วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 15:28  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง




กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 21 พ.ค. 2022, 10:49 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


ผู้ละเมิด “ปาราชิก” คนแรก
ศ.(พิเศษ) เสฐียรพงษ์ วรรณปก


อาบัติปาราชิก (อาบัติขั้นอุกฤษฏ์) มี 4 ประเภท
ได้แก่ การเสพเมถุน การลักทรัพย์ การฆ่ามนุษย์
และการอวดอุตริมนุสสธรรม (การอวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน)


รูปภาพ

พระสุทิน กลันทบุตร
ผู้ละเมิดปฐมปาราชิกคนแรก (การเสพเมถุน)

ผู้ละเมิดพระวินัยขั้นอุกฤษฏ์ชนิดที่ขาดจากความเป็นพระเลยเรียกว่า “ปาราชิก” มีอยู่ 4 ประเภทคือ เสพเมถุน, ลักทรัพย์, ฆ่ามนุษย์ และอวดอุตริมนุสสธรรม (อวดคุณวิเศษที่ไม่มีในตน) เป็นเรื่องน่าสนใจสำหรับผู้เริ่มศึกษาพระพุทธศาสนา

จึงขอนำมาเล่าให้ฟังตามลำดับ


ท่านผู้ละเมิดปฐมปาราชิกมีนามว่า พระสุทิน กลันทบุตร ท่านเป็นบุตรเศรษฐีเมืองราชคฤห์ วันหนึ่งไปฟังธรรมจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมสหาย มีความเลื่อมใสใคร่อยากบวช จึงทูลขอบวช

เข้าไปขออนุญาตบิดามารดา แต่ไม่ได้รับอนุญาต จึงอดข้าวประท้วง ไม่กินข้าวกินปลาหลายวัน บิดามารดาของสุทินกลัวว่าลูกจะอดข้าวตาย จึงขอร้องให้เพื่อนๆ ของสุทินช่วยเกลี้ยกล่อมใหม่ให้เลิกคิดบวชเสีย


เพื่อนๆ ต่างก็พยายามเกลี้ยกล่อมให้เลิกคิดบวชก็ไม่สำเร็จ จึงบอกบิดามารดาของสุทินว่า “คุณพ่อคุณแม่ไม่ต้องวิตกดอก สุทินเธอเป็นคนสุขุมาลชาติ เมื่อบวชเข้าจริงคงทนความลำบากไม่ไหว ไม่นานก็คงกลับมาเองแหละ”

บิดามารดาจึงอนุญาตให้บุตรชายบวช คิดว่าไม่นานเธอก็คงสึกมาตามที่เพื่อนๆ คาด

แต่ผิดคาดครับ พระสุทินหลังจากบวชแล้วไม่นาน ก็ทูลขอกรรมฐานจากพระพุทธเจ้าแล้วเข้าป่าหาความสงบวิเวกตามลำพัง หายจ้อยไปแล้ว ไม่กลับเข้าเมือง

และไม่มายังบ้านโยมบิดามารดาเลย

กาลล่วงเลยไปหลายปี วันหนึ่งพระภิกษุหนุ่มกลับเข้ามาในเมืองกำลังเที่ยวภิกขาจารยอยู่ เห็นสาวใช้บ้านของตนเองกำลังจะเอาขนมที่เริ่มบูดมาทิ้ง จึงกล่าวว่า “น้องหญิง ถ้าเจ้าจะทิ้ง เอามาใส่บาตรอาตมาเถอะ”

นางจะเอาขนมใส่บาตร พอแหงนหน้าขึ้นมาเท่านั้น ก็จำได้รีบวิ่งไปบอกนายว่า “นายขา คุณผู้ชายกลับมาแล้ว กำลังเดินขอทานอยู่”

บิดามารดาของพระหนุ่มได้ยินดังนั้น ก็ดีใจที่ลูกกลับมา แต่เสียใจที่ลูกชายเที่ยว “ขอทาน” ทำไมหนอลูกเราจึงทำขายหน้าวงศ์ตระกูลปานฉะนี้ จึงให้คนไปนิมนต์มาคฤหาสน์ ต่อว่าต่อขานพักใหญ่ หาว่าทรัพย์สินเงินทองก็มีมากมาย ทำไมลูกถึงได้เดินขอทานตามถนน ทำให้พ่อแม่ขายหน้า

ภิกษุหนุ่มกล่าวว่า “นี้เป็นการบิณฑบาตตามวัตรจริยาของสมณศากยบุตร มิใช่เป็นการขอทาน หากแต่เป็นการโปรดสัตว์”

“เอาเถอะๆ แล้วไป ว่าแต่ว่าลูกลาสิกขามาดูแลทรัพย์สมบัติของเราเถิด พ่อแม่ไม่มีใครสืบสกุลแล้ว”

“อาตมายังยินดีในการประพฤติพรหมจรรย์อยู่ ไม่อยากลาสิกขา” พระหนุ่มยืนยัน บิดามารดาอ้อนวอนอย่างไร เธอก็ยืนกรานว่าไม่ลาสิกขาเป็นอันขาด

บิดาจึงสั่งให้คนขนกหาปณะจากคลังมากองจนท่วมศีรษะแล้วกล่าวว่า “ลูกดูสิ ทรัพย์มากมายเหล่านี้ใครจะดูแล เมื่อไม่มีพ่อและแม่แล้ว”

พระลูกชายกล่าวว่า “ถ้ายุ่งยาก หาคนดูแลไม่ได้ โยมพ่อและโยมแม่ขนไปทิ้งทะเลเสียเถอะ”

คำพูดช่างเชือดเฉือนใจเสียนี่กระไร มารดาได้ร้องไห้คร่ำครวญอย่างน่าสงสาร

พระหนุ่มคงยังนั่งสงบตามลักษณะของสมณะแท้จริง

ทันใดนั้นโยมมารดานึกอะไรขึ้นมาได้ จึงกล่าวกับพระลูกชายว่า “ถ้าลูกไม่สึกก็ไม่เป็นไร พ่อแม่ขอ “หน่อ” ไว้สักหน่อจะได้ไหม”

“ได้ เจริญพร” พระหนุ่มคิดว่าคงไม่ผิดอะไร ดีเสียอีกเมื่อพ่อแม่มี “หน่อ” ไว้สืบสกุลแล้วจะได้ไม่มารบเร้าให้ตนสละเพศบรรพชิตอีก จึงหันไปกล่าวกับอดีตภรรยาว่า “น้องหญิงพร้อมเมื่อไหร่บอกอาตมาด้วย” (เป็นที่รู้กันว่า “พร้อม” ในที่นี้คืออะไร)


ต่อมาเมื่อนาง “พร้อมแล้ว” จึงแจ้งแก่พระหนุ่มอดีตสามี พระหนุ่มก็จูงมืออดีตภรรยาเข้าละเมาะ พระคัมภีร์ว่า “ได้จัดการ” เพื่อให้อดีตภรรยาได้หน่อ (ทำอย่างไร ก็รู้กันดีอยู่แล้วมิใช่เรอะ) ผู้รวบรวมพระคัมภีร์ท่านมีอารมณ์ขัน ท่านกล่าวว่า “พระสุทินกระทำซ้ำถึงสามครั้งเพื่อให้แน่ใจว่าติดแน่” (ว่าอย่างนั้น)

และก็ติดจริงๆ หลังจากนั้นนางก็ตั้งครรภ์คลอดลูกออกมาเป็นชาย ปู่ย่าจึงขนานนามว่า “เด็กชายพีชกะ (พืช หรือหน่อ) ประชาชนรู้เรื่องก็พากันโพนทนากันให้แซ่ดว่า พระสมณศากยบุตร ไหนว่าบวชประพฤติพรหมจรรย์ ยังมาเสพเมถุนจนมีลูกมีเต้าน่าอับอายขายหน้าแท้”

เรื่องรู้ถึงพระพุทธองค์ พระองค์ทรงเรียกพระสุทินมาสอบสวนท่ามกลางสงฆ์ เธอรับเป็นสัตย์จริง จึงทรงตำหนิว่า ทำการไม่เหมาะสมไม่ก่อให้เกิดความเลื่อมใสแก่ผู้ที่ยังไม่เลื่อมใส และบั่นทอนความเลื่อมใสของผู้ที่เลื่อมใสอยู่แล้ว

จึงทรงบัญญัติสิกขาบทว่า “ต่อแต่นี้ไปห้ามภิกษุเสพเมถุน ภิกษุใดเสพเมถุน ภิกษุนั้นขาดจากความเป็นภิกษุ ถูกขับออกจากหมู่ทันที”

พระสุทินจึงนับเป็นภิกษุรูปแรกที่ทำผิดขั้นอุกฤษฏ์ถึงขั้นมีเพศสัมพันธ์กับสตรี ทำให้ต้องอาบัติปาราชิก ขาดจากความเป็นพระทันที

แต่เนื่องจากเธอเป็นผู้กระทำผิดคนแรก พระพุทธองค์จึงไม่ให้สึก ให้เธอเป็น “อาทิกัมมิกะ” (ต้นบัญญัติ) คล้ายกับว่าให้เป็นที่อ้างอิงในทางชั่ว สำหรับยกมาเตือนพระภิกษุอื่นๆ ในภายหลังว่าให้ตั้งใจประพฤติพรหมจรรย์อย่างเคร่งครัดนะ อย่าทำผิดถึงขั้นเสพเมถุนเหมือนพระสุทินอะไรประมาณนั้น

ความเป็นจริงให้เธอสึกหาลาเพศไปรักษาศีลบำเพ็ญทานในเพศฆราวาสเสียจะดีกว่า เมื่อเธอมิได้สึก เธอก็มีแต่ความเศร้าหมองจิตไปจนสิ้นชีวิต ไม่มีโอกาสงอกงามในคุณธรรมอีกเลย เพราะเธอได้ “ขุดรากถอนโคนตนเองเสียแล้ว”


:b49: :b50: :b49:

๏ เรื่องพระสุทิน ?
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=30&t=30120

๏ ภิกษุเสพเมถุน ต้องปาราชิก (หลวงปู่จันทา ถาวโร)
หนังสือ พระวินัย ๒๒๗ เทศน์ภาคปฏิบัติ

http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=55925

:b49: :b50: :b49:

:b8: :b8: :b8: ที่มา ---------> http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=55410


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 พ.ค. 2022, 20:05 
 
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 17 ก.ย. 2012, 15:32
โพสต์: 2863


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 2 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร