วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 22:34  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 ธ.ค. 2021, 16:05 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย

เมื่อชาติ-ความเกิดมีแล้ว ความแก่ความเจ็บความตายก็มี เพราะมีร่างกายอันนี้มาแล้วน่ะมันก็ชำรุดทรุดโทรมลงไป นานไปนานไปเราก็เรียกว่าชรา-ความแก่ เมื่อร่างกายชำรุดทรุดโทรมลงไปแล้วโรคภัยก็เบียดเบียน เจ็บหัวบ้าง ปวดท้องบ้าง เป็นไข้ หนาวมากบ้าง ร้อนมากบ้าง หมู่นี้เป็นต้น เรียกว่า ความเจ็บหรือความป่วยไข้ เมื่อหมอช่วยไม่ไหวรักษาไม่ไหวแล้วก็เป็นอันว่า จิตนี้อาศัยอยู่ในร่างอันนี้ไม่ได้แล้วเพราะว่าร่างนี้มันธาตุทั้งสี่มันไม่ปรองดองสามัคคีกัน มันแตกสามัคคีแล้วอย่างนี้นะ จิตนี้จึงอาศัยอยู่ไม่ได้ก็ต้องถอนตัวออกไป

กรรมดีและกรรมชั่วที่ตนทำปัจจุบันนี้มันเป็นยานพาหนะรองรับไปบาดนิ เอ้า ไปหาเกิดอีกในภพน้อยภพใหญ่อีก ทานผู้ละอาสวกิเลสสิ้นไปแล้ว ท่านผู้ละตัณหาและความอยากสิ้นไปโดยประการทั้งปวงแล้ว ท่านก็ไม่ไปหาที่เกิดในภพน้อยภพใหญ่ต่อไปอีก ก็หมายถึง “ดวงจิต” ดวงนี้แหละ เมื่อมันละความอยากความปรารถนาอะไรหมดสิ้นลงแล้วในปัจจุบันนี้น่ะ มันหมดเหตุปัจจัยที่จะนำไปเกิดในภพน้อยภพใหญ่อีกแล้ว พระพุทธเจ้าก็ทรงบัญญัติว่า “นิพพาน” แปลว่า “ดับ” ดับจากความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ดับจากความทุกข์ความโศกเศร้าเสียใจพิไรรำพัน ดับจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ดับจากราคะ โทสะ โมหะ ดับหมดกิเลสน้อยใหญ่ทั้งหลาย รูปก็ดับไปจากจิตนี้ นามธรรมก็ดับไป จิตนี้จึงถึงซึ่งเป็นเอก เป็นหนึ่ง ไม่มีสอง ความอยากอะไรจะไปครอบงำจิตอย่างนี้ก็ไม่ได้เลย จิตของพระอรหันต์ท่านจึงว่า ไม่อยากอะไร ไม่อยากได้อะไรเลยในโลกนี้ อาศัยก็สักว่าอาศัยอยู่เท่านั้นร่างกายอันนี้แต่พระอรหันต์ทั้งหลายท่านไม่ได้ถือว่าของตัวของตน

แต่ตรงกันข้ามกับคนธรรมดาสามัญ ก็ถือว่า กายของเราตัวของเราอยู่อย่างนี้แหละ เพราะเหตุนั้นแหละเมื่อมันวิบัติลงจึงเป็นทุกข์ ดวงจิตที่มาอาศัยอยู่ในรูปอันนี้น่ะเนื่องจากว่ามันสำคัญว่าเป็นตัวของเรา มันยึดมันถือมันเสียดายอาลัยถ้ามันวิบัติไป รู้ว่าตัวจะตายก็สะดุ้งหวาดกลัว มันถึงได้เป็นทุกข์ ส่วนท่านผู้สิ้นอุปาทานความยึดถือแล้ว จิตของท่านปล่อยวางขันธ์ห้านี้ได้เรียบร้อยแล้ว ท่านไม่สะดุ้งหวาดกลัวต่อความตายเลย และท่านก็ไม่เสียอายอะไรๆ ทั้งหมดในรูปในนามอันนี้ แม้สมบัติที่แวดล้อมอยู่ภายนอกจิตก็ไม่ไปเกี่ยวข้องเลย เพราะว่าเห็นแจ้งประจักษ์แล้วนิ ทุกสิ่งทุกอย่างไม่ใช่ของเราสักอย่างเดียว เพราะฉะนั้นจึงว่า มีก็เหมือนไม่มีแหละสมบัติที่แสวงหามาในโลกอันนี้นะสำหรับท่านผู้รู้ทั้งหลายนะ มีก็เหมือนไม่มีเพราะจิตไม่ยึดถือเอามัน

พุทธศาสนิกชนทั้งหลายพยายามทำใจอย่างนี้แหละ พยายามฝึกใจสอนใจของตนให้เป็นอย่างว่านี้ ให้มันเกิดความรู้สึกขึ้นว่า มีเหมือนไม่มี ไม่มีเหมือนมี อย่างนี้นะ ทำไมจึงว่าอย่างนั้น ก็ทุกสิ่งทุกอย่างมันมีอยู่ แต่ว่าจิตใจเราไม่ยึดถือไม่สำคัญว่าเป็นของเรา แต่หากได้อาศัยมันอยู่ อย่างนี้นะ เหตุนั้นจึงว่า มีเหมือนไม่มีนั่นแหละ ไม่มีก็เหมือนมี จะว่าไม่มีเสียเลยก็ไม่ได้มันมีอยู่นิ ร่างกายอันนี้มันก็มีอยู่ จิตก็อาศัยอยู่นี้นะ นั่นแหละแต่ว่าจิตไม่ยึดถือ ตรงที่ไม่ยึดถือที่ปล่อยวางตามสภาพนี้แหละท่านถือว่า “มีเหมือนไม่มี” เป็นอย่างนั้น


:b47: :b47:

ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
“ไม่มีงานใดสำคัญเท่าการฝึกจิต”


◇◆ ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” ◆◇
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

:b44: ชวนอ่านพระธรรมเทศนาเต็มกัณฑ์เทศน์
ของ “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=75&t=53080

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 6 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร