วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 19:53  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 23 พ.ค. 2022, 08:25 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

ตปุสสะ ภัลลิกะ
อุบาสกคู่แรกในพระพุทธศาสนา
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก
:b50: :b49: :b50:

ในพระพุทธศาสนานั้น มีอุบาสกคนแรกอยู่ชุดแรก คือ สองพ่อค้าจากอุกกลชนบท นามว่า ตปุสสะ และภัลลิกะ

ชุดที่สอง คือ บิดามารดาของยสะ เฉพาะตปุสสะ และภัลลิกะ เรียกว่าเป็น “เทวฺวาจิกอุบาสก” (อุบาสกเปล่งวาจาถึงรัตนะสองเป็นสรณะ)

ทำไมต้องถึงเพียงสองรัตนะ ก็เพราะตอนนั้นพระพุทธเจ้ายังมิได้ออกไปประกาศพระพุทธศาสนา มีแต่พระพุทธ และพระธรรม พระสงฆ์สาวก (อริยสงฆ์) ยังไม่มี สองพ่อค้านี้จึงได้มีโอกาสนับถือเพียงสองรัตนะ

สองพ่อค้านี้มาจากไหน พระคัมภีร์กล่าวว่า หลังจากพระพุทธองค์ตรัสรู้แล้ว ทรงยังกาลเวลาให้ล่วงไปภายใต้ต้นโพธิ์ ๗ วัน เสวยวิมุตติสุข จากนั้นในสัปดาห์ที่สองก็ไปประทับอยู่ที่ใต้ต้นไทร (อชปาลนิโครธ) ๗ วัน จากนั้นก็ไปประทับใต้ต้นจิก (มุจลินท์) และต้นเกด (ราชายตนะ) แห่งละ ๗ วัน

พระไตรปิฎกกล่าวว่า พระพุทธเจ้าประทับเสวยวิมุตติสุขใต้ต้นโพธิ์ และต้นไม้อื่นๆ ในปริมณฑล เพียง ๔ สัปดาห์เท่านั้น แต่อรรถกถาเพิ่มเข้ามาอีก ๓ สัปดาห์ (โดยไม่ทราบจุดประสงค์)


ขณะนั้นพ่อค้าสองคนนาม ตปุสสะ และภัลลิกะ เดินทางมาจากอุกกลชนบท ว่ากันว่าเทวดาที่เคยเป็นญาติสายโลหิตกันในชาติปางก่อน มาดลใจให้เข้าไปหาพระพุทธเจ้า

ทั้งสองคนเข้าไปเฝ้าพระพุทธเจ้าขณะประทับอยู่ใต้ต้นราชายตนะ ได้น้อมนำเอาข้าวสัตตุผง (มันถะ) และสัตตุก้อน (มธุบิณฑิกา) ไปถวาย กล่าวว่า “ขอพระผู้มีพระภาคจงทรงรับสัตตุผงและสัตตุก้อน เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุขแก่ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองตลอดกาลนานเทอญ”

พุทธประวัติเขียนว่า “ข้าวสัตตุก้อนและสัตตุผง” คือสัตตุก้อนมาก่อน สัตตุผงมาทีหลัง (แต่ผมดูศัพท์แล้ว คำว่า มันถะ น่าจะเป็นสัตตุผง มธุบิณฑิกา น่าจะเป็นสัตตุก้อน จึงแปลว่า “สัตตุผงและสัตตุก้อน”)

ขณะนั้นพระพุทธองค์ทรงดำริว่า เราจะรับสัตตุผงและสัตตุก้อนอย่างไรหนอ (พระพุทธองค์ไม่มีบาตร) ทันใดนั้น ท้าวมหาราชทั้งสี่รู้พระปริวิตกของพระพุทธองค์ ต่างก็นำบาตรศิลาเข้าไปถวาย บาตรมีถึง ๔ ลูก จะทำอย่างไรล่ะทีนี้

พระองค์จึงทรงอธิษฐานประสานบาตรทั้ง ๔ ลูกให้เป็นลูกเดียว ทรงรับสัตตุผงและสัตตุก้อนจากพ่อค้าทั้งสอง แล้วเสวยข้าวสัตตุผงและสัตตุก้อนนั้น

พ่อค้าทั้งสองนั้นได้กล่าวขอถึงรัตนะสองเป็นสรณะว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองขอถึงพระผู้มีพระภาคและพระธรรมว่าเป็นสรณะ ขอพระองค์จงทรงจำข้าพระพุทธเจ้าทั้งสองว่าเป็นอุบาสก ผู้เปล่งวาจาถึงรัตนะสองตั้งแต่วันนี้จนตลอดชีวิตเถิด”

ข้อความจากพระไตรปิฎก (วินัยมหาวรรค ๔/๖/๕-๖) มีเท่านี้ มีข้อความที่ควรหาความรู้เพิ่มเติม ก็คือพ่อค้าสองคนนี้เป็นใคร อุกกลชนบทนั้นอยู่ที่ไหน และสิ่งที่ถวายนั้นคืออะไรแน่ ก็เห็นจะต้องหาความสว่างจากคัมภีร์อรรถกถา

ลองเปิดอรรถกถาดู ก็ได้ความเพียงว่า สองพ่อค้านี้เป็นพี่น้องกัน (ภาตโร) มาจาก “อุกกลชนบท” ไม่บอกต่อว่าอยู่ส่วนไหนของชมพูทวีป กำลังเดินทางไปมัชฌิมประเทศ (ส่วนกลางของชมพูทวีป) เพื่อค้าขาย และสิ่งของที่ถวายท่านอธิบายนิดหน่อยว่า สัตตุที่ไม่จับเป็นก้อน กับสัตตุที่จับกันเป็นก้อน โดยผสมกับเนยใส น้ำผึ้ง และน้ำอ้อย เป็นต้น

จริงอย่างผมเดา มันถะ คือ สัตตุผง มธุบัณฑิกา คือ สัตตุก้อน

น่าสนใจเข้าไปอีกก็คือ อรรถกถาได้เพิ่มเติมข้อมูลว่า พ่อค้าสองคนพี่น้องกราบทูลถามพระพุทธองค์ว่า จากนี้ไปพวกเขาจะกราบไหว้และลุกรับพระพุทธองค์โดยวิธีใด พูดง่ายๆ ว่าจะได้อะไรเป็นที่เคารพสักการะเมื่อจากพระองค์ไปแล้ว

พระพุทธองค์ทรงเอาพระหัตถ์ลูบพระเศียร เส้นพระเกศา (ไม่บอกว่ากี่เส้น) หลุดติดพระหัตถ์มา พระองค์ประทานพระเกศานั้นให้แก่สองพี่น้อง ตรัสว่า เธอทั้งสองจงรักษาไว้ให้ดี ทั้งสองได้พระเกศาธาตุนั้นแล้ว ดีใจดังถูกรดด้วยน้ำอมฤต กราบถวายบังคมลาพระพุทธองค์ หลีกไป


ข้อความในอรรถกถามีเพียงเท่านี้ สรุปว่า ตปุสสะ และ ภัลลิกะ ได้เป็นอุบาสกคู่แรกที่สมาทานพระพุทธองค์และพระธรรมเป็นสรณะ อันเรียกว่า “เทวฺวาจิกอุบาสก” นั้นแล

ยังครับ ยังไม่จบ คัมภีร์พม่าแต่งต่อ ให้ข้อมูลเพิ่มอีก ส่วนท่านผู้อ่านจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็แล้วแต่ดุลยพินิจของท่านนะครับ อย่าไปว่าพม่าเขาว่า “ขี้ตู่” เพราะไทยเราขี้ตู่ในบางเรื่องเหมือนกัน (เดี๋ยวจะเล่าให้ฟัง)

พม่าแต่งต่อว่า สองพี่น้องนั้นเป็นชาวพม่า เดินทางมาจากหงสาวดีไปค้าขายที่ชมพูทวีป ได้ถวายสัตตุผง สัตตุก้อนแก่พระพุทธองค์ และได้รับประทานพระเกศาเป็นธาตุที่ระลึก ทั้งสองได้นำไปสร้างเจดีย์บรรจุไว้บูชาพระเจดีย์นั้น ชื่อว่า “ชเวดากอง” ว่ากันอย่างนั้น

ส่วนที่ว่าไทยเราก็ตู่บางเรื่องเหมือนกัน คือตอนพญานาคปลอมมาบวชถูกจับได้ว่าเป็นสัตว์เดียรฉาน พระพุทธองค์รับสั่งให้สึก เพราะเพศบรรพชิตไม่เหมาะแก่สัตว์เดียรฉาน พระคัมภีร์พูดแค่นี้ แต่คัมภีร์ไทยก็มาแต่งเพิ่มว่า ไหนๆ ก็ไม่มีโอกาสบวชต่อไปแล้ว ขอฝากชื่อไว้ในพระศาสนาด้วยเถิด ต่อไปใครมาบวชก็ขอให้เรียกผู้จะบวชนั้นว่า “นาค” เถิด พระเจ้าข้า ว่ากันว่าพระพุทธองค์ทรงรับคำของพญานาค

ด้วยเหตุนี้แล เราจึงเรียกคนที่จะบวชว่า “นาค” ว่าอย่างนั้น เห็นไหมพี่ไทยก็จอมต่อเติมเหมือนกัน



:b8: :b8: :b8: คัดเนื้อหามาจาก...หนังสือ พุทธสาวก พุทธสาวิกา
ประมวลประวัติพระเถระพระเถรี อุบาสกอุบาสิกาสมัยพุทธกาล
เรียบเรียงโดยศาสตราจารย์พิเศษ เสฐียรพงษ์ วรรณปก ราชบัณฑิต


:b50: :b49: :b50:

:b47: :b47: อุบาสก ในสมัยพุทธกาล
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=46457

:b44: เทฺววาจิกอุบาสก :
อุบาสกผู้ถึงรัตนะสองคู่แรกในพระพุทธศาสนา

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=49315

:b44: สัตตมหาสถาน
สถานที่เสวยวิมุติสุขที่ยิ่งใหญ่ ๗ แห่ง

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=39332


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 พ.ค. 2022, 10:49 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 3 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร