วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:21  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 พ.ย. 2012, 13:36 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

โอวาทธรรม
ของ
พระพรหมมงคลญาณ (วิริยังค์ สิรินฺธโร)
วัดธรรมมงคล สุขุมวิท ๑๐๑ กรุงเทพฯ


ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา เรื่องทางสายกลาง
หนังสือคุณค่าของชีวิต โดย หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร
เจ้าอาวาสวัดธรรมมงคล
ประธานผู้ก่อตั้งสถาบันพลังจิตตานุภาพ


:b44: :b44:

เรื่อง ทางสายกลาง

การสืบต่อพระพุทธศาสนาในประเทศไทย บริสุทธิ์ผุดผ่องยิ่งนัก
ไม่มีประเทศใดในโลกที่จะมีความผุดผ่องเช่นกับประเทศไทย
เพราะเหตุแห่งสติและปัญญาของท่านพระโสณะ และท่านพระอุตตระ
(พระอรหันต์ทั้งสองที่เป็นสมณทูตจากแผ่นดินพระเจ้าอโศกมหาราช
ที่ได้มายังสุวรรณภูมิ เมื่อ พ.ศ ๒๓๔ โดยประมาณ)

ท่านได้วางรากฐานไว้อย่างดียิ่ง ไม่ว่าจะเป็นส่วนฆราวาสหรือส่วนพระสงฆ์
ท่านได้วางรากฐานทุกอย่างไว้ในมัชฌิมาปฏิปทา คือ ข้อปฏิบัติอันเป็นหนทางกลาง
เรียกว่า ไม่หย่อนจนกระทั่งพระอาจไปกินฝิ่นกินยาเสพย์ติดกินเหล้าได้
หรือตึงจนกระทั่งพระต้องไม่สูบบุหรี่เป็นต้น
หรืออย่างฆราวาสที่จะมาบวชก็ไม่ตึงจนกระทั่งว่าบวชแล้วสึกไม่ได้
และไม่หย่อนจนกระทั่งพระทั้งหลายพากันประพฤติผิดวินัย
สามารถที่จะดำเนินกิจกรรมต่างๆ มาด้วยความบริสุทธิ์ผ่องใส


บางประเทศนั้น พอบวชแล้วก็บวชเลย สึกออกไปก็สึกไม่ได้
ก็เป็นเหตุให้ทำผิดวินัย ย่ำแย่ลงไปเพราะว่าไม่ใช่บวชทนแต่ทนบวช
อย่างประเทศไทยนี้เมื่อต้องการสึกเมื่อไรก็ได้
ถ้าอยู่ไม่ไหว เมื่อไม่ต้องการสึกก็อยู่ได้ อย่างนี้เป็นต้น
เรียกว่า เดินสายกลาง
พระสงฆ์ทั้งหลายนั้นก็สามารถที่จะแนะนำอาชีพต่างๆ ให้แก่ฆราวาสได้
และสามารถที่จะแนะนำธรรมะต่างๆ เพื่อที่จะให้ฆราวาสได้รับธรรมะได้
พระสงฆ์ทั้งหลายผู้ที่อยู่ดีอยู่ชอบ เป็นผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ
ได้บรรลุพระอรหันต์ก็มากมายตามลำดับมา

ระยะเวลาหลายพันปีมานี้ และจนกระทั่งถึงบัดนี้
ก็ยังมีการปฏิบัติเช่นเดียวกับเมื่อ ๒,๐๐๐ ปีที่แล้ว
เคยทำอย่างไรในขณะนั้น เราก็ทำอย่างเดิมในขณะนี้
จึงได้ชื่อว่าเป็นการสืบต่อพระพุทธศาสนามาอย่างสวยงามที่สุด

ในปัจจุบันมีบางพวกได้พากันปฏิบัติแหวกแนว
บางพวกต้องการจะให้เคร่งมากๆ บางพวกก็อยากจะให้หย่อนมากๆ
หย่อนเกินไปจนกระทั่งนอนร่วมกับสีกาได้ หรือบวชแล้วก็จับต้องสีกาได้
บางพวกที่ตึงเกินไปจนกระทั่งต้องกินเจเท่านั้น
เพราะฉะนั้นการสืบต่อพระพุทธศาสนา
ที่ได้เคยปฏิบัติอย่างไรใน ๒,๐๐๐ ปีก่อนนั้น
เราก็ได้พากันปฏิบัติมาจนกระทั่งปัจจุบัน

การปฏิบัตินั้นสำคัญอยู่ที่ใจ เมื่อเราปฏิบัติใจบรรลุแล้ว
สิ่งอื่นๆนั้นก็เป็นเครื่องที่พอประทังชีวิตอยู่ได้
การปฏิบัติในทางจิตนั้นไม่จำเป็นต้องตึงจนเกินไป
หรือหย่อนจนเกินไป จนทำให้การปฏิบัติจิตเกิดขึ้นไม่ได้

เช่นเมื่อเป็นพระสงฆ์แล้วถ้ายังปฏิบัติย่อหย่อนในธรรมวินัย
ก็จะทำให้เกิดมีความไม่สงบในทางใจ
หรือบางทีธรรมตึงเกินไปกระดุกกระดิกไม่ได้
ก็จะทำให้เกิดมีความไม่สงบในทางใจ ก็ไม่สามารถที่จะทำให้สำเร็จได้เช่นกัน

เพราะฉะนั้น ข้อปฏิบัติที่พระสงฆ์ทั้งหลายได้พากันสืบต่อมา
เป็นระยะเวลาอันยาวนาน ๒,๐๐๐ ปีกว่ามานี้
เป็นธรรมที่เดินสายกลางและเดินพอดีตลอดมา

ถ้ามิฉะนั้นแล้ว ปัจจุบันนี้เราก็จะไม่ได้รับคำสอนก็คงจะหมดไปแล้ว
เหมือนกันกับประเทศหลายประเทศที่พระพุทธศาสนาเคยเจริญรุ่งเรืองอยู่
เช่น ประเทศปากีสสถาน หรืออาฟกานิสถาน
หรือในตะวันออกกลางก็พวกอียิปต์ อิหร่าน แต่ก่อนเป็นพุทธศาสนาทั้งสิ้น
แต่ว่าทำตึงเกินไปจึงไม่สามารถอยู่ได้ ก็เลยล้มละลายหมด

แต่ในประเทศไทยเรานั้น ยังมีความดีอยู่มาก
เราจงช่วยกันรักษาความดีนี้ไว้ เช่น สมาธิกัมมัฏฐานภาวนา
เราก็ทำกัน พอดี ไม่ใช่ว่าตึงเกินไป

สามารถที่จะบรรลุปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌานและจตุตถฌานได้
สามารถที่จะบำเพ็ญถึงอรูปฌานก็ยังได้
และสามารถที่จะพิจารณาวิปัสสนาอริยสัจ ๔ ได้
รวมทั้งยังมีคำอธิบายที่จะให้เราปฏิบัติได้ชัดเจน
เช่น วิปัสสนาแสดงถึง อนิจจัง ความไม่เที่ยง
ทุกขัง ความเป็นทุกข์ อนัตตา ความไม่ใช่ตัวตน

ดังที่พระองค์แสดงว่า
สัพเพ สังขารา อะนิจจาติ สังขารทั้งหลายไม่เที่ยง
สัพเพ สังขารา ทุกขาติสังขารทั้งหลายเป็นทุกข์
สัพเพ ธัมมา อะนัตตาติ ธรรมทั้งหลายไม่ใช่ตัวตน
ยะถา ปัญญายะ ปัสสะติ เมื่อใดบุคคลผู้ใดทำให้ปรากฏขึ้นในจิตแล้ว
อะถะ นิพพินทะติ ทุกเข
ต่อนั้น บุคคลผู้นั้น จะเกิดนิพพิทาญาณ คือ ความเบื่อหน่าย
เอสะ มัคโค วิสุทธิยา นี่แหละ เรียกว่า มรรค หรือ หนทางบริสุทธิ์


ถ้าหากพุทธศาสนาเสื่อมไปแล้ว
เราจะไม่ได้ยินคำที่ว่า ปฐมฌาน ทุติยฌาน ตติยฌาน จตุตถฌาน
หรือสมถกัมมัฏฐาน วิปัสสนากัมมัฏฐาน เราจะไม่ได้ยินคำเหล่านี้
และเราไม่รู้ว่าจะปฏิบัติได้อย่างไร และ ก็ไม่มีใครจะปฏิบัติ
ในทีสุดเราก็จะสูญเสียอย่างมหาศาลในการเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง
แต่ในขณะนี้เราไม่ได้สูญเสียเช่นนั้น เราได้พากันพบอมฤตธรรมทุกคน

ไม่ว่าท่านจะปฏิบัติกันแค่ไหน เพียงแต่จับพุทโธให้ได้เท่านั้น
จิตก็เป็นสมาธิแล้ว

บางคนคิดว่า นั่งแทบล้มแทบตายสมาธิไม่เกิด
ที่จริงเกิดแล้ว ตั้งแต่เราว่า พุทโธ นั่นแหละ


เหมือนกันกับคนขับรถ เมื่อเอามือจับพวงมาลัย
เมื่อนั้นเขาก็เป็นสมาธิทันที ขับไปเรื่อยสมาธิก็เกิดขึ้น
เมื่อขับตรงทางไปตลอดก็เรียกว่า มีสมาธิ
ขาดสมาธิเมื่อไรไม่รู้หนทางไม่รู้อะไรก็ชนกันแหลก อย่างนี้เป็นต้น

เหมือนกันกับเราจับพุทโธทันทีนั้น ก็เป็นสมาธิทันที
ใครจะพูดว่าไม่เป็นสมาธิย่อมไม่ได้
สมาธิเหล่านี้เมื่อรวมตัวแล้วมันก็กลับกลายเป็น "พลังจิต"

ที่จริงแล้วนั้น การทำสมาธิจุดประสงค์ก็คือพลังจิต
เมื่อเราได้พลังจิตเท่ากับว่าเราได้กุศล ได้บุญ ได้บารมี ได้วาสนา
หรือเรียกว่าเต็มพร้อม เมื่อพลังจิตเหล่านี้เติบโตขึ้นตามลำดับ
คือ พลังจิตที่เกิดขึ้นจากสมาธิจะไม่มีการสูญเสีย
แม้ว่าจะตายจากชาตินี้ไปอีกชาติหนึ่ง สมาธิเหล่านี้ก็ไม่มีการสูญเสีย
จะเป็นนิสัยปัจจัยต่อไปอีก คือ ติดตามเราไปตลอด
จนกระทั่งพลังจิตแก่กล้าขึ้นมา และ บำเพ็ญวิปัสสนาดังกล่าวแล้ว
เราก็สามารถบรรลุธรรมได้ในเมื่อเรามี ความขยันหมั่นเพียร


พุทธศาสนาในประเทศไทยยังพร้อม
ที่จะอำนวยประโยชน์ให้แก่พวกเราท่านทั้งหลายอยู่ทุกเมื่อ
ถ้าเรามีสติปัญญามีความสามารถที่จะกอบโกยเอาหรือมีความตั้งใจที่จะกระทำ
ยกเว้นแต่ว่า พวกเราท่านทั้งหลายพากันละเลยทอดทิ้งและไม่คิดที่จะทำ
พากันหลีกลี้หนีไปจนไกลสุดกู่ ในที่สุดก็กู่ไม่กลับ
แล้วพวกนั้นก็เป็นอันว่าไม่ได้รับประโยชน์อันใดจากพระพุทธศาสนา
ทั้งที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนาแล้วนี้
เมื่อเป็นเช่นนั้นก็เรียกว่า สูญเสียสิ่งที่ยิ่งใหญ่ในชีวิต

แต่ว่า พวกเราท่านทั้งหลายที่ได้พากันมีศรัทธามั่นคงและปฏิบัติตาม
ท่านทั้งหลายไม่ต้องอนาทรร้อนใจและไม่ต้องเสียใจ
ไม่ต้องกังวลใจในการที่ท่านจะต้องถึงจุดหมายปลายทาง
เรียกว่า พระนิพพาน จะต้องไปถึงแน่ ในเมื่อได้ขั้นต้นอย่างนี้แล้ว
ชั่วแต่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น โอกาสที่เราจะต้องไปพบพระนิพพาน
โอกาสที่ถึงแก่การบรรลุจุดหมายปลายทาง
ย่อมมีแก่พวกเราโดยไม่ต้องสงสัย ช้าเร็วชาตินี้ชาติหน้าก็ตาม


ถึงอย่างไรในเมื่อมีชีวิตอยู่ อย่าพากันประมาท
อัปปะมาเทนะ สัมปาเทถะ ท่านทั้งหลายจงยังความประมาทให้ถึงพร้อม
อย่าไปคิดผลัดวันประกันพรุ่ง ให้ตั้งใจให้จิตใจตั้งมั่น รวบรวมศรัทธา
ทำพลังให้เกิดขึ้นอย่างเหนียวแน่นในจิตใจเรา มีชีวิตอยู่ก็ทำไปจนสุดชีวิต
ชีวิตต่างคนต่างก็ต้องแตกดับด้วยกันทั้งนั้น เราท่านทั้งหลายก็ต้องแตกดับ
ผู้แสดงอยู่นี้ก็เช่นเดียวกับท่านทั้งหลายเหมือนกัน
ต่างคนต่างก็จะลงไปสู่จุดดับด้วยกันทั้งนั้น เมื่อถึงเวลานั้น เมื่อไรก็จะรู้เอง

ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่ อย่าประมาทเด็ดขาด
จงพากันรวบรวมกำลังจิต กำลังใจ ของเราดำเนินต่อไป
ในที่สุดก็จะบรรลุผลได้สมตามความตั้งใจทุกประการ


เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้


:b49: :b49:

:b47: ประวัติและปฏิปทา “หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20338

:b47: รวมคำสอน “หลวงพ่อวิริยังค์ สิรินฺธโร”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43841

:b47: “วัดธรรมมงคล” เป็น ๑ ใน
สถานที่ปฏิบัติธรรมกรรมฐาน (ยอดนิยม)

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=76&t=55222

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

่กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 1 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร