ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
การออกจากอาบัติ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=55254 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 09 พ.ค. 2016, 08:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | การออกจากอาบัติ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ) |
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย หนีมาบวชก็เพื่อจะหลีกเลี่ยงการงาน หึ จะไปคิดอย่างนั้น โอ้..มันเป็นความคิดที่ต่ำมากแบบนั้นน่ะ เป็นความคิดของคนสิ้นคิด คนไม่มีทางไป ถ้าผู้ใดคิดอย่างนั้นแล้วเข้ามาบวช ผู้นั้นเหลวไหลจริง บวชเข้ามาแล้วไม่หมั่นไม่ขยันในหน้าที่ข้อปฏิบัติต่างๆ แต่ถ้าคิดอย่างนั้นแล้วมาบวช บวชแล้วได้รับคำตักเตือนแล้วตั้งใจเข้มแข็งเข้าไป ปฏิบัติตามธรรมตามวินัยจริงๆ อย่างนี้ก็ดีขึ้น เพราะว่าจิตใจของปุถุชนนี่น่ะมันสามารถเปลี่ยนแปลงได้ เพราะมันยังไม่รู้อริยสัจธรรม ธรรมของจริงยังไม่บังเกิดขึ้นในใจ เพราะฉะนั้นแหละ พระพุทธเจ้าทรงบัญญัติสิกกขาบทไว้ สิกขาบทที่ทรงบัญญัตินั้นเป็นโทษหนักบ้างเบาบ้าง เอ้า โทษเบานั้นแก้ไขได้ การแก้ไขก็ไม่ยากอะไร เมื่อรู้ว่าตนเผลอล่วงสิกขาบทใดสิกขาบทหนึ่งแล้วก็ไปขอแสดงกับเพื่อนภิกษุรูปใดรูปหนึ่งเสีย อย่างนี้โทษนั้นก็หมดไป ไม่ใช่ยุ่งยากอะไร แต่ว่า ถ้ารู้แล้วขืนทำ อาบัตินี้ไม่ตกนะจะบอกให้ มีแต่ว่าเผลอเท่านั้นแหละโดยไม่ได้ตั้งใจไม่ได้เจตนาแต่มันเผลอไป รู้ตัวแล้วว่าตนล่วงสิกขาบทนั้นเช่นนี้ก็รีบไปแสดงกับเพื่อนเสีย เช่นนี้แล้วโทษมันก็ระงับไป อันนี้เรียกว่า “อาบัติเบา” นะ “อาบัติหนัก” ประเภทต้นก็อยู่กรรมอยู่ปริวาส ต้องอาบัติสังฆาทิเสส ๑๓ ข้อ ข้อใดข้อหนึ่งอย่างนี้ก็ต้องแจ้งต่อสงฆ์ เมื่อหากว่าเก็บ เมื่อเก็บไว้ คือ ต้องอาบัติสังฆาทิเสสข้อใดข้อหนึ่งแล้วล่วงเลยไปถึงหกเจ็ดวันเบาะ สิบวัน จึงค่อยมาแจ้งต่อสงฆ์ เช่นนี้ก็ต้องอยู่ปริวาสไปถึงเจ็ดวันหรือสิบวันนั้นแล้วจึงขออัพภาน* จึงขออยู่มานัตต์หกราตรี อย่างนี้นะ แต่ถ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสในวันนั้น แจ้งต่อสงฆ์ในวันนั้นแล้วก็ขออยู่มานัตต์เพียงหกราตรีเท่านั้นแล้วก็ขออัพภานต่อสงฆ์ โทษนั้นก็หมดไปพ้นไป ถ้าต้องอาบัติหนักเช่น “อาบัติปาราชิก” อย่างนี้ ถ้าผู้ใดต้องแล้วรู้ตัวแล้วก็มาสึกไปเลย สึกก็ไม่ต้องลำบากอะไรหรอก เอาผ้าดำมานุ่งเสียเลย เพราะมันขาดจากความเป็นภิกษุแล้ว ก็ต้องให้เข้าใจอย่างนี้อันวินัย นั้นน่ะ เพราะฉะนั้นอย่าไปเจตนาแกล้งล่วง ให้ตั้งใจสำรวมระวังเสมอไป เรียกว่า วินัยมันก็อยู่ที่สตินั้นเองนะอยู่ที่สติ ถ้าขาดสติสัมปชัญญะแล้ว วินัยก็เหลวไหล รักษาไม่ได้ ดังนั้นก็ต้องเรียนรู้ด้วย เรียนรู้ท่องจำให้ได้ในสิกขาบทน้อยใหญ่ทั้งหลาย เมื่อเรียนรู้ท่องจำได้แล้วบาดนิก็อาศัยสติสัมปชัญญะ ก่อนจะทำอะไรพูดอะไรก็ระลึกเสียก่อนว่ามันไม่สิกขาบทวินัยข้อไหนเลย อย่างนี้ก็จึงค่อยทำค่อยพูดไป เช่นนี้แหละท่านจึงเรียก สติวินัย สติวินโย ทาตพฺโพ พึงทำสติวินัยให้แจ้ง เพิ่นว่า นั่นแหละ ดังนั้น สิกขาบทน้อยใหญ่ทั้งหลายเหล่านั้นที่เราจะไม่ล่วงได้ก็เพราะอาศัยสติระลึกได้เท่านั้นแหละ ถ้าสติระลึกไม่ได้แล้วมันอาจล่วงได้ เมื่อใดก็ได้ อย่างนี้นะ ดังนั้นให้พากันใส่ใจเรื่องสติให้มากเลย *อัพภาน “การเรียกเข้า” การรับกลับเข้าหมู่, เป็นขั้นตอนสุดท้ายแห่งวุฏฐานวิธี คือ ระเบียบปฏิบัติในการออกจากครุกาบัติขั้นสังฆาทิเสส ได้แก่ การที่สงฆ์สวดระงับอาบัติ รับภิกษุผู้ต้องอาบัติสังฆาทิเสส และได้ทำโทษตนเองตามวิธีที่กำหนดเสร็จแล้ว ให้กลับคืนเป็นผู้บริสุทธิ์ วิธีปฏิบัติ คือ ถ้าต้องอาบัติสังฆาทิเสสแล้วไม่ได้ปิดไว้ พึงประพฤติมานัตสิ้น ๖ ราตรีแล้ว ขออัพภานกะสงฆ์วีสติวรรค สงฆ์สวดอัพภานแล้ว ชื่อว่าเป็นผู้บริสุทธิ์จากอาบัติ, แต่ถ้าภิกษุผู้ต้องปกปิดอาบัติไว้ล่วงวันเท่าใด ต้องประพฤติวัตรเรียกว่า อยู่ปริวาส ชดใช้ครบจำนวนวันเท่านั้นก่อน จึงประพฤติมานัตเพิ่มอีก ๖ ราตรี แล้วจึงขออัพภานกะสงฆ์วีสติวรรค เมื่อสงฆ์อัพภานแล้ว อาบัติสังฆาทิเสสที่ต้อง ชื่อว่า เป็นอันระงับ จาก “พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์” สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต) ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว” :: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689 วินัยสงฆ์-อาบัติ-ปาราชิก-สังฆาทิเสส http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=22785 |
เจ้าของ: | sirinpho [ 17 ส.ค. 2016, 11:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การออกจากอาบัติ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
เจ้าของ: | น้องพลอย [ 31 ม.ค. 2018, 07:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: การออกจากอาบัติ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |