ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ดูเขา เห็นเรา : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=48051
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 29 มิ.ย. 2014, 07:21 ]
หัวข้อกระทู้:  ดูเขา เห็นเรา : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

พุทธ เชน ฮินดู เปลือกดูคล้าย เนื้อในคนละอย่าง


คำว่า “นิครนถ์” นั้นแปลว่า ไม่มีกิเลสเครื่องผูกรัด หมายความว่า ไม่ยึดถืออะไรทั้งสิ้น แม้แต่ผ้าก็ไม่ต้องนุ่ง เพราะฉะนั้น พวกเชน หรือนิครนถ์นี่ เขาถือว่าเขาไม่ยึดติดถือมั่นในอะไร เขาก็เลยไม่นุ่งผ้า

ทีนี้ มาถึงรุ่นลูกศิษย์ ศาสนาเชนได้แตกเป็น ๒ นิกาย เพราะอีกนิกายหนึ่งคงคิดว่า ถ้าไม่นุ่งผ้าเห็นจะไม่ไหว ก็เลยนุ่งผ้าขึ้นมา แต่นุ่งผ้าขาว เลยเกิดเป็น ๒ นิกาย

นิกายหนึ่งเป็นทิคัมพร นุ่งลมห่มฟ้า และอีกนิกายหนึ่ง เศวตัมพร นุ่งผ้าขาว

ในเรื่องนี้ มีคติอย่างหนึ่งให้เราพิจารณาว่า พระพุทธศาสนาก็สอนให้ไม่ยึดติดถือมั่นเหมือนกัน ศาสนาเชนเขาไม่ยึดติดถือมั่น อยู่อย่างธรรมชาติ ถึงขนาดที่ไม่นุ่งผ้า

แต่พระพุทธศาสนาเราเป็นมัชฌิมาปฏิปทา คือ ทางสายกลาง ความไม่ยึดติดถือมั่นนั้น หมายถึงภาวะจิตใจที่เป็นอิสระ ไม่เป็นทาสของวัตถุหรือสิ่งของทั้งหลาย แต่ด้วยปัญญาที่รู้เข้าใจความจริงนั้น ก็รู้เหตุรู้ผลในสมมติ และปฏิบัติต่อสมมติให้ถูกต้อง ด้วยความรู้เท่าทัน โดยทำไปตามเหตุผล

ฉะนั้น ในพระพุทธศาสนาจึงมีลักษณะที่ให้คนทำอะไรเข้มแข็งจริงจังมีความรับผิดชอบ คือว่า ความไม่ยึดมั่นถือมั่น ไม่ใช่ความไม่เอาเรื่องเอาราว ฉะนั้น ถ้าเราศึกษาพระพุทธศาสนาให้ครบ เราจะเห็นได้จากด้านพระวินัยมาประกอบว่า พระพุทธศาสนาที่แท้เป็นอย่างไร

ถ้าศึกษาด้านธรรม แล้วจับผิดจับถูกไม่รู้จริง เราอาจจะมองในแง่ที่ธรรมสอนว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ควรยึดมั่นถือมั่น ควรปล่อยวาง อะไรต่ออะไรก็เป็นไปตามธรรมดาของมัน ก็เลยปล่อยไปตามเรื่อง ไม่เอาเรื่องเอาราว แล้วคิดว่านี่คือไม่ยึดติดถือมั่น

บางทีศึกษาธรรมแบบมองเอียงไปข้างเดียว เลยโน้มเอียงที่จะเข้าใจไปทางนั้น ไม่มีเครื่องกำกับให้มองให้ตรงพอดี

แต่พอมาศึกษาพระวินัยแล้ว จะได้เครื่องช่วยกำกับการมองที่จะทำให้เห็นทั่วชัดจริง

พระวินัยนั้น อย่างที่พูดแล้ว แสดงให้เห็นแบบอย่างแห่งชีวิตของพระ และช่วยให้เราได้ชีวิตของพระไว้เป็นแบบอย่าง

หมายความว่า ชีวิตของพระที่อยู่ตามวินัยนั้น ท่านจัดไว้ตามแบบอย่าง และให้เป็นแบบอย่าง


เอาอะไรเป็นแบบ ก็เอาชีวิตของท่านที่หลุดพ้นนั่นแหละเป็นแบบ วินัยแสดงตัวแบบให้รู้ว่าการดำเนินชีวิตของพระที่เป็นอยู่ในโลกนี้อย่างถูกต้องเป็นอย่างไร คือ ด้านหนึ่งยอมรับความจริงของสมมติ และดำเนินชีวิตตามแบบแผนที่ดีงามเป็นแบบอย่าง ขณะที่อีกด้านหนึ่งเข้าถึงความจริงของปรมัตถ์ มีความโล่งเบาเบิกบานไม่ยึดติดเป็นอิสระ

อย่างพระมีจีวรแค่ ๓ ผืน แต่ท่านต้องมีความรับผิดชอบในสิ่งที่ท่านมีซึ่งตนเกี่ยวข้องอยู่นั้น ถ้าจีวรอธิษฐาน คือผืนที่กำหนดไว้สำหรับตัว เกิดขาด มีรูโหว่เท่าหลังเล็บนิ้วก้อย แล้วปล่อยไว้ ไม่ปะชุน ก็ขาดอธิษฐาน แล้วก็ขาดครอง ก็ต้องอาบัติ มีความผิด จะเห็นว่ามีความรับผิดชอบมากขนาดไหน

ที่พูดนี้ เหมือนว่าตรงข้ามกับที่เข้าใจมาก่อน ที่อาจจะคิดว่า ไม่ยึดมั่น คือไม่เอาเรื่องเอาราว จีวรก็ไม่ใช่ของเราจริง เป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา จีวรจะเป็นอย่างไรก็ช่างมัน สกปรกก็ช่างมัน มันจะขาดจะเปื่อย ก็เรื่องของมัน ซึ่งถ้าเข้าใจอย่างนั้น ก็ผิดเต็มที่

วินัยของพระไม่ยอมให้เลย อย่างที่ว่าเมื่อกี้ แม้แต่ขาดรูโหว่เพียงเท่าหลังเล็บนิ้วก้อย ไม่รีบปะชุน ก็ไม่ได้ สกปรกไม่ได้

ระวังกันหน่อย เดี๋ยวญาติโยมจะเข้าใจผิด เห็นพระองค์ไหนสกปรก รกรุงรัง จีวรสกปรก ไม่ซัก แสดงว่าท่านไม่ยึดมั่นถือมั่นแล้ว ก็เลยเลื่อมใส จะไปกันใหญ่ นี่แหละ ธรรมวินัยจึงคู่กัน

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 29 มิ.ย. 2014, 07:30 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ดูเขา เห็นเรา

พระพุทธศาสนาไม่ยอมรับการปฏิบัติของเชน ที่ว่าไม่นุ่งผ้าแสดงว่าไม่ยึดมั่นถือมั่น พระพุทธศาสนาบอกว่า เราต้องเข้าถึงความจริงของสิ่งทั้งหลาย ซึ่งทำให้เรามีจิตใจเป็นอิสระ ไม่ตกเป็นทาสของวัตถุเหล่านั้น แต่เรายอมรับความจริงโดยเหตุผลอย่างรู้เท่าทันว่า สิ่งที่มนุษย์ได้วางกันเป็นสมมตินี้ เป็นไปตามความมุ่งหมายเพื่อการใช้ประโยชน์ในสังคม ต้องปฏิบัติไปตามเหตุผลด้วยปัญญา

เพราะฉะนั้น พระอรหันต์ก็จึงเป็นผู้นำในการปฏิบัติตามสมมติ กลายเป็นเป็นว่าพระอรหันต์ถือสมมติสำคัญ เอาจริงเอาจังในเรื่องสมมติ แต่ทำด้วยความรู้เท่าทัน สมมติเป็นเรื่องที่จะต้องรู้เท่าทัน แล้วปฏิบัติด้วยความรู้เท่าทัน

หลายท่านเข้าใจสมมติเป็นเหลวงไหลไป แต่สมมติไม่ใช่หมายความว่าเป็นเรื่องเหลวไหล ตรงข้าม สมมติ คือ สํ (ร่วมกัน) + มติ = มติร่วมกัน ได้แก่ ข้อตกลง การยอมรับร่วมกัน หรือสิ่งที่เห็นร่วมกันแล้วกำหนดวางเป็นข้อที่จะหมายรู้หรือที่จะปฏิบัติไปตามนั้น

ด้วยเหตุนี้ สมมติ แม้จะไม่มีสภาวะที่เป็นความจริงแท้ แต่เป็นความจริงที่มีผลอันสำคัญตามตกลง จะต้องกำหนดวางสมมตินั้นด้วยปัญญา แล้วปฏิบัติให้สมตามสมมติด้วยปัญญาที่รู้เหตุผลอย่างจริงจัง


(จาริกบุญ จารึกธรรม พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต) หน้า ๔๕๗)

เจ้าของ:  กรัชกาย [ 29 มิ.ย. 2014, 07:33 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ดูเขา เห็นเรา

ชาวพุทธบ้านเรา ควรทำความเข้าใจความหมาย "สมมติ" ให้ชัด :b1:

เจ้าของ:  Bluesky [ 07 ก.ค. 2014, 23:23 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ดูเขา เห็นเรา : พระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ.ปยุตฺโต)

:b42: กราบอนุโมทนาบุญ พุทธังรักษา ธัมมังรักษา สังฆังรักษา ท่านใดมีทุกข์ขอให้พ้นทุกข์ ท่านมีความสุขขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไปนะเจ้าค่ะ สาธุอนุโมทามิ tongue tongue tongue Kiss

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/