วันเวลาปัจจุบัน 28 มี.ค. 2024, 23:03  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2011, 21:26 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


หลวงพ่อ
กับเหตุการณ์ระหว่างปี พ.ศ. ๒๕๑๗-๒๕๒๐ ตอนที่ ๑
(จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่ม ๒)
โดย พล.ต.ท.นพ.สมศักดิ์ สืบสงวน


ในปัจจุบันนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อ พระราชพรหมยาน ” มีอายุมากแล้วและสุขภาพของท่านก็ไม่ค่อยดี อย่างที่ท่านได้แสดงธรรมให้พวกเราเห็นบ่อย ๆ เรื่องมรณานุสสติ การแสดงธรรมของท่านมีหลายครั้งที่ทำให้พวกเราตกใจ จนต้องปล่อยน้ำตาออกมากันก็หลายหน แต่ก็โดยธรรมอีกนั่นแหละ หากยังไม่ถึงวาระที่จะต้องดับขันธ์ (ตาย) แล้ว แม้จะมีอาการหนักขนาดไหน มีทุกขเวทนาปานใด ก็ยังตายไม่ได้ ร่างกายยังจะต้องอยู่เพื่อทำหน้าที่ของท่านให้หมดก่อน แต่เมื่อถึงวาระแล้ว ก็ไม่มีอะไรมาห้ามร่างกายท่านได้อีก (หมดหน้าที่ของท่าน) ที่ผมเขียนอย่างนี้ก็เพราะว่า อายุขัยของหลวงพ่อจริง ๆ มีเพียงแค่ ๒๗ ปี และไม่ยอมต่ออายุ ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่ปาน ท่านเตือนเพื่อจะต่ออายุให้ท่านก็ไม่เอา แต่ในที่สุดก็เสียท่าหลวงปู่ โดยหลวงปู่ให้ยกปลาไปปล่อยที่แม่น้ำ เพราะหลวงปู่แก่แล้วยกไม่ไหว นั่นแหละจึงได้มีอายุยืนยาวต่อมาอีกระยะหนึ่ง

หลังจากนั้นองค์สมเด็จ ท่านก็เมตตาต่อให้อีก เพราะงานที่พระองค์มอบหมายให้ทำยังไม่เสร็จ และต่อมาเรื่อย ๆ จนหลวงพ่อท่านไม่สนใจว่าร่างกายมันจะพังเมื่อใด คือ เมื่อใดก็เมื่อนั้น เพราะท่านพร้อมตายอยู่แล้วทุกขณะจิต และท่านก็เตือนพวกเราไม่ให้ประมาทในความตาย ให้คิดถึงความตายไว้ทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๒ หน คือ ตอนตื่นนอนกับตอนก่อนจะนอนกลางคืน ส่วนผู้ใดจะนึกถึงความตายมากกว่านี้ ก็เป็นความดีของผู้นั้น ท่านให้อุบายในการปฏิบัติหลาย ๆ อย่าง สุดแต่สภาพจิตหรือสภาวะจิตของผู้รับฟังในขณะนั้น จะพร้อมรับได้แค่ไหนและอย่างไร

สำหรับส่วนตัวผมประทับใจในอุบายที่ท่านสอน มีความโดยย่อว่าให้รู้ลมหายใจเข้าและออกไว้ตลอดเวลาในทุกอิริยาบถ เพราะผู้ใดรู้ลมหายใจเข้าและออกอยู่เสมอ เท่ากับผู้นั้นเป็นผู้ไม่ประมาทในความตาย ถ้าเราหายใจเข้าแล้วหายใจออกไม่ได้เราก็ตาย หรือถ้าเราหายใจออกแล้วหายใจเข้าไม่ได้ เราก็ตายเช่นกัน ความตายอยู่แค่จมูก ลมหายใจจึงเป็นเครื่องชี้บอกความตายแก่เราได้ตลอดเวลา เหตุผล
๑. ทางแพทย์ หากเราหยุดหายใจแค่ประมาณ ๒ นาทีเราก็ตาย
๒. ทางธรรม พระองค์ตรัสไว้เกี่ยวกับอาหารของกายมี ๒ อย่าง คือ กวฬิงกราหาร (อาหารที่บริโภคทางปาก) กับ ผัสสาหาร (อาหารคือลมหายใจ บริโภคทางจมูก) ทั้ง ๒ อย่างต่างเกี่ยวเนื่องกันและกัน อาศัยซึ่งกันและกันอย่างใกล้ชิดผมขอสรุปว่า
ก. รู้ลม ก็เท่ากับรู้ความตาย ก็เท่ากับผู้ไม่ประมาทในธรรม หรือเป็นผู้มีสติ
ข. รู้ลม ก็คืออานาปานัสสติกรรมฐาน อันเป็นกรรมฐานใหญ่ที่สุดซึ่งครอบคลุมกรรมฐานอื่น ๆ ไว้ทั้งหมด กรรมฐานทุกกอง ต้องเริ่มจากกองนี้ก่อนทั้งสิ้น
ค. รู้ลมเท่ากับปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเกือบทั้งหมด เพราะในการปฏิบัติ พระองค์ได้สรุปคำสอนของพระองค์ ๘๔,๐๐๐ บท ให้เหลือประโยคเดียวคือ”จงอย่าประมาท” (หรือจงมีสติอยู่ตลอดเวลา พระอรหันต์ท่านจึงมีสติ, สัมปชัญญะสมบูรณ์ คือ เป็นผู้ไม่ประมาทแล้วนั่นเอง)
ง. การรู้ลมหรืออานาปานัสสตินี้ มีประโยชน์สุดประมาณ โปรดดูคำสอนของหลวงพ่อท่าน ซึ่งสอนอย่างละเอียดหลายครั้งหลายหน และทุกครั้งที่ท่านสอนวิธีปฏิบัติกรรมฐาน ก็ให้เริ่มจาก อานาปานัสสติก่อนทั้งสิ้น (โปรดทบทวนเอาเอง)


ผมในฐานะที่เป็นแพทย์ประจำตัวของท่านในอดีต ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.๒๕๑๗-๒๕๒๑ หลังจากนั้นมาก็มีแพทย์รุ่นน้องเข้ามาช่วยรับภาระและหน้าที่แทนผมตามลำดับ ผมก็ค่อย ๆ ผ่อนคลายภาระและหน้าที่ลง จนในปัจจุบันเกือบจะเรียกได้ว่าไม่ได้เข้าไปก้าวก่ายหน้าที่ในการรักษาเลย เป็นเพียงแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น
ในระหว่างปี - ๒๕๒๐ เป็นปีที่ประเทศไทยถูกแทรกแซง โดยพวกผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์ในทุก ๆ รูปแบบ จนพวกเราเกือบจะเสียท่าเขา หากด้วยบุญบารมีขององค์สมเด็จท่าน ช่วยสงเคราะห์ให้ประเทศไทยคงอยู่ เพื่อประกาศพระศาสนาของพระองค์ต่อไปจนครบ ๕,๐๐๐ ปี พวกคนไทยจึงรวมตัวต่อต้าน จนพวกเหล่าร้ายต้องแพ้ภัยตนเองไปในที่สุด
ในความรู้สึกส่วนตัวผมมีความเห็นว่า ในขณะนั้นมีข้าราชการบางส่วนที่มีจิตใจเลวร้ายข่มเหงราษฎร ซึ่งเป็นจุดอ่อนให้ฝ่ายตรงข้ามโจมตีอย่างหนัก ข่าวลือในด้านร้าย ๆ มีมากมาย ข้าราชการที่ออกหน่วยตามชนบทล้วนมีค่าหัวทั้งสิ้น รวมทั้งตัวผมเองก็มี


ในระยะนี้ องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และสมเด็จพระบรมราชินีนาถ ต้องออกแสดงเอง ต้องเสี่ยงต่อความตาย ทนต่ออุปสรรคและความยากลำบากนานาประการและทนต่อข่าวลือในทางลบ(คำนินทา,บัตรสนเท่ห์)ทรงออกเยี่ยมประชาชนอย่างใกล้ชิด ชนิดที่ข้าราชการในท้องถิ่นนั้นไม่กล้าทำหรือไม่เคยทำมาก่อนเลยผลก็คือขวัญและกำลังใจของประชาชนกลับมาใหม่ โดยเฉพาะขวัญของต.ช.ด. (ตำรวจตระเวนชายแดน) เพราะเจ้านายก็กลัวตายเหมือนกัน ไม่ค่อยกล้าออกไปเยี่ยมบ่อยนัก หรือลืมไปเลย แต่ตรงข้าม พระองค์ทรงเสด็จไปเอง ไม่กลัวภัยอันตราย แม้จะมีผู้ทัดทานไว้ก็ไม่ยอม การที่ทรงเสด็จเยี่ยมต.ช.ด.อย่างใกล้ชิด จึงทำให้ขวัญของต.ช.ด.กลับมาเป็นปกติ

ในส่วนของหลวงพ่อ ท่านก็มีบทบาทช่วยประเทศชาติอยู่มากมาย เสี่ยงต่อความตาย อดทนต่อความยากลำบากในการเดินทางในการจัดหาของกินของใช้และวัตถุมงคล ไปแจกแก่บรรดาตำรวจทหารที่ยอมสละร่างกายชีวิตเลือดเนื้อ เพื่อปกป้องประเทศชาติ รวมทั้งประชาชนชาวไทยทุก ๆ คนให้พ้นจากศัตรู หลวงพ่อท่าน กล่าวกับตำรวจทหารอย่างซาบซึ้งใจจริง ๆ ผมเองฟังแล้วยังขนลุก ด้วยปีติทุกครั้ง ผมยังจำคำกล่าวของท่านได้ มีใจความดังนี้

“ที่อาตมาพาคณะมาเยี่ยมพวกท่านถึงที่อยู่ของท่านนี้มิใช่มาในฐานะของผู้มีพระคุณ แต่มาในฐานะของผู้มาขอบคุณต่อพวกท่าน เพราะของต่าง ๆ ที่นำมามอบให้กับพวกท่านวันนี้มันมีค่าเพียงเล็กน้อยเท่านั้น เมื่อเปรียบเทียบกับบุญคุณของพวกท่าน ที่ได้ยอมเสียสละร่างกายและชีวิต ซึ่งเป็นสิ่งที่ท่านหวงแหนและรักที่สุด ประเทศชาติ หายใจออกแล้วหายใจเข้าไม่ได้ เราก็ตายเช่นกัน ทุกวัน อย่างน้อยวันละ ๒ หน ชีวิตแม้ใครจะมาขอซื้อด้วยราคากี่แสนกี่ล้านบาท พวกท่านก็ไม่ยอมขายให้ แต่พวกท่านกลับยอมสละให้เปล่า ๆ เพื่อปกป้องชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยเหล่านั้น ที่สำนึกถึงบุญคุณของพวกท่าน เห็นความเสียสละและความดีของพวกท่าน จึงได้รวบรวมสิ่งของที่จำเป็นเหล่านี้มามอบให้กับพวกท่าน ในฐานะผู้มาขอบคุณในความดีของพวกท่าน และเมื่อกลับไปก็จะไปแจ้งความดี ความเสียสละของพวกท่านแก่ประชาชนคนไทยที่ไม่ได้มีโอกาสมาเห็นความเสียสละของพวกท่าน และจะได้หาโอกาสตอบแทนพระคุณของพวกท่านต่อไป”

ความจริงหลวงพ่อท่านพูดไพเราะ และดีกว่าที่ผมเขียนนี้มากนัก แต่ผมมันไม่เอาไหน สัญญามันเป็นอนิจจา อะไรดี ๆ มักจะลืม อะไรที่ไม่ดีมักจะจำได้แม่น ไม่ยอมลืม หากปล่อยไปนานกว่านี้ก็อาจไม่มีอะไรเหลือ ผลงานแห่งความเมตตาของหลวงพ่อท่านก็คงไม่มีใครรู้เห็น เพราะผู้ที่ได้ไปเห็นกับตา และได้ยินด้วยหูของตนเอง ซึ่งผมจะใช้อ้างเป็นพยาน ท่านก็ค่อย ๆ หนีผมไปนิพพานทีละท่าน เช่น ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต, ท่านอ๋อย หรือพี่อ๋อย แม่งานใหญ่ของหลวงพ่อฝ่ายฆราวาส, ท่านจ่าอากาศสาย และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เป็นต้น

สำหรับหลวงปู่ครูบาธรรมชัยนี้ ท่านใกล้ชิดกับหลวงพ่อมาก ชนิดถึงไหนถึงกัน ในการออกหน่วยเยี่ยมตำรวจ ทหาร เรามีเวลาจำกัดมาก เพราะส่วนใหญ่ผู้ที่ไปเป็นข้าราชการหรืองานประจำ ท่านจึงจัดให้ออกหน่วยเกือบทุกเสาร์ - อาทิตย์ โดยออกเดินทางตอนกลางคืนของวันศุกร์ ถึงจังหวัดที่จะออกเยี่ยม ตอนเช้าวันเสาร์ ให้เวลากินข้าว - ล้างหน้าแค่ ๒๐ - ๓๐ นาที ก็เดินทางต่อ เย็นกลับมาพักตามวัดบางครั้ง เช่นที่ จ.เพชรบูรณ์ ต้องพักตามค่ายลูกเสือนอกเมือง เช้าวันอาทิตย์ก็ทำงานต่อ กลางคืนวันอาทิตย์เดินทางกลับ กะเวลาให้มาถึงเช้ามืดหรือสว่างในกรุงเทพฯ เข้าทำงานได้ทัน (ในระหว่างหน้าฝนต้องหยุดเพราะเข้าป่าไม่ได้)

หากออกเยี่ยมทางภาคใต้ต้องลาราชการ ผมจำได้ว่าทางใต้ เคยไปนานที่สุดถึง ๑๗ วัน เพราะเป็นการประสานงานระหว่างหน่วยของในหลวงท่าน ซึ่งมี ท่านหญิงวิภาวดีรังสิตกับของหลวงพ่อ (ตามพระประสงค์ของในหลวงท่านให้รวมกันและขอฝากหน่วยของท่านไว้กับหลวงพ่อด้วย) ซึ่งต่อมาก็ไปด้วยกันทั่วประเทศ เรื่องเหล่านี้ไม่เคยมีใครเขียนไว้ เพราะผู้รู้ผู้เห็น ท่านก็แอบหนีไปนิพพานกันเกือบหมดแล้ว เหลือผมซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะไปเมื่อใด และจะไปไหนก็ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่าต้องตายแน่ ๆ เท่านั้น

การเยี่ยมตำรวจ ทหาร ทั่วประเทศ หลวงพ่อท่านเยี่ยมถึงแนวหน้า โดยใช้ฮ.เป็นพาหนะเป็นส่วนใหญ่ ที่นั่งก็จำกัด เพราะส่วนใหญ่มีฮ.ตัวเดียวหรือสองตัว ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นนายทหารหรือนายตำรวจ พร้อมหน่วยคุ้มกันไปด้วย ผู้ที่ไปแน่ ๆ จึงมีแค่ ๓ คือ หลวงพ่อท่าน หลวงปู่ และก็ผม ส่วนใหญ่มีแค่นี้ หน้าที่ของผมก็คือ มือหนึ่งหิ้วปิ่นโต - อาหารเพลของหลวงพ่อ - หลวงปู่เพลที่ไหน ถวายที่นั่น แม้บางครั้งขณะบินอยู่กลางอากาศก็เคยถวายเพล อีกมือหนึ่งหิ้วกระเป๋ายาใบใหญ่ หนักร่วมสิบกิโล มีทั้งน้ำเกลือด้วย (สำหรับหลวงพ่อ) และรักแร้ก็หนีบลำโพงสำหรับพูด (ใช้ถ่าน) สภาพ เวลาขึ้น และโดดลงจากฮ. ก็มีลักษณะอย่างนี้แหละ ไม่มีใครรู้จักผมเลย หากหลวงพ่อท่านไม่แนะนำร่วมเป็นร่วมตายกับท่านมาในตอนนั้น

ผู้ใดอ่านมาถึงตอนี้ ก็อาจคิดว่า ผมนี่เก่ง กล้าหาญไม่กลัวตาย หากคิดเช่นนั้นละก็ผิดถนัด เพราะความจริงยังกลัวตายอยู่มาก ที่ไปได้ถึงไหนถึงกันบินตั้งแต่เช้ายันเย็นนั้น หากไม่มีหลวงพ่อท่านไปด้วย จ้างให้ผมก็ไม่ไป เพราะโอกาสที่จะถูกมันยิงตกนั้นมีได้เสมอ อย่างนี้เขาเรียกว่าไม่กล้าจริง แต่ที่ไปได้ตลอดร่วม ๓ ปีนั้น เพราะอะไรให้คิดเอาเองก็แล้วกัน ส่วนเรื่องที่ผมจะเล่าให้ฟังหรือเขียนให้อ่านนั้น คงไม่เรียงตามลำดับ ตามวัน เดือน ปี คงเขียนไปตามที่นึกออกแล้วอยากจะเขียน ดังนั้น หากอะไรผิดพลาดไปบ้างเรื่องของ วัน เดือน ปี ก็ต้องขออภัยไว้ ณ โอกาสนี้ด้วย เพราะสัญญาของผมมันเป็นอนิจจา ยิ่งเข้าสู่วัยหนุ่มน้อยเกิน ๖๐ ปีไปแล้ว (ผู้รู้ ผู้เห็นท่านก็แอบหนีไปนิพพานกันเกือบหมดแล้ว) เหลือผมซึ่งก็ไม่ทราบว่าจะไปเมื่อใด และจะไปไหนก็ยังไม่ทราบ ทราบแต่ว่าต้องก็ต้องถือว่าเป็นของ ธรรมดา ปัจจุบันผมอายุเกิน ๘๐ ปีไป ๗ เดือนแล้ว คงอยู่ได้อีกไม่นาน

เรื่องแรก คือ การเยี่ยมและแจกของตำรวจ ทหารภาคใต้ ๑๗ วันของหลวงพ่อและท่านหญิง คณะของหลวงพ่อแยกออกเดินทางเป็นสองคณะ คณะแรกออกเดินทางก่อนโดยรถไฟ ต้องค้างแรมในรถ และไปถึงอ.หาดใหญ่ในวันรุ่งขึ้น อีกคณะหนึ่ง เดินทางโดยเครื่องบินในตอนเช้า เวลาชั่วโมงกว่า ๆ ก็ถึงแล้ว ก่อนเครื่องจะลงสนามประมาณ ๕ นาที

หลวงพ่อท่านเล่าให้ฟังว่ามีเทวดาองค์หนึ่งแบกพระพุทธรูปทองคำไว้บนศีรษะมาหาหลวงพ่อ และบอกความลับเกี่ยวกับพระพุทธรูปองค์นี้ว่าถูกฝังไว้ที่ตรงไหน ใกล้ตัวเมืองหาดใหญ่ เมื่อคณะของหลวงพ่อเข้าที่พัก (บ้านรับรองของแบงค์ชาติ หาดใหญ่) แล้ว หลวงพ่อได้เรียกท่านเจ้ากรมเสริม (พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม สุขสวัสดิ์) มาพบ และบอกตำแหน่งตามที่เทวดาท่านบอกไว้ว่า อยู่ในที่ดินแห่งหนึ่งใกล้สะพาน ใกล้แม่น้ำ และใกล้ถนนใหญ่ ที่ตรงไป จ.สงขลา และมีบ้านอยู่หนึ่งหลัง พร้อมทั้งทิศที่จะต้องไปหา ท่านเจ้ากรมออกไปสักครูหนึ่งก็กลับมารายงานหลวงพ่อว่ามีอยู่จริงตามนั้น

หลวงพ่อพร้อมคณะก็ออกเดินทางไปที่นั่น พร้อมด้วยหลวงปู่สิม และหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เมื่อไปถึงก็ขอพบเจ้าของที่ ซึ่งบังเอิญเป็นตำรวจยศชั้นจ่าหรือนาย สิบจำไม่ได้ นิสัยดี ให้การต้อนรับหลวงพ่อและคณะอย่างเต็มใจ เมื่อทราบวัตถุประสงค์ว่าหลวงพ่อท่านต้องการจะขอซื้อที่ดินที่ยังว่าง ๆ อยู่นี้เพียงไม่กี่ตารางวา เพื่อสร้างศาลาและตั้งพระพุทธรูปไว้ บูชา ตำรวจผู้นั้นแกไม่ยอมขายที่ให้ แต่ยกให้เปล่า ๆ โดยพูดว่า สุดแต่หลวงพ่อ จะต้องการแค่ไหนก็ได้ทั้งนั้น เพราะแกเกิดศรัทธา จากนั้นหลวงพ่อก็นำคณะออกสำรวจที่ ตอนนั้นผมสังเกตดูหลวงปู่สิม ท่านรีบเดินหนีไปทางอื่นเมื่อหลวงพ่อบอกให้ช่วยหาที่ ๆ พระพุทธรูปทองคำฝังอยู่ เพราะต้องใช้เรดาร์จิตออกตรวจหา คงปล่อยให้หลวงปู่ครูบาธรรมชัยอยู่กับหลวงพ่อ ๒ องค์ และมีผมยืนอยู่ด้วย

หลวงปู่ ครูบาธรรมชัย ปกติท่านเร็วมากในการใช้ทิพยจักษุญาณ แต่คราวนี้ท่านยืนงงต้องใช้เวลานานมาก นานจนท่านเมื่อยต้องทรุดตัวลงนั่งยอง ๆ ผมยืนอยู่กับท่านเลยต้องนั่งตาม สักครู่ท่านก็อุทานดังๆ ว่า เห็นแล้ว ๆ อยู่ตรงนี้เอง แล้วท่านก็บรรยายรูปร่างของพระพุทธรูปทองคำ และบอกว่ามีพระบรมธาตุ พร้อม ทั้งเครื่องบูชาครบหมด ท่านตื่นเต้นมาก ผมเลยเลี่ยงไปคุยกับหลวงพ่อ หลวงพ่อ จึงเล่าให้ผมฟังว่า ที่ไม่เห็นนั้น เพราะพระเจ้ารามคำแหงมหาราช ซึ่งท่านเป็นพรหมอนาคามี มีหน้าที่รักษาเขตภาคใต้นี้ไว้ทั้งหมดท่านเอามือบังไว้ หลวงปู่จึงไม่เห็น ต่อเมื่อหลวงพ่อท่านเตือนว่าอย่าไปแกล้งหลวงปู่ ท่านจึงชักมือออก หลวงปู่จึงเห็น และตื่นเต้นมากด้วยความปีติ

พระเจ้ารามคำแหงท่านบอกหลวงพ่อว่า อย่าให้ใครเอาขึ้นมา เพราะจุดประสงค์ของผู้สร้างก็เพื่อป้องกันศัตรูทางภาคใต้ทั้งหมด ไม่ให้รุกรานประเทศไทยได้ ต่อมาหลวงพ่อจึงได้สร้างศาลาขึ้น พอสร้างเสร็จ พล.อ. บุญชัย บำรุงพงศ์ ท่านเป็นประธานสร้างพระพุทธรูป หน้าตักประมาณ ๕๒ นิ้ว จาก จ.ชลบุรี ยังหาที่ประดิษฐานไม่ได้ ท่านเจ้ากรมเสริมจึงแนะนำให้นำมาไว้ที่นี่ เมื่ออัญเชิญพระพุทธรูปมาแล้ว ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ก็กราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ซึ่งท่านเสด็จมาภาคใต้พอดี ให้บรรจุพระบรมสารีริกธาตุไว้ที่พระเศียรทุกอย่างต่อเนื่องกัน หรือลงตัวพอดี เหมือนกับเทวดาท่านจัดไว้ ล่วงหน้าก่อนทั้งสิ้น ในปัจจุบันก็มีผู้ไปเคารพกราบไหว้บูชาอยู่ทุกวัน พร้อมทั้งมีแม่ชีที่มีความศรัทธาสูง เป็นผู้คอยดูแลศาลานี้ไว้เป็นอย่างดี ผมได้ข่าวว่าใครไปบูชามักจะถูกหวยเสมอ แต่ท่านให้เพียง ๑ - ๒ หนเท่านั้น ตามวาระกรรมของแต่ละคน ซึ่งไม่เสมอกัน

ซึ่งเป็นตัวแทนของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว จึงรวมกับคณะของหลวงพ่อตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาโดยออกเยี่ยมตำรวจทหารทุกหน่วยในจังหวัดภาคใต้ ซึ่งหลวงพ่อท่านต้องเหนื่อยมาก เพราะต้องทำพิธีบวงสรวง ด้วยฐานใหญ่ ๆ ต้องพรมน้ำมนต์ และแจกวัตถุมงคล รวมทั้งบางคนขอให้ลูบหัว เป่าหัว เคาะหัว เพื่อเป็นกำลังใจ โดยมีหลวงปู่ครูบาธรรมชัยเป็นผู้ช่วยทุกครั้ง (ความจริงแล้วหลวงพ่อท่านขึ้นลงระหว่างกรุงเทพ - หาดใหญ่นี้หลายหน แต่ผมขอรวบรัดเพื่อความต่อเนื่อง) ในคราวแรกที่ไปภาคใต้ใช้เวลาอยู่ที่หาดใหญ่ประมาณ ๖ วัน ก็แยกย้ายกันกลับ คงเหลืออีกไม่กี่คนที่ติดตามหลวงพ่อมาที่ จ.นครศรีธรรมราช และ สุราษฎร์ธานี เท่าที่จำได้ คือ หลวงพ่อท่าน, หลวงปู่ครูบาธรรมชัย, พี่อ๋อย, พี่นนทา, คุณวิวัฒน์หรือวิชัย และผม ซึ่งอาจมีผู้อื่นอีกผมก็ต้องขออภัยด้วย จากคณะใหญ่มีผู้คนร่วมร้อยก็เหลือเพียงเท่านี้ที่นครศรีธรรมราช

คณะของหลวงพ่อและท่านหญิงพักอยู่ในจวนผู้ว่าการ ซึ่งมีวังของท่านหญิงปลูกไว้สำหรับท่านโดยเฉพาะ เพราะท่านเสด็จบ่อย ส่วนหลวงพ่อและคณะอยู่เรือนรับรองอีกหนึ่งหลัง ใช้เวลาออกเยี่ยมตำรวจทหารทุกวัน ตั้งแต่ ๐๗.๐๐ น. และกลับประมาณ ๑๘.๐๐ น. โดยใช้ฮ.เป็นพาหนะ ฮ.จะมารับที่สนามกีฬา ซึ่งอยู่ตรงข้ามกับจวนผู้ว่า (ชื่อ คุณโชดก) ฮ.จะบินไปเยี่ยมทุกฐานของทหารและตำรวจในสองจังหวัด ซึ่งอยู่ติดต่อกัน (นครศรีธรรมราชและ สุราษฎร์ธานี)

ในขณะนั้นขวัญและกำลังใจของตำรวจทหารตกมาก พวก (ผกค.) คอมเข้ายึดหมู่บ้านไว้เป็นฐานกำลังของเขาได้หลายจุด โดยเฉพาะที่ สุราษฎร์ธานี พวกคอมเข้ามาถึงในตัวเมือง บุกยึดสถานีรถไฟ แล้วจะยึดสถานีตำรวจ ซึ่งอยู่ใกล้ ๆ กันด้วย แต่โดยบารมีของพระคุ้มครอง กระสุนปืนที่ยิงโรงพักขึ้นข้างบนหมด ถูกแต่หลังคาโรงพักเสียหาย โชคดีที่ยังมีตำรวจที่กล้าตายต่อสู้ จนมันถอยตัวกลับเข้าป่าไป

หลวงพ่อและท่านหญิงพร้อมคณะก็ไปเยี่ยม ในขณะที่เขากำลังขวัญกระเจิงพอดี ตำรวจที่สถานีดีใจมากอย่างเห็นได้ชัด เพราะทั้งหลวงพ่อและท่านหญิง ได้พูดให้กำลังใจแก่พวกเขาให้เกิดความฮึกเหิม เกิดความรักชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทยทั้งมวล หลังจากนั้นท่านก็แจกธงมหาพิชัยสงครามให้ทุก ๆ คน และแนะนำวิธีใช้ ในขณะนั้นบังเอิญมีชายผู้หนึ่งเข้ามารับแจกธงด้วย หลวงพ่อท่านก็ทักว่า คุณอย่าเอาไปเลย หากคุณรับไปแล้วไปใช้ในทางที่ไม่ถูกไม่ควร เช่น ไปปล้น - จี้เขา หรือไปเข้ากับพวกคอม คุณจะถูกเขายิงตาย โดยจะถูกปืนยิงแสกหน้าทะลุออกด้านหลัง เขาก็ยังยืนยันจะขอรับให้ได้ หลวงพ่อก็ให้ไป พอเขาไปแล้วมีตำรวจมารายงานให้หลวงพ่อทราบว่า อ้ายนี่แหละครับตัวแสบ เป็นนกสองหัวเป็นแนวที่ห้าให้คอม มันทำชั่วได้ทุกอย่าง ผลก็คือ ๒ - ๓ วันต่อมา ตัวแสบก็ถูกยิงตายสนิท ขณะปะทะกับตำรวจ เพราะมันนำพวกคอมเข้าโจมตีหมู่บ้าน และถูกยิงเข้ากลางแสกหน้าทะลุท้ายทอยจริง ๆ พุทธานุภาพของธงมหาพิชัยสงครามมีจริงอย่างไม่ต้องสงสัย และจะไม่ป้องกันคนชั่วด้วย พวกตำรวจหลังจากได้รับแจกผ้ายันต์ธงมหาพิชัยสงครามแล้ว กำลังใจดีมากทุกคน

ในวันรุ่งขึ้น ตำรวจซึ่งกลัวพวกคอมและพวกที่มีอิทธิพลมากที่คุมเขาศูนย์อยู่ พวกตำรวจไม่กล้าแม้แต่จะผ่านทางนั้น แต่พอได้ของดี ก็ยกกำลังขึ้นบุกเขาศูนย์เลย (เขาศูนย์มีแร่วุลแฟรมมากมาย) ฝ่ายพวกคอมก็ยิงลงมาแบบไม่เลี้ยง แต่ปรากฏว่าไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็บเลยแม้แต่คนเดียว ที่รู้กันเพราะตำรวจรายงานให้ทราบ (พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา)
คณะของหลวงพ่อและท่านหญิงเดินทางโดยฮ. จึงบินแวะไปเยี่ยมอีกครั้ง ปรากฏว่าเหล่าตำรวจทั้งหลาย ต่างแยกกันรายงานผลให้หลวงพ่อฟังด้วยปากของตนเองจนฟังไม่ทัน


สรุปแล้วมีใจความว่า
๑.การเข้ายึดเขาศูนย์ ใช้เวลาเพียงไม่ถึงครึ่งชั่วโมง เพราะทุกคนไม่กลัวตาย ต่างคนต่างดิ่งตรงเข้าไปยึดเอาดื้อ ๆ ไม่ทราบว่าเพราะอะไร
๒. กระสุนปืนฝ่ายตรงข้ามยิงมาหนาแน่นมาก แต่แปลกที่ไม่มีใครโดนลูกปืนเลยสักคน
๓. ความรู้สึกบอกว่า กระสุนวิ่งผ่านตัวไป (เฉียดตัว) เห็นเป็นสายแต่ก็ไม่โดน เมื่อเห็นว่าตัวไม่ได้รับอันตรายจากลูกปืนแล้ว เลยไม่กลัวอีก ไม่หลบไม่หมอบลงกับพื้น วิ่งตรงเข้าหาผู้ที่ยิงปืนมาโดยไม่ยอมหลบ
๔. ผลก็คือยึดพื้นที่ได้ และจับพวกที่ถอยหนีไม่ทันได้หลายคนในเวลาอันสั้น เป็นที่อัศจรรย์ยิ่งนักหลังจากนั้นตำรวจกองนี้ก็บุกแหลกไม่เคยกลัวพวกคอม (ผกค) อีก มีข่าวพวกคอมจะเข้าหมู่บ้านใดก็ตรงเข้าไปปะทะทันทีและก็ตีพวกนั้นกระเจิงไปทุกครั้ง แต่มีอยู่วันหนึ่ง ขณะที่คณะของเรากำลังบินอยู่กลางอากาศได้รับวิทยุแจ้งเข้ามาว่าตำรวจถูกยิงได้รับบาดเจ็บให้ส่งฮ.มารับตัวด้วย ฮ.ของเรา ก็บินตรง ไปจุดนัดพบทันที เมื่อลงไปเราไม่พบผู้บาดเจ็บเลย มีแต่พวกตำรวจมารุมล้อมหลวงพ่อ


หลวงพ่อเลยถามว่าคนไหนที่ถูกยิงบาดเจ็บ ก็มีตำรวจที่กำลังเกาะขาหลวงพ่ออยู่ตอบว่า ผมเองครับ หลวงพ่อถามว่าไหนขอดูแผลหน่อย ตำรวจก็ตอบว่าถากไปนิดเดียวที่ขา แล้วก็ถลกขาให้ดู ผมเห็นแล้วเป็นเพียงแค่หนังกำพร้าถลอกไปเท่านั้น ผมเลยเกิดอารมณ์เสีย เพราะทำให้เราต้องเสียเวลาแวะมาดู ตำรวจบาดเจ็บแค่หนังถลอกเท่านั้น ผู้ที่วิทยุให้เรามารับคนเจ็บ ไม่ได้กรองข่าวเสียก่อน ก็สั่งการทันที แต่ผมก็มีอารมณ์มาตัดบอกว่า เออดี หลวงพ่อท่านจะได้มีโอกาสให้กำลังใจพวกตำรวจกลุ่มนี้อีกครั้ง เป็นการเพิ่มกำลังใจให้เขามั่นใจในพุทธานุภาพยิ่งขึ้นไปอีก ตำรวจทุกคนหน้าตายิ้มแย้มแจ่มใสมากเมื่อได้รับการชี้แจงถึงพุทธานุภาพจากธงมหาพิชัยสงครามอีกครั้งด้วยเครื่องขยายเสียงต่อหน้ากลุ่มคนจำนวนมาก ซึ่งแน่นอนจะต้องมีพวกคอม (ผกค) ร่วมปะปนอยู่ด้วย เป็นการข่มขวัญกันไปในตัว

ขอเล่าเรื่องอานุภาพของธงมหาพิชัยสงคราม ที่หาดใหญ่ สงขลา ให้ฟังเสียด้วยว่า คณะของหลวงพ่อได้แจกธงนี้ให้กับทหารทุกคนที่นั่นเรียงตัว โดยให้เข้าแถวรับ ผมเองก็เป็นผู้เดินแจกธงด้วย ปรากฏว่า ภาคใต้มีทหารที่นับถือศาสนาอิสลามอยู่ด้วย ดังนั้น ทหารพวกนี้เขาจะไม่รับโดยพูดว่า “ผมอิสลามครับ”เราก็เว้นแล้วแจกรายต่อไป

หลังจากที่แจกให้ครบแล้ว อีกประมาณ ๗ วันต่อมา แม่ทัพภาค ๔ ออกตรวจเยี่ยมทหารด้วยขบวนรถ ๙ คัน ปรากฏว่ามีพวกคอม (ผกค) ซุ่มโจมตีอยู่ข้างทาง หลังจากปะทะกันสักครู่ เขาก็ถอยเข้าป่าไป ฝ่ายเราก็สำรวจความเสียหาย ปรากฏว่ามีทหารตาย ๙ คน ทุกคนเป็นอิสลามหมด เพราะไม่มีธงมหาพิชัยสงครามติดตัว แต่ความลับไม่มีในโลก ข่าวนี้ก็กระจายไปทั่วกองทหารทุกกองในภาคใต้ ครั้นคณะของหลวงพ่อและท่านหญิงไปเยี่ยมทหารอีก และแจกธงให้กับหน่วยที่ย้ายเข้ามาแทนหน่วยเก่า และแจกให้กับผู้ที่ยังไม่ได้รับ ผลมีดังนี้ครับ ทหารที่เป็นอิสลามไม่ใช่ไม่ยอมรับธงแต่แย่งจากมือผู้แจกเลย ได้ถามความรู้สึกกับพวกเขา เขายอมรับแต่โดยดีว่าผมกลัวธงหมดครับ ผมกลัวว่าจะไม่ได้ครับ

เรื่องของหลวงพ่อท่านมีมากมาย ถ้าจะเขียนกันจริง ๆ ก็ยากที่จะจบได้ และผมก็ไม่ใช่นักเขียน สำนวนเป็นแค่ลูกทุ่ง (ชั้นเลว) จึงขอรวบรัดเอาเฉพาะจุดที่ผมคิดว่าน่าจะเป็นประโยชน์ และเป็นที่สนใจแก่ผู้อ่านเท่านั้น ซึ่งผมอาจเดาผิด คิดผิดก็ได้ เพราะอ่านแล้วมันก็ยังไม่เอาไหนอยู่ดีแหละ จึงต้องขออภัยต่อท่านผู้อ่านไว้ก่อนอีกครั้ง
ใน ๘-๙ วัน ที่บินวนเวียนเยี่ยมตำรวจ ทหาร อยู่ในสองจังหวัดนี้ (นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี) ผมได้พบได้เห็นปาฏิหาริย์อะไรบ้างในแต่ละวัน ท่านได้แสดงปาฏิหาริย์ไม่ซ้ำกัน มีบางวันที่นั่งเต็มซึ่งผมไม่ได้ไป เพราะมีนายทหารระดับบิ๊กท่านมา แต่ท่านหญิงก็ทรงเมตตาเล่าให้ฟังอย่างละเอียด พอสรุปได้ดังนี้


๑. เมื่อเครื่องฮ.บินไปพบก้อนเมฆขนาดใหญ่ และหนาทึบขวางทางอยู่ ซึ่งตามปกติฮ.จะต้องบินอ้อมก้อนเมฆนี้ไป นักบินเกิดลังเลใจ จึงถามหลวงพ่อว่าผ่านได้ไหมครับ หลวงพ่อก็ตอบว่าผ่านได้ นักบินก็บินผ่านเมฆก้อนนั้นเข้าไป เหตุอัศจรรย์ก็ปรากฏก้อนเมฆใหญ่นั้นแยกออกเปิดเป็นทางตรง เหมือนถนนไฮ-เวย์ ให้ ฮ.บินผ่านไปอย่างสะดวก เมื่อฮ.ผ่านพ้นก้อนเมฆไปแล้ว เราก็หันมาดูปรากฏว่า ก้อนเมฆนั้นกลับมาชิดกันเหมือนปกติ เป็นที่อัศจรรย์แก่นักบินที่ ๑-๒ และผู้โดยสารทุกคนอย่างยิ่ง

๒. เมื่อฮ.บินไป มีเมฆก้อนเล็กบ้างใหญ่บ้าง แต่ไม่หนาทึบ จึงมองเป็นเมฆสีขาว ๆ ขวางทางบินของฮ.อยู่จำนวนมาก แต่พอฮ.บินเข้าไปในกลุ่มเมฆเหล่านั้น ความอัศจรรย์ก็ปรากฏ คือ ก้อนเมฆเหล่านั้นถูกปัดออกไปให้พ้นทางบินของฮ.หมด เหมือนกับมีคนนั่งอยู่ส่วนหัวของฮ. เอาพัดวิเศษโบกปัดให้เมฆเหล่านั้นหลบออกไปอยู่สองข้างทางหมด หรือเหมือนใช้พัดขนาดใหญ่ ๆ โบกปัดปุยนุ่น ฉะนั้นเป็นภาพที่น่าดูมาก ในเที่ยวนี้มีหมอและพยาบาลของท่านหญิงไปด้วย หมอผู้ชายแกนั่งริมขวาสุด แกเห็นแล้วต้องอุทานออกมาด้วยความอัศจรรย์ว่า เอ๊ะ มันเป็นไปได้อย่างไร ๆ

๓. วันหนึ่งฮ. ต้องบินผ่านเขตอันตราย ซึ่งมีพวกคอม (ผกค) อยู่เบื้องล่างจำนวนมาก โดยนักบินมั่นใจแล้วว่าหลวงพ่อท่านนั่งมาด้วย จึงขออนุญาตบินผ่านไม่บินอ้อม เมื่อท่านอนุญาตก็บินตรง พอเข้าเขตสีแดง (เขตผกค) สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏมีก้อนเมฆขนาดใหญ่มาก หนาทึบเกือบเป็นสีดำ ไม่ทราบว่าลอยมาจากไหน และลอยมาเร็วกว่าฮ. (ซึ่งปกติฮ.จะบินได้เร็วกว่าเมฆ) และเมฆก้อนนั้นมาหยุดอยู่ใต้เครื่องฮ. ฮ.จะบินไปทางไหน เมฆก็ลอยไปด้วย แม้ฮ.จะเปลี่ยนทิศทางบินไปซ้ายหรือขวา เมฆก็ลอยตามบังอยู่ข้างล่าง ฮ.ตลอดเวลา จนกระทั่งฮ.พ้นเขตอันตรายแล้ว เมฆก้อนนั้นจึงได้ลอยจากฮ.ไป คราวนี้ผู้ที่ตาเหลือกเพราะความอัศจรรย์ ไม่ใช่ใครอื่น คือตัวนักบินเอง

๔. วันหนึ่ง ฮ.บินไปถึงจุดหมายแต่ลงไม่ได้ เพราะหมอกหนามาก มองไม่เห็นพื้นดิน ฮ.ต้องบินวนอยู่สักครู่ สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏ คือ หมอกเปิดออกเป็นช่องเหมือนปล่องขนาดใหญ่ให้เห็นพื้นดินได้ชัดเจน แล้วฮ.ก็ลงไปได้ตามปล่องนั้นอย่างปลอดภัย เรื่องแบบนี้เคยเกิดมาก่อนที่จ.ปัตตานี ตอนฮ.จะขึ้นแต่ก็ขึ้นไม่ได้ เพราะหมอกเมฆลงมาต่ำมาก ท้องฟ้าปิดสนิท นักบินก็ปรึกษาหลวงพ่อท่าน หลวงพ่อบอกว่าขึ้นได้ สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏ คือ ท้องฟ้าที่ปิดก็เปิดออกเป็นช่องคล้ายปล่องขนาดใหญ่ และ ฮ.ก็บินขึ้นไปตามปล่องที่เปิดให้นั้น

๕. วันหนึ่ง ฮ.บินไปเจอฝน ภาคใต้มีหน้าฝน ๒ ครั้ง ไม่มีหน้าหนาว ดังนั้น เรื่องฝนตกจึงเป็นของธรรมดา โดยปกติ ฮ.จะบินหลบฝนได้ จะไม่ฝ่าเข้าไปโดยไม่จำเป็น แต่คราวนี้นักบินมากับหลวงพ่อ กำลังใจดีเป็นพิเศษ บินตรงฝ่าฝนเข้าไป เหตุอัศจรรย์ก็เกิดขึ้นทันที คือฝนหยุดตกทางด้านซ้ายของฮ. แต่ด้านขวาคงตกเป็นปกติ มองเห็นได้ชัดเจน เพราะเม็ดฝนตกมาชนประตูกระจกด้านขวาของฮ. ตลอดเวลา พอมองมาด้านซ้ายของฮ.ก็พบสิ่งอัศจรรย์อีก คือ นอกจากจะไม่มีเม็ดฝนเลยแล้ว ยังปรากฏมีรุ้งกินน้ำขึ้นสวยงามมาก เห็นยาวโค้งทั้งตัว ปรากฏจากเขาลูกหนึ่งไปจรดเขาอีกลูกหนึ่ง ได้เห็นแล้วติดตาติดใจมาก

๖. อีกวันหนึ่ง ฮ.บินไปเจอฝนอีก นักบินไม่ลังเลบินฝ่าเข้าไปเลย สิ่งอัศจรรย์ก็ปรากฏอีก แต่ไม่เหมือนครั้งก่อน เพราะฝนที่กำลังตกอยู่นั้นหยุดสนิท ทั้งสองข้างฮ. ไม่มีเม็ดฝนเลย ทัศนะวิสัยหรือการมองภาพทั้งสองข้างฮ.แจ่มใสมาก เหมือนตอนที่ฝนไม่ตก แต่ที่ด้านหน้าของฮ.ปรากฏว่ามีฝนตก เห็นชัดด้วยตาเนื้อ ว่ามีเม็ดฝนวิ่งมาชนกระจกหน้าฮ. มากมาย จนนักบินต้องใช้เครื่องปัดน้ำฝนตลอดเวลา

๗. วันหนึ่งขณะที่ฮ.กำลังบินอยู่ ผมนั่งอยู่แถวที่ ๓ ซึ่งนั่งได้ ๕ คน ตรงกับประตูที่ปิดเปิด ผมนั่งอยู่ซ้ายสุด ถัดมาก็เป็นท่านหญิง โดยปกติผมกับท่านหญิงจะนั่งอยู่ด้วยกัน และท่านจะรับสั่งกับผมเกือบตลอดทาง แต่วันนั้นท่านประทับอยู่เฉย ๆ ไม่ค่อยได้รับสั่งกับผม ผมจึงหันหน้าไปด้านซ้ายของฮ. ก็พบสิ่งอัศจรรย์ชนิดที่ไม่อาจจะลืมได้ในชีวิตของผม คือ ปรากฏมีรุ้งกินน้ำขนาดเล็กลอยอยู่ข้าง ๆ ฮ. สีสวยสดงดงามมากอย่างชนิดที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิต ขนาดกว้างโดยประมาณ ๒ วา เมื่อเห็นปีติก็เกิด แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่าอะไรหนอจึงสวยงามขนาดนี้ ตอนนั้นคิดว่าตาคงจะฝาดไปกระมัง ได้หลับตาลงแล้วลืมขึ้นใหม่ภาพก็คงเหมือนเดิม ขยี้ตาแล้วก็เหมือนเดิม ทดลองหยิกขาตนเองแล้ว ภาพก็คงชัดเจนเหมือนเดิม ด้วยความดีใจและตื่นเต้นจึงได้บังอาจเอานิ้วไปสะกิดท่านหญิง แล้วชี้ให้ท่านดู (ทอดพระเนตร) พอท่านหันพระพักตร์มาเห็นภาพนั้น ทั้งท่านและผมต่างก็พนมมือขึ้นไหว้พร้อม ๆ กัน แล้วต่างก็อยู่ในความสงบสักครู่ใหญ่ ๆ ภาพนั้นจึงได้หายไป ท่านหญิงจึงได้รับสั่งถามผมว่า อะไรหมอ ผมตอบว่าให้ถามหลวงพ่อ เพราะไม่มั่นใจจึงไม่กล้าเดา

เมื่อเครื่องลงจอดและเข้าที่พักแล้ว จึงได้ถามหลวงพ่อท่าน คำตอบก็คือ ฉัพพรรณรังสี รัศมี ๖ ประการของพระพุทธเจ้า ทุกคนที่ฟังอยู่ด้วยกันในที่นั้นต่างก็ยกมือขึ้นสาธุพร้อม ๆ กัน พี่อ๋อย หรือท่านอ๋อย (คุณ เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ภรรยาของท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านอ๋อยเป็นแม่งานฝ่ายฆราวาสของหลวงพ่อตลอดมา) ท่านอ๋อยฟังแล้วก็อยากเห็นบ้าง จึงขออนุญาตหลวงพ่อก็อนุญาตให้ไปกับฮ.ได้ แทนที่ของผม โดยหลวงพ่อไม่รับรองว่าจะเห็นได้หรือไม่ สุดแต่พระเมตตาขององค์สมเด็จท่าน
และพระองค์ก็ทรงเมตตา


ให้พี่อ๋อยและท่านหญิงได้เห็นอีก พี่อ๋อยดีใจมากอย่างบอกไม่ถูก ในปัจจุบันนี้ทั้งท่านหญิงและพี่อ๋อยท่านทั้งสองก็หนีไปไม่ยอมกลับมาเกิดอีก (นิพพาน) หากผู้ใดไม่เชื่อก็พิสูจน์ดูได้ด้วยตนเอง ด้วยมโนมยิทธินั่นแหละคือคำตอบ อีกประการหนึ่งก็คือ ผู้ที่นั่งอยู่บนฮ. มีนักบิน แพทย์ พยาบาลและช่างเครื่อง ไม่มีผู้ใดได้เห็น แสดงว่าพระองค์ต้องการให้ผู้ใดเห็นก็เห็นได้ หากไม่ต้องการให้ผู้ใดเห็น ผู้นั้นก็เห็นไม่ได้ “พุทโธ อัปปมาโณ”

๘. สิ่งอัศจรรย์ที่เกิดในวันนี้ทำเอานักบิน ๒ คนตาค้าง เรื่องมีอยู่ว่าขณะที่ฮ.บินไปเยี่ยมตามฐาน ตำรวจ ทหาร ตั้งแต่ประมาณ ๐๗.๐๐ น. ถึง ๑๘.๐๐ น.นี้ หากเป็นช่วงที่บินไกลอาจจะต้องกลับมาเติมน้ำมันก่อนแล้วจึงบินต่อ ในวันนี้เราเหลืออีกฐานเดียวก็จะหมดภารกิจแล้ว แต่เข็มน้ำมันบอกว่าอันตรายให้เติมน้ำมันได้ หมายความว่าเราจะต้องบินกลับมาเติมน้ำมันแล้วจึงจะไปต่อได้ แต่ฐานที่จะไปต่อนี้ก็อยู่ไม่ไกลนัก จึงเกิดความลังเล นักบินรายงานท่านหญิง ท่านหญิงก็ปรึกษาหลวงพ่อ หลวงพ่อตอบว่าไปได้ นักบินก็ออกบินทันที่ทั้งที่ใจไม่ปกติ คอยชำเลืองดูเข็มวัดน้ำมันบ่อย ๆ พอฮ.บินลงเยี่ยมฐานสุดท้ายจอดกับพื้น ก็ดูเข็มน้ำมันให้เต็มตา ก็พบว่าเข็มน้ำมันอยู่ที่เดิม มิได้ลดลงต่ำกว่าจุดเดิมเลย

นักบินยิ่งสงสัยและคิดมากขึ้นไปอีก เกวัดน้ำมันนี้เป็นอันตรายมาก หากมันเกิดเสียขึ้นมา แต่ใจก็ยังชื้นอยู่ เพราะมีหลวงพ่อท่านอยู่ด้วย พอภารกิจเสร็จ ก็บินกลับฐานเพื่อเติมน้ำมัน พอจอดสนิทเข็มน้ำมันก็อยู่ที่เดิม มิได้ลดลงเลย นักบินทั้งสองตาค้าง เพราะความตื้นเต้นที่สามารถบินโดยไม่ได้ใช้น้ำมันเลยถึง ๒ จุด (ได้ตรวจเช็คเครื่องวัดน้ำมันแล้ว เป็นปกติ) หากจำไม่ผิดเลขที่ชี้อยู่ที่ ๒๐๐ ลิตรตลอด ตั้งแต่ออกบินไปจุดสุดท้าย แล้วบินกลับมาฐานเก็บ ก็คง ๒๐๐ ลิตรเท่าเดิม โดยปกติฮ.จะกินน้ำมันมากที่สุดตอนสตาร์ทเครื่อง แล้วเร่งเครื่องเต็มที่ก่อนจะขึ้น เรียกว่าดื่มน้ำมันกันทีเดียว

ในขณะนั้น ๒ จังหวัดนี้มีอันตรายมาก เพราะเต็มไปด้วยคอมมิวมูนิสต์ (ผกค) โดยเฉพาะบางอำเภอ คอมเข้ามามีอิทธิพลถึงในเมือง เช่น อำเภอพระแสง, อำเภอเวียงสระ, อำเภอบ้านนาสาร โดยเฉพาะเคียนซาและบ้านนาสาร เจ้าหน้าที่เขาไม่ให้เข้าก็เข้าไปไม่ได้ ส่วนตำรวจนั้นเขาห้ามเข้าเลยเด็ดขาด และบางอำเภอเขาบุกมายึดไว้เลยก็มี เช่น อำเภอฉวาง แล้วจึงถอนตัวออกไปภายหลังที่ฝ่ายทหารเข้ามา ท่านผู้อ่านลองนึกภาพเอาก็แล้วกันว่า มีความเสี่ยงขนาดไหนในการปฏิบัติงานอยู่ในเขตเหล่านี้

เรื่องอิทธิปาฏิหาริย์นี้ ผมเคยถามหลวงพ่อท่านแล้ว ท่านตอบสั้น ๆ ว่า “พุทโธ อัปปมาโณ” คุณของพระพุทธเจ้าหาประมาณมิได้ ผมเลยนึกต่อในใจว่า “ธัมโมอัปปมาโณ” และ “สังโฆอัปปมาโณ ” ด้วย สิ่งเหล่านี้เป็นอจิณไตย ผู้ใดปฏิบัติได้ถึงแล้ว จึงจะรู้ได้เอง หากผมเขียนให้ละเอียดไปกว่านี้ ก็จะมีผู้อ่านบางท่านอ่านแล้วเกิด ความสงสัย แล้วก็ฟุ้งซ่าน ผลแห่งความฟุ้งซ่านนั้น เป็นการฆ่าตัวตายโดยตรง เผลอ ๆ ก็ลงอเวจีได้ง่าย ๆ จึงขอเล่าเพียงสั้น ๆ แค่นี้ก่อนสำหรับภาคเหนือ, ภาคอีสาน และภาคตะวันออก ก็ยังมีเรื่องของหลวงพ่ออีกมาก เพราะหลวงพ่อท่านไปเยี่ยมตำรวจ ทหารทั่วประเทศไทย และในบางจุดไปหลาย ๆ หน

หลวงพ่อต้องให้น้ำเกลือตั้งแต่ปี ๑๗ ทุกเดือนที่ท่านมาสอนกรรมฐานที่ซอยสายลม ผมต้องมาให้น้ำเกลือ และฉีดยาให้ท่านเกือบทุกครั้ง แต่ในขณะนั้นร่างกายของท่านดีกว่าปัจจุบันนี้มาก ส่วนใหญ่ให้กันที่ห้องสอนกรรมฐานเลย เพราะท่านจะได้มีโอกาสพูดคุยและแนะนำข้อปฏิบัติธรรมแก่ผู้ที่มาหาท่าน ท่านจึงไม่มีโอกาสพักจริง ๆ เลย แม้ขณะให้น้ำเกลือจึงต้องนอนบ้าง นั่งบ้าง ผมสังเกตว่าหากใครมาถาม พูดคุยเรื่องทั่ว ๆ ไป (ทางโลก) ท่านจะอยู่ในท่านอน แต่หากใครถามเกี่ยวกับพระธรรม หรือธรรมปฏิบัติแล้ว ท่านมักจะลุกขึ้นนั่งเสมอ

ดังนั้นในฐานะของหมอ จึงต้องเฝ้าท่านตลอด เพราะท่านเคลื่อนไหวอยู่เสมอ หมอเลยกลัวว่าน้ำเกลือจะไม่ไหล หรือเดินไม่สะดวก ในบางครั้งท่านไม่สบายมาก ช่วงเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดราชการ ผมจะขับรถส่วนตัวไปฉีดยาและให้น้ำเกลือท่าน และอยู่เฝ้าท่านจนน้ำเกลือหมดจึงกลับ ส่วนใหญ่จะไปคนเดียวและกลับคนเดียว แต่บางครั้งก็มีคนอาศัยกลับมาด้วย

ต่อมา ผกค.กำเริบหนัก ตชด. (ตำรวจตระเวนชายแดน) หน่วยเดียวปราบไม่ไหวต้องใช้ทหารเข้าช่วย หลวงพ่อท่านเห็นความดีของตชด. และทหาร ที่ยอมเสียสละร่างกายชีวิตและเลือดเนื้อเพื่อปกป้อง ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และปวงชนชาวไทย ๔๓ ล้านคน (พลเมืองในขณะนั้น) (สาเหตุที่ผกค.กำเริบ ก็เพราะช่วงนั้นอเมริกาแพ้สงครามในญวน รีบถอนทัพกลับด่วน ญวนเข้ายึด ญวนใต้ ลาว และเขมรไว้ทั้งหมด และมุ่งเข้ายึดประเทศไทยต่อไป) หลวงพ่อท่านปรารภกับพวกเรามีความว่า หากพวกเราแนวหลังยังคงมัวติดความสุขสบายกันอยู่ ไม่มีใครคิดถึงความดีของผู้เสียสละเหล่านั้น ประเทศชาติก็คงอยู่ไม่ได้ เมื่อหมดชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ก็อยู่ไม่ได้ และพวกเราก็คงหาที่อยู่ไม่ได้ด้วย ดังนั้น หลวงพ่อท่านจึงเป็นหัวหน้าคณะให้จัดหาของแห้ง เช่น เกลือ ปลาแห้ง พริก กะปิ ปลาป่น น้ำพริกเผา ปลากระป๋อง เครื่องกระป๋อง บะหมี่สำเร็จรูป เป็นต้น จัดเป็นถุงเป็นห่อเพื่อนำไปให้แก่พวกที่อยู่แนวหน้า ซึ่งดูเหมือนจะ เป็นหน่วยแรกก่อนใครทั้งหมดที่ออกไปถึงแนวหน้าเลย ผมยังมีภาพที่ประทับใจเก่า ๆ อยู่มาก แต่สีจางเกือบหมดแล้วเพราะนานกว่า ๑๐ ปี

ภาพที่ประทับใจผมมากที่สุด คือภาพที่หลวงพ่อท่านตำน้ำพริกด้วยตนเอง เมื่อทุกคนเห็นท่านลงมือเอง พวกเราเลยช่วยกันทำงานชนิดลืมตาย ในขณะนั้นคนยังน้อย เรียกว่า จับตัววางตาย ต้องช่วยงานกันตัวเป็นเกลียวเพื่อให้ทันกับเวลา คนช่วยงานในตอนนั้น ในขณะนี้บางคนก็เดินไม่ไหว บางคนก็มาวัดไม่ไหวและบางคนก็หนีไปนิพพานแล้วก็หลายท่าน ผมขอคุยเป็นตัวอย่างไว้แค่นี้ก่อน ขอผลัดไว้เล่าให้ฟังในโอกาสต่อไป (ถ้ายังมีลมหายใจอยู่)

บุคคลตัวอย่าง คือ พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดีรังสิต

ผมขอย้อนกลับมาหาเรื่องของท่านหญิงวิภาวดีรังสิตอีกครั้ง เพราะหากไม่ให้เขียนเรื่องเกี่ยวกับพระองค์ท่าน ผมคงจะไม่สบายใจไปตลอดชีวิตก็ได้ เรื่องเดิมมีผู้เขียนเรื่องนี้มาแล้ว ๓ ครั้ง คือ
๑. พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา ในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพ นาง เฉิดศรี ศุขสวัสดิ์ ณ อยุธยา (ท่านอ๋อย) พร้อมทั้งลงจดหมายของท่านหญิงถึงท่านอ๋อย ๒ ฉบับ ลงวันที่ ๑๗ มิ.ย. ๒๕๑๙ และ ๔ ก.ค.๒๕๑๙
๒. หลวงพ่อท่านบันทึกเทปไว้ที่จังหวัดเชียงรายแล้ว คุณ พรนุช คืนคงดี และคุณ สมพร บุณยเกียรติ ช่วยกันถอดเทปลงในหนังสือเรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ เพื่อเป็นอนุสรณ์ในโอกาสคล้ายวันเกิดของหลวงพ่อในเดือนตุลาคม ๒๕๒๔
๓. หลวงพ่อท่านพูดถึงบุคคลตัวอย่าง คือ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิต ลงในหนังสือ ธัมมวิโมกข์ ปีที่ ๑๑ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ. ๓๓
หากท่านผู้ใดได้ติดตามอ่านเรื่องของ ท่านหญิงวิภาวดีรังสิตแล้วก็คงหมดสงสัยว่า เมื่อท่านสิ้นชีพิตักษัย (ตาย) ไปแล้ว ขณะนี้ท่านอยู่ที่ใด สำหรับผมเองหมดสงสัยแล้วตั้งแต่ได้เห็นพระพักตร์ของท่านยิ้มอย่างมีความสุขที่สุด (ยิ้มอย่างกูผู้ชนะทุกอย่างในโลก) ในตอนที่ไปคอยรับพระศพ และตอนเคารพพระศพ ซึ่งคลุมด้วยธงชาติ ซึ่งยังติดตาและติดใจผมอยู่จนกระทั่งทุกวันนี้


ข้อเท็จจริง
๑. ผมกับท่านหญิงวิภาวดี รังสิต ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนเลย (ในชาตินี้) จนกระทั่งหลวงพ่อท่านแนะนำให้รู้จักกันอย่างเป็นทางการที่บ้านรับรองในจวนผู้ว่าการจังหวัดนครศรีธรรมราช เมื่อผมทำความเคารพท่านแล้ว ท่านรับสั่งว่า “ ความรู้สึกของหญิง บอกหญิงว่า หญิงไม่ได้พึ่งเคยรู้จักคุณหมอ หากแต่รู้จักกันมาไม่รู้กี่ชาติ ๆ แล้ว "


๒. ในวันนั้นท่านหญิงรับสั่งให้ผมเข้าพบในตำหนัก หรือวังส่วนพระองค์ซึ่งปลูกอยู่ในบริเวณจวนผู้ว่า พร้อมทั้งรับสั่งเรื่องของพระองค์ให้ผมฟังอย่างสนิทสนมและไม่ถือองค์เลย ยิ่งทำให้ผมรู้สึกเคารพและยำเกรงพระองค์ท่านมากขึ้น ต้องคอยระวังตัวพร้อม กาย วาจา ใจ ไม่ให้บกพร่องเป็นกรณีพิเศษ
๓. ดังนั้นตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมาผมจึงเสมือนคนสนิทของท่าน และเป็นที่สนทนากึ่งธรรมปฏิบัติของท่าน (ทั้ง ๆ ที่การปฏิบัติธรรมของผมในขณะนั้น ยังไม่มีอะไรเลยที่จะไปเปรียบกับท่านได้) เมื่อตื่นบรรทมแต่เช้า ก่อนหลวงพ่อฉันอาหารเช้า พระองค์จะรับสั่งกับผมทุกเช้าถึงการปฏิบัติธรรมของท่านในตอนกลางคืน


๔. ผมสังเกตว่า ธรรมของพระองค์ท่านเปลี่ยนแปลงไปทุก ๆ วันไม่มีซ้ำกัน เช่น เมื่อเจริญอานาปานัสสติ (กำหนดรู้ลมหายใจเข้าและออก) แล้วก็เข้าสู่ปีติทั้ง ๕ อย่าง พระองค์ได้หมด ที่เขียนเช่นนี้เพราะหลังจากที่ท่านรับสั่งกับผมแล้วก็จะถามหลวงพ่อตรงอีกครั้งเพื่อความถูกต้อง หลังจากนั้นแล้วก็ไม่เกิดปีติอีก พอเริ่มปฏิบัติจิตจะรวมตัวเป็นหนึ่ง แล้วเข้าสู่การพิจารณาขันธ์ ๕ เลย (วิปัสสนา) และตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาก็ใช้วิปัสสนาหรือด้านการพิจารณาทางปัญญาตลอดมา (ผมเขียนตามสัญญาหรือความจำที่ผมฟังการสนทนาระหว่างท่านกับหลวงพ่อ)

๕. ทุกครั้งที่ออกหน่วยโดยฮ.หากผมไปด้วย พระองค์จะประทับติดกับผมเสมอ และเรื่องที่รับสั่งล้วนเป็นเรื่องที่เกี่ยวกับธรรมะเกือบทั้งสิ้น แม้ในระหว่างเดินเยี่ยมตามฐานของตำรวจและทหาร หากมีเวลาส่วนองค์ จะรับสั่งเรื่องการปฏิบัติธรรมในตอนกลางคืนให้ผมฟังเสมอ เรื่องที่รับสั่งเป็นปกติคือทุกข์ เพราะทุกข์ทั้งหลายล้วนมาห้อมล้อมใจของพระองค์ ทั้งเรื่องภารกิจของชาติและประชาชน ทางเรื่องครอบครัว และเรื่องส่วนองค์อื่น ๆ พระองค์ไม่เคยปิดบังอะไรเลย เล่าให้ฟังหมด จนพระองค์เองก็แปลกใจ ต้องไปถามหลวงพ่อ (เมื่ออยู่กันเฉพาะแค่ ๓ คือ หลวงพ่อท่าน, ท่านหญิง และผม) ว่า หญิงกับหมอนี่เคยเป็นอะไรกันนะ หญิงมีความลับอะไรต้องบอกคุณหมอหมดเลย ทั้ง ๆ ที่ไม่เคยบอกความลับเช่นนี้กับผู้อื่นมาก่อน แม้พระองค์จะทุกข์แค่ไหนและอย่างไรท่านก็ไม่เคยยอมแพ้ กลับเอาทุกข์นั้นมาพิจารณาด้วยปัญญาให้เข้าสู่อริยสัจหมด ท่านรับสั่งกับผมว่า “แม้หญิงจะทุกข์ขนาดไหน หญิงก็ไม่ยอมแพ้ ไม่ยอมหวั่นไหว หญิงเอาทุกข์เหล่านั้นมาพิจารณาเป็นอริยสัจหมด ” คือ เห็นทุกข์ทั้งหลายที่มากระทบใจนี้เป็นของธรรมดา ที่ท่านรับสั่งกับผมแบบนี้ไม่ใช่ครั้งเดียว

๖. หลังจากเยี่ยมตำรวจทหารภาคใต้แล้ว ก็เสด็จไปเยี่ยมตำรวจทหารทางภาคเหนือกับคณะของหลวงพ่อท่านพระองค์ก็ยังทรงเมตตาให้ความสนิทสนมกับผมตลอดมา มีอยู่ครั้งหนึ่งซึ่งผมหวาดเสียวแทนท่าน เพราะท่านบินไปเยี่ยมฐานทหารที่ผมเห็นฐานข้าศึกอยู่ข้างหน้าอย่างแจ่มชัด ขณะที่ไปถึงผมยังมองเห็นเครื่องบินของฝ่ายตรงข้ามบินมาทิ้งของให้กับพวกเขากับตา ผมยังต่อว่าพวกทหารว่า ทำไมถึงให้ท่านเสี่ยงขนาดนี้ ฝ่ายทหารตอบผมว่า ผมได้พยายามทัดทานท่านแล้ว แต่ท่านไม่ยอม จะเสด็จมาเยี่ยมให้ได้ ในตอนนั้นผมยังจำได้ดีว่าฮ.ลงจอดไม่ได้ ต้องค่อย ๆ ชะลอลงใกล้พื้นดิน แล้วพวกเราต้องกระโดดลง พอลงหมดฮ.จะดีดตัวไปทันที เพราะหากจอดฝ่ายตรงข้ามอาจยิงปืนค.มา ที่ผมกล้าไปนั้นไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะผมมีหลวงพ่อท่านไปด้วย และหลวงพ่อท่านก็ต้องโดดลงเหมือนกับพวกเรา

๗. ผมได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้อำนวยการ ร.พ.ตำรวจ เมื่อ ๒๙ ต.ค. ๒๕๑๙ และได้รับยศว่าที่นายพลตำรวจตรีในวันเดียวกัน ซึ่งผมเองไม่รู้เรื่องเลย เพราะกำลังอยู่ในป่า ออกเยี่ยมตำรวจทหารกับหลวงพ่อและท่านหญิง เมื่อกลับมาจึงทราบ (เขาแต่งตั้งให้แล้วประมาณ ๒ วัน) หลวงพ่อท่านเลยเรียกผมว่า “นายพลป่า” เพราะเขาตั้งให้ขณะอยู่ในป่า เมื่อได้รับตำแหน่งใหม่ งานในหน้าที่ก็ยุ่ง เพราะเป็นของใหม่ ทุกข์ก็เพิ่มขึ้น การออกไปเยี่ยมตำรวจ ทหารกับหลวงพ่อและท่านหญิงก็ต้องชะลอไว้ หลวงพ่อและท่านหญิงทราบดี ผมจึงห่างจากการติดตามไปจนอีก ๓ เดือนกว่า ๆ ก็ได้รับ ทั้งวิทยุและโทรศัพท์ทางไกลจาก จ.สุราษฎร์ธานี โดย พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น ปัจจุบันมียศ พล.ต.ต.ตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจตระเวนชายแดน)

๘. ตอนท่านหญิงเสด็จไปยุโรป ได้ทรงมีลายพระหัตถ์ถึงผมหนึ่งฉบับ ดังนี้


23 Walpole Street
London S.W.3
วันที่ ๘ ก.ค. ๑๙


เรียน คุณหมอสมศักดิ์ทราบ

ฉันได้ออกเดินทางมาจากรุงเทพฯ ตั้งแต่วันที่ ๑๕ เดือนก่อน ท่องเที่ยวมาได้ ๔ ประเทศทั้งอังกฤษนี้ แต่อาการไม่สู้ดีเลย อยากจะกลับไปวิปัสสนาที่วัดท่าซุงมากกว่าอย่างอื่น เพื่อนฉันที่นี่ล้วนแต่หรูหราและน่ารัก อยู่ปราสาทบ้าง บ้านสวยที่สุดบ้าง เป็นดัชเซสก็มี เลดี้ต่าง ๆ ก็มี เมื่อก่อนฉันก็เคยคบชอบพอกันดี ตอนนี้ได้แต่ปลง

มีข่าวประหลาดจะเล่าให้คุณหมอฟัง วงการจักษุแพทย์จะต้องงงไปหมด อยู่ๆ ต้อกระจกของฉันซึ่งเป็นมา ๔ ปีกว่า จนตาขวามืดไป เห็นแต่เพียงเงา ๆ หมออุทัยว่าจะต้องผ่าตัดจึงจะหายนั้น บัดนี้หลวงปู่รักษา (ฉันท่องถาคาที่หลวงปู่ให้ทุกวัน) หายได้ภายใน ๒๗ วัน เริ่มรักษาเมื่อวันที่ ๓ เดือนที่แล้ว หลวงปู่ว่า ๒๘ วันจะหาย พอถึงวันที่ ๒๗ ก็สว่างโร่ขึ้นมาจนตกใจไปหมด ท่านชายเมื่อแรกก็ไม่เชื่อ จนฉันใช้ตาข้างเสียอ่านหนังสือให้ฟัง (ปิดข้างดีเสีย) จึงต้องเชื่อ แต่งงไปหมดเลย กลับไปกรุงเทพฯ คุณหมอช่วยนัดจักษุแพทย์ที่ร.พ.ของคุณหมอ ให้ใช้กล้องส่องดูตาฉันซิว่าต้อยังอยู่ไหม หมอที่ลอนดอนที่ Harley Street การใหญ่นัดพบทีเป็นอาทิตย์ ๆ แล้วก็แพงมาก เสียเวลาด้วย ฉันเลยไม่อยากไปยุ่งด้วย กลาง ๆ เดือนนี้ก็จะกลับแล้ว จะติดต่อกับคุณหมอที่นัดพบหมอตาที่ร.พ.ตำรวจก็ยังได้ จะได้พิสูจน์กันหลาย ๆ คน

เรื่องตาของฉันนี้ ถ้าคนอื่นมาเล่าให้ฟังก็แทบจะไม่เชื่อ นี่เกิดขึ้นกับตัวเองและฉันก็ถือศีล ๕ คงจะไม่หลอกคนทั้งเมืองเป็นแน่ กลับมาก็จะเอาตาไปให้จักษุแพทย์พิสูจน์ด้วยคงจะต้องงงกันบ้างเป็นแน่

เวลานี้ตอนว่าง ๆ ฉันนั่ง edit เรื่องของหลวงพ่อที่จะพิมพ์ใหม่ ชื่อเรื่องกรรมฐาน ๔๐ คุณหมอเตรียมซื้อเถิด เยี่ยมมากเมื่อกลับไปบ้านฉันเตรียมจะไปอยู่กับหลวงปู่เพื่อเขียนชีวประวัติของท่าน

คิดถึงมาก

วิภาวดี


๙. หลังเสด็จกลับเมืองไทย ท่านหญิงก็เสด็จเยี่ยมตำรวจและทหาร พร้อมกับหลวงพ่อและคณะทางภาคเหนือหลายหน ผมได้สังเกตเห็นว่าในตอนเย็น ท่านเกือบไม่ได้เสวยอะไรเลย หากจะเสวยก็เสวยแบบเสียไม่ได้ เพราะผู้จัดหาอาหารมาชักชวนหนัก ๆ เข้า พร้อมทั้งพวกพระสหายต่างก็จัดของเสวยให้ ท่านจึงเสวยแบบเอาใจคน กลัวเขาจะเสียกำลังใจ พอมีโอกาสว่างท่านหญิงก็รับสั่งกับผมว่า ความจริงไม่รู้สึกหิวเลย ปกติแล้วจะไม่เสวย เพราะหากเสวยเข้าไปแล้วมันจะออก (อาเจียน) จิตมันอยากจะถืออุโบสถศีลอยู่เรื่อย เพราะอะไรก็ไม่ทราบ ผมสังเกตทั้งที่เชียงใหม่และเชียงราย ส่วนใหญ่จะเสวยแค่ผลไม้ ๒ - ๓ ชิ้น

๑๐. ตอนปลายปี ๑๙ หรือต้นปี เดือนม.ค.๒๕๒๐ จำไม่ได้แน่ ท่านหญิงมีรับสั่งให้ผมเข้าเฝ้าที่วังวิทยุเป็นการส่วนพระองค์ ท่านหญิงทรงเมตตาต่อผมมากที่ให้ชมสมบัติอันล้ำค่าทั้งหมด พร้อมทั้งทรงอธิบายว่าได้มันมาจากที่ไหนบ้าง มีสมบัติหลายชิ้นที่ซื้อมาจากต่างประเทศ ซึ่งผมไม่เคยเห็นมาก่อนเลยในชีวิตนอกนั้นก็มีพระพุทธรูปในสมัยโบราณสวยงามมากอีกจำนวนหนึ่ง แล้วในที่สุดท่านก็สรุปว่า “สมบัติเหล่านี้มันไม่มีความหมายสำหรับท่าน วังวิทยุนี้ก็ไม่มีความหมายสำหรับท่าน” หากผมจำไม่ผิด หลังจากนั้นมาอีก ๑-๒อาทิตย์ ผมก็ได้ข่าวว่า ท่านหญิงได้ยกสมบัติอันมีค่าเหล่านี้ให้แก่ทางพิพิธภัณฑ์ไปส่วนหนึ่ง และให้กับผู้อื่นที่ควรแก่การให้อีกส่วนหนึ่งจนหมด คำตรัสอีกประการหนึ่งที่ชอบตรัสเสมอ ๆ ก็คือ “ ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย” รู้สึกว่า พวกเราที่เป็นศิษย์ของหลวงพ่ออีกหลาย ๆ คน ที่ได้ยินจนชินหูในช่วงระยะ ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะสิ้นชีพตักษัย

๑๑. พระศพได้ถูกนำเสด็จมาทางเครื่องบินในวันนั้น (๑๖ กพ. ๒๕๒๐) เดิมจะให้ทางร.พ.ตำรวจเป็นผู้จัดสถานที่รับพระศพ แต่ต่อมาได้ขอเปลี่ยนเป็นที่ร.พ.จุฬาแทน ผมจึงได้พบกับบุคคลสำคัญ ๓ คน คือ
ก) พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในสมัยนั้นปัจจุบันมียศพล.ต.ต.) นายตำรวจท่านนี้มีความใกล้ชิดกับท่านหญิงมาก จะติดตามเสด็จทุกครั้งที่ท่านหญิงเสด็จไปจ.นครศรีธรรมราชและสุราษฎร์ธานี ท่านได้เล่าให้ผมฟังว่า ท่านหญิงได้ประทานพระสมเด็จที่ทรงแขวนประจำองค์อยู่ให้กับตนในการเสด็จภาคใต้ครั้งสุดท้ายนี้ ไม่นึกเลยว่าท่านหญิงจะจากไปอย่างคาดไม่ถึง ถ้าผมรู้ก่อนผมจะไม่ยอมรับพระสมเด็จที่ประทานให้ และเล่ารายละเอียดทั้งหมดที่เกิดขึ้นในตอนเช้าให้ผมฟัง


ข) คุณทิพา ซึ่งเป็นข้าหลวงของท่านหญิง ติดตามและรับใช้ท่านหญิงมาตลอด ผมจึงมีความคุ้นเคยกับคุณทิพาดี ผมได้ถามคุณทิพาว่า เมื่อเช้านี้ท่านหญิงรับสั่งกับทิพาว่าอย่างไร ทิพาบอกว่าท่านตื่นบรรทมแต่เช้าเหมือนปกติ แล้วเรียกทิพาไปพบแล้วรับสั่งว่า ทิพา “ ถ้าฉันตาย เธออย่าร้องไห้นะ” ทิพาเลยปล่อยโฮใหญ่ และพูดว่า ทำไมท่านหญิงรับสั่งอย่างนั้นล่ะเพคะ ท่านหญิงทรงเงียบ ไม่ตอบ แต่รับสั่งเรื่องงานกับทิพาว่า ทิพา บ่าวชื่อนี้เธอจ่ายเงินจำนวนเท่านี้ให้เขา บ่าวชื่อนี้จ่ายเงินให้เท่านี้ ทิพาก็รับคำสั่งโดยไม่ได้จด ท่านหญิงก็รับสั่งว่า “ทิพาคราวนี้เธอต้องจดนะ” จากนั้นก็ให้ทิพาออกไปและรับสั่งให้มาลีมาพบ

ค) คุณมาลี ซึ่งเป็นพยาบาลประจำหน่วยของท่านหญิง ผมจึงรู้จักเธอดี และได้ถามคุณมาลีว่า มาลีเมื่อเช้าท่านหญิงรับสั่งกับมาลีว่าอย่างไร คุณมาลีตอบว่า ท่านหญิงรับสั่งว่า“ มาลี คนอย่างฉันหากจะตาย ฉันไม่ขอตายในบ้าน เพราะมันไม่มีเกียรติ สำหรับฉันฉันจะต้องตายนอกบ้าน และศพของฉันจะต้องคลุมด้วยธงชาติ ”ท่านหญิงรับสั่งกับมาลีเพียงเท่านี้ แล้วก็ไล่มาลีให้ออกมา

๑๒. เมื่อผมได้คุยกับท่านทั้งสามแล้ว ผมก็อุทานว่า “ งั้นท่านหญิงก็ทรงทราบล่วงหน้าก่อนแล้วซิว่าจะต้องจากไป คุณทิพาจึงให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในคืนสุดท้ายนี้ท่านหญิงก็ถวายสังฆทานกับหลวงปู่ครูบาธรรมชัย เหมือนกับท่านจะรู้ก่อนจริง ๆ ด้วย "

๑๓. รับสั่งสุดท้ายกับหลวงพ่อและหลวงปู่

ก) โลกนี้เป็นทุกข์ ร่างกายก็เป็นทุกข์ หญิงไม่ต้องการมีร่างกายอีก ขอลาหลวงพ่อไปนิพพาน

ข) หลวงพ่อ หลวงปู่ กรุณากราบทูลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และทูลท่านชายด้วยว่าหญิงขอลาไปนิพพาน

ค) หลวงพ่อหญิงอยากไปนิพพาน ช่วยนำหญิงไปนิพพาน ด้วย (ประโยคนี้ผมจำไม่ได้แน่ว่า ท่านอ๋อยเล่าให้ผมฟังหรือ พ.ต.ท.สุดินทร์) แสดงว่าในขณะนั้นท่านหญิงทรงมีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ ไม่แสดงอาการว่าเจ็บปวดแต่อย่างใด ทั้ง ๆ ที่ควรจะปวดมาก

ง) ท่านเงียบไปสักครู่ แล้วจึงเปล่งเสียงออกมาดัง ๆ ฟังชัดว่า โอ สว่างแล้ว ๆ ถึงนิพพานแล้ว ๆ สวยจัง เมื่อท่านหญิงทรงตรัสเองเช่นนั้นแล้ว ก็เงียบสงบ มีพระพักตร์ยิ้มน้อย ๆ อย่างมีความสุขที่สุด ซึ่งผมได้เห็นอย่างใกล้ชิดตอนรับพระศพและเคารพพระศพที่คลุมด้วยธงชาติตามที่ท่านได้รับสั่ง ไว้กับคุณมาลีในตอนเช้าวันนั้นทุกประการ

: ข้อพิจารณา
ในฐานะที่ผมเป็นหมอตำรวจ ย่อมได้พบและเห็นคนที่ถูกยิง แล้วเสียชีวิตบ่อย ๆ จึงขอเล่ารายละเอียดเกี่ยวกับพระศพของท่านหญิงที่ท่านได้ทรงแสดงธรรมให้ผมเห็น ตามรายงานของแพทย์ และคำบอกเล่าของ พ.ต.ท. สุดินทร์ สิงหรา ณ อยุธยา (ยศในขณะนั้น)


สรุปโดยย่อได้ว่า กระสุนปืนที่ยิงถูกเฮลิคอปเตอร์นั้นหลายนัด แต่มีเพียงนัดเดียวที่ทะลุลำตัวเฮลิคอปเตอร์เข้าด้านหน้าเฮลิคอปเตอร์เฉียดเท้าของนักบินแล้วจึงมาโดนท่านหญิง (โดยเฉพาะ) เข้าหน้าท้องกระสุนผ่านตับ ทะลุปอดข้างขวา แล้วออกด้านหลัง บาดแผลด้านหน้ารูกระสุนเข้าเล็ก แต่ทางออกของกระสุนปืนใหญ่มาก จนมองเห็นเลือดและเนื้อของปอดออกมาจุกอยู่ที่ปากแผลชัดเจน ในลักษณะบาดแผลเช่นนี้ บุคคลธรรมดาแล้วควรจะเสียชีวิตทันที เพราะช็อก เนื่องจากการเสียเลือดมากอย่างกะทันหัน โดยมีการตกเลือดมากในช่องท้องในช่องปอด และที่สำคัญที่สุดก็คือ ความกดดันภายในช่องปอดถูกทำลายทันที จนปอดข้างขวาทั้งหมดแฟบลงอย่างรวดเร็ว คนไข้จะช็อกเพราะขาดทั้งลมหายใจและเลือดไปเลี้ยงสมองอย่างกะทันหัน แต่เป็นที่อัศจรรย์อย่างยิ่ง ท่านหญิงยังทรงมีสติสัมปชัญญะดีตลอดเวลา ยังชะลอขันธ์ ๕ กลับมาได้ และรับสั่งกับหลวงพ่อ หลวงปู่ได้อย่างมีสติดีตามข้อ ๑๓ โดยธรรมชาติที่ท่านแสดงให้ผมเห็นนี้ ผมจึงเข้าใจเอาเองว่าท่านเป็นผู้ทรงฌานสมาบัติชั้นยอด สามารถใช้ฌานสมาบัติของท่านได้ทันทีเป็นอัตโนมัติ เพื่อบรรเทาทุกขเวทนาทางกาย และใช้วิปัสสนาญาณขั้นสูงพร้อมกันไปด้วย จึงทำให้จิตเป็นสุขตลอดเวลา สมจริงตามที่ท่านได้ตรัสไว้เสมอ ๆ ใน ๓ เดือนก่อนที่ท่านจะดับขันธ์ว่า “ ชีวิตไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ” (ผมขออนุญาตขยายความว่า ความตายไม่มีความหมาย เพราะคนเราเกิดแล้วต้องตายทุกคน ร่างกายนี้มันหาใช่เรา ใช่ของเราไม่ เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เราเป็นเพียงผู้ที่อาศัยร่างกายนี้อยู่เพียงชั่วคราวเท่านั้น โลกนี้ไม่เที่ยง ไม่มีใครสามารถจะเอาสมบัติของโลกนี้ติดตัวไปได้เลย ไม่มีใครเป็นใหญ่ได้ในโลก เพราะต้องมีความตายเป็นที่สุดและโลกนี้มีความพร่องอยู่เป็นปกติ เนื่องจากตกเป็นทาสของตัณหา ขอสรุปว่า ท่านไม่ได้ติดวัตถุธาตุใด ๆ ในโลกนี้แล้ว รวมทั้งร่างกายที่ท่านอาศัยอยู่ หรือจะกล่าวว่าท่านไม่ได้ติดสมบัติใด ๆ ในโลกแล้วก็คงไม่ผิด)

นอกจากนั้น ท่านหญิงไม่เคยแสดงอารมณ์ใด ๆ ที่ไม่พอใจต่อผู้ก่อการร้ายเลยแม้แต่น้อย ทรงให้อภัยทานอยู่เป็นปกติ ด้วยบารมี ๑๐ ครบถ้วนบริบูรณ์ จากทานบารมี-ศีล-เนกขัมมะ-ปัญญา-วิริยะ-ขันติ-สัจจะ-อธิษฐาน-เมตตาและอุเบกขาบารมี ขอให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาตาม (ธัมมวิจยะ) บารมี ๑๐ ดูแล้วจะเข้าใจเอง ดีกว่าให้ผู้อื่นมาเป็นผู้บอกให้ฟัง ๑,๐๐๐ เท่า หรือ ๑๐,๐๐๐ เท่าทีเดียว เมื่อเข้าใจด้วยตนเองแล้ว จึงจะเข้าใจในอารมณ์ช่างมัน หรืออารมณ์อุเบกขา หรืออารมณ์สังขารุเบกขาญาณได้ว่ามันเป็นอันเดียวกัน แต่มันมีได้ตั้งแต่หยาบ ๆ มาหาชั้นกลางและละเอียดตามลำดับ และยังเห็นได้ชัดว่า

บางคน บางวันก็มีอารมณ์ช่างมัน แต่บางวันกลายเป็นอารมณ์ช่างเผือกไปก็มีอยู่ไม่น้อย ทั้งนี้เพราะอารมณ์นี้ขึ้นอยู่กับศีลเป็นสำคัญ หากศีลยังไม่เป็นศีล เต็มบ้าง ไม่เต็มบ้าง (ศีล น้ำขึ้นน้ำลงหรือโลกียศีล) อารมณ์ก็ยังขึ้น ๆ ลง ๆ ตามศีล แต่หากศีลของผู้ใดเป็นอัตโนมัติแล้ว หรือมีสีลานุสสติอยู่กับใจตลอดเวลา หรือโลกุตรศีล หรือศีลของพระอริย เบื้องต้น หรือศีลของพระโสดาบันนั่นเอง ซึ่งเป็นอธิศีลจะไม่มีคำว่าเผลอ ไม่มีคำว่าขาดอีกต่อไป บุคคลเหล่านี้แหละจึงจะมีอารมณ์ช่างมันจริง แม้จะมีอะไรมากระทบก็ทรงอยู่ได้ แต่หากกระทบแรง ๆ ย่อมมีความหวั่นไหวในตอนแรกเป็นธรรมดา แต่ท่านก็สามารถปรับอารมณ์ของตนเองได้ หรือช่วยตนเองได้ เอาตัวเองรอดได้ในเวลาไม่นาน (ตามบารมีที่ท่านอยู่ในขณะนั้น) ผู้ที่หมดความหวั่นไหวเมื่อถูกกระทบคือพระอรหันต์เท่านั้น

สิ่งสำคัญที่ทำให้เกิดความหวั่นไหว ก็คือศีลอีกนั่นแหละ แม้ศีลจะเป็นอธิศีลก็ตาม แต่ยังไม่ละเอียดพอ พระพุทธองค์จึงให้ใช้กรรมบถ ๑๐ คุมอารมณ์จิตต่อไป จากกรรมบถ ๑๐ พระองค์ ทรงให้ใช้เทวธรรมและพรหมวิหาร ๔ คุมอารมณ์จิตไม่ให้เกิดอารมณ์พอใจ หรืออารมณ์ยินดีด้วยในกามฉันทะและปฏิฆะ โดยใช้สังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางในการปฏิบัติ

ดังนั้น พระพุทธองค์จึงตรัสว่า ศีลคือแม่ของพระธรรม หรือศีลเป็นมารดาของพุทธศาสนา (ผมขอให้ท่านผู้อ่านจงพิจารณาเอาเอง จะได้รู้ได้เห็นด้วยตนเอง เพราะธรรมของพระองค์จะรู้ได้เห็นได้จริงตามความเป็นจริงด้วยการปฏิบัติตามวิธีของพระองค์เท่านั้น และรู้ได้เห็นได้เฉพาะตนด้วย หากผู้ใดปฏิบัติยังไม่ถึง หรือยังไม่เข้าใจธรรมะของพระองค์ ทำอย่างไรก็ไม่มีทางรู้ทางเห็นได้ เพราะตัวเข้าใจคือตัวปัญญาหรือสัมมาทิฏฐิเกิด ผู้ที่ไม่เข้าใจธรรมะ ปัญญายังไม่เกิดหรือยังเป็นมิจฉาทิฏฐิอยู่) หากจะใช้สังโยชน์เป็นเครื่องวัดความดีของท่านหญิง ย่อมเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับผม คือ

๑. สังกายทิฏฐิ ข้อแรกนี้ชัดเจนในคำอุทานที่ว่า “ ชีวิตนี้ไม่มีความหมาย สมบัติในวังวิทยุไม่มีความหมาย ” ผมขอผ่านไป
๒. วิจิกิจฉาข้อสองนี้ก็เช่นกัน ท่านเคารพในพระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ ด้วยการปฏิบัติตาม ๑๐๐% คือ ปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ซึ่งย่อแล้วเหลือ ๓ ได้แก่ ศีล สมาธิ ปัญญา หรือปฏิบัติบูชาด้วยทาน ศีล ภาวนา ท่านปฏิบัติตลอดเวลาชนิดเป็น อกาลิโก (คือ ทำตลอดเวลา ในทุกโอกาส ทุกสถานที่ และทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน)
๓. ศีล เป็นอธิศีล หรือมีสีลานุสติอยู่ในจิต โดยไม่ต้องระวัง หรือกลัว หรือสงสัยว่าจะผิดศีลหรือไม่ จนกระทั่งแม้กรรมบถ ๑๐ เท่าที่ใกล้ชิดกับพระองค์ท่าน และได้สนทนาธรรมกับท่านเสมอ ๆ พรหมวิหาร ๔ ท่านเต็ม ๑๐๐% จากการเสียสละความสุขส่วนองค์ ทำทุกอย่างเพื่อประชาชนที่เดือดร้อน เพื่อตำรวจทหารที่อยู่แนวหน้า สละแม้แต่ชีวิตและทรัพย์สินที่รักและหวงแหน โดยไม่ได้หวังผลตอบแทนใด ๆ ทั้งสิ้น ซึ่งเท่ากับตัดโลภะ (ราคะ) นั้นเอง ส่วนปฏิฆะนั้น เมื่อพรหมวิหาร ๔ เต็ม อารมณ์ไม่พอใจย่อมไม่เกิด หรือเกิดก็ดับไปทันที เรื่องกามฉันทะกับปฏิฆะนั้น ผมเพียงแค่คาดคะเนหรือเดาหรือเพียงแค่สงสัยเท่านั้น เพราะผมปฏิบัติไปไม่ถึง เมื่อยังไม่ถึงก็ต้องมีความสงสัยอยู่เป็นธรรมดา


อนึ่ง จะเห็นได้ จากลายพระหัตถ์ที่มีถึงท่านอ๋อย (๑๗ มิ.ย.๒๕๑๙) และถึงผม (๘ ก.ค. ๒๕๑๙) ท่านรับว่าท่านทรงศีล ๕ เป็นปกติ แต่ใจมันอยากอยู่ในอุโบสถศีลเป็นปกติ และผมก็ขอยืนยันตามเหตุผลในข้อ ๙ ตามตำราศีล ๘ คือ ศีลของพระอนาคามี เป็นคุณธรรมข้อหนึ่งของท่าน เมื่อมีคุณธรรมถึงอนาคามี ศีล ๘ จะปรากฏเอง ไม่ใช่แกล้งทำ หรือต้องบังคับให้เป็นศีล ๘ เหมือนกับผมซึ่งพยายามรักษาศีล ๘ ไว้เกิน ๑๐ ปีแล้ว แต่มันก็ยังไม่มีคุณธรรมของพระอนาคามีปรากฏให้เห็นแม้แต่น้อย ผู้ที่ถือศีล ๘ ได้ในขณะนี้มีเป็นแสน ๆ คน แต่ผู้ที่มีคุณธรรมครบหายากจริง ๆ แม้แต่พระสมมุติสงฆ์และสามเณรกว่า ๓ แสนรูปก็เช่นกัน (ยังไม่รวมพวกชีอีกไม่รู้เท่าใด ผมเคยสนทนาด้วยกับชีบางคน พบว่ายังไม่รู้ด้วยซ้ำไปว่าศีล ๘ มีอะไรบ้าง น่าเศร้าจริง ๆ)

ดังนั้นการถือศีล ๘ จึงไม่ใช่ผู้วิเศษอะไร หากผู้ใดถือศีล ๘ แล้วไปเที่ยวอวดผู้อื่น หวังประโยชน์จากการถือศีล ๘ ในทางโลก (โลกธรรม) เพื่อตนก็น่าเศร้าเช่นกัน ผู้ถือศีล ๘ โดยขาดปัญญา จึงเป็นการเบียดเบียนตนเอง ทรมานตนเองโดยเปล่าประโยชน์ และยังทำให้จิตเศร้าหมอง (จิตเป็นกิเลสหรือเกิดกิเลส) เนื่องจากความฟุ้งซ่านของจิต ความสงสัยที่เกิดกับจิตว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้น ที่ตนกินไปนั้นที่เวลาเกินเที่ยงไปนั้น มันจะผิดศีลหรือเปล่า จิตเต็มไปด้วยความสงสัย ความระแวง จิตจึงเกิดกิเลส เมื่อกิเลสเกิดอารมณ์พอใจหรือไม่พอใจ ย่อมเกิด (ตัณหา) เมื่อตัณหาเกิด อุปาทานก็เกิด ผลคือจิตก็ปรุงแต่งไป และสร้างอกุศลกรรมต่อทางใจไปสู่ทางวาจา และออกทางกายในที่สุด และมีบางคนศีล ๕ ยังไม่ครบเลย เห็นเขาถือศีล ๘ ก็ถือกับเขาบ้าง โอกาสใกล้นรกจึงมีมากขึ้น ผู้ใดมีปัญญาให้ใช้วิธีของหลวงพ่อท่าน คือถือเฉพาะเวลา เช่น ตอนเจริญกรรมฐาน เจตนา คือตัวบุญ ขอให้บริสุทธิ์จริง ๆ ในช่วงเวลาสั้น ๆ จิตก็จะไม่เศร้าหมอง

สำหรับท่านหญิงนั้น ศีล ๘ ได้ปรากฏขึ้นกับจิตของท่านเอง เมื่อประมาณ ๖-๗ เดือนก่อนจะทิ้งขันธ์ ๕ ตามตำรากล่าวว่า เมื่อฆราวาสจบกิจพระศาสนา จะมีชีวิตอยู่ได้ไม่เกิน ๑ วัน หรือ ๒๔ ช.ม. สำหรับส่วนตัวผมมั่นใจว่าท่านหญิงทรงทราบอยู่แล้วว่าจบกิจ จึงได้บอกกับคุณทิพาและคุณมาลีให้รับทราบตามตรง (โปรดย้อนดูข้อเท็จจริงที่ ๑๑) แต่ทั้งสองคนไม่เข้าใจ นอกจากนั้นหลวงพ่อท่านก็รู้ตามที่พระมาบอกท่านว่า ท่านหญิงจบกิจเมื่อเวลาสองนาฬิกา แต่ขณะนั้นหลวงพ่อท่านพักอยู่ที่ ต.ช.ด.เขต ๘ ทุ่งสง ส่วนท่านหญิงอยู่ที่บ้านรับรองของโรงปูน ส่วนรายละเอียดผมจะไม่ขอเขียนอีก เพราะหลวงพ่อท่านเล่าไว้ละเอียดแล้ว

ปัญหามีอยู่มากในขณะนั้น (เรื่องของโลกธรรม) เพราะคนส่วนใหญ่จะไม่เข้าใจเรื่องฆราวาสจบกิจในพุทธศาสนาจะต้องตายภายใน ๒๔ ช.ม. (ท่านเจ้ากรม พล.อ.ท.ม.ร.ว.เสริม ศุขสวัสดิ์ ท่านเขียนไว้ชัดในหนังสืออนุสรณ์ในการพระราชทานเพลิงศพภรรยาของท่าน) ผมก็ของดกล่าว เพราะในหนังสือเล่มนั้นมีของดี ๆ น่าอ่านน่าศึกษาอยู่มาก)

ต่อเมื่อเวลาได้ล่วงเลยมากว่า ๑๐ ปีแล้ว จนถึงในปัจจุบันปัญหานี้ก็หมดไป เพราะมีผู้มาปฏิบัติธรรมและฝึกมโนมยิทธิกันเป็นจำนวนมากกว่าแสนคน ซึ่งสามารถจะพิสูจน์ความจริงในพระศาสนาได้ด้วยตนเอง หลังจากท่านหญิงท่านสิ้นชีพิตักษัยเพื่อประเทศชาติไปแล้ว พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าสถาปนาขึ้นเป็น พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต เพื่อตอบแทนคุณความดีของพระองค์ท่าน

: บทสรุปส่งท้าย
๑. หลวงพ่อท่านยกเอาท่านหญิงเป็นบุคคลตัวอย่างในการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบหรือสุปฏิปันโน ผมจึงแนะนำให้ท่านผู้อ่านย้อนกลับไปดูธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ ๑๐๘ เดือน ก.พ.๒๕๓๓ อีกครั้ง เพราะการเห็นพระ (อริยะ) จัดเป็นอุดมมงคล (ในมงคลสูตร)
๒. ขอให้ผู้อ่านพยายามศึกษาปฏิปทา หรือการปฏิบัติดีปฏิบัติชอบของท่านหญิง (ตามอิทธิบาท ๔ และอริยมรรค ๘) อย่างละเอียด เพราะท่านเป็นศิษย์ของหลวงพ่อที่ใช้เวลาปฏิบัติเพียง ๘ เดือน เรียนวิธีปฏิบัติกรรมฐานกับหลวงพ่อ แค่ประมาณ ๗ วัน ท่านก็สามารถจบกิจพระศาสนาได้


๓. การปฏิบัติของท่าน ยึดการปฏิบัติที่ใจเป็นหลัก (ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐสุดสำเร็จที่ใจ) ท่านมิได้หยุด งานประจำไม่ได้ปลงผมและนุ่งขาวห่มขาว ไม่ได้มานั่งเกาะหลวงพ่อตลอดเวลา ไม่ได้ยึดวัดหรือยึดสถานที่เป็นหลัก ไม่ต้องเลือกเวลา ตั้งเวลาว่าต้องเวลานั้นเวลานี้ แต่ปฏิบัติอยู่ที่ใจตลอดเวลาในทุกอิริยาบถ ยืน เดิน นั่ง นอน (ทั้งงานด้านทางโลก และงานด้านทางธรรม ถ้าเข้าใจแล้วก็สามารถปฏิบัติจิตไปพร้อม ๆ กันได้)

๔.ท่านยึดสังโยชน์ ๑๐ เป็นแนวทางปฏิบัติ ท่านเข้าใจดีว่า ศีลเป็นแม่ของพระธรรมเป็นมารดาของพระพุทธศาสนา สังโยชน์ ๓ ข้อแรก จึงมีความสำคัญอยู่ที่ข้อ ๓ ท่านจึงทรงมีอธิศีลในศีล ๕ ต่อไปก็ทรงกรรมบถ ๑๐ ครบ (ในระยะ ๗-๘ เดือนที่ได้อยู่ใกล้ชิดกับท่าน ได้สนทนากับท่าน ไม่เคยได้ยินท่านตำหนิใคร ไม่เคยยกตนข่มผู้อื่น ไม่เคยยกตนเองว่าดี และไม่เคยยุ่งเรื่องของชาวบ้านในเรื่องส่วนตัวนอกหน้าที่ของท่าน หมายถึงไม่เอาจิตเข้าไปผูกพันให้เกิดทุกข์ ยามช่วยราษฎรก็ช่วยอย่างสุดกำลัง หรือทำดีที่สุดเท่าที่จะพึงช่วยได้ พึงทำได้ แต่เมื่อหมดเวลาแล้วจะไม่เป็นทุกข์ เพราะเอาจิตไปผูกพัน ทรงแยกได้ว่าอย่างไหนโลก (หน้าที่) อย่างไหนธรรม (ทางที่จะพ้นโลก) เมื่อศีลบริสุทธิ์เป็นอธิศีล ย่อมทำให้จิตบริสุทธิ์ตาม (อธิจิต) ส่งผลทำให้เกิดมีความคิดเห็นถูกหรือสัมมาทิฏฐิ หรือเกิดปัญญาในทางธรรม หรือเข้าใจในธรรม ทำให้หมดสงสัยในพระพุทธ พระธรรม และพระอริยสงฆ์ ผู้หมดสงสัย ย่อมปฏิบัติตามคำสอนอย่างเคร่งครัด สัมมาทิฏฐิ คือ ตัวเข้าใจหรือตัวปัญญา ซึ่งเป็นอริยมรรคองค์แรกของอริยมรรคอันมีองค์ ๘ เมื่อบุคคลใดเข้าใจ มีปัญญา ย่อมหมดความสงสัย และย่อมเลือกเดินทางถูกต้อง คือ ไม่มีวันเดินทางผิด (ไม่เป็นมิจฉาทิฏฐิ)

พระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ว่า“ ไม่มีโทษอันใดที่จะร้ายแรงเท่ากับมิจฉาทิฏฐิ ” เพราะหากเราเริ่มต้นผิด การกระทำของเราก็จะผิดตลอด และด้านตรงข้ามหากเราเริ่มต้นถูก มันก็จะถูกตลอด พระองค์ทรงเห็นแล้วด้วยญาณทัศนะอันบริสุทธิ์ จึงได้จัดให้สัมมาทิฏฐิ เป็นองค์แรกในอริยมรรค ๘ ผมจำได้ว่า เรื่องนี้หลวงพ่อท่านเปรียบสัมมาทิฏฐิเหมือนหัวรถจักร (หัวรถไฟ) หากเรายึดหัวรถจักรได้ และตั้งทิศทางที่จะไปได้ถูกต้อง (มรรคแปลว่าทาง) รถย่อมพาเราไปถึงที่หมายได้ถูกต้องและแน่นอน ในทางปฏิบัติองค์ ๗ ที่เหลือก็จะเกิดขึ้นมาเอง และถูกจูงไปทางเดียวกันหมด ทำนองเดียวกับพวกมิจฉาทิฏฐิ จับหัวรถไฟได้เหมือนกัน แต่เลือกทางวิ่งทางเดินผิด (เพราะเป็นมิจฉามรรค) มิจฉาอีก ๗ ตัวก็จะเกิดตามมาเป็นขบวนเช่นกัน ให้จำง่าย ๆ ว่า อริยมรรคอันมีองค์ ๘ ก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญานั่นเอง พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า“ ตราบใดที่ยังมีบุคคลปฏิบัติตามอริยมรรค ๘ ของตถาคตแล้ว ตราบนั้นโลกนี้จะไม่ว่างจากพระอริยเจ้า"

๕. ท่านหญิงท่านก็ปฏิบัติตามคำสอนของพระองค์ และก็พ้นทุกข์ได้จริงตามที่พระองค์ตรัสไว้ มิได้ไปอาศัยการเข้าทรงให้องค์นั้นองค์นี้มาประทับมาสอนให้วุ่นวายไปหมด ท่านมีปัญญาอันเกิดจากอธิศีลและอธิจิต ทำให้เกิดปัญญาอันเป็นสัมมาทิฏฐิ หมดสงสัยในธรรมที่หลวงพ่อท่านสอน ว่าเป็นสัมมามรรค เป็นสัมมาปฏิปทาจนพ้นทุกข์ได้จริงภายในเวลา ๘ เดือนเท่านั้น ท่านใช้ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ไม่ได้พึ่งสิ่งอื่นนอกตัวหรืออำนาจของผู้อื่นมาบันดาลให้เกิดผล

๖. ผู้ใดที่อ่านบุคคลตัวอย่าง (ท่านหญิงวิภาวดี รังสิต) ของหลวงพ่อท่านแล้ว หากกลับไปทบทวนดูใจดูอารมณ์ของตนเองอย่างเป็นธรรม ย่อมต้องเห็นความชั่ว ความเลวของจิตของตนเองอีกมากมาย เหมือนกับที่ผมเห็นอารมณ์ชั่วอารมณ์เลวของผมอยู่เกือบตลอดเวลา และพยายามแก้ไขต่อสู้กับมันอยู่เกือบตลอดเวลาเช่นกัน (อัตตา โจทยัตตานัง) คอยเพ่งดูจิตตนเอง คอยจับผิดที่ใจตนเอง และคอยแก้ไขความผิดที่ใจตนเองไว้เสมอ เป็นอกาลิโก แต่ก็ยังพบความชั่วความเลวอยู่ทุก ๆ วัน จึงขอยืนยันว่าหากผู้ใดที่ยังไม่เห็นความชั่วความเลวที่ใจตนได้ ผู้นั้นจะไม่มีทางละความชั่วได้ (เพราะมิจฉาทิฏฐิเป็นเหตุ) แต่หากผู้ใดเข้าใจแล้ว กลับตัวกลับใจได้ (มาเป็นสัมมาทิฎฐิ) ก็ไม่มีอะไรที่สายเกินแก้ในพระพุทธศาสนา

(ส่วนดีของบทความนี้ ขออุทิศถวายแด่พระองค์เจ้าหญิงวิภาวดี รังสิต ส่วนเลวผมขอรับไว้แต่เพียงผู้เดียว)

........................................................

ที่มาของข้อมูล
ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น เล่ม ๒ ตอนที่ ๑
หนังสือ “ธรรมนำไปสู่ความหลุดพ้น ทุกเล่ม
หาข้อมูลศึกษาได้จาก.......

http://www.tangnipparn.com/page_book_all.html
ต้องขอโมทนาทุกท่านที่ช่วยเผยแพร่ผลงานของพระพุทธเจ้าหรือ
หลวงพ่อในทุกรูปแบบทั้งทางหนังสือและอินเตอร์เน็ต
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆ ท่านครับ


:b46: รวมคำสอน “หลวงพ่อฤาษีลิงดำ (พระราชพรหมยาน)”
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=72&t=38703


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 21 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร