ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
อุบายละมานะทิฏฐิ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=51576 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | Hanako [ 12 ธ.ค. 2015, 08:59 ] |
หัวข้อกระทู้: | อุบายละมานะทิฏฐิ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ วัดอรัญญบรรพต อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย อยู่ร่วมกันหมู่มากนะ ข้อสำคัญน่ะต่างคนต่างสำรวมจิตใจของตนให้ดีนี้นะ ให้เป็นปกติอยู่ อย่าให้เกิดความยินดียินร้ายกับสิ่งที่มากระทบในตา เป็นต้น ต้องอ่านให้มันออก รูปมากระทบในตาอย่างนี้นะ ถ้าหากว่าห้ามจิตไม่ได้ เป็นรูปที่น่าเกลียดมันก็เกลียดชังไป ถ้าเป็นรูปที่น่ารักมันก็รักก็ใคร่ไป ถ้าเป็นรูปที่ไม่น่ารักน่าชังอะไรมันก็เฉยๆ ไป นี่ข้อนี้สำคัญมากนะ ดังนั้น ให้พากันมีสติเมื่อรู้ว่าตนก็ยังละกิเลสไม่หมดอย่างนี้แล้ว ก็ต้องสำรวมจิตใจอยู่ตลอดเวลา เมื่อรูปมากระทบในตานี่ ก็ต้องห้ามจิตให้มันหยุดนิ่งเสียก่อน ก่อนจะวิจารณ์รูปนั้นน่ะ เมื่อจิตมันหยุดนิ่งแล้วมันก็จะมองเห็นรูปนั้นว่า ไม่ใช่สวย ไม่ใช่ขี้ร้าย ไม่ใช่ว่าเป็นคนชั่วคนดีอะไร ถ้าเพ่งดูโดย "ปรมัตถธรรม" แล้ว มันก็มีแต่ธาตุสี่ ดิน น้ำ ไฟ ลม ประกอบกันอยู่เท่านั้น ไอ้ส่วนจิตใจนั่นน่ะเมื่อมันยังละกิเลสไม่หมด กิเลสมันรบกวนจิตใจอย่างไร มันก็แสดงบทบาทออกมาอย่างนั้น กายนี้เป็นแต่เพียงหุ่นเชิดของจิตใจเท่านั้นเองนะ เพราะฉะนั้นเมื่อเราพิจารณาลงสู่ปรมัตถธรรมแล้วอย่างนี้ มันก็ไม่เกลียดชังบุคคลที่แสดงบทบาทอันไม่ดีต่อตนนั้น มันก็ไม่เกลียดชังน่ะ เพราะมันเห็นแล้วว่า ไอ้ผู้แสดงนั้นก็ไม่ใช่สัตว์ไม่ใช่บุคคล ไม่มีตัวตนอะไร เป็นแต่เพียงกิริยาอาการของสังขาร ที่เกิดขึ้นตามอำนาจของกิเลสในหัวใจของคนเท่านั้นเอง แต่ถ้าคนคนนั้นน่ะเขาละกิเลสอย่างนั้นได้แล้ว เขาก็จะไม่แสดงอาการกายวาจาออกมาอย่างนั้นเลย นี่เราต้องอ่านดูให้ซึ้งเข้าไปอย่างนี้ เมื่อเราพิจารณาให้ลึกซึ้งเข้าไปอย่างนี้ มันก็อภัยให้กันได้เลยบาดนี่ นั่นแหละการภาวนาการพิจารณาให้หยั่งความรู้ความเห็นลงไปถึง "ปรมัตถธรรม คือ ธรรมอันยิ่ง" ปรมัตถธรรมนี่หมายความว่า "พิจารณาถึงความจริงของสิ่งนั้นๆ" พิจารณาเห็นว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมมีความดับไปเป็นธรรมดา" ต้องหยั่งปัญญาพิจารณาลงให้มันเห็นอย่างนี้ มันจึงจะถอน "อัตตานุทิฏฐิ" ความเห็นว่าเป็นตัวเป็นตน เป็นเราเป็นเขา ออกจากจิตใจได้ ก็เมื่อตนเกิดมาเป็นรูปเป็นนามอย่างนี้แล้ว มันก็ต้องแก่เจ็บตายไป เพราะว่าสังขารทั้งหลายมันเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนแตกดับไป ในปรมัตถธรรมท่านไม่ว่าคนเกิด คนแก่ คนเจ็บ คนตาย ท่านว่าเป็น "สังขาร" คือ สภาพที่ถูกปรุงแต่งขึ้นมา ทั้งที่มีวิญญาณครองก็ดี ไม่มีวิญญาณครองก็ดี ก็มีสภาวะเป็นอย่างเดียวกันหมด เมื่อพิจารณาลงไป ให้ถึงความจริงอย่างนี้แล้ว มันก็เกิดญาณความรู้ขึ้นมาว่า "สิ่งหนึ่งสิ่งใดมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งทั้งหมดนั้นย่อมดับไปเป็นธรรมดา" เวลาที่มันยังไม่ดับนี่มันก็แปรปรวนไป ก็อย่างรูปร่างกายอันนี้แหละ เมื่อมันยังไม่แตกไม่ดับจริงจังมันก็มีแต่ทรุดโทรมไปทุกวั๊นทุกวันไปอย่างนี้ นานปีนานเดือนไป ร่างกายนี้ก็แปรผันไป ทรุดโทรมไป อยู่อย่างนี้นะ แล้วความจริงเป็นอย่างนี้แหละ แล้วจะมามัวเมาถือตัวถือตนว่าดีวิเศษอยู่ทำไมเล่า การที่สำคัญว่าตนดีวิเศษนั้นเป็นมานะ เป็นกิเลสอันหนา เป็นกิเลสอันสำคัญ ดังนั้นเราภาวนาลงไป วางจิตให้เป็นอุเบกขาลงหลังจากพิจารณา เห็นทุกสิ่งทุกอย่างแล้วมีความเกิดความดับเป็นธรรมดาอย่างนั้นแล้ว ก็วางจิตให้เป็นอุเบกขาลงไปพร้อมด้วยญาณความรู้ปรากฏอยู่ในใจนั้น แล้วอย่างนี้น่ะ ไอ้ความมานะถือตัวถือตนมันก็ระงับลงแหละ เมื่อวางจิตให้เป็นกลางลงไปด้วยปัญญาญาณ คือความรู้แจ้งเห็นจริง ก่อนจะวางอุเบกขาลงไปนะ ต้องรู้แจ้งเห็นจริงตามเป็นจริงในสภาวะธาตุ สภาวะสังขาร สิ่งที่เกิดมีขึ้นในโลกอันนี้ ทั้งมีวิญญาณครองได้แก่มนุษย์และสัตว์ ไม่มีวิญญาณครองได้แก่ต้นไม้ ใบหญ้า หิน กรวด ทราย อะไรต่ออะไรหมู่นั้นน่ะ มันก็มีเกิดขึ้นแล้วแปรปรวนแตกดับเหมือนกันหมดเลย นั่นล่ะพิจารณาให้มันเห็นความเกิดความดับแห่งสิ่งทั้งปวงเหล่านี้แล้ว เราก็รู้แล้วไม่ใช่ของเราน่ะ ในใจนั่นรู้ชัดเลยว่าไม่ใช่ของเรา เมื่อรู้อย่างนี้แล้วมันก็วางอุเบกขาลงได้ นั่นแหละ..เป็นอุบายละมานะทิฏฐิให้เบาบางออกไปจากจิตใจ นี่ขอให้เข้าใจกันนะ ส่วนหนึ่งจากพระธรรมเทศนาหัวข้อ “สว่างมาอย่ามืดไป” :: ประวัติ ปฏิปทาและคำสอน “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ” http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689 |
เจ้าของ: | Duangtip [ 16 ธ.ค. 2015, 16:41 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: อุบายละมานะทิฏฐิ : หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ |
ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |