วันเวลาปัจจุบัน 25 เม.ย. 2024, 15:05  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 22 ธ.ค. 2011, 08:57 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 1
สมาชิก ระดับ 1
ลงทะเบียนเมื่อ: 01 เม.ย. 2010, 16:17
โพสต์: 31

แนวปฏิบัติ: มีสิ่งสมมุติ รู้ทันสมมุติ ใช้สมมุติ วางสมมุติ ไม่มีสมมุติ
งานอดิเรก: ฝึกธรรม
สิ่งที่ชื่นชอบ: ธรรม
ชื่อเล่น: โอ ระยอง
อายุ: 45
ที่อยู่: 4/177 หมู่บ้านชณากาญจน์1 ระยอง

 ข้อมูลส่วนตัว


จะมีซักกี่คนทีี่จะรู้ซึ้งถึง นิพพานที่แท้จริงอย่างแจ่มแจ้งถึงดินแดนแห่งโลกุตระนั้นแล้วนำมาบอกกล่าวอย่างถูกต้อง มิผิดเพี้ยน ซึ่งถ้าหากหลงทางแล้วก็จะต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดมิรู้จักจบสิ้น จึงเรียกกันว่าวัฎฏะสงสารคือหมุนวนอยู่อย่างนั้นสิ่งที่นำสัพพสัตว์ทั้งหลายมาเกิดมาจุตินั้นก็คือ"ดวงจิตที่มีวิบากกรรม"วิบากกรรมนั้นมีทั้งชั่วและดีปนกันอยู่ วิบากกรรมเปรียบเสมือนเชือกที่มัดคอโคแล้วจูงโคนั้นไปในที่ต่างๆ มิอาจจะขัดขืนได้วิบากกรรมนั้นมาจากไหนเล่า ก็มาจากกิเลศ-ตัณหา กิเลศ-ตัณหา นั้นเปรียบเสมือนเชือกที่มัดดวงจิตแล้วจูงให้มาเกิดมาจุติในที่ต่างๆ ตามวิบากแห่งกรรมนั้นๆหรือตามลำดับแห่งวิบากกรรมที่ได้กระทำไว้ ซึ่งมีมากมายเหลือคณานับและเมื่อดวงจิตนั้นๆมาเกิดแล้วในร่างกาย ที่มีเนื้อหนังเอ็นกระดูกเจ้ากิเลศตัณหามันก็ตามมาด้วย มันก็เริ่มสร้างฐานที่มั่นในร่างกายนี้เพื่อสะสมอาวุธเพื่อจะไปในภพหน้าทันที หรือที่เราเรียกว่า "ใจ" นั่นเอง เราอาจพูดได้ว่าใจ ของเรานั้น มันก็คือพญามาร ที่มีลูกน้อง ก็คือ หูตา จมูก ลิ้น กายใจเป็นตัวคอยส่งเสริม ส่งเสบียง ส่งกำลัง ให้กับมารก็คือใจของเรานี่เองเมื่อหูตาจมูกลิ้นกายใจ ได้สัมผัส ลิ้มรส แล้ว ก็ส่งความรู้สึกนั้นไปที่ใจไปให้มาร ไปบำรุงมาร ให้กำเริบ ลุ่มหลง ร้อนรุ่ม ซึ่งเป็นสิ่งที่ใจนั้นต้องการอยู่แล้วใจ นั้น จะอยู่ไม่ได้เลย ถ้าไม่มีร่างกาย ให้อาศัย กิน ตื่่นและหลับนอน เมื่อสิ้นร่างกาย ใจ นั้นก็จะตายไปด้วย แต่สิ่งที่ใจนั้นสะสมมา กลับกลายมาเป็นเสบียงให้กับดวงจิต พาดวงจิต ไปพบวิบากกรรม ซึ่งเป็นผลมาจากกิเลศ ตัณหา ซึ่งใจนั้นได้เตรียมไว้ก่อนแล้วตอนที่มีชีวิตอยู่อันดวงจิต ของเราทุกคนนั้น ผ่องใสมาแต่เดิม เพียงแต่ถูกเจ้ากิเลศตัณหามาห่อหุ้มไว้ แล้วนำพาไปเกิด ไปจุติ ในที่ต่างๆ เช่น นรก สวรรค์ พรหมโลกเมืองมนุษย์ เมืองบาดาล หรือเมืองลับแลดวงจิตที่มาเกิดในเนื้อหนังเอ็นกระดูก จะมีใจเป็นที่ตั้งหรือจะเรียกว่ามีมารเป็นที่ตั้งก็ได้ หากไม่มีร่างกายแล้ว ใจนั้นก็ไม่มี เพราะใจนั้นต้องการสัมผัสและรับรู้สิ่งต่างๆ ร่างกายนั้นเป็นเครื่องมือของใจหรือของมาร เมื่อรับรู้แล้วก็จะส่งมาที่ใจทำไมเทวดาจึงอยากจะมาเกิดเป็นมนุษย์ ก็เพราะว่าจะได้ มีร่างกายให้ใจที่เป็นที่อยู่แห่งมารนั้นได้อาศัย เพื่อจะได้เจอกับพญามารได้สัมผัสมารของจริงตัวจริง เพื่อจะกำจัดมันทิ้งซะ เพื่อทำให้ถึงแจ้งซึ่งโลกุตระนั้นแต่เทวดาบางคนได้มาเกิดเป็นมนุษย์แล้วก็ลืมสิ่งที่ตั้งใจจะทำก่อนมาเกิดเหมือนมีเมฆหมอกมาบดบังแสงแห่งดวงจันทร์ การเกิดเป็นมนุษย์จึงเป็นสิ่งที่วิเศษที่สุดแล้ว หากเกิดเป็นมนุษย์แล้วไม่ได้ทำให้ถึงซึ่งโลกุตระแล้ว ก็นับว่าเสียโอกาส อย่างน่าเสียดายคนที่จะไป นิพพาน ก็ต้องรู้แจ้งถึงนิพพาน อย่างถ่องแท้ มิผิดเพี้ยนอุปมาเหมือนคนขับรถ ก็ต้องรู้เส้นทางและจุดหมายที่จะไป จึงจะไปถึงจุดหมาย ได้รวดเร็ว และปลอดภัย หากไปโดย มิได้ศึกษาเส้นทางหรือมิรู้เส้นทางเลยก็ต้องหลง แวะถาม ถ้าเค้าบอกผิดก็หลงทางไปกันใหญ่ เสียเวลา ไปถึงจุดหมายไม่ทันเวลา หรืออาจจะไปไม่ถึงจุดหมายด้วยซ้ำไป เรียกว่าเสียนาทีทองไปมนุษย์เราทุกคนเกิดมา มีใจเป็นที่ตั้ง มีลูกน้องคือการรับรู้สัมผัสแล้วส่งกลับไปที่ใจเ้พื่อสะสมเป็นวิบากกรรมเพื่อเป็นเสบียงนำพาดวงจิตไปในภพหน้าหากสิ้นร่างกายนี้ไปแล้ว การรับรู้สัมผัส แล้วส่งกลับมาที่ใจนั้นส่งผลให้เกิดสองสิ่งคือ ทุกข์และสุข สองสิ่งนี้รวมกันแยกกันไม่ออก หากแยกทุกข์และสุขได้ เราคงไม่ต้องหาหนทางไปนิพพาน แต่เราแยกไม่ได้ ก็ต้องหาหนทางอื่น เพื่อให้พ้นจากมัน อันความสุขนั้นมนุษย์ ต้องไขว่คว้าหามา ส่วนความทุกข์ไม่ต้องหามันมีของมันอยู่แล้วเดี๋ยวเมื่อถึงเวลามันก็มาของมันเอง เรื่องของทุกข์และสุขนั้น ใจเป็นผู้ตัดสินเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้ว เราจะให้ใจที่เราเรียกว่าใจมารมาตัดสินหรือมาสำเร็จโทษเราหรือ เมื่อใจนั้น ได้ส่งลูกน้อง ไปรับรู้สัมผัส ทุกข์และสุข ก่อนที่ลูกน้องของใจจะส่งคืนทุกข์และสุขนั้นๆให้กับใจ เราก็ดับมันก่อนจะถึงใจ ใจมันก็งง เราดับด้วยอะไร ก็ดับด้วยสติปัญญาของดวงจิตที่ผ่องใสตอนนี้จิตต้องต่อสู้บ้างแล้วนะอย่ายอมใจและลูกน้องของมันเพราะเรายอมมันมานานแล้ว เมื่อทำอย่างนี้เรื่อยๆ ใจมันก็ไม่รับทุกข์ไม่รับสุข ลูกน้องของใจคือหูตาจมูกลิ้นกายใจ ก็ถูกปลดปล่อยจากใจ ในที่สุดใจนั้นไม่มีลูกน้องคอยส่งเสบียงไม่นานเสบียงที่จะไปสู่ภพหน้าก็หมดลงดวงจิตที่เคยมีเมฆหมอกมาบดบังก็พลอยสว่างไสว สติปัญญาละเอียดของแท้ของธรรมชาติก็เกิดขึ้น ไม่มีทุกข์ร้อนใดๆ ถึงตอนนี้ เรียกว่า นิพพานดิบหรือนิพพาน ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ เมื่อใครทำถึงขั้นนี้แล้วก็ไม่ยากที่จะไปต่อเมื่อยังมีร่างกายย่อมมีดวงจิตอยู่แต่เป็นดวงจิตดั่งเดิมที่ผ่องใสไม่มีกิเลศตัณหาหลงอยู่เลยพร้อมที่จะตีตั๋วที่จะไปนิพพานซึ่ง นิพพานนั้นไม่มีอะไรทั้งสิ้นจะเข้าไปได้ เป็นที่ซึ่งไม่มีจิต ไม่มีกิเลศ ตัณหา ไปอาศัย หากท่านใดถึงขั้นนี้แล้วแต่ก่อนตายคิดว่าจิตนั้นต้องไปอาศัยอยู่ในนิพพาน น่าเสียดายมาก ที่จิตนั้นจะต้องไปเกิดในอรูปพรหมชั้นสูง(นิพพานพรหม)ที่มีอายุยืนยาวนับไม่ได้เลยแล้วในที่สุดก็ต้องมาเกิดอีก การจะเข้านิพพานแม้แต่จิตที่หมดจดผ่องใสดั่งเดิมแท้ก็เข้าไปไม่ได้ จงใช้สติปัญญาที่ละเอียดอ่อนนั้นแห่งจิต ดับจิตเสียมิมีสิ่งใดเป็นที่มามิมีสิ่งใดเป็นที่ไปไม่มีใครอยู่ไม่มีใครตาย เมื่อจิตดับ สติปัญญาก็นิ่งคงอยู่อย่างนั้น ประตูนิพพานก็เปิดออกบรมสุขอยู่อย่างนั้น จบสิ้นการเวียนว่ายตายเกิด...
.............................................................................................
ผมนั้นไม่ได้อวดเก่งหรือให้ใครมาเชื่อหรือนับถืออะไร ผมเพียงแต่จะหาหนทางหลุดพ้นไว้ก่อนล่วงหน้า ถึงตอนนี้จะยังไม่พร้อม แต่เมื่อพร้อมแล้วก็จะได้ไม่ต้องหลง จะได้ไม่เสียเวลา เสียโอกาส เสียนาทีทอง อีกต่อไป...พระนิพพานอย่าว่าอยู่ที่นั้นที่นี่เป็นอย่างนั้นอย่างนี้หรือคาดหมายเลยแต่เป็นที่สุดแห่งโลกมีอยู่จริง ฝึกฝนได้แต่พอถึงต้องปล่อยวางไม่ยึดถือ ยึดติด ขอตอบท่านที่สงสัยในนิพพาน
1.วิบากกรรมจะส่งผลเฉพาะผู้ที่มีกิเลศตัณหาหลงเหลืออยู่เมื่อตายแล้วกิเลศตัณหาก็จูงจิตไปส่งผลเป็นวิบากกรรม สำหรับพระอรหันต์นั้นท่านสิ้นอาสวะไม่มีกิเลศตัณหาหลงอยู่ เมื่อท่านตายกิเลศตัณหาไม่มี วิบากกรรม จะมีที่ไหนเหล่า หากจะมีเศษกรรมก็เฉพาะตอนมีชีวิตอยู่เท่านั้น เพราะร่างกายท่านนั้นเกิดจากกิเลศตัณหาสร้างขึ้นแม้ท่านจะรับกรรมจากเศษกรรม แต่จิตของท่านก็ไม่วิตกหวั่นไหวในเศษกรรมนั้น
2.นิพพานเอาจิตเข้าไปไม่ได้ เพราะจิตแท้เดิมทีเดียวนั้นเป็นของโลกไม่ใช่ของเราเพียงแต่เรายึดครองเค้ามานานด้วยกิเลศตัณหานานแสนนานแล้วจนคิดว่าจิตนั้นเป็นของๆเรา เราจะขโมยของๆโลกเข้าไปในนิพพานด้วยหรือ เมื่อมีจิตก็ต้องมีเกิดไม่มีจิตก็ไม่มีเกิดหากคิดว่าจิตนั้นเป็นของๆเราต้องเอาเข้าไปเสวยสุขในนิพพานด้วยแล้วนั้นคิดผิดจึงมีพระพรหมมากมายก็เพราะทำอย่างนี้อายุของพระพรหมนั้นยาวนานมากนับเป็นล้านๆปีของพรหมกว่าจะหมดอายุขัยแล้วมาเกิดเป็นมนุษย์แล้วมาทำให้แจ้งถึงพระนิพพานอีกครั้งเสียเวลายาวนานมากๆนับว่าน่าเสียดาย พระนิพพานไม่ใช่ที่ที่จะคาดหมายว่าจะไปอยู่เพียงแต่ฝึกให้รู้ไว้ก่อนได้แต่เมื่อจะไปจริงๆสัมภาระทั้งหมดต้องทิ้งไว้เบื้องหลังทั้งหมด จิตนั้นเป็นลมเกิดอยู่สำหรับโลกให้ถือว่ามีไว้เพื่อให้รู้จักการบุญการกุศลบาปบุญคุณโทษนรกสวรรค์และนิพพานคือที่สุดของการถือไว้เท่านั้นนะเมื่อถึงเวลาไปนิพพานจริงๆก็ต้องปล่อยไม่ถือครองอันจิตนั้นโลกเค้าตั้งสร้างแต่งไว้ก่อนเรา เราจึงเข้ามาอาศัย เมื่อจะเข้านิพพานจึงต้องวางจิตใจคืนไว้ให้กับโลกตามเดิมเสียก่อนวางไม่ได้เป็นโทษไม่อาจถึงพระนิพพานได้อนึ่งคนทั้งหลา่ยที่ไปบังเกิดเป็นอรูปพรหม อันปราศจากความรู้นั้นก็ล้วนแต่บุคคลที่ปราถนาพระนิพพาน แต่ไม่รู้จักวางจิตให้สิ้นนั้นเองเพราะจิตนั้นยังมีวิญญาณอาศัยและเข้าใจว่าเป็นจิตของตัวและเข้าใจว่าพระนิพพานมีอยู่ในเบื้องบนนั้นตัวก็นึกเอาจิตของตัวไปเป็นสุขอยู่ในที่นั้นเมื่อตายแล้วก็พาเอาตัวขึ้นไปอยู่ในที่ไม่มีรูปตามที่จิตตนนึกไว้นั้นคนที่ได้ไปอยู่ในอรูปพรหมแล้วจะกลับมาได้พระนิพพานนั้นช้านานยิ่งนักเพราะอายุของอรูปพรหมนั้นยืนยาวมากนับไม่ได้เราเรียกนิพพานนี้ว่า นิพพานโลกีย์ ต่างกันที่มิได้ดับวิญญาณหรือจิตเท่านั้นถ้าดับวิญญาณหรือจิตก็เป็นนิพพานโลกุตระได้ส่วนความสุขในพระนิพพา่นทั้งสองนั้นก็ประเสริฐเลิศโลกเสมอกัน แต่นิพพานโลกีย์เป็นนิพพานที่ไม่สิ้นสุดเท่านั้นเมื่อสิ้นอำนาจของฌานแล้วจะต้องมาเกิดแก่เจ็บตายอีก โลกุตระนั้นปราศจากวิญญาณหากที่ใดมีวิญญาณก็จะต้องกลับมาเกิดอีก โลกุตระนั้นไม่มีวิญญาณจึงไม่มีเกิดแก่เจ็บตายการวางจิต ก็คือการ วางทุกข์สุข รักโลภโกรธหลง ไม่เป็นเจ้า้ของสิ่งใดๆทั้งสิ้นแม้จิตอันนั้นที่คิดว่าเป็นของๆเรามันก็ไม่ใช่ของเราหากคิดว่าเป็นของๆแล้วจะเอาเข้านิพพานด้วยก็ไม่พ้นนิพพานโลกีย์ นิพพานโลกุตระนั้นไม่อาจเรียกได้ว่าอยู่ตรงนั้นตรงนี้หรือคาดหมายว่าจะเอาจิตไปอยู่ได้ ต้องวางจิตคืนให้กับโลกเสียก่อนจึงจะไปได้ ซึ่งที่นั้น ไม่มีวิญญาณจึงไม่มีจิตที่จะไปเกิดได้ ไม่มีกิเลศตัณหา อุปาทาน จึงเป็นบรมสุข เรียกว่าที่สุดของโลกหรือโลกุตระนิพพาน นั่นเอง @ในส่วนตัวแล้ว@ เมื่อไม่มีจิตไม่มีวิญญาณ แล้วคำว่าบรมสุขในนิพพานโลกุตระ มันมาจากไหนกันเล่า อย่าลืมว่าการจะปล่อยวางจิตและวิญญาณก่อนจะเข้านิพพานนั้นจะต้องใช้สติปัญญาที่ละเอียดอ่อนสูงมากเป็นสติปัญญาเรียกได้ว่าเป็นความรู้แจ้งสูงสุดก็ว่าได้ เมื่อวางจิตวางวิญญาณด้วยปัญญานั้นได้แล้ว สิ่งที่อยู่ก็คือปัญญาอันรู้แจ้งโลกที่ไม่มีใครเป็นเจ้าของหรือเรียกว่าความรู้แจ้งโลกก็ได้อยู่คู่กับคำว่าบรมสุขเรียกว่าโลกุตระนั่นเอง ตัวของเราเหลือแต่ความรู้แจ้งโลก ความรู้แจ้ง ที่ไม่มีจิต ไม่มีวิญญาณ จึงมาเกิดไม่ได้ อีกต่อไป เรียกว่ากลายเป็นความรู้แจ้งของธรรมชาติที่เป็นส่วนหนึ่งของโลกไปเลยก็ว่าได้ นิพพานจึงหาที่อยู่ที่ตั้งไม่ได้เพราะว่าอยู่ได้ในทุกๆทีเป็นความรู้แจ้งในทุกสิ่งของธรรมชาติกลายเป็นส่วนหนึ่งของธรรมชาติไปแล้วธรรมชาติที่รู้แจ้งแทงตลอดอย่างแจ่มแจ้งเด่นชัด ลองคิดดูว่า ไม่กินไม่หิวไม่หนาวไม่ร้อนไม่ทุกข์ไม่โศก ไม่มีอะไรทั้งหมด มีแต่ความรู้แจ้งในทุกสิ่งทุกอย่างคงอยู่อย่างนั้นครอบคลุมไปในทุกที่ ทุกๆอนันตจักรวาลทั้งน้อยใหญ่ ทุกมิติภพภูมิ นรกสวรรค์ ทุกชั้นพรหม ไม่รู้จะเขียนยังไงให้มันลึกซึ้งไปกว่าใจนี้คิดอีกแล้ว
:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 61 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร