ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
พระปิลินทวัจฉเถระ (อานิสงส์การถวายไทยทานชนิดต่างๆ) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=70&t=49233 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 18 ม.ค. 2015, 20:16 ] |
หัวข้อกระทู้: | พระปิลินทวัจฉเถระ (อานิสงส์การถวายไทยทานชนิดต่างๆ) |
พระปิลินทวัจฉเถระ
เอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดา "พระปิลินทวัจฉะ" นั้นเป็นผู้มีความสามารถแสดงธรรมแก่เทพยดาทั้งหลาย ด้วยในอดีตชาติท่านกับสหายเป็นจำนวนมากได้รักษาศีลปฏิบัติธรรมร่วมกัน เมื่อตายแล้วได้ไปเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ ส่วนตัวท่านเมื่อสิ้นบุญจากสวรรค์แล้วได้จุติลงมาเกิดในอัตภาพนี้ ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์เหล่าเทพยดาทั้งหลายผู้เป็นอดีตสหาย ก็พากันลงมาอาราธนาให้ท่านแสดงธรรมให้ฟัง จนทำให้ท่านเป็นที่รักใคร่ของเทพยดาทั้งหลายเหล่านั้น ด้วยเหตุนี้ พระบรมศาสดาจึงทรงยกย่องท่านในตำแหน่งเอตทัคคะ เป็นผู้เลิศกว่าภิกษุทั้งหลาย ในทางผู้เป็นที่รักใคร่ของเทพยดาฯ ในอดีตกาลพระเถระองค์นี้ได้เคยบำเพ็ญกุศลมาแล้วในพระพุทธเจ้าองค์ก่อนๆ ได้สั่งสมบุญอันเป็นอุปนิสัยแห่งพระนิพพานไว้เป็นอันมากในภพนั้น ในกัปที่แสนนับถอยไปจากภัทรกัปนี้ ในกาลแห่งพระผู้มีพระภาคเจ้า พระนามว่า ปทุมุตตระ ท่านได้บังเกิดในตระกูลนายประตูในหังสวดีนคร เป็นคฤหบดีได้มีทรัพย์มาก มีโภคสมบัติมาก ท่านได้แลดูกองทรัพย์สมบัติที่สั่งสมไว้เป็นจำนวนโกฏิแล้ว จึงไปนั่งอยู่คนเดียวในปราสาท คิดว่า ควรจะใช้ทรัพย์ทั้งหมดนี้ ในทางที่ถูกที่ควรก่อนที่จะตายไป ดังนี้แล้ว จึงตกลงใจว่า ท่านจักถวายทานในสงฆ์อันเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุด ทานอันประเสริฐที่ใครยังไม่เคยถวาย ท่านจักถวายเป็นคนแรก ท่านคิดที่จะถวายทานหลายวิธี จึงได้เห็นว่าการถวายเครื่องบริขาร จะเป็นเครื่องทำความดำริของท่านให้เต็ม ท่านจักถวายบริขารในสงฆ์ อันมีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข อันเป็นหมู่คณะที่ประเสริฐสุด อ่านประวัติของ "พระปิลินทวัจฉเถระ" เอตทัคคะในทางผู้เป็นที่รักของเทวดา ต่อได้ที่ http://www.dhammajak.net/board/viewtopic.php?t=7564 ปิลินทวรรคที่ ๔๐ ปิลินทวัจฉเถราปทานที่ ๑ (๓๙๑) (ผลแห่งการถวายไทยทานอันสมควร) พระไตรปิฎก เล่มที่ ๓๒ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๔ บรรทัดที่ ๗๙๒๕-๘๒๘๗. หน้าที่ ๓๖๕-๓๗๘. http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0 ในครั้งนั้น ไทยทานที่ท่านพระเถระจัดหามาถวาย อีกทั้งถวายภัตตาหารแด่ภิกษุสงฆ์ อันมีประพุทธเจ้าเป็นประมุข ได้แก่ - ฉัตรหนึ่งแสนคัน - รวบรวมดอกไม้ต่างๆ ได้แก่ ดอกบัวเผื่อน ดอกบัวหลวง ดอกมะลิ ดอกลำดวน ดอกจำปา ดอกกถินพิมาน เอามาทำมณฑปดอกไม้ - อาสนะอันมีค่า ปูลาดไว้ใต้เงาฉัตร - ผ้าหนึ่งแสนผืน - มีด (โกน), พร้า, เข็ม และมีดสำหรับตัดเล็บอันสมควร - พัดใบตาล, พัดขนปีกนกยูง, พัดจามร - ผ้ากรองน้ำ และภาชนะน้ำมัน - กล่องเข็ม - ผ้าอังสะ - ประคตเอว - เชิงรองบาตรที่ทำอย่างสวยงาม - เภสัชใส่ในภาชนะสำหรับใส่ของบริโภค และในขันสำริดให้เต็มแล้วให้วางไว้ภายใต้ฉัตร - ใส่ว่านน้ำ, หญ้าคา, ชะเอม, ดีปลี, พริก, ผลสมอ และขิงสด ให้เต็มในภาชนะทุกๆอย่าง - รองเท้า, เขียงเท้า - ผ้าสำหรับเช็ดน้ำ - ไม้เท้าคนแก่ (ให้ทำอย่างสวยงาม) - ยารักษาไข้, ยาหยอดตา, ไม้ป้ายยาตา - ธรรมกุตตรา กุญแจ และกล่องกุญแจอันเย็บด้วยด้าย ทำสี - สายโยค (สายโยก, สายรัด ใช้กับถุงต่างๆ เช่น ที่ประกอบกับถุงบาตรแปลกันว่าสายโยกบาตร) - กล้องเป่าควันไฟ - ตะเกียงตั้ง - คนโทน้ำและผอบ - คีม กรรไกร - ผ้าสำหรับเช็ดสนิมและถุงสำหรับเภสัช - เก้าอี้นอน, ตั่ง, บัลลังก์อันมีเท้าสี่ให้สมควรแล้วให้ตั้งไว้ภายใต้ฉัตร - ฟูกยัดด้วยนุ่น ฟูกนั่ง และหมอนให้ทำอย่างดี - กุรุวินเท (ทับทิม) มธุสิตฺเถ (ขี้ผึ้ง) - เตี่ยงพร้อมด้วยเครื่องลาด เสนาสนะ - ผ้าสำหรับเช็ดเท้า - ที่นอน, ที่นั่ง - ไม้เท้า ไม้ชำระฟัน (แปรงฟัน) - กระเบื้อง - ของหอมสำหรับไล้ทาศีรษะ - ไม้สีไฟ ดั่งแผ่นกระดาน - ฝาบาตร ถุงบาตร กระบวยตักน้ำ - เครื่องอบ (สีผงย้อมผ้า) - รางย้อมผ้า - ไม้กวาด - ผ้าอาบน้ำ, ผ้าอาบน้ำฝน - ผ้านิสีทนะ - ผ้าปิดฝี - ผ้าอันตรวาสก - ผ้าอุตราสงค์* - ผ้าสังฆาฏิ - ยานัตถุ์ - ผ้าเช็ดหน้า - น้ำส้ม, น้ำปลา, น้ำผึ้ง, นมส้ม, น้ำปานะ, ขี้ผึ้ง - ผ้าเก่า, ผ้าเช็ดปาก - ด้าย - และสิ่งใดชื่อว่าเป็นของควรให้ทานมีอยู่ และสมควรแก่พระศาสดาก็รวบรวมไว้หมด *([อุดตะรา] น. จีวรสําหรับห่ม.- ผ้าไตรจีวร คือ ผ้า ๓ ผืน หมายถึง ผ้าของภิกษุ ได้แก่ อันตรวาสก (สบง), อุตราสงค์ (จีวร) และสังฆาฏิ (ผ้าทาบ) |
เจ้าของ: | Hanako [ 18 ม.ค. 2015, 21:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อานิสงส์การถวายไทยทานชนิดต่างๆ (พระปิลินทวัจฉเถระ) |
ผลแห่งไทยทานอันเลิศชนิดต่างๆ
"พระพุทธเจ้าประทับนั่งอยู่ในมณฑปดอกไม้ตลอด ๗ คืน ๗ วัน ทรงยังสัตว์เป็นอันมากให้ตรัสรู้ ทรงประกาศพระธรรมจักร เมื่อทรงประกาศพระธรรมจักรภายใต้มณฑปดอกไม้ ธรรมาภิสมัยได้มีแก่เทวดาและมนุษย์ ๘๔๐๐๐ เมื่อถึงวันที่ ๗ พระมหามุนี พระนามว่า ปทุมุตระ ประทับนั่งอยู่ภายในเงาฉัตร ได้ตรัสพระคาถาเหล่านี้ว่า มาณพผู้ใดได้ถวายทานอันประเสริฐ ไม่พร่องแก่เรา เราจักพยากรณ์มาณพนั้น ท่านทั้งหลาย จงฟังเรากล่าว" - จตุรงคินีเสนา คือ พลช้าง พลม้า พลรถ และพลเดินเท้า จักแวดล้อมมาณพนั้นเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการให้สิ่งทั้งปวง ยานช้าง ยานม้า วอจะไหลมาเทมา ชนทั้งหลายจักบำรุงมาณพนั้นเนืองนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการให้สิ่งทั้งปวง - รถ ๖ หมื่น อันประดับด้วยเครื่องอลังการทั้งปวง จักแวดล้อมมาณพนั้นเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการให้สิ่งทั้งปวง - ดนตรี ๖ หมื่น กลองเภรีทั้งหลายอันประดับดีแล้ว จักประโคมมาณพนั้นเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการให้สิ่งทั้งปวง - นางนารี ๘๖๐๐๐ อันประดับประดาสวยงาม มีผ้าและอาภรณ์อย่างวิจิตร สวมใส่แก้วมณีและกุณฑล มีหน้าแฉล้ม ยิ้มแย้ม ตะโพกผึ่งผาย เอวเล็กเอวบาง จักแวดล้อมมาณพนั้นเป็นนิตย์ นี้เป็นผลแห่งการให้สิ่งทั้งปวง - มาณพนั้นจักรื่นรมย์อยู่ในเทวโลกตลอด ๓ หมื่นกัลป จักได้เป็นจอมเทวดาเสวยรัชสมบัติในเทวโลก ๑๐๐๐ ครั้ง และจักได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิราช ๑๐๐๐ ครั้ง จักได้เป็นพระเจ้าประเทศราชอันไพบูลย์ โดยคณนานับมิได้ - เมื่อมาณพนี้อยู่ในเทวโลก พรั่งพร้อมด้วยบุญกรรม เทวดาจักทรงฉัตรแก้วไว้ในที่สุดแห่งเทวโลก มาณพนี้จักปรารถนาเมื่อใด ฉัตรอันเกิดแต่ผ้าและดอกไม้ (ดังจะ) รู้จิตของมาณพนี้ จักกั้นอยู่เนืองนิตย์เมื่อนั้น - มาณพนี้ จุติจากเทวโลกแล้ว อันกุศลตักเตือนประกอบด้วยบุญกรรม จักเกิดเป็นบุตรพราหมณ์ใน (อีก) แสนกัลป พระศาสดามีพระนามว่า "โคดม" ซึ่งมีสมภพ ในวงศ์พระเจ้าโอกกากราชจักเสด็จอุบัติในโลก พระศากยโคดมผู้ประเสริฐ ทรงทราบคุณข้อนี้ทั้งหมดแล้ว จักประทับนั่งในท่ามกลางภิกษุสงฆ์ ทรงตั้งไว้ในเอตทัคสถาน มาณพผู้นี้จักได้เป็นพระสาวกของพระศาสดา มีชื่อว่า "ปิลินทวัจฉะ" จักเป็นผู้อันเทวดา อสูร คนธรรพ์ ภิกษุ ภิกษุณี และคฤหัสถ์ทั้งหลายสักการะ จักเป็นที่รักของคนทั้งปวง จักไม่มีอาสวะ นิพพาน กรรมที่เราทำแล้วในแสนกัลป ได้ให้ผลแก่เราแล้วในภพนี้ เราหลุดพ้นดี ดังกำลังลูกศร เผากิเลสทั้งหลายแล้ว (เรา คือ พระเถระ) โอ กุศลกรรม เราได้ทำแล้ว ในบุญเขตอันยอดเยี่ยม อันเป็นฐานะที่เราทำกุศลกรรมแล้ว ได้บรรลุบทอันไม่หวั่นไหว ก็มาณพใดได้ให้ทานอันประเสริฐไม่บกพร่อง มาณพนั้นได้เป็นหัวหน้า นี้เป็นผลแห่งทานนั้น ถวายฉัตร - เราได้ถวายฉัตรในพระสุคตเจ้าและในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ได้เสวยอานิสงส์ ๘ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราไม่รู้สึกหนาว ๑ ไม่รู้สึกร้อน ๑ ละอองและธุลีไม่แปดเปื้อน ๑ เราเป็นผู้ไม่มีอันตราย ๑ ไม่มี จัญไร ๑ อันมหาชนยำเกรงทุกเมื่อ ๑ เป็นผู้มีผิวพรรณละเอียด ๑ เป็นผู้มีใจกว้างขวาง (ไม่หดหู่) ๑ เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ ฉัตรหนึ่งแสนคัน อันประกอบด้วยเครื่องประดับทุกอย่าง เว้นชาตินี้แล้ว ทรงไว้เหนือศีรษะของเรา เพราะผลแห่งกรรมนั้น เพราะฉะนั้นในชาตินี้ การทรงฉัตรจึงไม่มีแก่เรา กรรมทั้งปวงที่เราทำแล้ว เพราะผลบุญแห่งฉัตรหลุดพ้นไป ถวายผ้า เราได้ถวายผ้าในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๘ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีผิวพรรณเปล่งปลั่งดังทอง ๑ ปราศจากธุลี ๑ มีรัศมีผ่องใส ๑ มีเดช ๑ ตัวของเราละเอียดอ่อน ๑ เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ มีผ้าสีขาวแสนผืน ๑สีเหลืองแสนผืน ๑ สีแดงแสนผืน ๑ ทรงอยู่เหนือศีรษะของเรา นี้เป็นผลแห่งการถวายผ้า เราย่อมได้ผ้าไหม ผ้ากัมพล ผ้าป่าน และผ้าฝ้ายในที่ทุกแห่ง เพราะผลอันหลั่งออกแห่งการถวายผ้านั้น ถวายบาตร เราได้ถวายบาตรในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๑๐ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมบริโภคโภชนาหารในภาชนะทองคำ ภาชนะแก้วมณี ภาชนะเงิน และภาชนะที่ทำด้วยทับทิมในกาลทั้งปวง ๑ เราเป็นผู้ไม่มีอันตราย ๑ ไม่มีจัญไร ๑ มหาชนยำเกรงทุกเมื่อ ๑ เป็นผู้ได้ข้าว น้ำ ผ้า และที่นอน เป็นปกติ ๑ โภคสมบัติของเราไม่พินาศ ๑ เราเป็นผู้มีจิตมั่นคง ๑ เป็นผู้ใคร่ธรรมทุกเมื่อ ๑ เป็นผู้ไม่มีกิเลส ๑ ไม่มีอาสวะ ๑ คุณเหล่านี้ ติดตามเราไปทั้งในเทวโลกและมนุษยโลก ย่อมไม่ละเราในที่ทุกแห่ง เปรียบเหมือนเงาไม่ละรูป ฉะนั้น ถวายมีดโกน เราได้ถวายมีดโกนที่ทำอย่างสวยงาม อันเนื่องด้วยเครื่องผูกอย่างวิจิตรมากมาย แก่พระพุทธเจ้าผู้ประเสริฐสุดและแก่พระสงฆ์แล้ว ย่อมได้เสวย อานิสงส์ ๘ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้กล้า ๑ เป็นผู้ไม่มีความเดือดร้อน ๑ ถึงที่สุดในเวสารัชธรรม ๑ เป็นผู้มีธิติ ๑ มีความเพียร ๑ มีใจอันประคองไว้ทุกเมื่อ ๑ ย่อมได้ญาณอันสุขุมเครื่องตัดกิเลส ๑ ความบริสุทธิ์อันชั่งไม่ได้ ๑ ในที่ทั้งปวง เพราะผลอันหลั่งออกแห่งกรรมของเรานั้น ถวายพร้าอันราบเรียบ เรามีจิตเลื่อมใสได้ถวายพร้าอันราบเรียบ ไม่หยาบ ไม่ต้องขัดถู เป็นอันมาก ในพระพุทธเจ้าและในสงฆ์แล้ว ย่อมได้ เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมได้ความเพียรอันเป็นกัลยาณมิตร ๑ ขันติ ๑ ศาตราคือความไมตรี ๑ ศาตราคือปัญญาอันยิ่งเพราะตัดลูกศรคือตัณหา ๑ ญาณอันเสมอด้วยแก้ววิเชียร ๑ เพราะผลอันหลั่งออกแห่งกรรมเหล่านั้น ถวายเข็ม เราได้ถวายเข็มในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการอันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยใหญ่ ย่อมเป็นผู้อันมหาชนนอบน้อม ๑ ตัดความสงสัยได้ ๑ มีรูปงาม ๑ มีโภคสมบัติ ๑ มีปัญญากล้า ๑ ทุกเมื่อ เราพิจารณาเห็นอรรถอันเป็นฐานะละเอียดลึกซึ้ง ด้วยญาณ ญาณของเราเสมอด้วยแก้ววิเชียรอันเลิศ เป็นเครื่องกำจัดความมืด ถวายมีดตัดเล็บ เราได้ถวายมีดตัดเล็บในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมได้ทาสชายหญิง วัวและม้า ลูกจ้าง คนฟ้อนรำ ช่างตัดผม พ่อครัวผู้ทำอาหารเป็นอันมากในที่ทั้งปวง ถวายพัด เราได้ถวายพัดใบตาลอันงามในพระสุคตเจ้าแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมไม่รู้สึกหนาว ๑ ร้อน ๑ ความเร่าร้อนไม่มีแก่เรา ๑ ไม่รู้สึกความกระวนกระวาย ๑ ไม่รู้สึกความเดือดร้อนจิตของเรา ๑ เราดับไฟ คือ ราคะ โทสะ โมหะ มานะ ทิฏฐิ และไฟทั้งปวงได้แล้ว เพราะผลอันหลั่งออกแห่งกรรมนั้นของเรา ถวายพัดจามรี เราได้ถวายพัดจามรี มีขนนกยูงเป็นด้าม ในคณะสงฆ์ผู้สูงสุดแล้ว ย่อมเป็นผู้มีกิเลสสงบระงับ ไม่มีกิเลสเครื่องยั่วยวนอยู่ ถวายผ้ากรองน้ำและธรรมกุตตระ เราได้ถวายผ้ากรองน้ำและธรรมกุตตระ ในพระสุคตเจ้าแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรม ของเรา คือ เราก้าวล่วงอันตรายทั้งปวง ๑ ย่อมได้อายุอันเป็นทิพย์ ๑ เป็นผู้อันโจรหรือข้าศึกไม่ข่มขี่ในกาลทุกเมื่อ ๑ ศาตราหรือยาพิษย่อมไม่ทำความเบียดเบียนเรา ๑ ไม่มีความตายในระหว่าง ๑ เพราะผลอันหลั่งออก แห่งกรรมนั้นของเรา ถวายภาชนะน้ำมัน เราได้ถวายภาชนะน้ำมันในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีรูปสวยงาม ๑ มีความเจริญดี ๑ มีใจ เบิกบานดี ๑ มีใจไม่ฟุ้งซ่าน ๑ เป็นผู้อันอารักขาทั้งปวงรักษาแล้ว ๑ ถวายกล่องเข็ม เราได้ถวายกล่องเข็มในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมได้คุณทั้งหลายนี้ คือ ความสุขใจ ๑ ความสุขกาย ๑ ความสุขเกิดแต่อิริยาบถ ๑ เพราะผลอันหลั่งออกแห่งกรรมนั้น ถวายผ้าอังสะ เราได้ถวายผ้าอังสะในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๔ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมได้ความหนักในพระสัทธรรม ๑ ย่อมระลึกถึงภพที่สองได้ ๑ เป็นผู้มีฉวีวรรณงามในที่ทั้งปวง ๑ เพราะผลอันหลั่งออกแห่งกรรมนั้น ถวายผ้าประคตเอว เราได้ถวายประคตเอวในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๖ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมไม่หวั่นไหวในสมาธิ ๑ เป็นผู้มีความชำนาญในสมาธิ ๑ มีบริษัทไม่แตกกัน ๑ มีถ้อยคำอันมหาชนเชื่อถือทุกเมื่อ ๑ มีสติตั้งมั่น ๑ ความสะดุ้งกลัวไม่มีแก่เรา ๑ คุณเหล่านี้ ติดตามเราไปทั้งในเทวโลกและมนุษยโลก ถวายเชิงรองบาตร เราได้ถวายเชิงรองบาตรในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมเป็นผู้ไม่มีภัยในเพราะวรรณะ ๕ ไม่หวั่นไหวด้วยอะไรๆ ธรรมเหล่าใดเหล่าหนึ่ง อันเป็นเครื่องตรัสรู้ญาณด้วยสติ เราฟังแล้ว ธรรมที่เราทรงไว้ย่อมไม่พินาศ เป็นอันวินิจฉัยดีแล้ว ถวายภาชนะและเครื่องบริโภค เราได้ถวายภาชนะ และเครื่องบริโภค ในพระพุทธเจ้าและในคณะสงฆ์ผู้อุดมแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมได้ภาชนะทองคำ ภาชนะแก้วมณี ภาชนะแก้วผลึก และภาชนะแก้วทับทิม ๑ ภริยา คนใช้ชายหญิง พลช้าง พลม้า พลรถ พลเดินเท้าและหญิง มีวัตร ยำเกรงนาย ๑ ได้เครื่องบริโภคทุกเวลา ๑ วิชาในบทมนต์ และในอาคมต่างๆ เป็นอันมาก เราย่อมใคร่ครวญศิลปะทั้งปวง ใช้ได้ทุกเวลา ถวายขัน เราได้ถวายขันในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมได้ขันทองคำ ขันแก้วมณี ขันแก้วผลึก และขันแก้วทับทิม ย่อมได้ขัน อสฺสฏเก ผลมเย อโถ โปกฺขรปตฺตเก มธุปานกสงฺเข จ ย่อมได้คุณเหล่านี้ คือ ข้อปฏิบัติในวัตรอันงามในอาจาระและกิริยา เพราะผลอันหลั่งออกแห่งกรรมนั้น ถวายเภสัช เราได้ถวายเภสัชในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๑๐ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีอายุยืน ๑ มีกำลัง ๑ มีปัญญา ๑ มีวรรณะ ๑ มียศ ๑ มีสุข ๑ ไม่มีอันตราย ๑ ไม่มีจัญไร ๑ มหาชนยำเกรงทุกเมื่อ ๑ เราไม่มีความพลัดพรากจากของที่รัก ๑ เพราะกรรมนั้นให้ผลแก่เรา ถวายรองเท้า เราได้ถวายรองเท้าในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ ยานช้าง ยานม้า วอ ย่อมไหลมาเทมา ๑ รถ ๖ หมื่นคันแวดล้อมเราทุกเมื่อ ๑ เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ รองเท้าแก้วมณี รองเท้าทองแดง รองเท้าทองคำ รองเท้าเงิน ย่อมเกิดขึ้นในขณะที่ยกเท้าขึ้น ๑ บุญกรรมทั้งหลายย่อมช่วยชำระอาจารคุณให้สะอาด แน่นอน เราย่อมได้คุณเหล่านี้ เพราะกรรมนั้นให้ผล ถวายเขียงเท้า เราได้ถวายเขียงเท้าในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ได้สวมเขียงเท้ามีฤทธิ์แล้วอยู่ได้ตามปรารถนา ถวายผ้าเช็ดหน้า เราได้ถวายผ้าเช็ดหน้าในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีผิวพรรณดุจทองคำปราศจากธุลี ๑ มีรัศมีผ่องใส ๑ มีเดช ๑ ตัวของเราละเอียดอ่อน ๑ ฝุ่นละอองไม่ติดตัวเรา ๑ เราได้คุณเหล่านี้เพราะกรรมนั้นให้ผล ถวายไม้เท้า เราได้ถวายไม้เท้าคนแก่ในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้อานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เรามีบุตรมาก ๑ เราไม่มีความสะดุ้งกลัว ๑ เป็นผู้อันอารักขาทุกอย่างรักษาไว้ ใครๆข่มขี่ไม่ได้ทุกเมื่อ ๑ ย่อมไม่รู้สึกความพลั้งพลาด ๑ ใจของเราไม่ขลาดกลัว ๑ ถวายยาหยอดตา เราได้ถวายยาหยอดตาในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๘ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีนัยน์ตากว้างใหญ่ ๑ โลหิตของเราขาว ๑ เหลือง ๑ เป็นผู้มีนัยน์ตาไม่มัว ๑ มีนัยน์ตาแจ่มใส ๑ เว้นจากโรคตาทั้งปวง ๑ ย่อมได้ตาทิพย์ ๑ ได้ปัญญาจักษุอันสูงสุด ๑ เราได้คุณเหล่านี้เพราะกรรมนั้นให้ผล ถวายลูกกุญแจ, เรือนกุญแจ เราได้ถวายลูกกุญแจในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้ ลูกกุญแจ คือ ญาณอันเป็นเครื่องเปิดทวารธรรม เราได้ถวายเรือนกุญแจในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๒ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ เป็นผู้มีความโกรธน้อย ๑ ไม่มีความคับแค้น ๑ ถวายสายโยค เราได้ถวายสายโยคในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมไม่หวั่นไหวในสมาธิ ๑ มีความชำนาญในสมาธิ ๑ มีบริษัทไม่แตกกัน ๑ มีถ้อยคำอันมหาชนเชื่อถือทุกเมื่อ ๑ โภคสมบัติย่อมเกิดแก่เรา เมื่อท่องเที่ยวอยู่ในภพ ๑ ถวายกล้องเป่าควัน เราได้ถวายกล้องเป่าควัน ในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ สติของเราเป็นธรรมชาติตรง ๑ เส้นเอ็นของเราต่อเนื่องกันดี ๑ เราย่อมได้ตาทิพย์ ๑ เพราะกรรมนั้นให้ผล ถวายตะเกียงตั้ง เราได้ถวายตะเกียงตั้งในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๓ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีสกุล ๑ มีอวัยสมบูรณ์ ๑ มีปัญญาอันพระพุทธเจ้าสรรเสริญ ๑ เราได้คุณเหล่านี้เพราะกรรมนั้นให้ผล ถวายคนโทน้ำและผอบ เราได้ถวายคนโทน้ำและผอบในพระพุทธเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้อุดมแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๑๐ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ ในกาลนั้น เราได้เป็นผู้คุ้มครองแล้ว ๑ พร้อมพรั่งด้วยสุข ๑ มียศมาก ๑ มีคติ ๑ มีตัวอันจำแนกไป ๑ เป็นสุขุมาลชาติ ๑ เว้นจากอันตรายทั้งปวง ๑ เป็นผู้ได้คุณอันไพบูลย์ ๑ หวั่นไหวด้วยความนับถือ ๑ มีความหวาดเสียวอันเว้นดีแล้ว ๑ เพราะการถวายคนโทน้ำและผอบ เราได้วรรณะ ๔ ช้าง แก้วและม้าแก้ว คุณของเราเหล่านั้นไม่พินาศ ผลนี้ เพราะถวายคนโทน้ำและผอบ ถวาย หตฺถลีลงฺคเก เราได้ถวาย หตฺถลีลงฺคเก ในพระพุทธเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้อุดมแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของของเรา คือ เราเป็นผู้ถึงพร้อมด้วยลักษณะทั้งปวง ๑ มีอายุยืน ๑ มีปัญญา ๑ จิตมั่นคง ๑ กายของเราพ้นแล้ว จากความยากลำบากทุกอย่างในกาลทั้งปวง ๑ ถวายมีดบางลับคมดีและกรรไกร เราได้ถวายมีดบางอันลับคมดีและกรรไกรในสงฆ์แล้ว ย่อมได้ญาณเป็นเครื่องตัดกิเลส อันหาน้ำหนักมิได้ สะอาด ถวายคีม เราได้ถวายคีมพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้ญาณเป็นเครื่องถอนกิเลสอันหาน้ำหนักมิได้ สะอาด เราได้ถวายยานัตถุ์ในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๘ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ ศรัทธา ๑ ศีล ๑ หิริ ๑ โอตตัปปะ ๑ สุตะ ๑ จาคะ ๑ ขันติ ๑ และปัญญาเป็นคุณข้อที่ ๘ ของเรา ถวายตั่ง (นั่ง) เราได้ถวายตั่งในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมเกิดในสกุลสูง เป็นผู้มีโภคสมบัติมาก ๑ ชนทั้งปวงยำเกรงเรา ๑ ชื่อเสียงของเราฟุ้งไป ๑ บัลลังก์สี่เหลี่ยมจัตุรัสย่อมแวดล้อมเราเป็นนิตย์ตลอดแสนกัลป ๑ เราเป็นผู้ยินดีในการจำแนกทาน ๑ ถวายที่นอน เราได้ถวายที่นอนในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๖ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เรามีร่างกายสมส่วนอันบุญกรรมก่อให้ เป็นผู้อ่อนโยน มีรูปงาม น่าดู (ดูไม่เบื่อ) เราย่อมได้ญาณอันประเสริฐ นี้เป็นผลแห่งการถวายที่นอน เราย่อมได้นวมผ้าลวดลายรูปสัตว์ ผ้าลาดทอด้วยไหม ผ้าลาดอันวิจิตร ผ้าลาดอย่างดีและผ้ากัมพลต่างๆ เป็นอันมาก ย่อมได้ผ้าปาวารก์มีขนอ่อนนุ่ม ผ้าทำด้วยขนสัตว์อ่อนนุ่มในที่ต่างๆ นี้เป็นผลแห่งการถวายที่นอน เมื่อใดเราระลึกถึงตนเมื่อใด เราเป็นผู้รู้เดียงสาเมื่อนั้น เราเป็นผู้ไม่เปล่า มีฌานเป็นเตียงนอน นี้เป็นผลแห่งการถวายที่นอน ถวายหมอน เราได้ถวายหมอนในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๖ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมยังศีรษะของเราให้หนุนบนหมอนอันยัดด้วยขนสัตว์ หมอนยัดด้วยเกษรบัวหลวง และยัดด้วยจันทน์แดงทุกเมื่อ ๑ เรายังญาณให้เกิดในอัฏฐังคิกมรรคอันประเสริฐ และในสามัญผล ๔ เหล่านั้นแล้ว ย่อมอยู่ตลอดกาลเป็นนิตย์ ๑ ยังญาณให้เกิดในทาน ทมะ สัญญมะ อัปปมัญญา และรูปฌานเหล่านั้นแล้ว ย่อมอยู่ตลอดกาลทั้งปวง ๑ ยังญาณให้เกิดในวัตรคุณ รูปปฏิมาและในอาจารกิริยาแล้ว ย่อมอยู่ในกาลทั้งปวง ๑ ยังญาณให้เกิดในการจงกรม ความเพียรอันเป็นประธาน และในโพธิปักขิยธรรมเหล่านั้นแล้ว ย่อมอยู่ตามปรารถนา ๑ ยังญาณให้เกิดในศีล สมาธิ ปัญญาวิมุติ และในวิมุตติญาณทัสสนะเหล่านั้นแล้ว ย่อมอยู่เป็นสุข ๑ ถวายตั่งแผ่นกระดาน เราได้ถวายตั่งแผ่นกระดานในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๒ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมได้บัลลังก์อันประเสริฐ อันทำด้วยทอง แก้วมณี และทำด้วยงาช้างสารเป็นอันมาก นี้เป็นผลแห่งการถวายตั่งแผ่นกระดาน ถวายตั่งรองเท้า เราได้ถวายตั่งรองเท้าในพระชินเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๒ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราย่อมได้ ยวดยานเป็นอันมาก นี้เป็นผลแห่งการถวายตั่งรองเท้า ๑ ทาสหญิงชายภรรยา และคนอาศัยเลี้ยงชีวิตเหล่าอื่น ย่อมบำเรอเราโดยชอบ นี้เป็นผลแห่งการถวายตั่งรองเท้า ๑ ถวายน้ำมันทาเท้า เราได้ถวายน้ำมันสำหรับทาเท้า ในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ ความที่เราเป็นผู้ไม่ป่วยไข้ ๑ มีรูปงาม ๑ เส้นเอ็น (ประสาท) รับรสได้เร็ว ๑ ความได้ข้าวและน้ำ ๑ ได้อายุยืนนานเป็นที่ห้า ๑ ถวายเนยใสและน้ำมัน เราได้ถวายเนยใสและน้ำมัน ในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีกำลัง ๑ มีรูปสมบูรณ์ ๑ เป็นผู้ร่าเริงทุกเมื่อ ๑ มีบุตรทุกเมื่อ ๑ และเป็นผู้ไม่ป่วยไข้ทุกเมื่อ ๑ นี้เป็นผลแห่งการถวายเนยใสและน้ำมัน ถวายน้ำบ้วนปาก เราได้ถวายน้ำบ้วนปาก ในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๕ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีลำคอบริสุทธิ์ ๑ มีเสียงไพเราะ ๑ เว้นจากโรคไอ ๑ โรคหืด ๑ กลิ่นดอกอุบลฟุ้งออกจากปากของเราทุกเมื่อ ๑ ถวายนมส้ม เราได้ถวายนมส้มอย่างดีในพระพุทธเจ้า และคณะสงฆ์ผู้อุดมแล้ว ได้บริโภคภัตอันไม่ขาดสาย คือ กายคตาสติอันประเสริฐ ถวายน้ำผึ้งอันประกอบด้วยสี กลิ่น รส เราได้ถวายน้ำผึ้งอันประกอบด้วยสี กลิ่นและรส ในพระชินเจ้าและในคณะสงฆ์แล้ว ย่อมได้รส คือ วิมุติอันไม่มีรสอื่นเปรียบ ไม่เป็นอย่างอื่น ถวายรส ข้าว น้ำ เราได้ถวายรสตามเป็นจริงในพระพุทธเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้อุดมแล้ว ย่อมได้ เสวยผล ๔ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา เราได้ถวายข้าวและน้ำ ในพระพุทธเจ้าและในคณะสงฆ์ผู้อุดมแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๑๐ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เราเป็นผู้มีอายุยืน ๑ มีกำลัง ๑ เป็นนักปราชญ์ ๑ มีวรรณะ ๑ มียศ ๑ มีสุข ๑ เป็นผู้ได้ข้าว ๑ น้ำ ๑ เป็นคนกล้า ๑ มีญาณรู้ทั่ว ๑ เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพ ย่อมได้คุณเหล่านี้ ถวายธูป เราได้ถวายธูปในพระสุคตเจ้า และในคณะสงฆ์ผู้ประเสริฐสุดแล้ว ย่อมได้เสวยอานิสงส์ ๑๐ ประการ อันสมควรแก่กรรมของเรา คือ เมื่อเราท่องเที่ยวอยู่ในภพน้อยใหญ่ เป็นผู้มีกลิ่นตัวหอมฟุ้ง ๑ มียศ ๑ มีปัญญาเร็ว ๑ มีชื่อเสียง ๑ มีปัญญาคมกล้า ๑ มีปัญญากว้างขวาง ๑ มีปัญญาร่าเริง ๑ มีปัญญาลึกซึ้ง ๑ มีปัญญาเครื่องแล่นไปไพบูลย์ ๑ เพราะผลการถวายธูปนั้น บัดนี้ เราเป็นผู้บรรลุนิพพานอันเป็นสันติสุข ๑ การที่เราได้มาในสำนักพระพุทธเจ้าของเรานี้ เป็นการมาดีแล้วหนอ วิชชา ๓ เราบรรลุแล้วโดยลำดับ พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว เราเผากิเลสทั้งหลายแล้ว ถอนภพขึ้นได้ทั้งหมดแล้ว ตัดกิเลสเครื่องผูกดุจช้างตัดเชือกแล้ว เป็นผู้ไม่มีอาสวะอยู่ คุณวิเศษเหล่านี้ คือ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖ เราทำให้แจ้งชัดแล้ว พระพุทธศาสนาเราได้ทำเสร็จแล้ว ดังนี้. อ่านเพิ่มเติมทั้งหมดได้ที่ http://www.84000.org/tipitaka/pitaka2/v ... agebreak=0 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |