ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

เกร็ดธรรมคำสอน “หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=48839
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  น้องพลอย [ 24 พ.ย. 2014, 10:02 ]
หัวข้อกระทู้:  เกร็ดธรรมคำสอน “หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ”

รูปภาพ

เกร็ดธรรมคำสอน “หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ”

:b50: :b49: :b50:

(๑) ความทรงจำจดจำ แม้จะได้สูตรใดสูตรหนึ่งต้องจำได้ ปาฏิโมกข์ควรให้คล่องให้ถูกต้องตามภาษาที่ได้บัญญัติไว้ ชื่อว่าเราได้ศึกษาปริยัติธรรมเช่นเดียวกัน ปริยัติธรรมเป็นหลักของการปฏิบัติ เพราะเป็นศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เราถือเป็นหลักการปฏิบัติ ถ้าไม่มีหลักสิ่งเหล่านี้แล้วก็ถือว่าเลื่อนลอยไปตามกิเลส ตามอารมณ์ที่มีกิเลสเจือที่จิตใจของเรา เราจะถือเป็นแบบฉบับที่ใจชอบหรือไม่ชอบตามใจของเราไม่ได้ ต้องถือหลักโอวาทศาสนธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศาสนาอยู่มาถึงพวกเราเป็นเวลายาวนานก็ต้องมีหลัก อาศัยหลักนี้เป็นเครื่องรองรับหมู่คณะ

(๒) พระพุทธเจ้าพระองค์รู้ดี รู้ชอบด้วยพระองค์เองแล้ว พระองค์ได้ทรงสั่งสอนพวกเราทั้งหลายให้ประพฤติตาม

(๓) พระธรรมคือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่พระองค์ทรงวางไว้ ให้รักษากาย รักษาวาจา รักษาจิตใจ โดยอาศัยหลักศีล สมาธิ ปัญญา ศีล สมาธิ ปัญญาอย่าไปดูที่ตัวหนังสือ ความจดจำด้วยสัญญานั้นยังไม่ใช่ ยังเป็นรู้ภายนอก ศีล สมาธิ ปัญญานั้นก็คือการสำรวมกาย รักษากายนี้เอง เราก็ดูที่กาย เราสำรวมแล้วหรือยัง เรียบร้อยหรือยังในตัวเราเอง ในการเข้าสู่สังคมสมาคมเรียบร้อยเป็นระเบียบตามที่พระพุทธเจ้าพาดำเนินมาหรือไม่ ในกาย ในวาจาคำพูดของเรา เรามีสติคุ้มครองรักษา เลือกคำพูดได้สะอาดบริสุทธิ์มากน้อยแค่ไหน เราก็ต้องรู้ตัวเราเอง

(๔) ที่เราสวดมนต์ไหว้พระอยู่เสมอ ก็อย่าไหว้แต่วาจา อย่ากราบแต่ด้วยมือ ต้องจิตใจน้อมระลึกถึงความจริงด้วย ให้เกิดขึ้นในจิตใจ ให้มีศรัทธาความผ่องใสในจิตในใจ จะเห็นอานิสงส์ จะได้เกิดความอุตสาหะพยายาม เกิดความพากเพียร เกิดสติระลึกคุ้มครองรักษาตัวเรา ให้เป็นผู้หมดจดสะอาดไปถึงสภาพแห่งความบริสุทธิ์ ให้จิตตั้งมั่นในหลักธรรมคำสั่งสอนของพระองค์ ได้ชื่อว่าเราเจริญรอยตามเป็นสาวกของพระองค์ ผู้เชื่อฟังผู้ทำตามพระองค์ เราเป็นผู้เดินตามพระองค์ต่อๆมา เราเป็นสาวกผู้น้อง ผู้ลูก ผู้หลาน แต่สุดท้ายเดินตามๆกันไป

(๕) ถ้าพวกเราพร้อมเพรียงกันรักษาธรรมวินัย แบบฉบับของครูบาอาจารย์ อย่าไปเถลไถลแบบใหม่ๆ แบบเขาว่าโลกเจริญก็เลยลืมพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ โลกมันเจริญแค่ไหนมันเพียงแค่กามเท่านั้นแหละ ผลที่สุดโรคเอดส์รุมหัวมันหมดแล้ว มันเจริญของโลกนี่ มันจะอัศจรรย์สักเท่าไร ธรรมของเรามันอัศจรรย์จริงๆ เพราะฉะนั้นจึงอยากให้หมู่พวกเชื่อในธรรมในวินัย

(๖) ขอให้หมู่พวกลูกหลานทุกคนที่บวชเข้ามานี้ อย่าไปมุ่งหวังว่าให้โยมเขามีศรัทธาให้คนนั้นมีศรัทธา ไม่ต้อง ขอให้เรามีศรัทธาคนเดียว ให้ปฏิบัติจริงทำจริง ยังไม่ต้องมองคนอื่นให้มองตัวเรา พระพุทธเจ้าพระองค์ก็มองพระองค์ก่อน พระองค์ไม่ได้วิ่งไปสอนโลกก่อน พระองค์สอนพระองค์จนเสร็จกิจแล้ว พระองค์จึงสอนคนอื่น

(๗) เหมือนกับหลวงปู่มั่น ผมไปดูไปอยู่ใกล้ชิดแล้ว ท่านไม่ค่อยเอาใจใส่เรื่องญาติโยมสักเท่าไร ท่านเอาใจใส่พระเราสามเณรของเรา ถ้าเราดีแล้วโยมเขาก็ดีด้วย ท่านพูดอย่างนั้นนะ ผมจำชัดจริงๆ

(๘) สัทธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้าโดยศีล สมาธิ ปัญญา แล้วยังผ่องใสสดใสบริสุทธิ์ไม่เสื่อมสูญอันตรธาน แต่จิตใจของเรานี่แหละไม่ฉลาด ไม่นำมาใช้ให้เกิดประโยชน์แก่จิตใจของเรา ยังเถลไถลยังอนุโลมไปตามอารมณ์ จิตใจของเราที่ผสมกับกิเลสคือความโลภ ความโกรธ ความหลง ความฉันทะ พยาบาท ถีนมิทธะ อุทธัจจกุกกุจจะ ง่วงเหงาหาวนอน ฟุ้งซ่านรำคาญ วิจิกิจฉาในจิตในใจ สิ่งเหล่านี้เป็นเครื่องที่ผสมในจิตใจของเรา ด้วยมองเห็นพระสัทธรรมคำสอนพระพุทธเจ้าไม่แจ้งชัด เราเถลไถลอยู่ เราจึงไม่สามารถที่จะข้ามแม่น้ำอันเต็มไปด้วยอันตราย เพื่อให้พ้นอันตรายเหล่านั้นได้ ไม่มีสติ ไม่มีปัญญา เพราะเหตุนั้นเราจึงจำเป็นต้องได้รับความทุกข์ ความเศร้าหมองทางจิตใจอยู่เสมอ

(๙) คำสอนพระพุทธเจ้าสอนกิเลสไม่ได้สอนอันอื่น อยู่ที่ไหนก็ชำระที่นั่นปฏิบัติที่นั่น ผมก็ทำตามมาตลอดไม่ได้ลดละ ฉะนั้นขอให้พวกเราช่วยกันตั้งใจปฏิบัติดูแลต่อไป เรื่องธรรมของพวกเราจะต้องช่วยกันทะนุบำรุงรักษา

(๑๐) เพราะฉะนั้นพวกเราตั้งใจปฏิบัติ ใครสงสัยอะไรก็รีบชำระ เรื่องศีล เรื่องอะไรก็รีบชำระ รีบปฏิบัติให้มันเห็นตรง อุชุปฏิปันโนจริงๆ อย่าทำเหลาะแหละเหลวไหลโลเล

(๑๑) ได้โอกาสดีแล้วทุกองค์อยู่ที่ไหนก็ขอร้องพวกเราทุกๆคน ให้เร่งทำความเพียรอย่าไปยุ่งกับญาติกับโยมมากนัก อย่าไปยุ่งกับอย่างอื่น พระพุทธเจ้าและครูบาอาจารย์ของเราท่านได้กำลังมา ได้สอนพวกเรามา ไม่ได้ไปยุ่งกับโยมชาวบ้านมากนะ ท่านเด็ดเดี่ยว เมื่อท่านทำกิจกำลังท่านพอแล้ว ท่านจึงมาทำ ที่เราเห็นภายหลังที่ท่านได้ฉันดี นอนดี อยู่ดี อันนี้มันเรื่องเปลือก ไม่ใช่เรื่องแก่น ไม่ใช่สิ่งที่เราจะต้องสนใจ สนใจแต่ทำความเพียรทั้งกลางวันกลางคืน เฉพาะในจิตในใจเฉพาะ มันไม่ใช่มากนะอันเรื่องที่จะพ้นทุกข์นี่

(๑๒) พวกเราทั้งหลาย ถ้าหากว่าพอจะมีบุญวาสนา มีศรัทธาอยู่ในจิตเป็นกองทุนแล้ว ก็พยายามสร้างศรัทธากับวิริยะความพากเพียร ปัญญาขึ้นมา คู่นี้แหละที่ปฏิบัติ ผมจะอยู่อเมริกาก็ตาม อยู่ที่ไหนก็ตาม ธรรมะเท่านี้แหละ พลังนี้แหละเป็นตัวสำคัญ

(๑๓) อยากให้หมู่พวกทั้งหลายที่ได้บวชเข้ามาแล้วน่ะต้องเร่งความเพียร ไม่ต้องทำอะไรที่ไหนล่ะ ดูกายกับจิตนี้ ผมก็ทำตามแบบครูบาอาจารย์สอนนี้เอง แต่ความที่เราพูดเดี๋ยวนี้ไม่ใช่เราเป็นผู้รู้คนเดียวนะ มันยังรู้ว่าครูบาอาจารย์ของเราก็พ้นทุกข์ไปมากแล้ว

(๑๔) หลวงปู่ฝั้นนี่ท่านพ้นแล้วนะ มันเชื่อนะ เราโง่เราไม่รู้ ครูบาอาจารย์ของเรานี่ ผู้ปฏิบัติจริงๆ ถึงท่านไม่พูดนี่ ไม่จำเป็นจะต้องพูด มันหมดสิ้นสุดในกิจ มันรู้บอกในขณะนั้นว่ากิจที่จะต้องทำอีกเสร็จสิ้นแล้ว

(๑๕) บางองค์ที่ท่านรู้ท่านรู้จริง แต่บางองค์ที่ท่านไม่บัญญัติมาพูด ไม่ได้ตั้งมาพูดมันรู้เลย อย่างหลวงปู่ขาว หลวงปู่แหวน ครูบาอาจาย์ที่ท่านไม่พูด นึกว่าท่านไม่พ้นไม่ใช่นะ ไม่ใช่ว่าท่านไม่ได้อะไร บางคนไปเห็นนึกว่าท่านไม่เทศน์ไม่สอน นึกว่าท่านไม่เก่งเหมือนตัวเอง บาปกินไม่รู้ตัว

(๑๖) ปัญญาเรานะมันไปไม่ได้นะ เราต้องอาศัยพระพุทธเจ้า เพราะฉะนั้นการปฏิบัติมันต้องยึดหลักพระองค์แล้วก็เร่งทำความเพียร เพราะทำแล้วจะต้องรู้ นอกจากพระพุทธเจ้าและครูบาอาจารที่เราใกล้ชิดที่เห็นปฏิบัติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งปัจจุบันผมก็ยึดหลวงปู่บ้านตาด เพราะนิสัยชอบท่านมาก การพิจารณาการพลิกแพลงอะไรต่างๆ นิสัยเราชอบหลวงปู่บ้านตาดกับหลวงปู่ฝั้นเหมือนกันนะ แต่ผมเสียอันหนึ่งที่มันไม่อดทนในญาติโยมเหมือนท่านเท่านั้นแหละ แต่เรื่องพลิกแพลงสติปัญญาที่ท่านแนะนำมาน่ะผมชอบ

(๑๗) พูดให้หมู่เพื่อนฟังก็อยากให้หมู่ใครคนใด ประสบเหตุการณ์อย่างไร ขอให้บอกให้เล่าให้ฟังเพื่อจะได้เป็นพยานขึ้นมา หรือถ้าหากว่าหมู่พวกทุกองค์เร่งทำความเพียรไม่เหลวไหล และศาสนธรรมคำสอนของพระพุทธเจ้า เฉพาะศีล สมาธิ ปัญญา ต้องพ้นทุกข์แน่นอน ขอให้พวกเราพยายาม

(๑๘) องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พอพระองค์ได้ตรัสรู้แล้ว พระองค์ก็ตรัสว่าพระองค์ได้ตรัสรูแล้ว ทีนี้พอพระองค์สอนอัญญาโกณฑัญญะก็ได้บรรลุธรรม แน่ะมันเป็นพยานแล้วทีนี้

(๑๙) ใครสงสัยอะไรก็ถามได้ บางทีตอบให้ได้ ถ้าตอบไม่ได้ก็แล้วไป บางทีก็คิดไม่ออก แต่หลวงปู่มั่นท่านท้าทายนะ เอ้า..สงสัยตรงไหนถามมา ท่านก็พูดเผงๆตรงๆไปเลย หลวงปู่มั่นน่ะ

(๒๐) ไปอยู่อเมริกาได้ทำความเพียรต่อเนื่องกันประจำ ทางจงกรมกับกุฏิก็อยู่ใกล้กันได้ทำตลอด อากาศก็ดีมันสัปปายะอันหนึ่ง แต่สำคัญว่าจิตของเราอย่าไปหลงความเจริญของบ้านเมืองของเขา ถ้าไปเอาอันนั้นมานี้แล้วเสร็จ ธรรมหายไปหมดเลย แต่จิตใจของคนมันไม่อัศจรรย์เลย แม้แต่เขาจะวิเศษอย่างไรมันไม่อัศจรรย์เลย อัศจรรย์แต่พระพุทธเจ้า ธรรมของพระองค์สามารถที่จะพ้นทุกข์ ความสุขจนขนาดที่เทวดานี่พระองค์ยังเห็นโทษ ขนาดนั่งฌานสงบ ที่เรานั่งสงบมีความสุข พอใจในความสุขอันนั้นแต่พระองค์ก็ยังเห็นโทษ

(๒๑) ท่านสอนกรรมฐานว่าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพื่อไม่ให้มัวเมาในวัย ไม่มัวเมาในชีวิต ไม่มัวเมาในความไม่เป็นโรค ไม่มัวเมาในความเป็นอยู่ ให้รู้สภาพตามความเป็นจริง ตัวของเรานี้คือ ธาตุดิน ธาตุน้ำ ธาตุลม ธาตุไฟ เป็นของชำรุดทรุดโทรมคร่ำคร่าเปลื่อยเน่า ใครจะมากราบความเปลื่อยเน่าสักการะบูชาอันนี้ ใครจะบูชาสิ่งไหนนี้เราต้องกำหนดรู้ให้เห็นชัด

(๒๒) ที่เขากราบไหว้บูชาสักการะเวลานี้ ก็เพราะบารมีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เรามาอยู่อาศัยบารมีของท่าน เรายึดหลักของท่าน เหมือนกับกาไปยึดหลักภูเขาทอง เวลาเขามองไปแล้วตัวกาก็เป็นทองไปด้วย เมื่อตราบใดกายังจับภูเขาทองอยู่นั้น เขาก็มองเห็นเป็นทองอยู่อย่างนั้น ถ้าทอดทิ้งภูเขาทองบินไปตามลำพังแล้ว มันก็เป็นกาดำๆ ดีๆ นี่แหละ

(๒๓) แต่เราอย่าลืมว่าเราเป็นตัวกา อย่าไปเข้าใจว่าตัวเราเป็นทองทั้งตัว อาศัยภูเขาทองอยู่ เรายึดภูเขาทองเฉยๆ นี่รูปเปรียบฉันใด ตัวเราเองต้องพิจารณาตัวเราเอง

(๒๔) คำสอนพระพุทธเจ้าก็เป็นคำสอนพระพุทธเจ้าที่เราได้อาศัย ส่วนกาคือเรา ก็เป็นกาเปลื่อยเน่าผุพังเหมือนกับคนธรรมดา ถ้าสิ่งเหล่านี้เป็นเหมือนของธรรมดา ทำไมเขาจึงกราบไหว้ ทำไมเขาถึงบูชา เพราะเงาของภูเขาทองนี่เอง เพราะอานุภาพพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เพราะฉะนั้นเราควรกราบ ควรไหว้ ควรปฏิบัติ

(๒๕) อย่าเข้าใจอย่าหลงลืมตัวเองว่าเรามีผู้กราบไหว้สักการบูชา เขาได้ทำบุญให้ทาน เราได้รู้จักคนมาก แต่คนนับถือก็ให้อุปการะเลี้ยงดูเรา เลยไปถือตัวเราเองเป็นเกณฑ์ ใช้ไม่ได้ แม้ว่าคนไม่รู้ความจริงของเรา เขาก็ยังหลงใหลอยู่ มีตัวอย่างมากต่อมากแล้ว เอาตัวเองเป็นอุปมาแล้ว ยังพยายามปฏิบัติให้คนรักให้คนชอบ ให้คนนับถือ ไม่ได้แก้ไขจิตใจของตนเองให้เป็นตามคำสอนพระพุทธเจ้า โดยความถูกต้องหรือโดยความชอบ ผลที่สุดก็ถูกทอดทิ้ง ถูกขจัดออก อยู่กับหมู่คณะไม่ได้ ถูกประณามถูกลงโทษ ด้วยความสำคัญตัวเองผิด มัวเมาหลงตัวเองผิด เราต้องพิจารณา

(๒๖) ขอให้เราทั้งหลายพึงมีสมณสัญญา ความระลึกหมายว่าเราเป็นสมณะผู้ปฏิบัติผู้สงบ อยู่ที่ไหนให้สงบ เป็นหัวหน้าด้วยความสงบ เป็นหัวหน้าในความเพียร เป็นหัวหน้าในการเดินจงกรม ไม่เป็นหัวหน้าใครก็เป็นหัวหน้าจิตใจของเรา เป็นความเพียรในจิตใจของเรา ความขยันในจิตใจของเรา ความสงบในจิตใจของเรา ให้ระลึกตัวเราอยู่เสมอ ให้รักตัวของเราเป็นที่รัก เราจะต้องรักษาตัวเราให้ดี อย่าปล่อยให้สมกับเรารักตัวของเรา ที่พระพุทธเจ้าว่า ถ้าตัวเราเป็นที่รักของเราแล้ว เราก็มุ่งรักษาเราให้บริสุทธิ์หมดจดสะอาด อย่าไปทำความชั่วอันสกปรกแก่ตัวของเราเอง

(๒๗) เพราะฉะนั้นทุกท่านเมื่อได้ยินได้ฟังแล้วจดจำไว้ให้ดี ตั้งใจประกอบความพากความเพียร ทั้งกลางวันและกลางคืนให้ได้รู้ธรรม ถึงธรรม เห็นธรรมที่พระพุทธเจ้าได้พาพบเห็นมาแล้ว ได้เห็นตามพระองค์ เราก็จะได้ความสุขความเจริญ

--------------------------------------------

:b50: :b49: :b50:

:b44: :: ที่มา :: :b8: :b8: :b8:
บางตอนจาก...ประวัติและปฏิปทา “หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=13&t=22212

= ประมวลภาพ “หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ” วัดป่าเขาน้อย
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=38&t=42409

= รวมคำสอน “หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=48833

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/