัดใจลา
พอลับตา ชายา คชาเจ้า
พลันย่างก้าว เข้าหาหลุม กรุ่นนาสา
กลิ่นเหม็นแตก ต่างที่ เคยมีมา
จึงใช้ขา แทนงาคุ้ย ตะกุยดิน
เห็นกระดาน ใต้ดินดาน คชสารโกรธ
เจ้าคนโฉด ใจโหดร้าย ซ่อนกายสิง
อยู่ใต้ไม้ นิ่งในหลุม ซุ่มใต้ดิน
ท้าวคชินทร์ สิ้นกลั้น พลันเหยียบลง
ไม้ลั่นเปรี้ยง สำเนียงดัง พลันหักแตก
เจ้าพรานแอบ ต้องแถกดิ้น กลิ้งสับสน
หลบไม้หัก พุ่งปักดิน เกือบทิ่มตน
กระเสือกกระสน ทรงกายยืน ฝืนสบตา
ท้าวคชา หน้าแดง แรงโทสะ
ใช้งวงจับ รัดพรานเฒ่า เข้ามาหา
จนชิดใกล้ ได้เห็น เต็มสองตา
พอเห็นผ้า กาสาวะ โทสะคลาย
นึกถึงองค์ สมณะ พระปัจเจก
ผู้เป็นเอก อเนกบุญ คุณมากหลาย
นำพาสัตว์ ให้สบสุข ทุกข์มลาย
โมโหหาย พลันคลายโกรธ โทษเจ้าพราน
จึงค่อยวาง พรานลง ยืนตรงหน้า
เอ่ยวาจา ปราศรัย ใจสงสาร
บอกคนเขลา เมากิเลส ซ่องเสพกาม
ไม่ควรหาญ ห่มกาสาว์ น่าอับอาย
แล้วเอื้อนถาม พรานไพร ใจฉกาจ
ท่านพยาบาท อาฆาตเรา แต่คราวไหน
จึงพิฆาต เข่นฆ่า พร่าถึงตาย
หรือมีใคร ใช้ท่าน ดั้นด้นมา

โสณุดร อ่อนล้า หน้าสลด
ยืนคอตก ไม่ปดตอบ บอกอาสา
องค์เทวี มเหสี สุภัททา
ในราชา กาสิกราช ราษฎร์แซ่ไกล
องค์ชายา ปรารถนา ซึ่งงาท่าน
ด้วยนางฝัน จำติด จิตหลงใหล
มีกุญชร ครองป่า พนาไพร
แสนยิ่งใหญ่ เกินใครเทียบ เรียกฉัททันต์
แม้ไม่ได้ งางาม ของช้างนี้
ดวงฤดี มีแต่เศร้า เฝ้าโศกศัลย์
มีชีพไป ก็เหมือนไร้ ซึ่งชีวัน
เหลือสังขาร ซมซานอยู่ ไม่สู้ตาย
ภูวไนย ร้อนพระทัย ในนงนาฏ
จึงประกาศ ราชโองการ พรานทั้งหลาย
ทั่วกาสี มีรวม จำนวนใด
ให้รีบไป รายงานเข้า เฝ้าราชินทร์
ใครสามารถ พรากชีวา คชาได้
เหนือหัวให้ ส่วยทาส มากทรัพย์สิน
เรือกสวนไร่ ใกล้ไกล ให้ทำกิน
แลกสองกิ่ง งาวาว เจ้าฉัททันต์
หกหมื่นพราน ลนลานมา บัญชาไท้
ตัวข้าให้ นางต้องใจ เหมือนในฝัน
จึงบัญชา มาฆ่าสาร ผลาญชีวัน
ตัดงาท่าน กำนัลตอบ มอบเทวี

เมื่อนั้น…มหาสัตว์ สดับพราน พลุ่งพล่านนัก
เจ้าจุลล สุภัททา มารศรี
น้องเคืองโกรธ โทษพี่จาง ร้างไมตรี
จึงแค้นพี่ ข้ามชาติ พิฆาตกัน
เจ้าบอกกล่าว เล่าความ งางามพี่
สวยกว่ากรี หัตถีใด ในไพรสัณฑ์
ล้ำเลอค่า กว่าสินทรัพย์ นับอนันต์
หลับยังฝัน จำติด จิตฝังตรึง
ไม่ได้ครอง สองงา อุราเศร้า
ตรมเงียบเหงา เปล่าเปลี่ยวใจ ให้คิดถึง
มีชีพไป ก็ไม่คลาย หายคำนึง
เฝ้านึกถึง แต่งาคู่ อดสูใจ
แท้กานดา อาฆาต พยาบาทพี่
แสร้งทำที มีน้ำตา อุราสลาย
หวังราชโกรธ พิโรธฆ่า พี่ยาไป
อรไท จึงคลายจิต คิดจองเวร
ผิเยี่ยงนั้น ชีวันพี่ จักพลีให้
มอบเจ้าไป ให้เจ้าได้ คลายทุกข์เข็ญ
สิ้นอาฆาต สิ้นชาติภพ จบกรรมเวร
สิ้นเยื่อใย อาลัยเห็น เป็นสามี
จึงบัดนั้น ฉัททันต์ เจ้าพังสาร
เอ่ยเรียกพราน ชำนาญไพร อย่าไกลหนี
เข้ามาหัก ตัดงาไป ให้เทวี
เราน้อมพลี ชีวัน กำนัลนาง
บอกชายา เจ้ากาสี ที่ผูกโกรธ
จงงดโทษ โปรดอภัย ในช้างสาง
ที่ยังรัก ภักดี มีให้นาง
แม้ว่ากาล ผ่านไป ไม่เปลี่ยนแปลง
ฝ่ายพรานใหญ่ ให้ขื่นขม ระทมยิ่ง
ยินคชินทร์ กรินทร์กล่าว เศร้าเหลือแสน
ค่อยขยับ จับเลื่อย เนือยอ่อนแรง
ซ้ำเข่าแข้ง เคยแกร่งโรย ระโหยไป
เขย่งขา เอื้อมคว้า งาไม่ถึง
หวังจักดึง งาให้ต่ำ ช่างยากหลาย
ท้าวคเชนทร์ เห็นยื้อยุด จึงทรุดกาย
พรานสบาย คลายเกร็ง เขย่งยืน
คชาธาร วางพักตร์ ลงทับหล้า
พรานเถื่อนพา อุราไหว จำใจฝืน
ขึ้นเหยียบงวง ราวพวงเงิน เดินไปยืน
ช้างไม่ขืน ฝืนขัด ยอมตัดใจ
ถึงกระพอง นรการ เจ้าพรานหยุด
แล้วนั่งทรุด ซุกเข่าต้อน ก้อนเนื้อไหล
ย้อยข้างปาก ยากจักผลัก ดันกลับไป
กว่าเข้าได้ ใคร่ถอดใจ ไปหลายครา
หมดเนื้อย้อย ห้อยบัง จึงพลันเห็น
โคนงาเด่น เปล่งอร่าม งามนักหนา
ลงกระพอง พร้อมคว้าจับ เลื่อยตัดงา
สอดหน้าขา กรรไกร ไสขึ้นลง
เสียงเลื่อยสี กรีสะท้าน สรรพางค์ร่าง
ไม่ครวญคราง ร้าวรานทน ตรมขื่นขม
เจ็บปวดแสน ไม่แค้นโกรธ โทษอนงค์
หวังตัดวง เวียนกรรม สะบั้นไป

ผ่านพักใหญ่ เหงื่อพรานไหล ไคลรินหยด
แรงก็หด หมดกำลัง ยังฝืนไส
มหาสัตว์ กัดฟันทน ปนเห็นใจ
จึงถามไถ่ ให้ตนเสริม เพิ่มอีกแรง
พรานได้ยิน คชินทร์เจ้า รวดร้าวจิต
นึกตำหนิ ผิดเพราะตัว ชั่วเหลือแสน
ก่อแต่บาป หาบนรก หมกไฟแดง
ระบายแค้น แทนเขา เรารับกรรม
จึงร้องบอก ตอบไป ใจช้ำเศร้า
โอ้พ่อเจ้า เกล้าสิ้นแรง ไม่แข็งขัน
คงยากหัก ตัดงาไป ให้ทรงธรรม
มอบจอมขวัญ กัญญา มหาเทวี
แม้นพ่อเจ้า เหล่ากุญชร ไม่ยอมช่วย
เกล้าคงม้วย ด้วยอาญา เจ้ากาสี
มีชีพกลับ ก็คงดับ ลับชีวี
ยากจักหนี ผีหัวขาด อนาถใจ
เจ้าพญา คชาธาร ฟังพรานกล่าว
ตอบพรานเจ้า เราก็เพลีย อ่อนเปลี้ยหลาย
วานท่านงัด งวงทับเลื่อย เหนื่อยคงคลาย
จึงจักง่าย ได้ผ่อนหนัก ผลัดกันดึง
พรานเถื่อนฟัง พลันยกงวง ถ่วงบนด้าม
เลื่อยงางาม ไม่นานครัน พลันขาดผึง
โลหิตสาร ดั่งธารไหล ให้ตะลึง
เจ้าสารดึง ดันเปรย เผยความนัย
สหายพราน เราประทาน งางามท่าน
ใช่เพราะชัง มันหนัก จึงผลักไส
ใช่ไม่รัก ไม่หวง ห่วงอาลัย
หรืออยากใหญ่ ในสงสาร โลกมารพรหม
แต่เรารัก พระสัพพัญญุตญาณ
กว่าสังขาร ไม่นานตาย กายทับถม
ดินกลบร่าง ต่างบุญกรรม นำวกวน
เดี๋ยวสุขสม เดี๋ยวตรมเศร้า คละเคล้ากัน
ขออานิสงส์ ผลทาน ในการนี้
จงเกิดมี อานุภาพ มากเสกสรร
ให้ได้พบ สงบทุกข์ สุขนิรันดร์
ข้ามสงสาร โอฆะ ละโลกไป
แล้วเอ่ยถาม พรานไพร ใจฉกาจ
มากสามารถ ยากฝ่า พนาไศล
ท่านบุกดง พนมสิงค์ สิ้นเท่าใด
นานแค่ไหน กระไรบอก วานตอบที

พรานหน้าเศร้า เล่าตอบ บอกพลเคลื่อน
เจ็ดปีเดือน เจ็ดวันจึง มาถึงนี่
กรินทร์คิด อธิษฐาน บารมี
ที่ยอมพลี ชีวีให้ ไม่นำพา
แม้ศรปัก ชนักติด ไม่ปริปาก
ไม่อาฆาต พิฆาตคน ห่มกาสาว์
ขอกุศล ผลบุญ หนุนนำพา
ให้พรานป่า ฝ่าไพร ไร้กังวล
ให้กลับถึง ซึ่งกาสี ธานีแก้ว
โดยคลาดแคล้ว แผ้วภัย ในไพรสณฑ์
เจ็ดวันถึง กรุงไกร ได้บังคม
ถวายงา อ่าอนงค์ องค์เทวี
เสร็จกำหนด จดจิต อธิษฐาน
จึงบอกพราน เดินทางพลัน ยังกาสี
พาลมฤค พฤกษ์พราย อย่ากรายมี
กลับธานี บุรีไป ในเจ็ดวัน
ให้ได้ลาภ วาสนา นานาสมบัติ
มากสินทรัพย์ นับอนันต์ ดั่งคิดหวัง
นามกระเดื่อง เลื่องสามารถ ตราบนิรันดร์
สบสุขสันต์ ทุกวันคืน ชื่นสราญ
ทันใดนั้น ธราดล พิกลสั่น
กระเพื่อมลั่น สนั่นเสียง สำเนียงสาง
แว่วแต่ไกล บัดเดี๋ยวให้ คล้ายใกล้ลาน
พรานพลุ่งพล่าน เหงื่อกาฬตก อกร้อนรน
ท้าวฉัททันต์ สำเหนียกฟัง พลันรู้ว่า
เหล่าพังคา เคลื่อนพลมา โกลาหล
ตามไม่พบ วกกลับมา พากังวล
บอกพรานจง เร่งหลีก รีบเดินทาง
ให้นิราศ จากไป ในบัดนี้
ก่อนเหล่ากรี มีอาฆาต มากช้างสาร
ยกพลพรรค กลับมาพร้อม ล้อมทั่วลาน
ท่านจักพาน ถูกผลาญสิ้น นิ่งอยู่ไย
โสณุดร สะท้อนใจ อาลัยแสน
เนตรช้ำแดง แสลงอุรา น้ำตาไหล
ยากจักหัก ตัดจิต ทิ้งมิตรไป
จำจากไกล ไอยรา พาเศร้าตรม
รีบแบกงา วิ่งหาผา หน้าตาตั้ง
เห็นเชือกพลัน จาบัลย์จาง พลางสุขสม
เร่งฉวยจับ มัดงาคู่ ดูลุกลน
แล้วผูกตน วนเชือกครอบ รอบรัดกาย
เสร็จหยิบพลุ จุดไฟ เร็วไวยิ่ง
ชูมือยิง ยินเสียงบึ้ม ขึ้นฟ้าใส
แตกสว่าง ท่ามกลางหาว วาววับไกล
เหล่าดำไร ให้ประหลาด กวาดตามอง
เห็นพรานเถื่อน ตัวเปื้อนโคลน ตาโปนเหลือก
ให้แค้นเดือด เลือดพล่าน ซ่านทั้งผอง
ต่างวิ่งหา โกรธาพุ่ง ตะลุมบอน
แผดเสียงก้อง จ้องประหาร ผลาญชีวัน
ฝ่ายข้าทาส ลูกหาบรอ พอยินเสียง
สนั่นเปรี้ยง เสียงพลุแตก แทรกไพรสัณฑ์
ให้ตระหนก ตกใจ รีบไวพลัน
ต่างแข่งขัน กันเกรียวกราว สาวเชือกดึง
สารพารณ มาตงค์นาค เกรี้ยวกราดยิ่ง
ตามโกยวิ่ง ทิ่มเสือกงา ตาขมึง
พรานครั่นคร้าม สัญญาณไป ให้รีบดึง
กระตุกเชือก เกือบขาดผึง ดึงขึ้นไว
เหล่าสมุน ชุลมุน รุมกันชัก
พรานขยับ ระดับลอย เหงื่อย้อยไหล
เหล่าคชา ถลาเบียด แทงเฉียดไป
พรานงอเข่า สาวเชือกใหญ่ ไวเหมือนลิง
งาแทงถาก บาดทวาร พรานตระหนก
หนังถลก เลือดหยดสาด ราดอาบหิน
รีบไต่ขึ้น ทะลึ่งหนี กรีกรินทร์
ทั่วตัวสิ้น ถูกหินขูด ครูดรอบกาย
พอถึงยอด รอดพ้น ล้มนอนแผ่
ร่างเกลื่อนแผล แม้ฉกรรจ์ นานวันหาย
แต่แผลลึก สำนึกผิด ติดจนตาย
ไม่เหือดหาย คลายระบม ต้องทนตรอม

เจ้าพญา คชาธาร เห็นพรานรอด
ทรุดกายหมอบ พลางถอดใจ ไร้พลผอง
นอนโดดเดี่ยว เปลี่ยวฤทัย ในพนอง
ตรมหม่นหมอง แหงนมองฟ้า ตาพร่าเลือน
เสียงเหล่าสงฆ์ ธุดงค์ชัฏ ทำวัตรแว่ว
ลอยมาแผ่ว แผ้วดวงใจ เศร้าคลายเหมือน
เมฆบังจันทร์ พลันเคลื่อนหาว สกาวเดือน
จิตฟูเฟื่อง เรืองรุ่ง พุ่งออกกาย

ฝ่ายพรานไพร หลังไห้ครวญ ชวนพลกลับ
ข้ามดงชัฏ ตัดเขิน เนินไศล
เจ็ดวันถึง ซึ่งธานี ศรีไผท
โดยปลอดภัย ไร้ข้องขัด อัศจรรย์
เข้าหมอบกราน ภูบาลเจ้า เล่าถวาย
เรื่องมากมาย รายผ่าน อย่างแข็งขัน
พร้อมน้อมกร ยื่นสองงา มากำนัล
แด่จอมขวัญ กันยา ชายาไท
แล้วเล่าความ ตามคำ ฉัททันต์สาง
แด่จอมนาง สารพารณ ยังหลงใหล
มั่นในรัก ภักดี มีไม่คลาย
ไม่แหนงหน่าย กลับกลายรัก ซื่อสัตย์นาง
หวังเทวี มีสวัสดิ์ คอยรักษา
บุญหนุนพา สถาพร อย่าหมองหมาง
กายผ่องใส ไร้ทุกข์ สุขสราญ
ตลอดกาล นานปี อย่ามีคลาย
จงอโห สิกรรม สารพลั้งผิด
คลายทิฐิ จิตแค้นเดือด ให้เหือดหาย
ละจองเวร กเรนทร์สาง เรื่องหมางคลาย
ให้อภัย ในผู้เขลา เจ้าฉัททันต์
ขอนอบน้อม สองงาคู่ พธูเจ้า
โปรดรับเอา บรรเทาแค้น แม้นอาสัญ
ถึงตายยอม พร้อมให้ ไม่อินัง
หวังงามขำ สำราญรื่น สารชื่นใจ

เมื่อนั้น.... โฉมนงราม งามจิต ขนิษฐา
ยินวาจา พรานป่าแจ้ง แถลงไข
โศกอาดูร พูนเทวษ สังเวชใจ
ให้อาลัย ในทันตี สามีตน
หวนคำนึง ถึงชาติผ่าน ติดตามเฝ้า
เคียงสารเจ้า เหล่าดำไร ใจสุขสม
ท่องเที่ยวป่า พนาไพร ไร้กังวล
เพลินดอมดม ยลโกสุม ปทุมมาลย์
สายเหนื่อยนัก พักนิโครธ ลมโกรกชื่น
บ่ายแก่ตื่น เริงรื่นชล ลงสนาน
เล่นน้ำใส ให้สนุก สุขสำราญ
ค่ำเหล่าสาร พารณะ พำนักไทร
ทุกวันคืน ดื่มสุข ทุกข์นิราศ
แนบขนาบ แทบบาทข้าง ไม่ห่างหาย
เคล้าพะนอ คลอคู่ อยู่เคียงกาย
ให้ใจหาย ไม่วายคิด จิตระกำ
ยิ่งตรองตรึก สำนึกทำ ก่อกรรมผิด
เป็นบาปติด สนิทตรึง จึงโศกศัลย์
ถอนสะอื้น รื้นน้ำตา นองหน้าพลัน
ยิ่งหวนหลัง ประดังเศร้า เผาข้างใน
กอดงาใหญ่ ไห้กำสรวล ร้องครวญคร่ำ
พร่ำรำพัน ระกำหม่น เกินข่มสลาย
สุดจักยั้ง รั้งจิต คิดผ่อนคลาย
องค์โฉมฉาย ทรุดกายพับ ชีพดับพลัน

บัดนั้น....ท้าวกาสี ฤดีหาย ทรามวัยจาก
ครวญพิลาป ยากทน ตรมโศกศัลย์
โสณุดร มองร่างนาง พลางจาบัลย์
บังคมทาบ บาทราชัน หันจากลา
องค์มุนินทร์ สิ้นดำรัส ตรัสเท่านี้
หยุดวจี พาทีจบ หมดเนื้อหา
ถึงชาดก คชสาร แต่นานมา
เหล่าเถรานุเถระ คับข้องใจ
เห็นเมธี มีแสดง แย้มพระโอษฐ์
ไม่ตรัสโปรด โจษเอ่ย เฉลยไข
จึงอาราธน์ จอมปราชญ์เอ่ย เผยความนัย
เหตุไฉน ไยไม่ตรัส กลับยิ้มพราย
พระทศพล ทรงฟัง ซึ่งคำถาม
จึงประทาน ถ้อยความอรรถ ข้องขัดหาย
บอกบริษัท จับจ้อง มองหันไป
ยังเถรี ที่ร้องไห้ ไม่อายคน
องค์ชายา สุภัททา มารศรี
คือเถรี มีน้ำตา หน้าหมู่สงฆ์
ส่วนพรานไพร รับใช้นาง ผลาญพารณ
คือเทวทัต ผู้หลงตน จนงมงาย
ท้าวฉัททันต์ ดำรี ที่สละ
ยอมให้ตัด งาไป ให้โฉมฉาย
จนร่างตน ต้องถมดิน สิ้นชีพวาย
คือตถาคต ผู้ยอมตาย ไม่คลายธรรม
จบชาดก สุคตกล่าว เหล่าวงศ์สงฆ์
แต่ละองค์ ทรงธรรม ดั่งใจหวัง
ละสังโยชน์ ลดโกรธได้ ไม่อินัง
ต่างได้โสดาบัน กันหลายองค์
ฝ่ายอนงค์ องค์เถรี ที่ปรารภ
ฟังชาดก กำหนดใจ ไม่ใหลหลง
ครุ่นดำริ ทิฐิคลาย หายกังวล
จิตหลุดพ้น ทรงอรหันต์.....ในทันใด
  

สืบ ธรรมไทย
๑๗ กรกฎาคม ๒๕๖๓


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 12 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร