วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 16:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 17 ส.ค. 2015, 10:56 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


พราหมณ์เฒ่า
ผู้ได้รับพระกรุณาจากพระพุทธเจ้า

:: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก
=========================

เหตุการณ์เกิดขึ้นที่เมืองสาวัตถี สถานที่อันเป็นศูนย์กลางแห่งพระพุทธศาสนา เรื่องราวหลากหลายเกิดขึ้นในเมืองนี้ พระพุทธองค์ทรงเป็นที่พึ่งทางใจแก่ประชาชนทุกชั้นวรรณะ ไม่ว่ายากดีมีจน บ่ายหน้าเข้ามาพึ่งพระมหากรุณาธิคุณ ย่อมได้รับการปัดเป่าให้สิ้นไปทุกผู้ทุกนาม

พราหมณ์เฒ่านิรนาม คนนี้มีความทุกข์แสนสาหัส เพราะถูกบรรดาลูกๆ ที่ตนเลี้ยงมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาหอยไล่ออกจากบ้าน ต้องซัดเซพเนจรขอทานยังชีพมุ่งหน้าไปพระเชตวัน ตามคำแนะนำของผู้ใจบุญท่านหนึ่ง

พราหมณ์เฒ่ามิใช่คนยากจน เขาเป็นผู้มีทรัพย์สินมากมาย ลูกๆ ก็ออกเหย้าออกเรือนเป็นฝั่งเป็นฝากันหมด แต่ทรัพย์สินบางส่วนยังไม่ได้แบ่งให้ บรรดาลูกๆ จึงรบเร้าให้พ่อแบ่งมรดกให้เรียบร้อย พราหมณ์แกก็แบ่งให้ลูกทุกคนเท่าๆ กัน ก็เป็นที่ปีติยินดีของบรรดาลูกๆ

ตัวแกเองนั้นเหลือไว้ส่วนตัวนิดเดียว เพราะลูกๆ บอกว่าจะช่วยกันเลี้ยงดูพ่อเอง

เบื้องแรกก็ไปอยู่กับครอบครัวลูกชายคนโต ใหม่ๆ ก็ดีอยู่ ลูกสะใภ้ก็เอาใจใส่ดูแลดี ต่อมาไม่นานลูกสะใภ้ก็ออกฤทธิ์ บอกสามีว่า คุณพ่อมีลูกตั้งหลายคน แล้วทำไมเราต้องมาดูแลท่านคนเดียว ให้คนอื่นเขารับผิดชอบบ้างสิ สามีก็ดุภรรยาว่าไม่ควรพูดหรือคิดอย่างนั้น ท่านเป็นบุพการี ภรรยาเถียงว่าบุพการีของคุณพี่สิ มิใช่ของฉันด้วย

สามีถูกภรรยายกเหตุผลโน้มน้าวจิตใจบ่อยๆ ชักเชื่อว่าตนถูกน้องๆ เอาเปรียบ ปล่อยให้พ่ออยู่ในความดูและของตนคนเดียว ในเมื่อได้รับส่วนแบ่งทรัพย์สินมาเท่าๆ กัน ก็ควรช่วยเลี้ยงดูพ่อบ้าง จึง “ไล่” ให้พ่อไปอยู่กับลูกคนรอง

ลูกคนรองเลี้ยงดูพ่อพักเดียว ถูกภรรยาล้างสมอง พลอยเชื่อตามด้วย เลยขับพ่อออกจากบ้าน พ่อก็ไปอาศัยอยู่กับลูกชายคนที่สาม คนที่สี่ นัยว่าแกมีลูกชายถึงสี่คน อยู่กับลูกชายคนเล็กไม่นาน ก็โดนไล่แบบเดียวกัน


พราหมณ์ต้องระเห็จระเหเร่ร่อนเพราะถูกลูกๆ ขับออกจากเรือน นอนกลางดินกินกลางทราย ได้รับทุกขเวทนาแสนสาหัส

ท้ายที่สุดก็ได้เข้าไปพึ่งพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ที่พระเชตวัน ดังได้กล่าวมาข้างต้น


พระพุทธองค์ตรัสสอนคาถาให้แก่พราหมณ์บทหนึ่ง สั่งให้ท่องให้คล่องปาก คาถานั้นมีความว่า

ข้าพเจ้าเพลิดเพลินด้วยบุตรเหล่าใด ปรารถนาความเจริญแก่บุตรเหล่าใด บุตรเหล่านั้นถูกภรรยายุยงไล่ข้าพเจ้าออกจากบ้านดุจสุนัขไล่กัดสุกร บุตรเหล่านั้นเป็นคนชั่วช้า เลวทราม ปากก็เรียกข้าพเจ้าว่า พ่อ พ่อ ที่แท้ก็คือยักษ์มารแฝงมาในร่างบุตรข้าพเจ้า

พวกมันทอดทิ้งข้าพเจ้าผู้แก่ผู้เฒ่าให้เที่ยวขอทานยังชีพ ดุจดังม้าแก่ที่ใช้งานไม่ได้ ถูกคนเลี้ยงไล่ไม่ให้กินอาหาร ฉะนั้น

ไม้เท้าของข้าพเจ้ายังดีกว่า ไอ้ลูกสารเลวที่ไม่เชื่อฟังพ่อแม่ เพราะไม้เท้ากันหมากัดได้ ใช้คลำทางในที่มืดได้ ใช้หยั่งน้ำลึกได้ ใช้พยุงกายลุกขึ้นเวลาก้าวพลาดล้มได้


พระองค์ตรัสว่า เมื่อใดพวกลูกๆ ของพราหมณ์ไปประชุมสภา ให้หาโอกาสเข้าไปถวายคาถานี้ในที่ประชุม ถึงวันประชุมสภา ซึ่งลูกๆ ของแกเข้าประชุมกันพร้อมหน้า พราหมณ์เฒ่าก็แต่งกายอย่างสะอาดสะอ้านเดินเข้าไปในที่ประชุม ขอโอกาสที่ประชุมกล่าว “อะไรบางอย่าง” ที่สำคัญมากให้ที่ประชุมฟัง เมื่อได้รับอนุญาตพราหมณ์ก็กล่าวคาถาที่ท่องจำมาจากพระพุทธองค์ด้วยเสียงดัง

ที่ประชุมเงียบกริบ เมื่อพราหมณ์กล่าวจบลง ก็มีเสียงอื้ออึงตำหนิลูกชายทั้งสี่ของพราหมณ์ บ้างก็ลุกขึ้นทำท่าจะประชาทัณฑ์พวกเขา เพราะผู้อกตัญญูต่อพ่อแม่ เป็นบุคคลที่รังเกียจของสังคม

ลูกชายทั้งสี่จึงเข้ากราบแทบเท้าพ่อ กล่าวขอโทษในความผิดของพวกตน อะไรเล่าที่เท่าน้ำใจอันประเสริฐของพ่อแม่ เมื่อลูกๆ สำนึกผิดกล่าวขอโทษ มีหรือจะไม่ยกโทษให้ พ่อลูกต่างกอดกันร่ำไห้ด้วยปีติโสมนัส

เสียงประชาชนแว่วเข้ามาว่า “ต่อแต่นี้ไป พวกท่านจงดูแลพ่อให้ดีนะ ไม่อย่างนั้นโดนเล่นงานแน่” ลูกชายทั้งสี่นำพ่อกลับบ้าน เฝ้าปรนนิบัติให้ความสุขสบายดังเช่นแต่ก่อน

พราหมณ์เฒ่า เมื่อได้รับความเอาใจใส่จากบรรดาลูกๆ เช่นเดิม ก็รำลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณของพระพุทธองค์ วันหนึ่งได้ผ้าเนื้อดีคู่หนึ่งจากลูกคนหนึ่ง จึงนำไปถวายพระพุทธองค์ กล่าวถวายว่า “ข้าแต่พระสมณโคดมผู้เจริญ ข้าพเจ้าเป็นพราหมณ์ ย่อมเคารพนับถืออาจารย์เป็นอย่างยิ่ง พระองค์นับว่าเป็นอาจารย์สอนคาถาให้แก่ข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงขอถวายผ้าแพรคู่นี้เป็นอาจริยบูชา ขอพระองค์ทรงรับเถิด”

พระพุทธองค์ทรงรับผ้าคู่นั้น แล้วแสดงธรรมโปรด ในที่สุดพระธรรมเทศนา พราหมณ์ได้ละความเชื่อถือเดิมของตน มอบตนเป็นสาวกของพระพุทธองค์ ประกาศถึงไตรสรณคมน์เป็นที่พึ่งตลอดชีวิต แล้วกราบทูลอาราธนาพระพุทธองค์ เสด็จไปเสวยภัตตาหารที่บ้าน

เหล่าลูกๆ ต่างก็ทำอย่างพ่อ คือ นิมนต์พระสงฆ์ มีพระพุทธเจ้าเป็นประธานไปฉันภัตตาหาร และสดับพระธรรมเทศนาที่บ้านตน กราบทูลว่า พวกเขาได้ดูแลพ่ออย่างดีแล้ว เดี๋ยวนี้พ่อของพวกเขาอ้วนท้วนดี มีอินทรีย์เปล่งปลั่ง

ซึ่งพระพุทธองค์ก็ตรัสอนุโมทนา และตรัสสอนว่า บัณฑิตแต่ปางก่อนทั้งหลาย กระทั่งปัจจุบันต่างก็สรรเสริญบุตรที่เลี้ยงดูบิดามารดา ขอให้พวกเขาดูแลพ่อของตนให้อยู่ดีมีสุขเถิด

พระพุทธองค์มิเพียงแต่ทรงอนุเคราะห์พราหมณ์เฒ่าเท่านั้น หากทรงแผ่พระกรุณาธิคุณไปยังบรรดาลูกๆ ของพราหมณ์เฒ่าด้วย



:b8: คัดมาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล

เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


=========================

:b45: อุบาสก ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46457


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 4 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร