วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 16:24  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 10 มี.ค. 2009, 17:46 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 ส.ค. 2005, 10:46
โพสต์: 12074

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว www


รูปภาพ

ในสมัยปัจจุบัน ชีวิตของมนุษย์นี้น้อยนัก
เพียงร้อยปีเป็นอย่างยิ่ง แม้จะเกินร้อยปีไปบ้างก็ไม่มาก
และจะต้องตายเพราะชราเป็นแน่แท้
พระผู้มีพระภาคเจ้าจึงตรัสเตือนไว้ว่า

ภิกษุทั้งหลาย อายุของมนุษย์นี้น้อยนัก
พวกเขาจะต้องเดินทางไปสู่สัมปรายภพ
เพราะฉะนั้นจึงควรทำกุศลและควรประพฤติพรหมจรรย์
(คือดำรงตนอยู่ในระบอบการครองชีวิตอันประเสริฐที่ทุกข์เข้าถึงได้ยาก
ดำเนินชีวิตตามหลักศีล สมาธิ ปัญญา)
ผู้ที่เกิดแล้วจะไม่ตายเป็นไม่มี อายุของมนุษย์นี้น้อยนัก
คนดี หรือผู้ฉลาด ไม่พึงประมาทในเรื่องอายุนั้น
พึงรีบทำความดี (รีบดับทุกข์)
เหมือนคนที่ไฟติดอยู่บนศีรษะควรรีบดับเสียโดยพลัน
เรื่องความตายจะไม่มาถึงนั้นเป็นไม่มี

พระพุทธองค์ตรัสไว้อีกว่า สำหรับภิกษุผู้เจริญมรณัสสติว่า
น่าปลื้มใจหนอ ที่เราอยู่มาได้วันหนึ่งคืนหนึ่ง อยู่มาได้วันหนึ่ง
อยู่มาได้ชั่วระยะเวลาที่ฉันบิณฑบาตครั้งหนึ่ง เคี้ยวคำข้าว ๔-๕ คำ
ภิกษุผู้เจริญมรณัสสติอย่างนี้ชื่อว่ายังประมาทอยู่
ยังเฉื่อยชาอยู่ในเรื่องระลึกถึงความตาย
ส่วนภิกษุใดเจริญมรณัสสติอย่างนี้ว่า น่าปลื้มใจหนอ
ที่เราอยู่มาได้ชั่วระยะเวลาเคี้ยวคำข้าวคำเดียวแล้วกลืนลงไป
หรือเราอยู่มาได้ชั่วระยะเวลาหายใจเข้าแล้วหายใจออกได้
หรือหายใจออกแล้วหายใจเข้าได้
เราพึงใส่ใจคำสอนของพระพุทธเจ้า
เราทำกิจของบรรพชิตได้มากหนอ
อย่างนี้แหละ! ภิกษุทั้งหลาย เราจึงเรียกว่า ภิกษุนั้นเป็นผู้ไม่ประมาท
เจริญมรณัสสติอย่างเข้มแข็ง เพื่อความสิ้นไปแห่งกิเลส
บางคราวพระพุทธองค์ทรงอุปมาชีวิตด้วยหยาดน้ำค้างบนใบหญ้า
ด้วยฟองน้ำหรือต่อมน้ำในความหมายว่า สิ้นไปเร็ว แตกดับเร็ว
ทรงอุปมาชีวิตเหมือนรอยไม้ขีดลงในน้ำ
ในความหมายว่า กลับเข้าหากันอย่างรวดเร็ว ไม่ตั้งอยู่นาน
น้ำที่ไหลจากภูเขา ไหลอย่างเดียวไม่ไหลกลับ
ก้อนน้ำลายที่เขาอมไว้ที่ปลายลิ้นพร้อมที่จะถ่มทิ้งโดยพลัน
ชิ้นเนื้อที่เขาใส่ไว้ในกะทะเหล็ก
เหล็กถูกไฟเผาตลอดทั้งวันย่อมย่อยยับไปโดยรวดเร็ว
โคที่เขานำไปสู่ที่ฆ่าย่อมใกล้ความตายเข้าไปทุกย่างก้าว
ฉันใด ชีวิตก็ฉันนั้น มีระยะสั้น มีทุกข์มาก มีความคับแค้นมาก
บุคคลผู้ฉลาดจึงควรพิจารณาชีวิตด้วยปัญญา
ควรทำกุศล ประพฤติพรหมจรรย์ เพื่อถือเอาประโยชน์จากความตาย
ซึ่งทุกคนหลีกเลี่ยงไม่ได้ ว่ายข้ามไม่พ้นนี้
พระพุทธองค์ทรงสอนให้ทุกคน ทุกวัย
พิจารณาเนืองๆ ว่า เรามีความแก่ ความเจ็บ
ความตายเป็นธรรมดา ไม่อาจล่วงพ้นไปได้
นอกจากนี้ ให้พิจารณาถึงความที่จะต้องพลัดพราก
จากของรักของชอบใจทั้งปวง
และพิจารณาถึงกรรมว่า เรามีกรรมเป็นของๆ ตน
ต้องรับผลของกรรม มีกรรมเป็นกำเนิด เป็นเผ่าพันธุ์
มีกรรมเป็นที่พึ่งอาศัย เราทำกรรมดีย่อมได้รับผลดี
ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลชั่ว เพราะสัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม

ถึงอย่างไร ความตายก็ยังมีแง่ดีอยู่มิใช่น้อย
เช่นทำให้คนที่เคยโกรธเกลียดชังเราหายโกรธหรือเกลียด
ให้อภัยในความผิดพลาดต่างๆ ของเรา
ความตายไม่อาจพรากความรักของคนที่รักได้
ยังทำคนที่รักอยู่แล้ว รักมากขึ้น ความดีที่เคยทำไว้
และยังไม่ค่อยปรากฏเมื่อยังมีชีวิตอยู่ จะปรากฏมากขึ้น เด่นชัดขึ้น
คนที่เคยริษยาก็จะเลิกริษยา และหันกลับมายกย่องชมเชย
โอกาสของเราทุกคนมีอยู่น้อย
เวลาแห่งความตายรุกกระชั้นเข้ามาทุกนาที วินาที
จึงไม่ควรประมาท ควรรีบทำกิจที่ควรทำ
ลดละความเพลิดเพลินหลงใหลมัวเมาต่างๆ ให้เบาบางลง
อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนไว้ว่า “ร่าเริงอะไรกันนัก
เพลิดเพลินอะไรกันนัก เมื่อโลกนี้ลุกโพลงอยู่ด้วยเพลิง
คือความเจ็บ ความแก่ และความตาย
ท่านทั้งหลายอยู่ท่ามกลางความมืดมนคือความหลง
เหตุไฉนจึงไม่แสวงหาดวงประทีปคือปัญญาเล่า”

คัดลอกจาก... http://jarun.org

:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2009, 08:58 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 ต.ค. 2006, 14:49
โพสต์: 1341


 ข้อมูลส่วนตัว www


สาธุครับ คุณลูกโป่ง... :b8:

มีเรื่องเล่า
มีพระอาจารย์กับลูกศิษย์ ไปธุดงค์ หัวค่ำสอนลูกศิษย์เรื่องพระวินัย ตกดึกพระอาจารย์ไปหาลูกศิษย์บอกเรื่องสอนพระวินัยบางข้อผิดไปขอให้แก้ไข

"พระอาจารย์ บอกผมพรุ่งนี้ก็ได้ ขอรับ"
"ไม่ได้หรอกท่าน หากผมเป็นอะไรไป ท่านก็จะจำพระวินัยข้อนี้ผิดไปตลอด"

เรื่องนี้เข้ากับหัวข้อกระทู้เลยนะ..

:b8: :b12:

.....................................................
.. ทุกข์ใดดับได้ด้วยปัญญา ทุกข์นั้นจะไม่เกิดอีก ..


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2009, 10:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 10
สมาชิก ระดับ 10
ลงทะเบียนเมื่อ: 04 พ.ย. 2008, 12:29
โพสต์: 814

ที่อยู่: กรุงเทพฯ

 ข้อมูลส่วนตัว


เหมือนที่พุทธองค์ทรงถามพระอานนท์ว่าท่านพิจารณาถึงความตายวันละกี่ครั้ง พระอานนท์ตอบว่าวันละ 7 ครั้งเจ้าข้า พระองค์ทรงบอกว่ายังน้อยไป ควรพิจารณาใหม่ ให้พิจารณาถึงความตาย ทุกๆลมหายใจ เข้าออก(หายใจเข้าก็ตาย หายใจออกก็ตาย) ถึงจะได้ชื่อว่าผู้ไม่ประมาท:b39: :b40:

.....................................................
"มีสติเป็นเรือนจิต ใช้ชีวิตเป็นเรือนใจ ใช้ปัญญาเป็นแสงสว่างส่องทางเดินไปเถิด จะได้ล้ำเลิศในชีวิตของท่าน มีความหมายอย่างแท้จริง"
ในการปฏิบัติธรรม หลวงพ่อท่านบอกว่า ให้ตัดปลิโพธกังวลใจทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็น ลูก สามี ภรรยา ความวุ่นวายทั้งหลายทั้งปวง อย่าเอามาเป็นอารมณ์ จากหนังสือ: เจริญกรรมฐาน7วันได้ผลแน่นอน หัวข้อ12: ระงับเวรด้วยการแผ่เมตตา


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 มี.ค. 2009, 13:48 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 26 มิ.ย. 2008, 17:20
โพสต์: 1855

แนวปฏิบัติ: อานาปานสติ
อายุ: 0
ที่อยู่: THAILAND

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: อย่างที่พระพุทธเจ้าทรงเตือนไว้ว่า “ร่าเริงอะไรกันนัก
เพลิดเพลินอะไรกันนัก เมื่อโลกนี้ลุกโพลงอยู่ด้วยเพลิง
คือความเจ็บ ความแก่ และความตาย
ท่านทั้งหลายอยู่ท่ามกลางความมืดมนคือความหลง
เหตุไฉนจึงไม่แสวงหาดวงประทีปคือปัญญาเล่า”
:b42:

:b8: กราบนมัสการเจ้าค่ะ ชีวิตคนเรานั้นสั้นนัก มีเวลาเหลือให้ทำความดี ไม่มากนัก
จึงควรเร่ง เพียรทำความดีกันเถิด สาธุ...

.....................................................
[สวดมนต์วันละนิด-นั่งสมาธิวันละหน่อย]
[ปล่อยจิตให้ว่าง-ชีวิตที่เหลือเพื่อธรรมะ]


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 4 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร