ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

พระโสณาเถรี
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=71&t=26757
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  วรานนท์ [ 06 พ.ย. 2009, 20:39 ]
หัวข้อกระทู้:  พระโสณาเถรี

พระโสณาเถรี
เอตทัคคะในฝ่ายผู้ปรารภความเพียร

:b44: :b44:

พระโสณาเถรี เกิดในตระกูลเศรษฐีฝนเมืองสาวัตถีได้ชื่อว่า “โสณา” เมื่อเจริญวัยแล้วได้มีคู่ครองที่มีฐานะเสมอกัน อยู่ร่วมกันมามีบุตร ๗ คน มีธิดา ๗ คน

จากเศรษฐีเป็นอนาถา

เมื่อบุตรธิดาทั้งหลายเจริญวัยแล้วได้แต่งงานมีคู่ครองเรือนแยกย้ายกันออกไปอยู่ตามลำพัง ต่างก็มีฐานะความเป็นอยู่สุขสบายตามสมควรแก่อัตภาพฆรวาสวิวัย ต่อมาสามีของนางถึงแก่กรรมลง นางได้ปกครองดูแลทรัพย์สมบัติทั้งหมดโดยยังมิได้จัดสรรแบ่งปันให้แก่บุตรธิดาเลย และต่อมา บุตรธิดาเหล่านั้นได้พากันมาพูดกับนางบ่อยๆ ว่า “คุณแม่ บิดาของพวกข้าพเจ้าก็ตายไปแล้ว ทรัพย์สมบัติเหล่านี้แม่จะเก็บเอาไว้ทำไม หรือแม่แกรงว่าพวกเราทั้ง ๑๔ คนนี้จะเลี้ยงแม่ไม่ได้”

นางโสณาได้ฟังคำของลูกๆ มาพูดกับอยู่บ่อยๆ ก็คิดว่า “เมื่อเราแบ่งทรัพย์สมบัติให้แล้ว ลูกๆ ก็คงจะเลี้ยงดูเราให้มีความสุขได้ ไม่ต้องลำบาก”

เมื่อคิดอย่างนี้แล้ว นางก็แบ่งทรัพย์สมบัติให้แก่ลูกชายหญิงทั้ง ๑๔ คนๆ ล่ะเท่าๆ กันแล้วนางก็ไปอยู่อาศัยกับลูกคนโต เมื่อไปอยู่ใหม่ๆ ก็ได้รับการปฏิบัติ ดูแลอย่างดี แต่เมื่อนานไปลูกสะใภ้ก็เริ่มมีความรังเกียจ พูดจาเสียดสีขึ้นวันละเล็กวันละน้อย พร้อมทั้งไปยุแหย่ให้สามีรังเกียจแม่ของตนเอง เมื่อพูดบ่อยๆ เข้า สามีก็เห็นคล้อยตามด้วย จนกระทั้งวันหนึ่ง ลูกสะใภ้ได้พูดกับนางว่า

“คุณแม่ ความจริงแม่ก็มีลูกชายหญิงตั้งหลายคน ทรัพย์สมบัติทั้งหลายแม่ก็แบ่งให้เท่าๆ กัน มิใช่ว่าฉันจะได้ ๒ ส่วนมากกว่าคนอื่นๆ แต่ทำไมแม่จึงมาอยู่กินแต่ที่บ้านฉันคนเดียว แม่ไม่รู้จักทางไปบ้านลูกคนอื่นเลยหรือ ?”

ไร้ที่พึ่งพาจึงออกบวช

นางโสณา ได้ฟังคำของลูกสะใภ้แล้ว อีกทั้งลูกชายก็ดูท่าทีคล้อยตามภรรยาของตน นางจึงจำใจห่อของใช้ส่วนตัวไปอาศัยลูกคนต่อๆ ไป และเหตุการณ์ก็เป็นทำนองเดียวกัน นางไม่สามารถจะพึ่งพาอาศัยลูกชายและลูกหญิงทั้ง ๑๔ คนนั้นได้ จึงคิดว่า “จะมีประโยชน์อะไรกับการอาศัยลูกเหล่านี้เราไปบวชเป็นภิกษณีจะดีกว่า”

นางโสณา ได้ไปยังสำนักภิกษุณีสงฆ์ ขอบรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุณีเพราะความที่นางเป็นผู้มีลูกมากจึงได้ชื่อว่า “พหปุตติกาเถรี” นางเองก็คิดว่า “เราบวชในวัยชรา ไม่ควรที่จะอยู่ด้วยความประมาท” จึงได้ช่วยนางภิกษุณีทั้งหลายทำวัตรปฏิบัติตามกิจของภิกษุณีสงฆ์ แต่เพราะความเป็นผู้บวชใหม่ และอยู่ในวัยชราจึงทำกิจบกพร้อง นางภิกษุณีทั้งหลายจึงกระทำทัณฑกรรมลงโทษแก่เธอโดยให้เธอทำหน้าที่ ต้มน้ำอุ่นให้ภิกษุณีทั้งหลายสรงทั้งเช้า-เย็นเป็นประจำ บุตรธิดาของเธอได้มาเห็น ก็พากันพูดจาเยาะเย้ยจนเธอรู้สึกสลดใจ

วันหนึ่ง พระโสณาเถรี ได้ไปหาฟืนและตักน้ำมาไว้ในโรงครัว แต่ยังมิได้ก่อไฟ พระเถรีก็คิดว่า “เราไม่ควรประมาท ควรจะอาศัยเวลาและสถานที่อันสงบสงัดนี้ บำเพ็ญสมณธรรมทั้งหลางวันและกลางคืน” คิดดังนี้แล้วได้พิจารณาอาการ ๓๒ ท่องบ่นภาวนาไป เดินจงกรมไปโดยยึดเสาโรงครัวเป็นเเกนกลางเดินบนรอบสำรวมจิตเจริญวิปัสสนา

สำเร็จอรหันต์แสดงอภินิหาริย์

ขณะนั้น สมเด็จพระบรมศาสดาประทับอยู่ในพระคันธกุฏิ ทรงทราบด้วยพระญาณ จึงทรงเปล่งพระโอภาสรัศมีปานประหนึ่งว่าประทับอยู่ตรงหน้าพระเถรีนั้นแล้วตรัสสอนว่า

“ดูก่อนพหุปุตติกา ชีวิตความเป็นอยู่เพียงวันเดียวครู่เดียว ของผู้ที่เห็นธรรมอันสูงสุดที่เราได้แสดงแล้ว ดีกว่าประเสริฐกว่าชีวิตเป็นอยู่ตั้ง ๑๐๐ ปี ของผู้ไม่เห็นธรรม”

พอสิ้นพุทธดำรัสพระเถรีก็ได้บรรลุพระอรหัตผลพร้อมด้วยปฏิสัมภิทาทั้งหลาย และเมื่อสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว จึงคิดว่า “เมื่อภิกษุณีเหล่านั้นมาเพื่อต้องการน้ำอุ่น พอเห็นเราแล้วไม่ทันได้ใคร่ครวญ ก็จะพูดล่วงเกินดูหมิ่นเราเหมือนก่อน ก็จะได้รับบาปกรรมอันหนัก เราควรจะทำอะไรพอเป็นที่สังเกตุให้พวกเขากำหนดรู้สักอย่างหนึ่ง” แล้วนางก็ยกภาชนะต้มน้ำขึ้นตั้งบนเตาไฟ แต่มิได้ก่อไฟเพียงแต่ใสฟืนเข้าไว้ เมื่อนางภิกษุณีทั้งหลายมาที่โรงครัว เพื่อนำน้ำอุ่นไปสรง เห็นมีแต่ภาชนะต้มน้ำอยู่จนเตาไฟแต่ไม่เห็นไฟ จึงกล่าวว่า

“พวกเราบอกหญิงแก่คนนี้ต้มน้ำถวายภิกษุณีเพื่อนำไปสรง จนบัดนี้นางยังไม่ได้ใส่ไฟในเตาเลย ไม่ทราบว่านางมัวทำอะไรอยู่” พระโสณาเถรี จึงกล่าวว่า “ข้าแต่แม่เจ้า ถ้าท่านทั้งหลายต้องการน้ำอุ่นไปสรง ก็จงตักเอาจากภาชนะนั้นเถิด” แล้วพระเถรีก็อธิษฐานเตโชธาตุทำให้น้ำนั้นอุ่นขึ้นทันที

ภิกษุณีทั้งหลายได้ฟังคำของนางแล้วก็คิดว่า “คงจะมีเหตุการณ์อย่างใดอย่างหนึ่งเป็นแน่” จึงทดลองใช้มือจุ่มลงในภาชนะ ก็ทราบว่าเป็นน้ำอุ่น จึงตักเอาไปสรงทั่วกัน แต่ว่าตักสักเท่าใด น้ำก็ยังปรากฏเต็มภาชนะอยู่เช่นเดิม ภิกษุณีทั้งหลายจึงทราบแน่ชัดว่า “พระเถรีนี้ สำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้ว” ต่างก็พากันตกใจ

นางภิกษุณีผู้มีวัยอ่อนกว่า ก็ก้มลงกราบแทบเท้ากล่าวขอขมาโทษว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้า พวกข้าพเจ้าได้พูดจาดูหมิ่นล่วงเกินท่าน เพราะความเขลาเบาปัญญามิได้พิจารณาให้รอบคอบตลอดกาลนานมาแล้ว ขอพระแม่เจ้าจงเมตตาอดโทษแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด”

ส่วนนางภิกษุณี ผู้มีวัยแก่กว่าก็นั่งกระหย่อง (นั่งคุกเข่า) กล่าวขอขมาให้อดโทษให้เช่นกัน โดยขอขมาโทษด้วยคำว่า “ข้าแต่พระแม่เจ้าพวกข้าพเจ้าได้พูดจาดูหมิ่นล่วงเกินท่าน โดยมิได้พิจารณาให้รอบคอบตลอดกาลมานานแล้วขอท่าน จงเมตตาอดโทษแก่พวกข้าพเจ้าด้วยเถิด”

ได้รับการยกย่องเป็นเลิศทางความเพียร

ตั้งแต่นั้นมา คุณงามความดีของพระโสณาเถรี ก็ปรากฏเป็นที่ทราบกันไปทั่ว “พระเถรี ผู้แม้บวชในเวลาแก่เฒ่า ก็ยังดำรงอยู่ในพระอรหัตผลได้ในเวลาไม่นาน เพราะอาศัยความเป็นผู้ปรารภความเพียรไม่เกียจคร้าน”

พระบรมศาสดา ขณะประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร เมื่อทรงสถาปนาภิกษุณีทั้งหลาย ในตำแหน่งต่างๆ ตามลำดับแล้ว อาศัยความเป็นผู้ปรารภความเพียร ขยัน ไม่เกียจคร้านของพระเถรีนี้ จึงได้ทรงสถาปนาพระนางโสณาเถรี นี้ไว้ในตำแหน่งเอตคัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุณีสาวิกาทั้งหลายในฝ่ายผู้ปรารภความเพียร

อภิญญา ปัญญาเป็นเครื่องรู้ยิ่ง มี ๖ อย่างคือ
๑. อิทธิวิธิ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้
๒. ทิพพโสต หูทิพย์
๓. เจโตปริยญาณ ญาณที่ให้ทายใจคนอื่นได้
๔. ปุพเพนิวาสานุสสติ ญาณที่ทำให้ระลึกชาติได้
๕. ทิพย์จักขุ ตาทิพย์
๖. อาสวักขยญาณ ญาณที่ทำให้อาสวะสิ้นไป
(๕ อย่างแรกเป็นโลกิอภิญญา ข้อสุดท้ายเป็นโลกุตตรอภิญญา)


:b8: :b8: :b8:

หนังสือ เอตทัคคะในพระพุทธศาสนา
พระครูกัลยาณสิทธิวัฒน์ (สมาน พรหมอยู่/กัลยาณธัมโม)
พิมพ์ครั้งที่ ๒ พ.ศ.๒๕๔๔

เจ้าของ:  Supatorn [ 14 มิ.ย. 2011, 04:06 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: พระโสณาเถรี

อนุโมทนาสาธุๆๆๆ ขอบพระคุณค่ะ :b8: :b8: :b8:

เจ้าของ:  nateay [ 20 ก.ย. 2011, 17:34 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: พระโสณาเถรี

สาธุ สาธุ สาธุ อนุโมทนามิ
ขอให้เจริญในธรรมยิ่งๆ ขึ้นไปคะ


ไฟล์แนป:
567.jpg
567.jpg [ 33.53 KiB | เปิดดู 2994 ครั้ง ]

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/