วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 20:15  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 ม.ค. 2015, 11:14 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 14 ก.ย. 2010, 20:29
โพสต์: 5111

แนวปฏิบัติ: พิจารณากาย
สิ่งที่ชื่นชอบ: มณีรัตน์,พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ร้วห่อทอง
อายุ: 39

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ
วัดอรัญญบรรพต
ต.บ้านหม้อ อ.ศรีเชียงใหม่ จ.หนองคาย



การนั่งสมาธินี่มันเป็นการฝึกจิตให้สงบ
ฝึกจิตให้เข้มแข็งเพื่อเผชิญกับเหตุต่างๆ ในโลกนี้
ทั้งภายในทั้งภายนอก ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้
มันไม่มีอะไรเป็นของเที่ยงยั่งยืน
เหตุนั้นมันถึงได้เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ
แม้แต่กิเลสตัณหาก็ไม่ยั่งยืนเหมือนกัน


ดังนั้น ทุกคนให้พิจารณา พิจารณาให้มันเห็น
เช่น ความรักอย่างนี้นะ ไม่เห็นว่ามันยั่งยืนเลย
เวลารักกันมาแล้ว น้ำต้มผักก็ว่าหวาน
เวลาชังกันมาแล้ว น้ำตาลก็ว่าขม
ใจปุถุชนไม่แน่นอน ย่อมพลิกแพลงไป
ตามอำนาจของกิเลสที่มีอยู่ในใจ
ดังนั้นอย่าไปเชื่อมันนักนะกิเลสนี้น่ะ
มันเป็นของไม่เที่ยง มันกลับกลอก
มันจึงได้ทำจิตของคนเรา
ให้เป็นทุกข์เดือดร้อนนั่นเอง


ถ้ามันเที่ยงแล้วมันเกิดขึ้นแล้ว
มันไม่ดับเลยนี่ก็ดีสิ..มันก็จะได้สบายใจไป
เมื่อความรักเกิดขึ้นอย่างนี้นะ
มันไม่เบื่อไม่หน่ายเลย
มันรักเรื่อย..ไป..ตลอดอนันตกาลไปนู่น
อย่างนี้มันก็ควรแท้แหละ ควรส่งเสริมความรัก
จริงๆน่ะ แต่นี่มันหาเป็นเช่นนั้นไม่

ไม่เช่นนั้นแล้วคนเราแต่งงานกันมาแล้ว
มันจะได้หย่าร้างกันรึ
ส่วนมากก็มีหย่าร้างกันเยอะแยะ
คนแต่งงานกันมาแล้วในโลกอันนี้น่ะ
ก็เพราะใจของปุถุชนนี่มันกลับกลอกนั่นเอง
รูปนี้เป็นสิ่งที่น่ารักแล้ว ได้มาสมประสงค์แล้ว
ครั้นไปเห็นรูปอื่นก็ยังสำคัญว่า
เอ๊ะ..รูปนี้มันยังสวยกว่ารูปนั้น
เอ้า..ดิ้นรนแสวงหา เมื่อได้รูปนั้นมาแล้วก็ทิ้งรูปนี้
ปล่อยให้เกิดความทุกข์ระทมไปทั้งตนและทั้งผู้อื่น

แม้ความชังก็เหมือนกันนะ
มันก็ไม่ยั่งยืนเหมือนกันแหละ
เมื่อมันเกิดขึ้นแล้วมันก็เกลียดชังกันไปชั่วระยะหนึ่ง
อีกหน่อยหนึ่งอารมณ์นั้นหายไปแล้ว
ความชังนั้นก็หายไปตามกัน
เกิดความรักกันขึ้นมาแทน
ก็เป็นอยู่อย่างนี้แหละจิตใจของปุถุชน
เพราะฉะนั้นมันจึงเอาแน่นอนอะไรไม่ได้

ผู้เจริญสมาธิภาวนาเมื่อปัญญาบังเกิดขึ้นแล้ว
มันจึงได้รู้แจ้งว่า กิเลสนี้มันมีมายา
มันหลอกให้คนเราหลง เมา ติดอยู่ในโลกอันนี้
หนีจากโลกอันนี้ไปไม่ได้เลย


เพราะฉะนั้นน่ะ ไม่ควรที่จะไปหลงใหล
มายาของกิเลสตัณหาดังกล่าวมานั้น
ควรพากันใส่ใจ พิจารณาให้มันเห็นตามความเป็นจริง
เมื่อมันไม่เที่ยงก็ต้องเห็นว่ามันไม่เที่ยง
เห็นแต่มันเกิดแล้วก็ดับไป
ถ้าพิจารณาเห็นอย่างนี้บ่อยๆ เข้า
ก็จะได้เกิดนิพพิทา..ความเบื่อหน่าย
เมื่อเบื่อหน่ายแล้วมันก็คลายความกำหนัดยินดี

เช่นนั้นแหละจิตอันนี้นะ
เมื่อมันยังไม่เบื่อหน่ายมันจะไปคลายได้ยังไงล่ะ
มันชอบใจอยู่มันก็ยึดถือเอาไว้

ดังนั้นการทำใจให้สงบนี้ มันจึงชื่อว่า
เป็นสิ่งจำเป็นต่อชีวิตของคนเราจริงๆ
สำหรับผู้ที่ต้องการความสุข เกลียดต่อความทุกข์
แล้วเช่นนี้ไม่มาทำใจนี้ให้สงบตั้งมั่นแล้วก็พ้นทุกข์ไปไม่ได้



:b46: :b46:


ที่มา : จากพระธรรมเทศนา
https://www.youtube.com/watch?v=0e5Ke3o9VnU



:b44: ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่เหรียญ วรลาโภ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=20708

:b44: รวมคำสอนและประมวลภาพ
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=43689

.....................................................
"เกิดดับ..เกิดแล้วไม่ดับไม่มี"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 15 ม.ค. 2015, 11:06 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-2
Moderators-2
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 มิ.ย. 2009, 10:51
โพสต์: 2758


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 61 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร