วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:40  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ก.ย. 2016, 16:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย


บรรดาภิกษุสามเณรทั้งหลายได้อยู่กาลฝนไตรมาสสามเดือน ในระยะสามเดือนนี้ผู้บวชมาใหม่ก็ต้องศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัยเพื่อให้เข้าใจในแนวทางปฏิบัติ ผู้บวชมาเก่าก็ตั้งใจเจริญสมถวิปัสสนาเพื่อชำระอาสวกิเลสให้น้อยเบาบางออกไปจากจิตใจจนกว่ามันจะหมดสิ้น ผู้เป็นทายกทายิกาก็ตั้งใจบำเพ็ญบุญกุศล เช่น ตักบาตรเป็นประจำวันอย่างนี้นะ แล้วก็สมาทานศีล รักษาศีลให้บริสุทธิ์ พยายามชำระตนให้บริสุทธิ์จากบาปจากโทษทั้งหลาย พยายามไหว้พระภาวนาแม้จะอยู่บ้านอยู่ช่องของตนก็ไม่ประมาท

การที่เราทำความเพียรปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ เรียกว่า ปฏิปัตติบูชา เราบูชาพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติ เราเสียสละความอยากความปรารถนาของตัวเอง น้อมกายวาจาใจของตนสู่ธรรมวินัยคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ทำยังไง ไม่ให้พูดอะไร ก็ไม่ทำไม่พูด ทรงอนุญาตให้ทำอะไรพูดอะไรได้ก็จึงทำจึงพูดในสิ่งนั้น เราไม่ทำอะไรพูดอะไรตามใจชอบของตัวเอง เราทำเราพูดอิงอาศัยศีลอาศัยธรรม อาศัยคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ขอให้พากันปฏิบัติตนอย่างนี้ เพราะว่าลำพังแต่ความรู้ของเราน่ะ เรายังรู้ไม่รอบคอบ เช่นเรื่องบาปอย่างนี้เราก็ยังไม่รู้แจ่มแจ้งในใจ เรื่องบุญก็เหมือนกันยังไม่รู้แจ่มแจ้งในใจ บางทีก็สงสัยลังเลอยู่ ดังนั้นเราจึงอาศัยฟังคำสอนของพระพุทธเจ้านี้บ่อยๆ เมื่อฟังไปบ่อยๆ มันก็จะเกิดความรู้ความฉลาดขึ้น มันก็จะหายสงสัยในเรื่องบาปบุญคุณโทษ อันนี้ล่ะเรียกว่า เราปฏิบัติบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ การที่ทำอะไรตามชอบใจตัวเองมันจะขัดต่อศีลต่อธรรมก็ตามไม่นำพา อันนั้นเรียกว่า ผู้ไม่ปฏิบัติบูชาคุณแก้วสามประการ ดังนั้นพวกเราก็ได้ชื่อว่า เป็นผู้มีความเลื่อมใสในคุณพระพุทธเจ้า คุณพระธรรม คุณพระสงฆ์ อย่างจริงใจจริงจัง เพราะเนื่องจากว่าคนไทยเรานั้นมีปัญญา รู้จักผู้ประเสริฐในโลก พอได้ฟังประวัติความเป็นมาของพระพุทธเจ้าอย่างนั้นแล้วเราก็เห็นว่าพระองค์เป็นผู้ประเสริฐจริงๆ แม้ว่าพระองค์จะบังเกิดอยู่ในประเทศอินเดีย ไม่ได้เกิดอยู่ในประเทศไทยก็ตาม เมื่อได้ฟังกิตติศัพท์กิตติคุณของพระองค์แล้วเราก็เชื่อแน่ว่า พระพุทธเจ้านั้นพระองค์มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่จริงๆทรงสร้างบารมีมาจริงๆ เลยทีเดียว

ดังนั้น ในเมื่อคนไทยเรายังไม่ชำนาญในข้อปฏิบัติอันลึกซึ้ง ก็พากันยึดเอาเรื่องพระเวสสันดรนี่แหละเป็นเครื่องดำเนินในได้ทำบุญทำทาน เพราะว่าพระเวสสันดรนี่ท่านจารึกเป็นอักษรไว้ว่า พระองค์เป็นนักเสียสละผู้ยิ่งใหญ่ สละลูกสละเมียให้เป็นทาน สละข้าวของเงินทองให้เป็นทาน สละช้างพระที่นั่ง ม้าพระที่นั่ง ราชรถ ให้เป็นทานไปหมดสมบัติของกษัตริย์ไม่มีเหลือแล้วพระองค์ก็เสด็จไปบวชเป็นพระฤาษีอยู่ในเขาวงกต ป่าหิมพานต์ ด้วยอำนาจบุญญาบารมีของพระองค์ที่บำเพ็ญมาเมื่อได้เป็นพระฤาษีอยู่ในป่าหิมพานต์อย่างนั้นแล้ว บุญบารมียังไม่สามารถที่จะบันดาลให้พระองค์ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าได้ก่อน ดังนั้นบุญกุศลจึงหน่วงเหนี่ยวให้พระองค์ได้ย้อนกลับเข้าไปครองราชสมบัติในเมืองเชตอุดรในครั้งนั้น

เมื่อดับขันธ์บรรลัยจากโลกนี้แล้ว พระองค์ก็ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดุสิต คงจะพร้อมด้วยพระนางมัทรี กัณหาชาลี นั่นแหละ แต่ท่านไม่กล่าวไว้ชัดในตำรา ทีนี้เมื่อถึงยุคถึงเวลาที่พระองค์จะได้มาตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าแล้วก็บันดาลให้เทวดา อินทร์พรหม ไปเชื้อเชิญให้พระองค์จุติจากสวรรค์ชั้นดุสิตลงมา ปฏิสนธิในท้องของพระนางมหาสิริมหามายา ซึ่งมีพระเจ้าสุทโธทนะเป็นพระบิดาในประเทศอินเดียครั้งนั้น พระองค์ประสูติก็ประสูติเดือนหกเพ็ญ ตรัสรู้ก็ตรัสรู้เดือนหกเพ็ญ เสด็จดับขันธปรินิพพานก็เดือนหกเพ็ญ สามสมัยกาลนี้ย่อมตรงกันเลย ซึ่งไม่มีมนุษย์ใดที่จะมีมหัศจรรย์อย่างพระพุทธเจ้า ไม่มี นี่แหละจึงว่าเป็นอัจฉริยมนุษย์ แปลว่า เป็นมนุษย์ผู้ที่น่าอัศจรรย์มาก ไอ้เรื่องราวเหล่านี้นะมันเป็นความจริง ไม่ใช่เป็นเรื่องแต่งเอานะ เป็นความจริง มีอะไรเป็นหลักฐาน ก็มีพระธรรมคำสอนของพระองค์สิเป็นหลักฐาน นักปราชญ์ใดในโลกนี้ที่จะมาแสดงความคิดความเห็นมากมายก่ายกองอย่างนี้นี่ไม่มี ลองไปตรวจดูค้นดูตำราลัทธิศาสนาอื่นๆ ไม่มีหรอกคำสอนที่จะมากมายปานนี้นะ

นั่นแหละแล้วทรงสอนได้อย่างต่ำจนถึงอย่างสูงสุด ผู้ได้ประพฤติปฏิบัติตามก็ได้เห็นผล คือ จิตใจหลุดพ้นจากอาสวกิเลสจริงๆ อย่างพวกชาวบ้านออกบวชตามพระองค์ บางคนก็เป็นลูกเศรษฐีนั่นก็มี เป็นลูกพ่อค้าพาณิชย์ผู้ยิ่งใหญ่ บางคนก็เป็นพระราชามหากษัตริย์ก็มี ออกบวชไปแล้วบำเพ็ญไปก็สำเร็จอรหันต์สิ้นอาสวกิเลสแล้ว ท่านก็ไม่สิกขาลาเพศกลับไปครองเรือนอีกเลย อยู่ไปจนตลอดหมดอายุสังขาร แล้วก็เข้าสู่พระนิพพาน เหมือนอย่างพระสงฆ์ในสมัยปัจจุบันน่ะ เมื่อบวชมาแล้วละกิเลสไม่ได้แม้ว่าอายุมากแล้ว บวชมาตั้งสิบปียี่สิบปีก็ยังสึกไปได้อยู่ เนี่ยบุคคลผู้ละกิเลสไม่ได้ มันก็ต้องหมุนไปหากิเลสของเก่า ท่านผู้ละกิเลสได้แล้วมีพระพุทธเจ้าเป็นตัวอย่าง พระองค์ไม่หวนว่าจะไปครองราชย์สมบัติอีกเลย มีแต่ทรงโปรดเวไนยสัตว์ทั้งหลาย ทรงแสดงธรรมแนะนำให้คนละความชั่ว ทำความดี ให้ชำระจิตใจของตนให้บริสุทธิ์หมดจดจากกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย นี่พระพุทธกิจของพระองค์น่ะมีอย่างนี้เมื่อพระองค์ละกิเลสให้หมดสิ้นไปแล้วอันกิจธุระของพระองค์ที่จะทำความเพียรเพื่อละกิเลสไม่มีแล้ว ดังนั้น พระองค์จึงไปเที่ยวแนะนำสั่งสอนผู้อื่นตลอดปรินิพพานเลย

แม้พระสาวกองค์อรหันต์ทั้งหลายก็เหมือนกันน่ะ ท่านก็ช่วยพระศาสดาเผยแผ่คำสอนของพระองค์ ซึ่งพระองค์ได้กลั่นกรองดีแล้ว แสดงไว้แล้ว ท่านพระสาวกทั้งหลายก็พากันจดจำเอา แล้วปฏิบัติตามและเมื่อท่านได้บรรลุถึงที่สุดแล้ว ไม่มีกิจที่จะต้องทำอีกต่อไปแล้วกิจส่วนตัวน่ะ ท่านก็เที่ยวแนะนำสั่งสอนประชาชนผู้มีศรัทธาทั้งหลาย ให้ละชั่ว ทำดี ให้ชำระจิตใจให้ผ่องใสสะอาด ตามพระศาสดาไปจนกว่าจะหมดอายุสังขารแล้วท่านก็ดับขันธ์เข้าสู่พระนิพพานไป นี่ประวัติความเป็นมาพระพุทธเจ้าและพระธรรมพระสงฆ์โดยสังเขป พุทธบริษัทควรพากันพินิจพิจารณาจดจำแล้วเอาไปพิจารณาเป็นอารมณ์ เป็นเครื่องเตือนใจให้เรามีความอุตสาหะวิริยะพากเพียร ตรวจตราดูกายวาจาใจของตน ว่ากายวาจาใจของตนมันบกพร่องอยู่ตรงไหนที่ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็ขอให้สำรวจตรวจตราตนของตนเสมอ ไม่สำรวจดูแล้วมันจะไปรู้ความบกพร่องได้ยังไงแล้วมันจะไปละบาปได้ยังไง นี่นะ ถ้าเราสำรวจดูนะมันก็รู้ได้แหละ

เช่น พระพุทธเจ้าทรงห้ามไม่ให้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน ห้ามไม่ให้ฆ่าสัตว์ ห้ามไม่ให้ลักทรัพย์ ห้ามไม่ให้ประพฤติผิดในกาม เล่นชู้จากผัวจากเมีย ห้ามไม่ให้พูดเท็จ พูดส่อเสียด พูดเพ้อเจ้อ เหลวไหล หมู่นี้นะ ห้ามไม่ให้ดื่มเหล้าเมาสุรากัญชายาฝิ่นเฮโรอีน หมู่นี้เราได้ล่วงเกินรึเปล่า ข้อห้ามห้าประการนี้เป็นหน้าที่ของเราชาวพุทธจะพึงพิจารณาตัวเอง อย่าไปเมินเฉยนะ ถ้าไปเมินเฉยไม่พิจารณาถึงข้อห้ามเหล่านี้แล้วก็เท่ากับว่า เราไม่ได้นับถือพระพุทธศาสนานั่นเอง เพราะพระพุทธศาสนามีจุดประสงค์ที่จะสอนให้คนละความชั่ว ละบาปกรรม เพราะบาปกรรมความชั่วเหล่านี้มันนำบุคคลผู้กระทำให้ไปเกิดในที่ทุกข์ยากที่ลำบากและในเมื่อละโลกนี้ไปแล้ว

คนทุกคนน่ะไม่ต้องการความทุกข์หนิ ขอให้พิจารณาดูตัวเองให้ดี ถามตนเองดูว่าเราต้องการความทุกข์ไหม ทุกคนจะต้องตอบตัวเองว่าไม่ต้องการเลย คือต้องการอะไร ต้องการความสุข ความประสงค์นี่เหมือนกันหมดในโลกอันนี้นะ ต่างแต่ว่าการแสวงหาความสุขนั้นมันแตกต่างกัน ผู้มีความรู้ความเห็นอย่างไรว่าจะเป็นทางแห่งความสุขมันก็ทำไป ทำไป เช่นดื่มเหล้าเมาสุราอย่างนี้บางคนก็ถือว่ามันสุขมันสนุกสนานดีอย่างนี้นะ เอ้าเมื่อเห็นว่ามันเป็นสนุกสนานดีมันเป็นสุขดีมันก็ดื่มไปแล้ ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่ามันเป็นบาป อื้อมันจะเป็นบาปอะไร้มันสนุกสนานดี ดื่มแล้วเราก็ไม่ได้ไปด่าพ่อล่อแม่ใคร ไม่ได้ไปทุบไปตีใคร จริงอยู่บางคนไม่ทุบไม่ตีใครแต่บางคนมันทุบมันตีเขาซิ มันด่าพ่อล่อแม่เขา อย่างนี้แหละ ถ้าดื่มมากๆ เข้าไปแล้วมันต้องทำเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งของเสพติดให้โทษต่างๆ เหล่านี้นะ มันเป็นอย่างนั้น สุรากัญชายาฝิ่นเฮโรอีนอันหมู่นี้เป็นของให้โทษทั้งนั้นเลย ไม่ใช่ให้โทษแต่ไปทุบไปตีด่าว่าคนอื่นเท่านั้น ให้โทษแก่ร่างกายของตนเองนี่แหละ ทำให้เกิดโรคภัยอันร้ายแรงเบียดเบียน หาความสุขสบายไม่ได้ หมอก็รักษาไม่ได้ เช่นเกิดโรคมะเร็ง เกิดโรคตับโรคปอดโรคเบาหวาน โรคเอดส์อะไรหมู่นี้นะ หมอช่วยไม่ได้ ผู้ประพฤติผิดในกามหรือผู้ไม่สำรวมในกามก็ประพฤติสำส่อนไปทั่ว ไม่เลือกไม่เร้นอะไรเลยอย่างนี้นะ หน่อยนึงว่าได้ข่าวว่าเกิดโรคเอดส์ขึ้นแล้ว ครั้นเกิดโรคเอดส์ขึ้นแล้วก็ไม่มียาเลย มีแต่ตายลูกเดียว แล้วอย่างนี้ทำไมไม่พิจารณาดูล่ะชาวพุทธทั้งหลาย พระพุทธเจ้าห้ามไว้แล้วมันมีโทษจริงๆ เลย นี่มันเป็นอย่างนี้ เมื่อได้พิจารณาให้ละเอียดลออจริงๆ มันก็เว้นได้แหละ มันเห็นนี่มันเห็นว่าเป็นโทษ ไม่มีประโยชน์อะไรเลยอย่างนี้นะมันก็เว้นได้เลย

การพูดเท็จ พูดไม่จริงไม่จัง พูดส่อเสียด พูดคำหยาบคาย ด่าพ่อล่อแม่กันอะไร เมื่อพิจารณาดูแล้วไม่ใช่เป็นเรื่องที่ควรจะพูดเลยเพราะว่าพูดไปแล้วมีแต่เสีย ไม่มีได้เลย ทางได้ดีไม่มี มีแต่เสียลูกเดียว แต่ผู้พิจารณาเด๊ะมันจึงค่อยเห็นได้ ผู้ใดไม่พิจารณาแล้วไม่เห็น เรื่องมันน่ะ

การประพฤติผิดมิจฉาจารกรรมทำชู้กับเมียคนอื่น ผัวคนอื่นอะไรหมู่นี้นะ หมู่นี้มันก็ให้โทษในปัจจุบันนี้ด้วย ไปเบื้องหน้าก็ให้โทษไปในเบื้องหน้าด้วย เออ อย่างนี้ ก็ขอให้พากันพิจารณาให้มันเห็นแจ้งชัดด้วยตนเอง การทำลายล้างผลาญผู้อื่น การลักการล่อการฉ้อการโกงเอาทรัพย์สมบัติของผู้อื่นมาเป็นของตนหมู่นี้มันล้วนแต่การเบียดเบียนซึ่งกันและกันให้เป็นทุกข์เดือดร้อนทั้งนั้นเลย เมื่อไปเบียดเบียนผู้อื่นให้เดือดร้อนแล้ว ไอ้กรรมนั้นจะไม่ย้อนมาหาตนจะไปได้ที่ไหน มันต้องย้อนมาหาแน่นอน พระพุทธเจ้าทรงแสดงไว้ว่า ผู้ใดทำกรรมอันใดย่อมได้รับผลแห่งกรรมอันนั้น อย่างนี้นะ ก็เมื่อผู้ใดมาฟังคำสอนของพระพุทธเจ้าแล้วก็พิจารณาให้ละเอียดถี่ถ้วน ให้มันเห็นแจ้งในใจว่า กรรมชั่วเหล่านี้เป็นของควรละโดยแท้ เช่นนี้แล้วก็ผู้นั้นละได้แล้วในชาตินี้นะ ละได้เด็ดขาดไปแล้ว กรรมชั่วเหล่านี้มันก็ไม่ตามไปสนองน่ะ อธิษฐานละไปทุกวั๊นทุกคืนไป ไอ้กรรมชั่วที่ได้หลงใหลทำมาแล้วแต่ก่อนนะก็ยอมรับว่าเป็นกรรมชั่วเป็นบาปจริง บัดนี้ขอละเว้น ไม่ทำมันต่อไปอีก ด้วยความสัจความจริงอันนี้ขอให้กรรมชั่วทั้งหลายที่ข้าพเจ้าได้ลุ่มหลงทำมาจงหมดไป สิ้นไปจากจิตใจของข้าพเจ้านี้ นี่อุบายละบาปกรรมทำชั่วนะมันต้องอย่างนี้ ขอให้เข้าใจ

เราจะไปอยู่เฉยๆเรื่อยๆ ไป ไม่มีอุบายแยบคาย ไม่คิดไม่อธิษฐานจิตเลยอย่างนี้นะ จะให้บาปกรรมมันหมดไปจากจิตใจ ไม่มีทาง ขอให้เข้าใจ ก็เมื่อเรากำสิ่งของอันใดอันหนึ่งไว้อย่างนี้นะ ไม่ยอมวาง ของอันนั้นจะไปไหนบาดนิ มันก็อยู่ในกำมือนั่นแหละ อันนี้ฉันใดก็อย่างนั้นแหละ เมื่อจิตยึดเอาบาปกรรมไว้อย่างนี้นะแล้วบาปกรรมมันจะหนีไปไหน มันไม่หนี มันก็อยู่ที่จิตใจนั่นแหละ ถ้าจิตเห็นโทษของบาปกรรมต่างๆเหล่านั้นแล้วคลายออกซะ ไม่ยึดถือเอาไว้เลย มันจะตั้งอยู่ได้ยังไง มันก็ดับไปเท่านั้นเองแหละบาปโทษเหล่านั้นนะ บาปโทษต่างๆเหล่านี้เป็นสิ่งที่ละได้ พระศาสดาจึงทรงสอนให้ละ ถ้าหากว่าละไม่ได้แล้วพระองค์ไม่ทรงสอนให้ละ เช่นถ้าพระองค์เห็นว่า ผู้ใดทำบาปกรรมอันใดไว้แล้วอย่างนี้ บาปกรรมอันนั้นมันต้องตามสนองให้จนได้ แม้ว่าผู้นั้นจะทำความดียังไงยังไงให้สูงขึ้นไปก็บาปกรรมอันนั้นมันยังตามสนองให้ได้อยู่อย่างนี้ พระองค์ก็ไม่สอน พระองค์จะไม่สอนให้คนละบาปละกรรมเล้ย เพราะละทำไมละไม่ได้ นี่พระองค์รู้แจ้งแล้วว่าละได้อยู่กรรมเบานี่น่ะ อย่าพากันนิ่งนอนใจเรื่องบาปเรื่องกรรมนี่นะ

ทุกคนเกิดมาในโลกนี้นะอันซึ่งจะไม่ได้ฆ่าสัตว์นี่คงจะไม่มีซักคนเดียวหรอก การหยิบฉวยของผู้อื่นมาเป็นของตนอาจจะมีบ้างไม่มากก็น้อยแต่ละคนนะ แต่การเล่นชู้จากผัวจากเมียนี่อาจจะมีเป็นบางคน บางคนอาจจะไม่มีอย่างนี้แหละ การพูดโกหกพกลมต่างๆ มันต้องมีแน่แต่ละน่ะต่างแต่มากแต่น้อยกว่ากันเท่านั้นแหละ การดื่มเหล้าเมาสุราหมู่นี้นะ มันเห็นมาพอแรงแล้วนะ ทั้งหญิงทั้งชายมั่วกันไปหมด โดยเฉพาะคนชาวถือผีอยุ่นู้นนะ ถึงฤดูเดือนห้าเมษาปีใหม่มาแล้วก็เอาแล้ว ลงเลี้ยงผีกันล่ะบาดนี้นะ เลี้ยงผี...ไม่ใช่เลี้ยงผีหรอก ความจริงเลี้ยงคนนั่นแหละ เข้าทำนองผีกินไอ คนบายต่อน เพิ่นว่า นั่นแหละเอาไปหัวหมู เอาหมูเอาอะไรใส่กะละมังแล้วไปตั้งไว้หอผี สักครู่แล้วก็ อื้อ เพื่อนอิ่มแล้วเพิ่นว่า แล้วก็ยกออกมามาว่ากันล่ะบาดนิ ทั้งเหล้ายาปลาแป้งอะไรต่ออะไร ดื่มเมาได้ที่แล้วก็ฟ้อนเกี้ยวกันเลยบาดนิ ไม่ว่าลูกใคร เมียใคร ผัวใคร คนแก่คนเฒ่าก็ตามนะ มั่วกันไปหมดเลย เราแต่เป็นเด็กเป็นหนุ่มอยู่พุ่น ไปเห็นแล้วสังเวชสลดใจก็ไม่ได้ไปมั่วกับเพื่อนเลย เห็นว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้มีประโยชน์อะไร แต่มันรู้ได้ตั้งแต่ยังหนุ่มอยู่นู่นแต่ยังน้อยอยู่นู่น อืม เป็นอย่างนี้แหละถึงว่าขอให้พากันทบทวนดูให้ดี เมื่อทบทวนดูแล้วเห็นว่าเราได้ลุ่มหลงทำจริง เราอธิษฐานใจละเว้นเสียแล้วไม่ทำต่อไปอีก เช่นนี้แล้วบาปกรรมนั้นมันก็ค่อยหมดไปหมดไป จิตใจก็ผ่องใสสะอาด อันนี้น้าที่พระพุทธศาสนาท่านสอนให้คนเราเพียรละความชั่วออกจากตัวนะ พวกเราเป็นชาวพุทธแท้ๆ เราจะไม่พยายามเหรอ..ลองถามตัวเองดู

เราจะไม่เชื่อหรือพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้านะ อย่างนี้ก็เป็นหน้าที่ของพวกเราทุกคนแหละที่จะต้องพิจารณาตัวเอง จะให้คนอื่นพิจารณาตัวเองนะไม่ได้ดอก ไม่ได้ อันนี้ล่ะถ้าเราพิจารณาเห็นได้แล้วเราเว้นเด็ดขาดได้ ชื่อว่า ปฏิปัตติบูชา การปฏิบัติบูชาพระคุณของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์เป็นการบูชาอย่างยิ่ง เป็นไปเพื่อพ้นจากบาปจากกิเลส บาปอธรรมกรรมอันชั่วทั้งหลาย ก็ชื่อว่าพ้นทุกข์ในอบายภูมิทั้งสี่ มีนรกเป็นต้นนั้นเองแหละ คำว่าพ้นจากบาปมันเป็นอย่างนั้น

ก็เมื่อพ้นจากนรกแล้วจะไปไหนบาดนิ เมื่อไม่ไปตกนรกแล้ว เมื่อไม่ไปตกนรกแล้วนี่ ตายไปมันก็ไปสวรรค์เท่านั้นแหละ ทางไปแห่งจิตใจนะคิดดูให้ดี ไม่มีทางอื่น แต่ผู้ได้บำเพ็ญฌานสมาบัติให้บังเกิดขึ้นนั้นมีน้อยหรอก ไปสู่พรหมโลก อันผู้ทำความดีละความชั่ว ชำระใจของตนให้สะอาดดังกล่าวมานี้แล้วไปสวรรค์แหละหกชั้นนั่นแหละชั้นใดชั้นหนึ่ง ไม่ไปไหนนะ ไอ้คนที่ไปสวรรค์ไม่ได้เพราะอะไรล่ะ เพราะมันชำระบาปยังไม่หมด มันยังมีบาปพัวพันอยู่ เช่นอย่างว่าพ้นจากนรกมาแล้ว บุญกุศลมีอยู่แต่ว่าไม่มากพอจะไปสวรรค์ได้ก็มาเกิดเป็นคนอย่างนี้นะ ไอ้บางทีไอ้เรามาเกิดกันอยู่นี่น่ะ อาจจะพ้นจากนรกแล้วมาเกิดเป็นคนก็ได้นะ หรือว่าพ้นจากสัตว์เดรัจฉานแล้วมาเกิดเป็นคนก็ได้ บางทีก็จุติจากสวรรค์โน่น มาเกิดเป็นคนก็ได้แต่เราระลึกชาติหนหลังไม่ได้ มันจึงรู้ไม่ได้ แต่รู้ไม่ได้เราก็พออนุมานตามคำสอนของพระพุทธเจ้าได้ ถ้าผู้ใดจุติจากเทวดาลงมาเกิดเป็นคนอย่างนี้ คนผู้นั้นย่อมเป็นคนดีแน่เลย เป็นคนใจบุญ กลัวบาป มีเมตตาจิต ไม่คิดอิจฉาเบียดเบียนบุคคลอื่นสัตว์อื่น คนผู้เช่นนั้นแหละเราก็พอเดาได้เลยว่า ต้องมาจากเทวดาแน่นอน เพราะว่าผู้ที่จะเป็นเทวดานะ มันก็ต้องละบาปไปแต่เป็นมนุษย์เสียก่อนอย่างนี้นะ เมื่อละบาปแต่เป็นมนุษย์แล้วไปเกิดเป็นเทวดา พอหมดบุญจากเทวดามาเกิดเป็นมนุษย์อีก นิสัยเก่าก็ติดตามมา นิสัยเป็นคนใจบุญมีเมตตาอารี ก็นั่นแหละมันก็ติดตามมาอย่างนี้แหละ เช่นนั้น บางคนมาเกิดในโลกนี้ใจดำอำมหิต ไม่มีเมตตาอารี โกรธง่าย ชอบข่มเหงผู้อื่น ชอบดูถูกดูหมิ่นผู้อื่นอย่างนี้ ก็แสดงว่าต้องพ้นจากนรกมา หรือพ้นจากเปรตมา พ้นจากสัตว์เดรัจฉานมาแล้วมาเกิดเป็นคน เราก็พออนุมานได้พอเดาได้ ดูกิริยาท่าทางของบุคคลแต่ละคนนั่นล่ะ มันเป็นอย่างนั้น

เพราฉะนั้นเราจะไปดูจะทำว่าไม่รู้เรื่องได้ยังไง เพราะลักษณะอาการของคนมันบอกอยู่ ผู้ที่ช่างสังเกตน่ะย่อมรู้ได้เลย อย่างที่เราทุกคนที่มาสนใจในธรรมะกันอย่างนี่ แสดงว่านิสัยเก่ามันติดมาแต่ชาติก่อนหนหลังนู่น มันสนใจในศีลในธรรมในบุญกุศล มันเห็นทุกข์เห็นภัยในสงสารมาแล้วอยากพ้นทุกข์แต่ว่าบุญบารมียังน้อยอยู่ ก็เลยต้องให้มาเกิดเป็นคนก่อน มาสร้างบุญบารมีเอาบาดนี้นะ ให้มันแก่กล้าขึ้นไปเรื่อยๆ ไป อย่างนี้แหละ มันก็พอรู้ได้นิ ทุกคนน่ะลองพิจารณาตัวเองน่ะพอจะเข้าใจได้แล้ เมื่อผู้ใดพิจารณาตัวเองเข้าใจได้อย่างนี้มันก็มั่นใจอยู่ในศีลธรรม มั่นใจอยู่ในข้อวัตรปฏิบัติไม่ท้อไม่ถอยเลย เอาชีวิตเป็นเดิมพัน ตายแล้วแล้วไป ตายเพราะบำเพ็ญข้อวัตรปฏิบัตินี้ ตายเพราะละบาปนี่ ตั้งใจทำแต่บุญกุศลนี่ เราไม่เสียดายเลยชีวิตนี้ ว่าแต่เราขอให้พ้นจากบาปจากโทษก็พอแล้ว ก็ขอให้พากัน พากันมีอุบายแยบคายในจิตใจอย่างนี้ ไม่เป็นเช่นนี้แล้วเราก็พ้นจากบาปไปไม่ได้ อย่าไปเข้าใจว่าบาปมันไม่ติดตามน้า เมื่อเราทำลงไปแล้วเราไม่ละมันน่ะ มันก็ติดตามไปอยู่อย่างนั้นแหละ เมื่อมันยังไม่ได้ช่องได้โอกาส บุญมีกำลังมากกว่าอย่างนี้นะ บุญให้ผลไปก่อน บาปมันก็ติดตามไปอย่างนั้นแหละแต่มันยังไม่ได้ให้ผล ขอให้เข้าใจ

คราวนี้เมื่อหมดเหตุของบุญนั้นลงไปแล้วบาดนิ บาปนั้นมันก็สวมต่อ ให้ผลต่อ ชีวิตก็ถึงซึ่งความทุกข์ทนทรมานแหละบัดนี่ เมื่อบาปกรรมมันให้ผลนะ ดังนั้นน่ะคนเราเกิดมาในโลกนี้เราก็เห็นกันอยู่ บางคนแต่ยังหนุ่มนั่นแข็งแรงแข่งขันดี บัดนี้เมื่อถึงวัยกลางคนน่ะเกิดมีโรคภัยอันร้ายแรงเบียดเบียน ร่างกายก็ทรุดโทรมลงไป ทุพพลภาพลง ถ้าเมียล้มเจ็บลง รักษากันยังไงก็ไม่ค่อยจะหาย เอาล่ะเป็นภาระของผัวต้องเลี้ยงลูก ต้องทำการทำงานเลี้ยงกันอยู่อย่างนั้นมา ถ้าหากว่าผัวมีกรรมเวรมาสนองเอา เอ้า เจ็บลงป่วยลงไป ไอ้ฝ่ายเมียก็ต้องหาเลี้ยงผัวบาดนินะ เลี้ยงลูก มันก็แสนทุกข์แสนยากน่ะเรื่องผลแห่งบาปแห่งกรรมที่มันตามสนองอย่างนี่นะ มันไม่ใช่ทุกข์แต่ตัวผู้เจ็บผู้ป่วย ทุกข์กับบุคคลผู้เนื่องด้วยตนน่ะ ผู้เกี่ยวข้องกับตนด้วย ทุกข์ถึงพ่อถึงแม่ถึงวงศาคณาญาติ ลองคิดดูซิ นี่แหละผลแห่งบาปแห่งกรรมน่ะมันลุกลามให้เกิดทุกข์ไปมากมายก่ายกอง เมื่อเราผู้ใดพิจารณาให้เห็นละเอียดกว้างขวางออกไปอย่างนี้แล้ว แน่นอนล่ะไม่ปรารถนาจะทำบาปอะไรต่อไปอีกเลย มันจะยากจะลำบากอย่างไรชีวิตนี้ก็ขอไม่ต้องทำบาปอย่างเดียว แม้จะลำบากโดยการงานอย่างอื่นแล้วแต่เรื่องมัน ไม่เดือดร้อน การงานที่ไม่เป็นบาปเป็นโทษนั้นนะ เอ้า เราทำมันแหละ เมื่อเวลามีกำลังทำได้นะ ขออย่าให้มันมีบาปมีกรรมก็แล้วกันการงานต่างๆ ครั้นอย่างนี้แล้วรับรองว่าไม่ได้ไปนรกแน่นอนน่ะชีวิตน่ะ นั่นแหละก็มีสวรรค์เป็นที่ไปอย่างที่ว่ามานั่นแหละ

เพราะฉะนั้นแหละขอให้เข้าใจว่า ไอ้บาปกรรมนี่มันไม่ได้เกิดมาแต่ที่อื่น มันเกิดที่จิตนั้น จิตนั้นสร้างมันขึ้นมา เช่นอย่างว่าการฆ่าสัตว์อย่างนี้นะ ถ้าจิตไม่ยินดีที่จะกินเนื้อสัตว์อย่างนั้น อย่างนี้แล้วมันจะฆ่าได้ยังไง มันไม่ฆ่าแล้ว เพราะจิตไม่กลัวบาป เอ้าบาปก็บาปไป ฆ่ามันไปได้กินอิ่มละเอาละ นี่บาปมันไม่เกิดจากจิตไม่ใช่เหรอ จิตเป็นผู้สร้างขึ้นไม่ใช่เหรอนี่ ถ้าจิตไม่คิดอย่างว่านั่นแล้ว เอ้า สัตว์ทั้งหลายมันก็ชอบความสุข เกลียดต่อความทุกข์เหมือนกับเรานี่นะ มันไม่ต้องการให้ใครมาเบียดเบียนมัน เราก็ไม่ต้องการให้ใครมาเบียดเบียนเราเหมือนกันเลย เทียบเขากับเราใส่กันแล้วมันทำไม่ลงเลย แต่คนเรามันไม่คิดถึงปานนั้นเรื่องมันน่ะ คิดแต่อยากจะกินเนื้อมันเท่านั้นเอง เห็นสัตว์ต่างๆแล้วน้ำลายไหลนะบางคนอยากกินเนื้อมัน แล้วอย่างนี้นะจะไม่ให้ไปตกนรกหมกไหม้ยังไงเล่า นี่ล่ะตัณหาพระพุทธเจ้าตรัสว่า มันเป็นเหตุให้เกิดทุกข์น่ะมันเป็นอย่างนี้แหละ เมื่อความอยากเกิดขึ้นในใจแล้วบาปก็ยอม ไปตกนรกก็ยอมไป ลองคิดพิจารณาดูซิเป็นอย่างนั้นจริงๆ นะคนเรา ไม่สนใจหรอกเรื่องนรกเรื่องบาปเรื่องกรรม ไม่สน ขอให้ได้กินอิ่มนอนหลับพอแล้ว

ไอ่ผู้ใดเห็นบาปเห็นบุญเห็นคุณเห็นโทษแจ่มแจ้งด้วยใจอย่างนี้แล้วละบาปได้ บำเพ็ญบุญกุศลให้เจริญขึ้นในตนได้ ไม่ใช่ธรรมต่ำๆนะ เป็นคุณธรรมของพระโสดาบันแน่นอนเลย อืม ให้คิดดูให้ดี พระโสดาบันนั้นท่านบรรลุโสดาปัตติผลแล้วอย่างนี้นะ ท่านละบาปเด็ดขาดลงไปด้วยอำนาจแห่งอริยมรรคเลย ดังนั้นท่านจึงไม่กลับไปทำบาป มีปาณาติบาตเป็นต้น ตลอดถึงสุราเมรัยเป็นที่สุด ท่านจะไม่กลับไปทำบาปเหล่านั้นอีกเลย อย่างนี้ล่ะที่ผู้ใดถ้าหากว่าละความชั่นอันนั้นเหล่านั้นได้ ถึงแม้จะไม่ได้เป็นพระโสดาบันก็ได้ชื่อว่า เดินตามทางตามหลังของพระโสดาบัน แล้วต่อไปก็จะได้เป็นพระโสดาบันแน่นอนทีเดียว เพราะฉะนั้นน่ะการได้เป็นพระโสดาบันได้แล้วนี่มีชีวิตพ้นจากนรก พ้นจากเปรต พ้นจากอสุรกาย พ้นจากสัตว์เดรัจฉาน แม้จะไปเกิดอีกก็ไม่เกินเจ็ดชาติ ชาติที่เกิดเจ็ดชาตินั้นก็เกิดดีทุกชาติเลย บุญกุศลตกแต่งให้ มีจิตใจฝักใฝ่ในศีลธรรม เบื่อบาป เห็นโทษของบาป ไม่ทำบาปเด็ดขาดเลยในเจ็ดชาตินั้น ในที่สุดบุญบารมีของท่านก็เต็มเปี่ยมในชาติที่เจ็ดแล้วก็ได้ตรัสรู้มรรคผลนิพพาน เข้าสู่พระนิพพานไปเท่านั้นเองนะ เป็นอย่างนั้น

ดังนั้นน่ะคุณธรรมเหล่านี้น่ะอย่าไปว่าต่ำๆนะการละบาปนี่น่ะ เหตุฉะนั้นการแสดงนี่นะจึงย้ำแต่เรื่องบาปนี่หลายกว่าอย่างอื่นเลย เพราะว่าคนส่วนมากนะไม่สนใจที่จะละบาปนี่ออกจากกาย วาจา ใจของตน ว่าอย่างละก็ละให้เบาลงหน่อยหนึ่งเท่านั้นล่ะ ยังเหลืออยู่ เออ เห็นว่ามันไม่เป็นทุกข์เป็นร้อนอะไรมันสบายๆอยู่ก็แล้วไป ไม่คิดที่จะละมันอีกแล้ว ไอ้อย่างนี้ไม่ถูกต้องเน้อให้เข้าใจกัน เอ้า ต้องเพียรละเอาจนมันหมดนู่นแหละบาปนี้นะ ไม่ให้มันเหลืออยู่ในจิตใจเลยอย่างนี้แล้วนั่นล่ะต่อจากนั้นไปแล้วก็จะมีแต่ความสุขความเจริญยิ่งๆ ขึ้นไป ตราบเท่าถึงพระนิพพาน ดังแสดงมา ขอจบลงเพียงเท่านี้



(จบ)


◇◆ ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” ◆◇
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

:b44: ชวนอ่านพระธรรมเทศนาเต็มกัณฑ์เทศน์ของ
“พระสุธรรมคณาจารย์ (หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ)”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 5 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร