วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 05:59  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 20 มิ.ย. 2015, 10:57 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


สามเณรปิโลติกะ
:: ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก

=========================

วันนี้ขอนำเอาสามเณรอดีตเด็กสลัมขอประทานโทษ เด็กชุมชนแออัดมาเล่าสู่กันฟัง เด็กคนนั้นชื่อเสียงเรียงไรไม่แจ้ง แต่ชาวบ้านเขาเรียก “ไอ้ผ้าเก่าขาด” หรือ “ไอ้ตูดขาด” เพราะแกนุ่งผ้าเก่าขาดวิ่นอยู่ผืนเดียว ก็มีอยู่แค่นี้นี่ครับ

วันๆ ก็ถือกะลาขอทานยังชีพ ได้อาหารการกินบ้าง อดบ้าง (อดเสียแหละส่วนมาก) ท่านพระอานนทเถระไปบิณฑบาต พบเด็กคนนี้เข้า ก็เกิดความสงสารตามประสาพระชอบเลี้ยงเด็ก

พระอานนท์เป็นคนรักเด็ก เห็นเด็กเร่ร่อนก็นึกสงสารแล้วเขาจะอดตาย จึงจับมาบวชและให้การศึกษาอบรมเป็นจำนวนมาก จนพระมหากัสสปะเถระท่านพูดกระเซ้าเวลาพบกัน ด้วยวาทะว่า “เจ้าเด็กน้อย”

พระอานนท์ถามเด็กมอมแมมคนนี้ว่า เจ้าอยู่อย่างนี้ลำบากเหลือเกินเจ้าบวชจะไม่ดีกว่าหรือ

เด็กน้อยถามว่า “ใครจะบวชให้ผมเล่าครับ”

“ฉันเอง” พระเถระพูด แล้วนำเขาไปวิหารอาบน้ำให้ด้วยมือท่านเอง ขัดคราบไคลออกหมดจนสะอาดสะอ้านแล้วให้กรรมฐานแล้วให้บวชเป็นสามเณร

พระเถระจับกางเกงขึ้นมาคลี่ดู ไม่เห็นว่าจะนำไปใช้อะไรได้ จึงเอาพาดกิ่งไม้ไว้

สามเณรน้อยได้รับการฝึกฝนอบรมจากพระอานนท์ เมื่ออายุครบบวชก็ได้อุปสมบทจากภิกษุสงฆ์ มีปัจจัยสี่ใช้สอยไม่ขาดแคลน เมื่ออยู่ดีกินดีขึ้นฉวีวรรณก็ผุดผ่องอ้วนท้วน มีน้ำมีนวลขึ้นแล้วก็ “กระสัน” ขึ้นมา

คำนี้ (กระสัน) เป็นภาษาพระ หมายถึงอยากสึกครับ ศัพท์บาลีว่า อุกฺกณฺฐิโต แปลตามศัพท์ว่า “ชูคอ” อาจารย์สอนบาลีท่านอธิบายว่า มีความรู้สึกว่า ผ้าเหลืองร้อน นั่งไม่เป็นสุข วันๆ ก็นั่ง “ชูคอ” หรือชะเง้อคอมองออกนอกกำแพงวัดว่า เมื่อไรฉันจะได้ออกไปสักทีหนาอะไรทำนองนี้

ไต้ ตามทาง น้องชายผมแกเล่าเรื่องคนหนีเมียไปบวชเป็นพระหลวงตาไว้ใน “สองทศวรรษในดงขมิ้น” อ่านแล้วเห็นภาพพระที่เกิดอาการ “ชูคอ” นี้เป็นอย่างดี นายคนหนึ่งทะเลาะกับเมียแล้วหนีไปบวช อุปัชฌาย์บวชเพราะต้องการประชดเมียมากกว่า ถือหนังสือปาติโมกข์เดินไปท่องอยู่ที่กำแพงวัด ตาก็ชำเลืองไปยังหลังคาบ้าน ท่อง “โย ปะนะภิกขุ โย ปะนะภิกขุ”

ข้างฝ่ายภรรยา ทีแรกนึกว่าสามีคงบวชไม่นาน เดี๋ยวก็สึก แต่ผ่านไปห้าวันแล้วยังไม่สึก จึงสั่งลูกชายไปบอกพ่อว่า จะขายควาย เมื่อลูกชายไปบอกหลวงพ่อ “หลวงพ่อ แม่บอกว่าจะขายควาย” หลวงพ่อก็ตอบทันทีว่า “ขายก็ขายไป ไม่ใช่ควายของกู โย ปะนะภิกขุ”

วันหลังลูกชายมาบอกตามาคำของแม่อีก “หลวงพ่อ แม่ว่าจะขายนา “ขายก็ขายไป ไม่ใช่นาของกู โย ปะนะภิกขุ...ไอ้แดงมึงอย่ามากวนใจกู กูจะท่องหนังสือ”

ไอ้แดงกลับไปรายงานแม่ คราวนี้แม่ปล่อยทีเด็ดกระซิบข้างหูลูกชาย ทันทีที่ลูกชายบอกว่า “หลวงพ่อ แม่ว่าจะเอาผัวใหม่ (คือแต่งงานใหม่นะครับ)” เท่านั้นแหละหลวงพ่อโยนหนังสือปาติโมกข์ทันที

“ไปบอกแม่มึง กูจะสึกวันนี้” (ฮิฮิ)

นี่แหละครับ ที่ท่านว่า “อุกฺกณฺฐิโต” แปลตามศัพท์ว่า “ชูคอ” หมายถึงอยากสึก

เมื่อ พระปิโลติกะ เธอเกิดความคิดอยากสึก เธอจึงกลับไปยังต้นไม้ต้นนั้น กางเกงตูดขาดยังอยู่ เธอจึงหยิบมันขึ้นมาตั้งใจจะนุ่งแล้วถือกะลาไปขอทานตามเดิม

ทันใดนั้นเธอก็ชะงัก กล่าวสอนตนเองว่า “ไอ้โง่เอ๊ย เอ็งชักไม่มียางอายเสียเลย เอ็งบวชมาแล้ว มีเครื่องนุ่งห่มอย่างดี มีอาหารอย่างดีกิน แล้วยังอยากจะกลับมานุ่งผ้าเก่าขาดเที่ยวขอทานอีกหรือ”

ให้โอวาทตนเองเสร็จ ก็นึกละอายใจ ตัดสินใจไม่สึก จะขอบวชอยู่ในพระศาสนาต่อไป จึงเอากางเกงตูดขาดแขวนกิ่งไม้ไว้เช่นเดิม

ว่ากันว่าพระคุณเจ้า “กางเกงตูดขาด” เทียวไล้เทียวขื่อไปยังต้นไม้นั้นจับกางเกงตูดขาดลูบคลำไปมา พลางให้โอวาทเตือนสติตนเอง แล้วก็ตัดสินใจไม่สึก ทำอย่างนี้ถึงสามครั้งสามครา เวลาพระอื่นถามว่าไปไหนก็บอกว่า “ผมจะไปสำนักอาจารย์”

สามสี่วันต่อมา เธอก็ได้บรรลุพระอรหัต ไม่ไปๆ มาๆ อีกต่อไป ภิกษุทั้งหลายจึงถามท่านว่า “ผู้มีอายุ เดี๋ยวนี้ท่านไม่ไปสำนักอาจารย์หรือ ทางนี้เป็นทางเที่ยวไปของท่านมิใช่หรือ”

เธอตอบว่า “ท่านทั้งหลาย เมื่อมีความเกี่ยวพันอยู่กับอาจารย์ ผมจึงไป แต่บัดนี้ผมตัดความเกี่ยวข้องกับอาจารย์หมดสิ้นแล้ว” เท่ากับบอกนัยว่าท่านได้บรรลุพระอรหัตแล้ว

เหล่าภิกษุไม่พอใจ หาว่าท่านปิโลติกะ (พระกางเกงตูดขาด) อวดอ้างว่าบรรลุพระอรหัต จึงพากันไปกราบทูลพระพุทธองค์ให้ทรงทราบ


พระพุทธเจ้าเมื่อทรงสดับคำกล่าวหาของภิกษุทั้งหลายแล้ว จึงตรัสว่าถูกแล้ว ภิกษุทั้งหลาย บุตรของเราเมื่อมีความเกี่ยวข้องอยู่ จึงไปสำนักอาจารย์ บัดนี้เธอได้ตัดความเกี่ยวข้องนั้นแล้ว เธอได้บรรลุพระอรหัตแล้ว

จากนั้นพระพุทธองค์ ได้ตรัสคาถาดังต่อไปนี้


“คนที่หักห้ามใจจากความคิดอกุศลด้วยหิริ มีน้อยคนในโลกผู้ที่ไม่เห็นแก่นอน ตื่นอยู่เสมอ เหมือนมีม้าดีคอยหลบแส้ของสารถีหาได้ยาก

เธอทั้งหลายจงพากเพียร มีความสังเวช (สลดใจในความบกพร่องของตนเองแล้วเร่งพัฒนาตน) เหมือนม้าดี ถูกเขาหวดด้วยแส้แล้วเร่งฝีเท้าขึ้นฉะนั้น

เธอทั้งหลายจงศรัทธา (เชื่อมั่นในสิ่งที่ดี) มีศีล (พระพฤติดีงาม) มีวิริยะ (ความพากเพียร) มีสมาธิ (ความตั้งใจมั่น) และพรั่งพร้อมด้วยการวินิจฉัยธรรม มีความรู้และความประพฤติดี มีสติมั่นคง ปฏิบัติตนได้ดังนี้ จักละทุกข์ได้ไม่น้อยเลย”


“พระกางเกงตูดขาด” อดีตเด็กสลัมมีหิริหักห้ามความคิดอกุศล มีความเพียร พยายามแก้ไขตนเอง สอนตนเองอยู่ตลอดเวลา ในที่สุดท่านก็ได้บรรลุเป้าหมายสูงสุดแห่งพรหมจรรย์

กางเกงตูดขาดตัวนั้น ได้เป็น “อาจารย์” ของท่าน คือเป็นเครื่องเตือนสติให้ท่านมีฉันทะอยู่ในพระศาสนาจนได้เป็นพระอรหันต์ด้วยประการนี้


:b8: :b8: :b8: คัดลอกมาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


=========================

:b45: สามเณร ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46459


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 27 ก.พ. 2019, 14:22 
 
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 ก.ย. 2013, 07:16
โพสต์: 2374

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


onion


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร