ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระเขมาเถรี http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=26796 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 08 พ.ย. 2009, 15:35 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระเขมาเถรี |
พระเขมาเถรี เอตทัคคะอัครสาวิกาฝ่ายขวาในทางผู้มีปัญญา พระเขมาเถรี เกิดในราชสกุล กรุงสาคละ แคว้นมัททะ พระประยูรญาติได้ให้พระนามว่า “ เขมา ” เพราะนางมีผิวพรรณเลื่อมเรื่อดังสีทอง เมื่อเจริญพระชันษาแล้ว ได้อภิเษกเป็นมเหสีพระเจ้าพิมพิสารแห่งนครราชคฤห์ เมื่อพระบรมศาสดาประทับอยู่ ณ พระวิหารเวฬุวัน ใกล้กรุงราชคฤห์นั้นพระนางได้สดับข่าวว่า พระพุทธองค์ทรงแสดงโทษในรูปสมบัติและเพราะความที่พระนางเป็นผู้หลงมัวเมาในรูปโฉมของตนเอง จึงไม่กล้าไปเข้าเฝ้าพระทศพลด้วยเกรงว่าพระพุทธองค์จะแสดงโทษในรูปโฉมของพระนาง หลงอุบายถูกหลอกให้ไปวัด ฝ่ายพระเจ้าพิมพิสาร ก็ทรงดำริว่า “ เราเป็นอัครอุปฏฐากของพระศาสดาแต่อัครมเหสี ของอริยสาวกเช่นเรานี้กลับไม่ไปเฝ้าพระทศพล ข้อนี้เราไม่ชอบใจเลย ” ดังนั้น พระองค์จึงคิดหาอุบายด้วยการให้พวกนักกวีผู้ฉลาด แต่งบทกวีประพันธ์ถึงคุณสมบัติความงามของพระวิหารเวฬุวันราชอุทยานแล้ว รับสั่งให้นำไปขับร้องใกล้ ๆ ที่พระนางเขมาเทวีประทับ เพื่อให้ทรงสดับบทประพันธ์นั้น พระนาง ได้สดับคำพรรณนาความงดงามของพระราชอุทยานแล้ว ก็มีพระประสงค์จะเสด็จไปชม จึงเข้าไปกราบทูลพระราชาผู้สามี ซึ่งท้าวเธอก็ทรงยินดีให้เสด็จไปตามพระประสงค์ เมื่อพระนางได้เสด็จชมพระราชอุทยานจนสิ้นวันแล้วใคร่เสด็จกลับ พวกราชบุรุษทั้งหลายได้นำพระนางไปยังสำนักของพระบรมศาสดาทั้ง ๆ ที่พระนางไม่พอพระทัยเลย พระบรมศาสดาทอดพระเนตรเห็นพระนางกำลังเสด็จมา จึงทรงเนรมิตนางเทพอัปสรนางหนึ่ง ซึ่งกำลังถือพัดก้านใบตาลถวายงานพัดให้พระองค์อยู่เบื้องหลัง พระนางเขมาเทวี เห็นนางเทพอัปสรนั้นแล้วถึงกับตกพระทัยดำริว่า “ แย่แล้วสิเรา สตรีที่งามปานเทพอัปสรเห็นปานนี้ยืนอยู่ใกล้ ๆ พระทศพล แม้เราจะเป็นปริจาริกา หญิงรับใช้ของนาง ก็ยังไม่คู่ควรเลย เพราะเหตุไร เราจึงเป็นผู้ตกอยู่ในอำนาจจิตคิดชั่วหลงมัวเมาอยู่ในรูปเช่นนี้หนอ ” พระนางยืนทอดพระเนตรเพ่งดูสตรีนั้นอยู่ ในขณะนั้นเอง พระบรมศาสดา ได้ทรงอธิษฐานให้สตรีนั้นมีสรีระเปลี่ยนแปลงล่วงเลยปฐมวัยย่างเข้าสู่มัชฌิมวัย ล่วงมัชฌิมวัยแล้วย่างเข้าสู่ปัจฉิมวัย เป็นผู้มีหนังเหี่ยวย่น ผมหงอกฟันหัก แก่หง่อมแล้วล้มลงกลิ้งพร้อมกับพัดใบตาลนั้น พระนางเขมาเทวี ได้ทอดพระเนตรเห็นรูปสตรีนั้นโดยตลอดแล้ว จึงดำริว่า “ สรีระที่สวยงามเห็นปานนี้ยังถึงกับความวิบัติอย่างนี้ได้ แม้สรีระของเราก็จักมีคติเป็นไปอย่างนี้เหมือนกัน ” ขณะที่พระนางกำลังมีพระดำริอย่างนี้อยู่นั้น พระพุทธองค์ได้ตรัสพระคาถาภาษิตว่า “ ชนเหล่าใดถูกราคะย้อมแล้ว ย่อมตกไปในกระแสราคะ เหมือนแมลงมุมตกไปในข่ายใยที่ตนทำเอง เมื่อชนเหล่านั้นตัดกระแสนั้นได้ โดยไม่มีเยื่อใยแล้ว ละกามสุขเสียได้ ย่อมออกบวช ” เมื่อจบพระพุทธดำรัสคาถาภาษิตแล้ว พระนางเขมาเทวี ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย ในอิริยาบทที่ประทับยืนนั้นเอง พระอรหันต์ฆราวาสเป็นได้ไม่นาน ธรรมดาผู้อยู่ครองเรือน เมื่อบรรลุพระอรหัตแล้วจำต้องปรินิพพานหรือไม่ก็บวชเสียในวันนั้น เพราะเพศฆรวาสไม่สามารถจะรองรับความเป็นพระอรหันต์ได้ แต่พระนางรู้ว่าอายุสังขารของตนยังเป็นไปได้ จึงเสด็จกลับพระราชนิเวศน์เพื่อให้พระเจ้าพิมพิสารพระสวามีทรงอนุญาตการบวชก่อน แม้พระราชาก็ทรงทราบโดยสัญญาณคืออาการที่พระนางแสดงว่าบรรลุอริยธรรมแล้ว ทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่ง ให้พระนางประทับบนวอทองแล้วนำไปอุปสมบทในสำนักของภิกษุณีสงฆ์ เมื่อพระนางบวชแล้วได้นามว่า “ พระเขมาเถรี ” เพราะอาศัยเหตุที่พระนางมีปัญญามาก บรรลุพระอรหัตผลทั้ง ๆ ที่อยู่ในเพศฆราวาส พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่อมเธอไว้ในตำเหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีทั้งหลายในฝ่าย ผู้มีปัญญา และทรงแต่งตั้งให้เป็น อัครสาวิกาฝ่ายขวา..... วิชชา ความรู้แจ้ง , ความรู้วิเศษ มี ๘ คือ ๑. วิปัสสนาญาณ ญาณอันนับเข้าในวิปัสสนา ๒. มโนมยิทธิ ฤทธิ์ทางใจ ๓. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่าง ๆ ได้ ๔. ทิพพโสต หูทิพย์ ๕. เจโตปริยญาณ รู้จักกำหนดใจผู้อื่นได้ ๖. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติได้ ๗. ทิพพจักขุ ตาทิพย์ ( จุตูปปตาญาณ) ๘. อาสวักขยญาณ รู้จักทำอาสวะให้สิ้น |
เจ้าของ: | เจ้านาง [ 08 พ.ย. 2009, 15:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระเขมาเถรี |
:b8: สาธุค่ะคุณวรานนท์
|
เจ้าของ: | วรานนท์ [ 08 พ.ย. 2009, 22:08 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: พระเขมาเถรี |
สาธุครับคุณเจ้านาง |
เจ้าของ: | nateay [ 20 ก.ย. 2011, 18:33 ] | ||
หัวข้อกระทู้: | Re: พระเขมาเถรี | ||
สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปคะ
|
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |