วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 21:29  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 25 ม.ค. 2016, 07:51 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



พวกสามเณรก็ให้พากันนึกถึงคุณพ่อคุณแม่
พ่อแม่ให้กำเนิดเกิดเรามาแสนทุกข์แสนยากนะ
ไม่ใช่ได้อัตภาพร่างกายนี้มาอย่างง่ายๆ

ไปนอนอยู่ท้องแม่นั่นตั้งแปดเดือนเก้าเดือน
แม่ต้องอุ้มท้องแสนหนักหน่วง เดินไปเดินมาก็ลำบาก
ระมัดระวังมันจะหกล้ม ท้องนี่มันจะไปกระแทกกับของแข็งเข้า
ลูกจะมีอันตราย นั่นพ่อแม่ก็ต้องระมัดระวังอยู่เสมอๆ อย่างนี้นะ
ให้คิดนะแม่นี้มีคุณต่อเรามากมายเหลือเกิน


“มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร” น่ะให้รู้ไว้ เป็นพรหมยังไง
มารดาบิดามีพรหมวิหารสี่ต่อบุตร มีเมตตา มีความรักใคร่ต่อบุตร
อยากจะให้บุตรธิดาเป็นสุข มีกรุณาสงสารบุตร

เวลาลูกได้รับความทุกข์ ความเจ็บป่วย ลำบากโดยประการต่างๆ
มารดาบิดาสงสารมาก นี่..บาดนิเมื่อเวลาลูกชายลูกหญิงได้ดิบได้ดี
มีลาภมียศ มีเงินมีทอง พ่อแม่ก็พลอยยินดีด้วย ไม่อิจฉาตาร้อนลูกของตัวเอง
เมื่อเวลาลูกนั้นดื้อด้านซุกซน ทำความเสียหายให้แก่พ่อแม่ พ่อแม่ก็ไม่โกรธไม่เคือง
ถ้าโกรธก็โกรธนิดหน่อยแล้วก็หายไป นึกว่า อ้อ ลูกน้อ..ก็วางอุเบกขาลง
ไม่เอาเรื่องเอาราวกับลูก นั่นแหละท่านจึงเรียกว่า มารดาบิดาเป็นพรหมของบุตร
นั่นนะให้พากันเข้าใจ ดังนั้นจึงสามารถเลี้ยงลูกใหญ่ได้

ถ้าหากว่ามารดาบิดาไม่มีพรหมวิหารธรรมสี่ประการนี้อยู่ในใจแล้ว
เลี้ยงลูกไม่ใหญ่แน่นอนทีเดียว เพราะมันเลี้ยงยาก เป็นเด็กเป็นเล็กนั่น

ไม่รู้เดียงสา ช่วยตัวเองอะไรก็ไม่ได้ จะทำอะไรก็ไม่รู้ ไม่มีสติสัมปชัญญะ
พ่อแม่ต้องเอาใจใส่ ต้องดูแลอยู่ทุกเวลา ลูกพอคล่องได้คลานได้อย่างนี้
กลัวลูกจะไปตกเรือน ตกที่สูงลงสู่ที่ต่ำ มีอันตราย อันแม่นั้นต้องดูแลอยู่อย่างนั้น
ต้องคิดให้เห็นนะปานนั้นแหละกว่าเราจะใหญ่มาได้ปานนี้น่ะ
แม่ต้องอุปการะอย่างเต็มที่เลย
อ้าวบางทีเจ็บไข้ไม่สบาย กลางคืนมันก็ร้องไห้
สำออยออดยังไงก็ไม่หยุด หยุดไปก็หน่อยหนึ่งแล้วก็ร้องไห้ขึ้นมา
พ่อแม่นั้นนอนไม่หลับหมดคืน เอ้า พ่อแม่ก็อดเอาทนเอา ลูกของตนหนอ
ถ้าหากว่าพ่อแม่นี้ขาดเมตตาแล้ว โอ๋..มันร้องไห้ร่ำไร ไม่ได้หลับได้นอน
มันโกรธมาเต็มที่แล้วบีบคอให้ตายแล้วก็เราตายแล้วตั้งแต่ยังน้อยนู้นนะ
ไม่ได้เกิดเจริญวัยใหญ่โตมาปานนี้แล้ว นี้แหละให้พิจารณาให้ดี

คุณของพ่อของแม่นี้มีมากมายน่ะ ดังนั้นเราต้องกราบ..คฤหัสถ์นะ
ต้องกราบพ่อแม่เป็นการตอบบุญแทนคุณท่าน เมื่อเรากราบท่าน
ท่านอโหสิกรรมให้ เราได้ลุ่มหลงประมาทพ่อแม่อย่างไร
ท่านก็อโหสิกรรมให้ว่าลูกนี่รู้จักคุณโณของพ่อของแม่
เคารพนอบน้อมต่อพ่อแม่ดี พ่อแม่ก็เลยอโหสิกรรมให้ทั้งหมดเลยที่ลูกได้ประมาท
อย่างนั้นทุกคนต้องให้รู้จักกราบพ่อกราบแม่อย่าเป็นคนแข็งกระด้างกระเดื่อง
ความที่เป็นคนแข็งกระด้างกระเดื่อง พ่อแม่สอนไม่ฟังอย่างนี้นี่เป็นบาปนะ

ให้รู้จักไว้ แล้วพ่อแม่ก็ไม่ค่อยจะมีความเอ็นดูกรุณา ลูกคนใดว่ายากสอนยาก
ดื้อด้าน ห้ามก็ไม่ฟัง อย่างนี้พ่อแม่หมดอาลัยตายอยาก

เราได้บวชได้เรียนเข้ามาอย่างนี้แล้วอย่าไปทำตนเป็นคนว่ายากสอนยากนั้น
เพราะเรายังไม่รู้เดียงสา ไม่รู้อะไรผิดถูกด้วยตนเอง พ่อแม่เพื่อนเกิดก่อนเรา
เพื่อนรู้ผิดรู้ถูกก่อนเรา เพื่อนบอกลูกอย่าทำนะอย่างนี้ไม่ดี ก็เว้น..ไม่ทำ อย่างนี้นะ
อย่าพูดนะอย่างนี้ไม่ดีเราก็งด ไม่พูด เช่นไปเที่ยวด่าคนโน้นด่าคนนี้ อะไรอย่างนี้นะไม่ดี
ถ้าพ่อแม่เตือนล่ะต้องรู้ตัว งด ไม่ไปเที่ยวด่าใคร พูดแต่คำดีๆงามๆต่อเพื่อนต่อฝูง

อย่างนี้แหละให้พึงพากันเข้าใจการที่เราบวชเข้ามาแล้วเราได้รู้ผิดรู้ถูกอย่างนี้
อุปัชฌาย์อาจารย์จะได้แนะนำสั่งสอนให้เข้าใจวิธีปฏิบัติตนให้เป็นคนดี

“นิมิตฺตํ สาธุรูปานํ กตญฺญูกตเวทิตา”
ความเป็นผู้รู้จักอุปการะท่านที่ทำแก่ตนมาก่อนแล้วและคิดตอบแทน
อันนี้เป็นเครื่องหมายของคนดีดังนี้


ไอ้เราผู้เป็นลูกเป็นหลานของพ่อของแม่
ต้องมีคุณธรรม ต้องมีคุณธรรมสองอย่างนี้อยู่ในใจ
คือ ต้องนึกถึงอุปการคุณของท่านที่ท่านได้อุปการะเลี้ยงดูเรามา
ดังที่แสดงให้ฟังมาแล้วนั้นน่ะ
อ่อ..ท่านมีคุณต่อเราจริงๆ ท่านมีอุปการะเรา ถ้าท่านไม่เมตตากรุณาเรา
เราก็ตายแล้วตั้งแต่ยังเล็กยังน้อยนู่น
หั่นนี่ท่านเลี้ยงเรามาประคบประหงมเรามา
เราจึงได้ใหญ่มาปานนี้จนได้มาบวชมาเรียน บัดนี้เราจะบวชและจะตั้งใจเรียน
ท่องจำคำสอนพระพุทธเจ้าให้ได้ในเวลาที่บวชอยู่และต่อจากนั้นก็ถือเอาเวลาอันสมควร
นั่งสมาธิภาวนา ไหว้พระสวดมนต์ไป การที่เราทำความดี ฝึกตนอย่างนี้นะ
ก็ได้ชื่อว่าเป็นการตอบบุญแทนคุณค่าข้าวค้อนน้ำนมของบิดามารดาได้

เพราะเมื่อฝึกตนให้เกิดบุญเกิดกุศลขึ้นมาแล้ว พ่อแม่เห็นเราผู้เป็นลูกนี่
ผิดปกติไปจากเมื่อยังไม่ได้บวช เมื่อยังไม่ได้บวชซุกซนดื้อด้าน
ไม่รู้จักรู้จักชั่วอะไรอย่างนี้นะ ครั้นเมื่อได้บวชได้เรียนแล้วได้สึกออกไปล่ะ
เห็นลูกของตนมีจรรยามารยาทดี ไม่ดื้อด้าน ไม่ซุกซน พ่อแม่ก็ดีอกดีใจ
อันนี้ล่ะได้ชื่อว่า ได้ตอบบุญแทนคุณท่านโดยการประพฤติคุณงามความดี



:b45: :b45:


ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ
“อุปนิสัยสืบต่อ พ.ศ. ๒๕๓๘” (อบรมสามเณร)



:: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร