วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 12:41  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2  Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2014, 22:42 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


กัณฑ์ที่ ๘
(เชียงใหม่ แสดงคุณแห่งพระราชา)
อิทานิ สนฺนิปติตาย ปริสาย กาจิ ธมฺมีกถา
กถิยเต ตํ สุณาถ สมาคตาติ.
..........บัดนี้จักแสดงธรรมีกถา เพื่อ
ให้สำเร็จประโยชน์ในการฟังธรรมแก่ท่าน
ทั้งหลาย อันมายังสันนิบาต ณ ที่นี้ ท่าน
ทั้งหลายบรรดาที่ได้มาสมาคม ณ ที่นี้
พึงตั้งใจคอยสดับธรรมีกถาอันจักแสดงไป ณ บัดนี้
ทำประโยชน์ของตนให้สำเร็จเถิด
ด้วยว่าการฟังธรรมเทศนา ถ้าฟังด้วยความตั้งใจ
ย่อมทำประโยชน์ให้สำเร็จ
ประโยชน์แห่งการฟังธรรมนั้นก็คือความรู้
ความฉลาดในข้ออรรถข้อธรรม
ข้ออรรถข้อธรรม
นั้นก็คือคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า ที่เรียก
กันว่าพระพุทธศาสนา ล้วนแต่ประกาศทางแห่ง
ความชั่วและทางแห่งความดี คือทางแห่งความทุกข์
และทางแห่งความสุขให้ฟังเข้าใจ แล้วจะ
ได้หลีกทางแห่งความทุกข์ ดำเนินปฏิบัติในทางแห่ง
ความสุข จักนำมาแสดงพอได้ใจความ
..........ทางแห่งความทุกข์นั้น คือเป็นคนเกียจคร้าน
เห็นแก่ความสุขมีประมาณน้อย เห็นแก่การสั้น มุ่งแต่
ความสุขจำเพาะวัน จะเรียนวิชาสิ่งไรก็ไม่สำเร็จ เห็น
เป็นการลำบาก แม้จะกระทำการงานสิ่งไรก็
ไม่สำเร็จ เห็นเป็นการเหลือกำลังไป มักหา
ความสุขแต่ส่วนตัว ผู้อื่นจักฉิบหายวายร้าย ได้รับ
ความเดือดร้อนสักเพียงไรไม่เข้าใจ ขอแต่
ให้ข้ามั่งมีบริบูรณ์มีความสุขเป็นแล้วกัน
ขาดเมตตากรุณาในเพื่อนดังนี้ จึงมีความ
สามารถอาจหาญลักขโมยฉ้อโกงเอาข้าวของท่านผู้
อื่นได้ และสามารถอาจหาญทุบตีฆ่าฟันเพื่อนมนุษย์
ด้วยกันได้
ผู้ประพฤติในทางชั่วช้าลามกเช่นนี้ จะต้อง
ได้ประสบพบเห็นแต่ความยากจนข้นแค้นหา
ความสุขสำราญมิได้ ด้วยเหตุ
ไม่รู้จักพระพุทธศาสนาว่ามีคุณอย่างไร
ไม่ว่าคุณพ่อคุณแม่
ว่าท่านเลี้ยงเรามาท่านประสงค์อย่างไร
ไม่รู้จักคุณครูบาอาจารย์ว่า
ท่านสั่งสอนเรามาท่านประสงค์อะไร
ไม่รู้จักคุณของพระเจ้าแผ่นดิน
ซึ่งทรงจัดการปกครองมีพระราชกำหนดกฎหมาย
ตั้งพระราชบัญญัติพิกัดโทษแก่ผู้ทำผิด
ให้มีนักการคอยตรวจตราอยู่ทุกหน้าที่ทุกตำบล
ท่านมีประสงค์อะไร
การที่ไม่รู้จักคุณของท่านผู้มีคุณนั้นเอง จึงทำ
ความเสียหายใส่ตัว คือเป็นคนฆ่าความสุขของตนเอง
เป็นคนตัดทอนชีวิตของตนให้สั้นให้น้อยลง เท่า
กับว่าเกิดมาเป็นข้าศึกแก่ตัวเอง ผู้ประพฤติอย่างนี้ชื่อว่า
เป็นผู้ปฏิบัติดำเนินในทางแห่งความทุกข์
..........ส่วนทางแห่งความสุขนั้นทรงแสดงไว้
เป็นแผนกหนึ่ง คือทางแห่งความสุขในชาตินี้
และชาติหน้า ความสุขคือนิพพาน จะนำมาแสดงแต่
ความสุข อันผู้ปฏิบัติจะพึงได้ในชาตินี้ คือสอนว่าให้มี
ความเพียรความหมั่นต่อกิจการงานทั้งปวง
เบื้องต้นแต่เป็นนักเรียน
ก็หมั่นเล่าเรียนเขียนอ่านหมั่นพากเพียร
ให้วิชาที่ตนเรียนนั้นสำเร็จไป แม้จะกระทำการงาน
ใด ๆ ก็ตั้งใจทำจริง ให้การงานนั้นสำเร็จ
แต่อย่าเห็นแก่ความสุขส่วนตัว อย่าเห็นแต่ความได้
ส่วนตัว ทำสิ่งใดให้มีใจเผื่อแผ่ คือให้หวังความสุขแก่คน
อื่นด้วย คือว่าเมื่อตนสำเร็จวิชาสิ่งใด พึงช่วยให้คนอื่น
ได้สำเร็จวิชาสิ่งนั้นด้วย เมื่อตนบริบูรณ์
ด้วยโภคสมบัติสิ่งใด พึงช่วยแนะนำให้ผู้อื่นบริบูรณ์
ด้วยโภคสมบัติสิ่งนั้นด้วย คือให้เป็นคนประกอบ
ด้วยเมตตากายกรรม เมตตาวจีกรรม
เมตตามโนกรรม และสอนให้มีศีลมีสัตย์ สอน
ให้รู้จักคุณพระรัตนตรัย และสอน
ให้รู้จักคุณพ่อคุณแม่ คุณครูบาอาจารย์ดังแสดงมา
แล้วโดยลำดับ ล้วนเป็นทางแห่งความสุข
..........การที่สอนให้รู้ทางแห่งความทุกข์ ก็หวังจะให้
ผู้รู้หลีกเลี่ยงเสีย การที่สอนให้รู้ทางแห่งความสุข
ก็หวังจะให้ผู้รู้ได้ปฏิบัติดำเนินตาม จะได้รับผลแห่ง
ความสุขต่อไป
..........
วันนี้จักแสดงคุณแห่งสมเด็จพระมหากษัตราธิราชเจ้า
ผู้เป็นเจ้าเป็นจอมแห่งประเทศ
คือว่าประเทศหนึ่งคืออาณาจักรหนึ่ง ต้องมีผู้เป็น
ใหญ่สำเร็จการแผ่นดินคนหนึ่งดังนี้ทั่วโลก แต่
ผู้สำเร็จการแผ่นดินนั้นมีชื่อต่าง
กันตามนิยมของประเทศนั้น ๆ
แต่ตามแบบแผนโบราณประวัติ
ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน
ต้องทรงพระนามว่าพระราชาโดยมาก ยิ่ง
ในสยามประเทศ มีพระราชาเป็นเจ้าเป็นจอมสืบเนื่อง
กันมาแต่ดึกดำบรรพ์
ยิ่งกว่านี้ตามโลกประวัติโบราณาจารย์เจ้าได้แสดง
ไว้ในคัมภีร์โลกวินิจฉัยปรารภถึงปฐมกาล
เมื่อครั้งหมู่มนุษย์ยัง
ไม่มีเจ้ามีนายต่างคนต่างมีอิสรภาพเสมอกัน
พวกบอลเชวิกเขาจำนงอยู่ในสมัยนี้ ถือสุจริตธรรม
เป็นเครื่องบำรุงสุขภาพ ข้อนี้โลกเคยประสบมา
แล้ว
แต่ครั้นหมู่มนุษย์เจริญมากขึ้น ความโลภ
ความโกรธความหลง
ก็เจริญขึ้นตามพวกสันดานหยาบ หาความสุขส่วนตัว
ตั้งหน้าเบียดเบียนพวกประพฤติสุจริต
จะทำนาทำสวนปลูกสร้างสิ่งใดขึ้นไว้
พวกคนพาลก็มายื้อแย่งเบียดเบียนฉกลักเอาไป
เป็นประโยชน์ส่วนเขาเสีย ถึงแก่ต้องรบราฆ่าฟัน
กันหาความสุขมิได้
ลงท้ายต้องเลือกตั้งผู้มีปัญญาสามารถให้
เป็นพระราชามหาสมมุติราช
มีอำนาจเหนือประชาชนทั่วไป
ให้มีหน้าที่แต่การปกครองเท่านั้น ไม่
ต้องทำมาหากินอย่างอื่น คือราษฎรพร้อมใจกันแบ่ง
ส่วนสิบลดจากของที่ตนทำมาหาได้ ยกถวายให้
เป็นราชพลี คือว่าถ้าทำนาได้ข้าว ๑๐ สัด ยกถวาย
เป็นราชพลีเสีย ๑ สัด ถ้าได้ ๑๐ เกวียนยกถวายให้
เป็นราชพลีเสีย ๑ เกวียน
หรือทำการค้าขายมีกำไร ๑๐ บาท ยกให้
เป็นราชพลีเสีย ๑ บาท ดังนี้เป็นตัวอย่างทั่วไป
ฝ่ายผู้เป็นพระราชาเมื่อได้รับส่วนราชพลี
เป็นพระราชทรัพย์เพียงพอแล้ว ก็จัดตั้งผู้ช่วย
ผู้แทน ตั้งมหาอำมาตย์ราชเสวกจัดเป็นหมวดเป็นกรม
เป็นกระทรวงทบวงการ จัด
ให้มีเจ้าพนักงานรักษาการเป็นส่วน ๆ
แบ่งพระราชทรัพย์ที่ได้จากราชพลี
เฉลี่ยแก่เจ้าหน้าที่เป็นเบี้ยหวัดเงินเดือนตามสมควร
พอมีความสุขรักษาการตามหน้าที่ได้
เป็นระเบียบต่อมาดังนี้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 14 ก.ค. 2014, 22:54 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 29 มิ.ย. 2014, 09:57
โพสต์: 667

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


..........ครั้นมนุษย์มีความเจริญมากขึ้น
ก็ขยายการปกครองให้มากขึ้น จน
ถึงแบ่งพระราชอาณาเขตเป็นส่วน ๆ
มีพระราชาปกครองเป็นส่วน ๆ ทั่วไปในโลก อาศัย
ความเจริญของหมู่มนุษย์มากขึ้น สรรพสิ่ง
ทั้งปวงก็เจริญขึ้นทุกอย่าง
คนพาลสันดานหยาบคายคอยเบียดเบียนผู้
อื่นก็เจริญขึ้นตาม จึง
ต้องตั้งกฎหมายออกพระราชบัญญัติมีวิธีปรับปรุงลงโทษ
และมีเครื่องพันธนาการ
คือโซ่ตรวนขื่อคาคุกตะรางสำหรับคุมขังนักโทษที่ทำผิดต่อกฎหมาย
ลงพระราชอาญาให้เข็ดหลาบ
ภายหลังเกิดกิเลสหยาบในระหว่างผู้เป็นใหญ่
เกิดแย่งชิงราชอาณาจักรแห่งกันและกัน จึง
ต้องมีการป้องกันสร้างอาวุธยุทธภัณฑ์
ทแกล้วทหารขึ้นไว้สำหรับป้องกันอิสรภาพ
ในระหว่างราชอาณาจักรของตน
เมื่อมีนักการมากขึ้นเท่าไร การเลี้ยงดูกันก็
ใช้จ่ายพระราชทรัพย์มากขึ้น จึงต้องตั้งภาษีอากร
และเรียกรัชชูปการแก่ราษฎรเพิ่มเติมเพื่อ
ให้เพียงพอแก่การใช้จ่ายบำรุงพระราชอาณาจักร
ให้ชาวอาณาประชาราษฎรได้รับความร่มเย็น
เป็นสุข เป็นพระราชอาณาจักรอันสมบูรณ์มั่นคงสืบ
เนื่องกันมาดังนี้
พึงเข้าใจว่าผู้เป็นพระเจ้าแผ่นดินต้องเป็น
ผู้มีบุญญาภินิหาร ได้ทรงสร้างสมอบรมมา
แล้วแต่อเนกชาติ ได้ไปบังเกิด
เป็นเทพบุตรเทพธิดาเสวยสุขในวิมานชั้นสวรรค์
ถ้าเทพเจ้าทั้งหลายเห็นว่าท่านองค์ใดสมควรจะ
เป็นเจ้าเป็นใหญ่ในประเทศใด ก็เชื้อเชิญ
ให้อวตารลงมาปฏิสนธิในประเทศนั้น เพื่อจะได้
ช่วยบำรุงความสุขแก่ประเทศนั้น เพราะเหตุนั้นจึง
เป็นผู้สามารถที่จักปกครองให้ประเทศนั้นอยู่เป็นสุข
ถ้าประเทศใดหมู่มนุษย์ตั้งอยู่ในสุจริตธรรม
โดยมาก ประเทศนั้นก็ได้จอมที่ประกอบ
ด้วยพระปรีชาญาณอันปกครองด้วยเมตตากรุณา
ถ้าประเทศใดมีหมู่มนุษย์ประพฤติทุจริตโดยมาก
ประเทศนั้นก็ได้จอมที่ประกอบด้วยโทสะพยาบาท
ปกครองด้วยอำนาจศัสตราวุธให้เหมาะแก่ประเทศ
อย่างประเทศสยามของพวกเรานี้
เป็นประเทศนับถือพระพุทธศาสนาเป็นที่พึ่ง ผู้ที่
ให้อวตารมาเป็นเจ้าเป็นจอมก็ต้องได้ผู้ประกอบ
ด้วยพระปรีชาญาณอันสุขุม และเป็นผู้มีศรัทธา
ความเชื่อ ความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา
เป็นอัครศาสนูปถัมภก เป็นนายกบำรุงพระพุทธจักร
และพระราชอาณาจักร ด้วยกุศโลบาย
ให้บ้านเมืองรุ่งเรือง เจริญด้วยความสุข
ทั่วพระราชอาณาจักร
ด้วยอำนาจพระมหากรุณาธิคุณ
ดังพวกเราประจักษ์อยู่กับตากับใจทุกวันนี้
..........ธรรมดาต้นไม้
ใหญ่มีใบอันดกมีกิ่งก้านสาขาอันกว้าง
ใหญ่มีร่มเงาอันเย็น ย่อม
เป็นที่อาศัยระงับร้อนของสัตว์ทั้งหลายฉันใด
พระเจ้าแผ่นดินก็มีกิ่งก้านสาขาอันกว้าง
ใหญ่คือพระบรมเดชานุภาพ มีใบอันดกหนา
กล่าวคือพระมหากรุณาธิคุณ ย่อมเป็นที่
เข้าพึ่งพาอาศัยของทวยราษฎร
ทั่วพระราชอาณาจักร ให้ชุ่มชื่นอยู่ด้วยความสุข
ปานประหนึ่งว่าต้นไม้ใหญ่
เป็นที่อาศัยระงับร้อนของสัตว์ทั้งหลายฉันนั้น
เพราะเหตุนั้นจึงได้พระนามว่าพระเจ้าอยู่หัว คือ
อยู่เหนือหัว ไม่ใช่อยู่ที่หัว เปรียบเหมือนดวงจันทร์
ดวงอาทิตย์ คน
ในสากลโลกย่อมกล่าวว่าพระจันทร์พระอาทิตย์
อยู่เหนือหัวของเราดังนี้ ข้อนี้ฉันใด พระเจ้าแผ่นดินก็
เป็นเช่นนั้น คือเป็นยอดเป็นจอมของประเทศ คน
ในประเทศผู้พึ่งพระบรมโพธิสมภาร ย่อมมี
ความสำคัญด้วย
กันว่าพระราชาของเราท่านทรงพระมหากรุณาแก่เราดังนี้
ทั่วกัน เพราะเหตุนั้นจึงพา
กันขนานพระนามว่าพระเจ้าอยู่หัว
อีกพระนามหนึ่งพากันร้องเรียกว่าเจ้าชีวิต เพราะ
เป็นผู้ปกครองชีวิต
คือว่าชีวิตของทวยราษฎรย่อมตกอยู่ใน
ความอารักขาของพระราชา คือว่าผู้
ใดประหารชีวิตของท่าน ผู้นั้นย่อมได้รับโทษแก้แ
ค้นแทนผู้ถูกประหาร แม้ครอบครัว
และทรัพย์สมบัติทั้งสิ้นของทวยราษฎร ก็ตกอยู่ใน
ความอารักขาของพระราชาเหมือนกัน คือว่า
ผู้ข่มเหงกรรมสิทธิ์ของท่าน ย่อมได้รับโทษแก้แ
ค้นแทนผู้ถูกข่มเหงตามโทษานุโทษ เหตุนั้นจึงพา
กันร้องเรียกว่าเจ้าชีวิตดังนี้
ให้ทวยราษฎรทั้งปวงพึงเข้าใจว่า
ตัวของเราเกิดมาสำหรับเป็นราษฎร ไม่
ใช่เกิดมาสำหรับเป็นเจ้า ผู้ที่ท่านมีบุญญาภินิหาร
เกิดมาสำหรับเป็นเจ้า มีอาการแห่งวรรณะอันต่าง
กันกับเรา เมื่อเข้าใจความดังนี้แล้ว ให้พากันเคารพ
และบูชาด้วยความเต็มใจ การเคารพนั้นคือ ให้มี
ความรักในพระเจ้าอยู่หัวของตนเป็นอย่างยิ่ง ให้มี
ความเคารพและเลื่อมใส เมื่อทำบุญสิ่งใดแล้วก็
ให้อุทิศส่วนพระราชกุศลถวาย ขอ
ให้ทรงพระเจริญยืนยงคงทนอยู่
ได้ตลอดเขตอายุขัย ได้เป็นร่มเย็นปกเกล้าฯ
เหล่าประชาชนทั่วไป
..........ส่วนนี้เป็นอาการแห่งการเคารพบูชานั้นเกี่ยว
ด้วยวัตถุซึ่งเป็นส่วนราชพลี คือว่าเราทำมาหาได้จะ
เป็นค่าไร่ค่านา
ค่าภาษีอากรรัชชูปการอย่างไรก็ตาม ซึ่งเป็น
ส่วนราชพลีทั้งสิ้น เป็นอาการแห่งการบูชา
เพราะเหตุนั้นเมื่อเราจะประกอบกิจการงานใด ๆ
ให้ระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณเป็นที่พึ่งว่า
ด้วยอำนาจพระบรมเดชานุภาพขอ
ให้พืชผลที่ข้าพเจ้ากระทำขึ้นนี้ พึง
เป็นผลสำเร็จสมประสงค์เพื่อจะได้เพิ่มพูนราชพลี
ให้เจริญขึ้น
ผู้ตั้งใจพึ่งพระบรมโพธิสมภารของพระเจ้า
อยู่หัวของตน ตั้งหน้าทำมาหากินโดยสุจริต
ไม่ประพฤติผิดต่อพระราชกำหนดกฎหมาย จน
ได้รับราชทัณฑ์เป็นคดีเกี่ยวข้องในโรงศาล ให้
เป็นเครื่องรำคาญต่อใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
การที่ตั้งตนให้เป็นคนดี ประพฤติสุจริตธรรม
เป็นคนอารีโอบอ้อม ชักนำเพื่อนบ้านญาติมิตรให้สนิท
เป็นสามัคคี ยินดีในการบุญการกุศล
ตั้งใจเคารพต่อเจ้านายตน เป็นต้นว่า พระเจ้า
อยู่หัวของตนพานับถือพระพุทธศาสนา
ทรงทะนุบำรุงพระพุทธศาสนาอย่างไร
ส่วนตนก็ตั้งใจทะนุบำรุงพระพุทธศาสนามี
ให้ทานรักษาศีลเป็นต้นตามเสด็จอย่างนั้น
ผู้ประพฤติตนอย่างนี้ชื่อว่าเป็นพลเมืองดี
ถ้าเป็นผู้เอาใจออกห่างจากพระเจ้าอยู่หัวของตน
ไปคบคนต่างด้าวท้าวต่างแดน คือคนชาติอื่นภาษา
อื่นศาสนาอื่น ผู้ประพฤติเช่นนั้น ถึงจะประพฤติตน
เป็นคนดีอย่างไรก็ตาม จะนับเข้าในพวกพลเมืองดีไม่
ได้ เพราะไม่ตรงกับสุภาษิตที่ว่าให้รักตน รักชาติ
รักศาสนา รักพระมหากษัตริย์
..........ผู้ที่คบคนต่างด้าวท้าวต่างแดนนั้นขาดถึง ๓
หลัก คือการรักชาติก็ขาด การรักศาสนาก็ขาด
การรักพระมหากษัตริย์ก็ขาด ยังเหลือ
อยู่แต่การรักตนเท่านั้น การรักตนนั้น
ในทางพระพุทธศาสนาก็ได้แสดงไว้ว่า อตฺตานญฺเจ ปิยํ
ชญฺญา รกฺเขยฺย นํ สุรกฺขิตํ แปลว่า ถ้าผู้รู้ว่าตน
เป็นที่รักของตนแท้ ก็พึงรักษาตนให้ตั้งอยู่
ในสุจริตธรรมตลอดกาลทุกเมื่อเถิด ดังนี้
ไม่เห็นจำเป็นจะ
ต้องวิ่งกระหืดกระหอบไปฝั่งซ้ายฝั่งขวา
ตั้งหน้ารักษาตนให้เป็นพลเมืองดีเท่านั้นก็
เป็นการสมควรดีอยู่แล้ว
ท่านทั้งหลายพึงมนสิการให้ได้ความดังที่แสดงมานี้
แล้วประพฤติตนให้ตั้งอยู่ในกตัญญูกตเวทีต่อพระเจ้า
อยู่หัวของตน ก็จักสำเร็จผลคือความสุข
ความสำราญตลอดกาลทุกเมื่อ ดังแสดงมา
ด้วยประการฉะนี้.
...........................


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 17 โพสต์ ]  ไปที่หน้า ย้อนกลับ  1, 2

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 15 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร


cron