วันเวลาปัจจุบัน 30 มี.ค. 2024, 05:19  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2014, 06:52 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

แสงส่องใจ

ที่ระลึก วันอาสาฬหบูชา
๗ กรกฎาคม พระพุทธศักราช ๒๕๕๒

"สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา
สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา"


พุทโธ-พระพุทโธ

O เราท่านทุกคนต้องการมีความสุขกายสบายใจ ในแผ่นดินไทยที่ร่มเย็นเป็นสุขทุกหย่อมหญ้า จะสมปรารถนาแน่นอน ด้วยพร้อมใจกันอัญเชิญ "พระพุทโธ" หรือ "พุทโธ" ไว้ในจิตใจ "พุทโธ" หรือ "พระพุทโธ" คือ "พระพุทธเจ้า" การภาวนา "พุทโธ" ก็ตาม หรือ "พระพุทโธ" ก็ตาม ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับจิตใจ

O ดังเช่นเป็นชีวิต จะเป็นการประกาศตนให้กึกก้องไป ทั่วฟ้าดิน ว่าทุกคนเป็นสาวกผู้เทิดทูนสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า พระผู้ทรงความประเสริฐสูงส่งศักดิ์สิทธิ์ ทั้งหลายทั้งปวง จะยังความสมปรารถนาให้เกิดได้ยิ่งกว่าปาฎิหาริย์ แก่เราชาวพุทธทุกคน และแก่ประเทศชาติไทยของเรา

O การชักชวนกันให้ภาวนา "พุทโธ" หรือ "พระพุทโธ" ให้ทั่วบ้านทั่วเมือง แม้ทั่วทุกชีวิตจิตใจกึกก้องไปด้วยเสียง "พุทโธ" หรือ "พระพุทโธ"จะเป็นการปฏิบัติธรรมที่ยิ่งใหญ่ประการสำคัญ ที่คนพุทธกำลังพยายามปฏิบัติกันอยู่ด้วยความรักความห่วงใยในประเทศชาติที่รักยิ่งที่กลัวกันว่ากำลังตกอยู่ในอันตรายที่น่ากลัวที่สุด

O ขอให้ความกลัวภัยร้ายที่มีเหตุผลนี้ ได้ผลักดันเราคนพุทธทั้งหลายให้มอบชีวิตจิตใจถวายไว้กับสมเด็จพระบรมศาสดา ด้วยการภาวนา "พุทโธ" ก็ได้ "พระพุทโธ" ก็ได้ ไว้ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตจิตใจ กับลมหายใจเข้าออก จะเกิดบุญเกิดกุศลเกิดปาฏิหาริย์ยิ่งใหญ่ที่สุดของพระพุทธศาสนา

O ความเจริญรุ่งเรืองร่มเย็นเป็นสุขที่สุดจะเกิดแน่นอน จากเสียง "พุทโธ-พระพุทโธ" ในจิตใจที่กึกก้องอยู่ทั่วฟ้าดิน

O ต้องการความรุ่งเรืองร่มเย็นของชาติศาสนาพระมหากษัตริย์ จงมั่นใจในความประเสริฐสุดของ "พุทโธ-พระพุทโธ" อย่าให้คำทั้งสองนั้นจากใจ

O เมื่อใดเกิดความไม่สงบสุข เป็นทุกข์หงุดหงิดผิดปกติขึ้นในจิตใจ หรือเมื่อใดเกิดความทุกข์ยิ่งใหญ่ ให้ความเร่าร้อนรุนแรงด้วยเหตุใดก็ตาม ให้รู้ว่ากำลังละลืมมหามงคล "พุทโธ" หรือ "พระพุทโธ" แน่นอน

O อัญเชิญ "พุทโธ" หรือ "พระพุทโธ" เข้าสู่จิตใจเมื่อใด เมื่อนั้นจะไกลทุกข์ไกลร้อนทั้งปวง ด้วยมีมหาสิริมหามงคลใหญ่หลวงแห่งพระพุทธบารมีในสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าปกปักรักษา

O อย่าด่วนไม่เชื่อ และปฏิเสธยอดมหามงคลสูงสุดนี้ ชีวิตจะสวัสดี มีความสูงส่งสงบสุข อย่างมหัศจรรย์

O เชื่อหรือไม่เชื่อ ก็ลองเถิด ไว้ใจในความหวังดีที่แนะนำเถิด จะพบความมหัศจรรย์ของชีวิตแน่ที่สุด.

มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๒

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 ก.ค. 2014, 06:59 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 มี.ค. 2010, 16:12
โพสต์: 2298

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


แสงส่องใจ

(สมเด็จพระญาญสังวร)
สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก

"น ชจฺจา วสโล โหติ น ชจฺจา โหติ พฺราหฺมโณ
กมฺมุนา วสโล โหติ กมฺมุนา โหติ พฺราหฺมโณ"


"บุคคลเป็นคนเลวเพราะชาติก็หาไม่ เป็นผู้ประเสริฐเพราะชาติก็หาไม่
แต่เป็นคนเลวเพราะการกระทำ เป็นผู้ประเสริฐเพราะการกระทำ"


O ภาษิตที่อัญเชิญมาข้างต้นเป็นพระพุทธภาษิต พระพุทธพจน์ของสมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าสมเด็จพระบรมครูผู้ประเสริฐเลิศโลก เป็นพระพุทธวจนสุภาษิตที่ประเสริฐเลิศโลก หาที่เปรียบเสมอไม่มี เป็นคำทรงเตือนสติผู้ได้ฟังทุกถ้วนหน้า ผู้ใดฟังแล้วพยายามปฏิบัติตาม จะไม่เป็นคนเลว แต่จะเป็นคนดีแน่นอน.

O "แสงส่องใจ" เล่มนี้ เป็นเล่มบูชาในวันอาสาฬหะ ที่เรียกกันว่าวันอาสาฬบูชาตรงกับวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๘ ที่เป็นเดือนอาสาฬหะ จึงเรียกบูชาสำคัญในวันนี้ว่า วันอาสาฬหบูชา เป็นวันบูชาสำคัญ ก็เพราะเป็นวันพระพุทธองค์ทรงแสดงพระปฐมเทศนา หลังจากทรงตรัสรู้แล้ว ๒ เดือน ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ คือเดือนวิสาขะ จึงเรียกวันบูชาในเดือนวิสาขะว่าวันวิสาขบูชา.

O วันวิสาขบูชา คือวันเจ้าชายสิมธัตถะทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เป็นสมเด็จพระบรมศาสดาและวันอาสาฬหบูชา คือวันสมเด็จพระบรมศาสนดาทรงแสดงพระปฐมเทศนาโปรดท่านปัญจวัคคีย์โยคีย์ทั้ง ๕ และท่านโกณฑัญญะ ฟังพระปฐมเทศนานั้นแล้วได้ดวงตาเห็นธรรม

คือรู้ว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา" และสมเด็จพระบรมศาสดาได้ทรงประกาศให้เป็นที่รู้ในหมู่โยคีย์ทั้ง ๕ ที่ได้ฟังพระธรรมเทศนากัณฑ์ แรกจากพระโอษฐ์สมเด็จพระบรมศาสดา และท่านโกณฑัญญะเป็นผู้เดียวในโยคีย์ทั้ง ๕ ที่ได้ดวงตาเห็นธรรม

โดยสมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศรับรองความเห็นธรรมที่ทรงแสดงในพระปฐมเทศนา อัญญาโกณฑัญญะ คือโกณฑัญญะได้รู้และหนอ รู้แล้วที่ทรงแสดงหมายถึงทานโกณฑัญญะได้รู้แล้วว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา" ความรู้นั้นเป็นความรู้ของพระโสดาบัน อริยบุคคลระดับแรกในอริยสงฆ์ ๔ ระดับ ผู้รู้ตามความทรงตรัสรู้ของสมเด็จพระบรมศาสดา.

O พระพุทธองค์ทรงประกาศตั้งพระพุทธศาสนาขึ้น ในการทรงแสดงพระปฐมเทศนาโปรดท่านปัญจวัคคีย์และท่านโกณฑัญญะได้ดวงตาเห็นธรรม ที่สมเด็จพระบรมศาสดาทรงประกาศรับรอง ว่าท่านโกณฑัญญะรู้แล้ว คือรู้แล้วว่า "สิ่งใดสิ่งหนึ่งมีความเกิดขึ้นเป็นธรรมดา สิ่งนั้นทั้งปวงมีความดับไปเป็นธรรมดา"

ได้เป็นสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา ทำให้พระพุทธศาสนาสมบรูณ์เป็นครั้งแรก มีพร้อมทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรมที่ทรงตรัสรู้และทรงแสดงเป็นครั้งแรก ทำให้เกิดพระอริยสงฆ์องค์แรก คือท่านอัญญาโกณฑัญญะ ที่พระพุทธองค์ทรงประกาศรับรองเท่ากับเป็นการตั้งพระพุทธศาสนาเป็นครั้งแรกในวันนั้น วันที่มีทั้งพระพุทธเจ้า พระธรรมทีทรงแสดงในพระปฐมเทศนาและพระอริยสงฆ์คือพระอัญญาโกณฑัญญะ.

O ผู้นับถือพระพุทธศาสนา โดยเฉพาะที่ยังเป็นผู้เยาว์ ควรรู้จักพระพุทธศาสนาของตนให้ชัดเจน คือขอให้รับรู้ให้ถูกต้องชัดเจนว่าวันวิสาขบูชาคือวันพระสิทธัตถะทรงตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ สิ้นกิเลสทั้งปวงทรงเป็นพระพุทธเจ้า วันอาสาฬหบูชาคือวันพระพุทธองค์ทรงตั้งพระพุทธศาสนา ด้วยการทรงแสดงพระปฐมเทศนาโปรดท่านปัญจวัคคีย์จึงเกิดสงฆ์องค์แรกในพระพุทธศาสนา คือท่านอัญญาโกนฑัญญะ อริยสงฆ์โสดาบันองค์แรก

พระพุทธศาสนาเกิดขึ้นครบองค์ คือ ทั้งพระพุทธ พระธรรมและพระสงฆ์ ในวันอาสาฬหบูชา ปีพระพุทธศักราช ๒๕๕๒ นี้ตรงกับวันที่ ๗ กรกฎาคม และวันรุ่งขึ้น คือวันที่ ๘ กรกฎาคม เป็นวันเข้าพรรษา.

O พระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนา มี ๔ อันดับ คือ พระโสดาบัน พระสกิทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์ ซึ่งเป็นที่รู้กันว่าท่านผู้บรรลุธรรมชั้นโสดาบันก็ตาม สกิทาคามีก็ตาม อนาคามีก็ตาม ไม่อาจรู้ได้ด้วยตนเองว่า ได้บรรลุธรรมขั้นใด ต่อเมื่อกิเลสในใจหมดจดสิ้นเชิง ได้เป็นพระอรหันต์ จึงจะรู้ได้ด้วยตนเอง ไม่เช่นนั้นต้องรู้จากท่านผู้มีกิเลสหมดจดแล้วสิ้นเชิงเป็นผู้บอกให้

ท่านผู้รู้ท่านให้เหตุผลในเรื่องนี้ว่า เพราะเมื่อกิเลสยังไม่หมดจดสิ้นเชิงยังหลงเหลืออยู่ ก็ย่อมไม่อาจรู้ได้ ว่า กิเลสในใจตนอยู่ในระดับใด นั่นก็คือย่อมไม่รู้ว่าตนมีธัมมะในระดับไหน เมื่อใดกิเลสหมดจดสิ้นเชิง ย่อมรู้ชัด จึงย่อมรู้ว่า ธัมมะของตนคือธัมมะของพระอรหันต์ ที่สมเด็จพระพุทธองค์ทรงประกาศรับรองไว้แล้วว่า พระอริยบุคคลในพระพุทธศาสนามีพระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี และพระอรหันต์.

O พระอรหันต์ คือผู้ปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาจนกิเลสหมดจดแล้วจากจิตใจ ท่านว่าจะไม่มีการเกิดอีกต่อไป นั่นก็คือท่านผู้ได้ธัมมะเป็นพระอรหันต์แล้วจะไม่มีความทุกข์อีกต่อไป เพราะพระพุทธองค์ทรงมีพระพุทธภาษิตแสดงไว้ว่า "การเกิดเป็นทุกข์" เมื่อพระอรหันต์ท่านไม่มีการเกิดอีกต่อไปแล้ว ท่านก็เป็นผู้ไม่มีความทุกข์อีกต่อไปแล้ว ได้รับรู้ความจริงนี้แล้ว น่าที่จะมีผู้เห็นความสำคัญที่สุดของการไม่เกิด คือการไม่ต้องกลับมาเกิดอีก

สำคัญที่ว่าผู้ฟังพระพุทธภาษิตนี้ที่ว่า "การเกิดเป็นทุกข์" จะต้องพิจารณาให้เห็นชัดเจนในความหมายของพระพุทธภาษิตที่ว่า "การเกิดเป็นทุกข์" ดูชีวิตของตน ในชาติที่กำลังเกิดเป็นมนุษย์นี้ ว่ามีความทุกข์เพียงไหนหรือมีแต่ความสุข ทุกคนย่อมรับกับตนเองแน่นอน ว่า "การเกิดเป็นทุกข์" จริงดังพระพุทธพจน์ มิได้ผลเลยแม้แต่น้อย "การเกิดเป็นทุกข์" แท้ แล้วทำไมจึงแทบจะไม่มีใครเลยที่พยายามปฏิบัติ เพื่อความไม่ต้องเกิดอีกต่อไป.

อ่านต่อที่นี่ครับ :b8: :b1:
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=33155

.....................................................
"พุทโธ .. พุทโธ .. พุทโธ"
ภาวนาวันละนิด จิตแจ่มใส


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 35 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร