วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 13:16  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มิ.ย. 2017, 08:19 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


ท่านพ่อลี ธัมมธโร
วัดอโศการาม
อ.เมือง จ.สมุทรปราการ


รูปภาพ

อบรมสมาธิตอนบ่าย
วันที่ ๑๙ สิงหาคม พ.ศ. ๒๔๙๙

การที่เราเจริญสมาธิจนความสงบจับติดอยู่ในหัวใจนั้นเรียกว่า "ธรรมะ" คือ ผลที่เกิดขึ้นในดวงใจ กล่าวในความรู้สูงเรียกว่า "ผลจิต" การที่เรากระทำอยู่นี้เรียกว่า "มรรคจิต" อานิสงส์ของความดีที่เรานั่งภาวนานี้เรียกว่า "บุญ" บุญนี้เป็นของที่เกิดขึ้นฉาบฉวยเป็นคราวๆ ส่วน "ธรรมะ" นั้นเป็นของที่สูงยิ่งไปกว่าบุญอีก

ธรรมะนี้เมื่อเกิดขึ้นในใจแล้วก็ย่อมติดเนื่องอยู่กับจิต ฉะนั้นจิตของเราจึงเป็นธรรมะแนบแน่นเข้าไปไม่ฉาบฉวย เหมือนกับธรรมะนั้นได้สิงทรงอยู่ภายในใจของเรา ท่านจึงกล่าวว่า "ดวงจิตของผู้ใดตั้งเที่ยงแล้ว ผลย่อมแนบแน่นอยู่ในดวงจิตและทรงตัวอยู่เสมอ" เหตุนั้นจึงเรียกว่า "ธรรมะ" เป็นของสูงกว่าธรรมดา ส่วน "บุญ" นั้นเป็นของฉาบฉวยเพราะคนที่ทำบุญนั้นบางทีทำๆ แล้วก็เลิกหายไป แล้วก็กลับมาทำใหม่ แล้วก็หายไปอีก บุญจึงเกิดขึ้นบางกาลบางสมัยเท่านั้นและทุกๆ คนย่อมทำกันได้ทุกหมู่ทุกเหล่าเพราะเป็นของภาคพื้น

ส่วนธรรมะนั้นทำกันได้ยาก เพราะทำได้เป็นบางผู้บางคน ใครไม่ทำก็ไม่ได้ ถึงกระนั้นก็มิใช่ว่าจะได้ผลทุกคนไป แต่ถ้าใครทำได้แล้วก็ไม่ค่อยเสื่อมไปไหน พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า ธรรมะนี้เหมือนกับผลไม้ที่เกิดจากเกสรซึ่งแก่จัด ส่วนบุญนั้นก็เหมือนกับเกสรของดอกไม้ เปรียบได้เสมอชั้นนี้เท่านั้น ผลไม้ทั้งหลายย่อมคุณภาพสูงกว่าเกสรของมัน เพราะมันจะต้องเกิดจากเกสรอีกทีหนึ่ง คือ ตอนแรกเป็นเพียงดอกอ่อน แล้วเมื่อดอกแก่จัดจนเกสรร่วงแล้ว มันจึงจะเกิดเป็นผลขึ้นได้ เหตุนั้น "บุญ" กับ "ธรรมะ" จึงคุณภาพต่างกัน

ขณะที่เรานั่งภาวนาอยู่นี้เท่ากับเรากำลังปลูกคุณธรรมให้เกิดขึ้นในดวงใจ คุณธรรมนี้เปรียบเหมือนดอกไม้ นิวรณ์ต่างๆเปรียบเหมือนบุ้งหนอนที่จะมาทำลายเกสรดอกไม้ของเราให้ร่วงเสียไป ซึ่งเป็นการตัดผลที่จะไม่ให้เกิดขึ้นด้วย เหตุนั้นเราจะต้องคอยเก็บบุ้งเก็บหนอนเหล่านี้ทิ้งให้หมด คือ พวกสัญญา อดีต อนาคตต่างๆ และถ้าเราปัดสัญญาเหล่านี้ทิ้งเสียได้แล้ว ดอกไม้ของเราก็จะพ้นจากบุ้งหนอน กลีบและเกสรก็จะสวยสดงดงามส่งกลิ่นหอมไปไกล

เวลาที่เรานั่งอยู่นี้เราจะรู้สึกว่าใจของเรานั้นเป็นสุข เบิกบาน เยือกเย็น ฉะนั้นท่านจึงเปรียบว่า เหมือนกับเกสรดอกไม้ แต่เพียงแค่เกสรนี้ยังส่งกลิ่นไม่รู้หาย เช่น เรามานั่งภาวนาเพียงวันสองวัน ยังไม่ทันจะเห็นอานิสงส์อะไร แต่พอกลับไปถึงบ้านไปพบเรื่องยุ่งๆ ที่เป็นความเดือดร้อนวุ่นวายเข้า เราก็มาระลึกถึงความดีที่เราทำนี้ ก็จะรู้สึกเบิกบานขึ้นทันทีและอยากจะทำอีก นี่ก็เท่ากับกลิ่นดอกไม้นั้นได้ติดไปถึงบ้านด้วย

เมื่อเราไม่ชอบกลิ่นที่เสีย เราก็หันจมูกของเรามารับกลิ่นที่ดี เพราะมนุษย์เกิดมาย่อมจะต้องพบกับความยุ่งยากด้วยกันทุกคน ที่เรามาทำสมาธินี้ก็เท่ากับถ่ายความยุ่งยากออกไป และเมื่อเราได้รับความยุ่งยากจะได้หวนมาคิดถึงความดีก็จะถ่ายเทความทุกข์ไปได้เหมือนกัน ทีนี้ถ้าเราได้รับความปลอดโปร่งโล่งใจ เราก็รักษาไว้ให้ดี ให้ใจของเราหมักดองอยู่พุทธคุณ ธรรมคุณและสังฆคุณซึ่งเป็นแหล่งของความดี

ถ้ามันพลาดไปจากแหล่งของความดี เราก็ควรรีบสกัดเสีย ความชั่วนั้นไม่ต้องกล่าวให้มาก กล่าวแต่เสมอว่าเครื่องกังวลที่มารบกวนเรานี้ท่านเรียกว่า "นิวรณ์" แท้จริงมันก็มีอยู่กับเราตัวเราเสมอ ถึงจะเรียนก็มี ไม่เรียนก็มี นิวรณ์นี้มันมีอำนาจอิทธิพลมาก เพราะเป็นเครื่องกลบเกลื่อนดวงจิตของเราไม่ให้ก้าวขึ้นสู่ความดีได้

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 28 เม.ย. 2018, 19:55 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


เส้นทางของนิวรณ์ที่จะไหลมาสู่เราก็คือ สัญญาอดีต ได้แก่ เรื่องราวต่างๆทั้งดีทั้งชั่ว ทั้งของเขาของเราซึ่งเป็นอดีตทั้งหมดเส้นหนึ่ง อีกเส้นหนึ่งคือ สัญญาอนาคต นับแต่เรื่องที่คิดไปตั้งแต่วันพรุ่งนี้จนถึงวันตาย ซึ่งเราอาจเดาอาจคิดไปด้วยความผิดพลาดทั้งหมดทั้ง ๒ ทาง นี้เป็นเส้นทางที่ไหลมาจากนิวรณ์ทั้งสิ้น ฉะนั้น..เรื่องอดีต อนาคต ก็ต้องวางไว้ก่อน ยกจิตของเราขึ้นสู่องค์ภาวนา คือ นึกถึงลมหายใจของเราอันเป็นส่วนปัจจุบันของรูป ปัจจุบันของนาม ได้แก่ "ตัวรู้" เมื่อเราทำได้เช่นนี้ จิตของเราก็จะเหมือนกับลูกโป่ง ที่ลอยอยู่ในอากาศ เพียงตัดเชือกเส้นเดียวเท่านั้น เราก็จะหลุดได้ คือ เมื่อสัญญาขาด จิตของเราก็จะเข้าไปสู่องค์ภาวนาได้ทันที ใจก็ไม่มีอาการอึดอัด มีแต่ความโปร่งสบาย ใจก็สูงเหมือนลูกโป่งที่ถูกตัดเชือกออกจากก้อนหินที่ผูกไว้ สิ่งที่จะตามขึ้นไปทำลายรบกวนก็ยาก เพราะธรรมดาขี้ฝุ่นนั้นก็มักจะกลบได้แต่เพียงศีรษะคนเท่านั้น ที่มันจะปลิวขึ้นไปกลบถึงยอดภูเขาหรือยอดไม้สูงๆนั้นย่อมไม่ได้ ฉะนั้นเมื่อจิตของเราสูงแล้ว นิวรณ์ทั้งหลายก็ไม่สามารถจะกลบจิตของเราให้เศร้าหมองได้ คราวนี้ถ้าเรามาทำจิตให้ละเอียดขึ้นไปอีกก็จะเหมือนกับก้อนเมฆซึ่งลอยอยู่บนฟ้า จิตเมื่ออบรมให้ตั้งมั่นอยู่ในปัจจุบันแล้วก็จะต้องสูงและละเอียดอย่างนี้




มีต่อค่ะ

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร