ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ความสำคัญของการตั้งความปรารถนาเรื่องนิพพานในปัจจุบัน
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=39717
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  สัจจานุรักษ์ [ 29 ก.ย. 2011, 16:13 ]
หัวข้อกระทู้:  ความสำคัญของการตั้งความปรารถนาเรื่องนิพพานในปัจจุบัน

ความสำคัญของการตั้งความปรารถนาเรื่องนิพพานในปัจจุบัน

หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


...........................

ข้อมูลจาก
เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม ๓ เรื่องยันฮี
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ


............................

ยันฮี
(เล่าเมื่อ 16 พฤศจิกายน 2516)


ที่ตรงยันฮีนี้ เป็นที่มีความสำคัญอยู่เยอะ พระพุทธเจ้าเคยเสด็จผ่านมาหลายพระองค์

หนึ่ง พระพุทธทีปังกร
สอง พระปทุมุตตระ
สาม พระกุกุธสันโท
สี่ พระโกนาคม
ห้า พระพุทธกัสสป
หก พระสมณโคดม


ท่านบอกว่า เขาลูกที่สามจากนี้ไปน่ะ เป็นแดนที่ประทับของพระพุทธเจ้า ที่ท่านเสด็จมาโปรด อีแถวนี้มันเจริญ ไม่ใช่ป่า ตอนนั้นเป็นเมืองใหญ่ เจริญมากนะ

เวลาพอจะขึ้น "ปุริมทิสังราชา..." จะหัวเราะให้ได้เลย เพื่อนมิสเตอร์เหม่เขามาเป็นคนที่เคยฟาดฟันกันมานะ เขามาชี้บอกว่า "ไอ้ระยำนี่น่ะฟันหัวมันไม่ได้สักที มันหลบเก่ง แล้วมันใช้ผ้าโพกหัวหนาๆ ฟันทีไร ติดผ้าทุกที" วันนี้มากันหมื่นกว่า แต่ว่าเขาไม่ได้จองเวรนะ เลยไม่ได้พูดถึงเรื่องเวรกรรมกัน พอพูดเสร็จแล้ว

ท่านท้าวมหาราชก็มากางบัญชีกัน บอกว่า พวกเราที่ต้องทำบุญอุทิศให้เขานี่น่ะ ตั้งแต่สมัย พระเจ้าศรีทรงธรรม แล้วก็สมัย พระเจ้าขุนรามคำแหง ไล่ฆ่าเขาแถวนี้ เขามากันหมื่นเศษ ถามเขาว่า เวลาทำ บุญที่วัดทำไมไม่ไปทวงเอาที่โน่นล่ะ เขาบอกว่า กฎของกรรมมันปิด ไปไม่ได้ ก็เลยถามเขาต่อไปว่า คนที่มาอยู่ที่ยันฮีนี่ก็มาก พวกแกไม่ได้บุญบ้างเรอะ เขาบอกว่า ไม่ได้ ส่วนมากเขามาสนุกกันครับ ไม่ได้มาทำบุญ (นี่เป็นคำตอบจากพวกชั้นหัวหน้า ๆ สัก 100 กว่า ที่ท้าวมหาราชท่านอนุญาตให้เข้ามานะ) เขาก็แหงอยู่อย่างนี้ คอยจะเอาอะไร จากคนอื่นมันก็ไม่ได้ เห็นพวกท่านมาวันนี้ แหม ผมดีใจจังเลย

ถามเขา ว่ามาทวงหนี้เรอะ ? ตอบว่า ไม่ทวงหรอกครับ เรื่องของสงคราม ไม่ทวงหรอก สงครามนี่ส่วนใหญ่ ไม่มีเจตนาฆ่าฟันกัน เป็นการทำตามหน้าที่เพื่อรักษาพื้นที่กันทั้งสองฝ่าย

ทีนี้เลยถามว่า พวกเรานี่ ใครเคยเกิดในสมัยสุโขทัยกันบ้าง สมเด็จฯ ท่านมาท่านก็ดุเอาเลยว่า จะพูดอะไรกันล่ะ เรื่องสมัยน่ะ เรื่องบุญเรื่องบาป ควรจะพูด ไม่พูดกันเลย ควรจะพูดอย่างเดียวว่าชาตินี้เป็นชาติสุดท้ายที่เราจะพึงอยู่

แล้วท่านก็เล่าว่า ดินแดนแถวนี้พวกเราเคยมาบำเพ็ญทานบารมีกันมาก ตั้งแต่สมัย สมเด็จพระพุทธทีปังกรโน่นแน่ะ เวลานั้น พวกเรากินแดนไปถึงอินเดีย แต่ตอนนั้นไม่ใช่ชาติไทยนะ ชาติอะไรก็ไม่รู้ ปลายสุดอยู่ที่ตาก เป็นเมือง 10 เมือง เป็นสัมพันธมิตรกันด้วยธรรมสามัคคี คือ เขามาขอขึ้นด้วยไม่ใช่เที่ยวไปไล่ตัดหัวเขานะ เห็นจะเป็นด้วยเขาอยากจะมาขอทองคำไปใช้กันนั่นแหละ

สมัยนั้นพวกเราบำเพ็ญกันหนักในด้านทานบารมี แต่ท่านตำหนิอยู่นิดหนึ่งว่า ที่ใครต่อใครทำบุญกันตอนนั้นน่ะ ที่ตั้งปรารถนาที่จะนิพพานในชาตินั้นกันน่ะไม่มีเลย มีแต่ขอกันว่า " ให้ได้พระนิพพานในชาติอนาคตกาลเถิด" กันหมด นี่ไหมล่ะ ถึงได้ถูกเตะโด่ง มาจนถึงเวลานี้ ท่านบอกว่า ถ้าปรารถนานิพพานในชาตินั้น มันก็จะได้นิพพานในชาตินั้นกันเยอะแล้ว นี่สมเด็จพระพุทธทีปังกรยืนยันเองนะ

ต่อมาในสมัยสมเด็จพระปทุมุตตระ พวกเราก็เกิดอีก พอปรารถนาพวกเราก็เกาะหางตามกันมาเรื่อยเลย ไม่ได้นิพพานกันสักที ต่อมาสมัยพระกุกุธสันโท พระโกนาคม พระพุทธกัสสป ก็เกิดทันกันมาทุกสมัยจน ถึงสมัยพระสมณโคดมนี่ ส่วนใหญ่ก็ทำด้านทานบารมีกันแล้ว ก็มาขอให้นิพพานในอนาคตกาลกันอีกฉัน ก็โง่แบบนั้น แล้วก็ "ราชาช้าง" ด้วย ไม่ใช่ฉันคนเดียวหรอก

ทีนี้ก็ทูลถามท่านว่า ถ้ายังงั้นเวลานี้ หากทุกคนเขามีความตั้งใจไปนิพพานกัน จะมีหวังไหม ท่านก็หัวเราะ บอกว่า เอ ฉันก็พูดแล้วนะว่า ถ้าปรารถนาพระนิพพานตั้งแต่ชาติโน้นมันก็ได้ ชาตินี้ถ้าตั้งใจจริงๆ ทำไมจะไม่ได้ล่ะได้แน่ ขอให้เราตั้งใจจริงหวังจริงๆ เถอะ

แล้วทำเพื่อตัด ไม่ใช่ทำเพื่อเกาะ จะไปสาวประวัติ กันทำไมว่า ใครเป็นสุโขทัย ใครเป็นลพบุรี ฯลฯ
เพื่อนตาเหม่ ที่เขามาชี้หน้าน่ะ ขาว ๆ สวย เจ้าคนนี้สวยมาก รูปร่างหน้าตาสวยจริง ๆ ขาวค่อนข้างโปร่ง ไม่สูงนัก ท่าทางคล่อง แล้วก็มีคู่สงครามของเจ้ากรมคนหนึ่ง บอกว่า แทงพุงหลายหนไม่เข้าสักที เหนียว เหนียวมาก อีตาราชาช้างนี่เหนียว ขัดคอแกว่า หอกแกไปติดเกราะเข้ากระมัง เขาตอบว่า ไม่ใช่ครับ ไอ้ หอกประเภทนี้ เวลาจะแทงเขาจะต้องรู้จังหวะ จะก้มหรือหงายเกราะ จะเปิดตรงไหน พวกนี้รู้กัน ปั๋งเข้าก็ ถูกเนื้อทุกที แต่ไม่เคยเข้า ถามว่า จองเวรเขาหรือเปล่า ตอบว่า ไม่จองครับ สงคราม
มีเรื่องใหญ่เรื่องหนึ่ง คือ เจ้าพวกนี้ รวมกันขอพระ 14 นิ้วองค์เดียว จะสร้างได้ไหมนี่ ช่วยกันนะ ต้องฉัน ด้วยหัวโจกใหญ่ ที่เขาขอพระนี่ ไม่ใช่เราใช้หนี้นะเราสงเคราะห์น่ะ ท่านบอกว่าเจ้าพวกนี้คอยเรามานาน ไอ้เราก็มากันจนได้นะ คนที่ไม่ตั้งใจจะมาก็มา นี่มันเกี่ยวข้องกันมา ตั้งแต่สมัย พระเจ้าพรหมมหาราช แล้วก็สมัยรบพม่าอีก


ถามท่านว่าไอ้10 เมืองนี้น่ะมันมีอะไร ถึงได้มีทองมากมันต้องมีดีซี ไม่งั้นทองมัน มารวมกันไม่ได้หรอก ท่านบอกว่า ถอยหลังไปอีกไปสืบสาวราวเรื่องเอาตั้งแต่ พระพุทธเจ้าองค์ ที่ 5 ที่ 6 นี่ พวกเรามักจะทำบุญ กันด้วยเครื่องประดับ คือ ถอดเครื่องประดับทั้งหมดออก ถวายเป็นพุทธบูชา ตอนนั้นเป็นพระราชากันบ้าง เป็นเศรษฐีกันบ้าง ใหญ่โตมาก เวลาฟังเทศน์พระพุทธเจ้าแล้ว มีสร้อย มีทองคำ มีเพชร อะไรต่ออะไร ก็ ถวายไปเป็นพุทธบูชา ปรารถนาพระนิพพานในอนาคตกาล อาศัยบารมีอันนั้นแหละ เป็นเหตุให้เกิดทรัพย์ สินมหาศาลขึ้น ด้วยอำนาจบุญญาธิการ ทองซึ่งเป็นทรัพย์แผ่นดิน มันจึงมารวมตัวกันมาก ได้แจกจ่ายกัน เป็นการใหญ่ ไปขุดกันเอาเองไม่รู้จักหมด

นี่ที่เราได้พบพระพุทธเจ้า มาหลายองค์ นี่ก็แสดงว่า เราไม่ได้ตกนรกกันมานานแล้ว แต่ไม่ใช่ว่า พบพระพุทธเจ้าแล้วจะตกนรกไม่ได้นะ บางทีเสด็จลงไปเยี่ยมเขาเหมือนกัน หนาวๆหน่อย ก็ย่องลงไปผิงไปเสียที แต่ที่ไม่ตกนรก ก็กว่า 1,000 ชาติแล้ว

วันนี้พระพุทธเจ้า เสด็จมา 3 พระองค์ ท่านบอกว่า ไม่ต้องห่วงพวกนี้ ทำใจให้สงบ พระอินทร์ท่านก็บอกว่า ควรสงเคราะห์เราสงเคราะห์เขา เราเองก็คล่องขึ้น เพราะเมื่อ เราสงเคราะห์เขา เขาก็สงเคราะห์เรา เราจะมีเทวดาเป็นพวกมาก

ที่ว่า 3 องค์ ตะกี้นี้ ก็มี พระพุทธทีปังกร พระพุทธกัสป พระพุทธกุกุสันโท หลวงพ่อกุกุธสันโท ไม่เคยมาเลยนะ ท่านชี้บอกว่า ภูเขาลูกที่ 3 เป็นแดนที่ประทับ ท่านทำให้เห็นภาพ บ้านเมืองสวยงาม บ้านสูงปรี๊ด อุดมสมบูรณ์ มีนักบุญมาก ทูลถามท่านว่า ชมภูทวีปมีเขตถึงไหน ท่านตอบว่า แถวๆ นี้แหละ

เออ เมื่อวานนี้จับผู้ร้ายได้ 2 คน ที่มากับ ที่มากับหมอสุพจน์นั่นแหละ เวลาเป่ากระหม่อม ลงไปคนหนึ่งก็ บอกเขาว่า "อ้าว นี่มาจากที่ดีนี่ แต่กำลังจะดำเนินปฏิปทา ไปในทางที่ผิดแล้วก็ทำเสียให้ถูกนะ"
เขาถามว่า เป็นยังไงครับ ตอบเขาว่า "เอ เรามาจากสำนักพระอินทร์นี่ พระอินทร์ ท่านลงมาบอกว่า ไอ้นี่ มันลูกศิษย์ผมนี่ แต่ว่าเวลา นี้มันกำลังเดินผิดทาง มันจะกลับไปที่เก่าไม่ได้ ให้มันเดินเสียให้ถูกทาง"
ต่อมา อีกหนหนึ่ง พอเป่า ๆ ท้าวมหาราชชมภู ท่านมาบอกว่า ไอ้นี่ขโมยพระเขามา เลยถามเขาว่า "เคย ขโมยพระเขามาหรือเปล่านี่" เขาตอบว่า เคยครับ แล้วรับสารภาพว่า เห็นจะเป็นพระกึ่งพุทธกาลที่เขาให้ มาบรรจุกระมัง ดูกันไปดูกัน มาเลยลิบของเขามา 5 องค์


ท่านสั่งมาเลยว่า ให้ชำระหนี้สงฆ์ 500 บาท ที่วัดไหนก็ได้ กำชับเขาว่า เอาไปให้ที่วัดอื่นนะเดี๋ยวจะหาว่า ข้าหาเงิน เขาบอกว่า ไม่เอาครับวัดอื่น ไม่เลื่อมใส ถวายที่หลวงพ่อ นี่แหละ

ก็เลยบอกว่า ให้ตั้งใจชำระหนี้สงฆ์นะ ไม่ใช่ให้ฉัน เสร็จแล้วมารู้ที หลังว่าเขาเป็นคริสเตียนทั้งคู่
แล้วก็มี สารวัตรใหญ่ สารวัตรเล็กมาอีก สารวัตรใหญ่ เป็นสารวัตรกำนัน ตัวแกใหญ่สารวัตรเล็ก เป็นสารวัตรตำรวจ แล้วมีอีกคนหนึ่ง ตัวผอมๆ สูงๆ เข้าไปเป่าหัว หลวงพ่อปานบอกว่า "อือ รักษาศีลให้บริสุทธิ์นะ มันจะดี ต้องให้มันดีจริง ๆ อย่าเอาหางหมามาใส่อีก"


สารวัตรตำรวจแกก็บอกว่า ไอ้นี่เวลาไม่กินเหล้าก็ดีหรอกครับ แต่เวลากินเหล้าแล้วเหมือนหมาจริง ๆ
หลวงพ่อพูดตรง ก็เลยบอกเขาว่า ฉันไม่ได้พูดเอง หลวงพ่อปานท่านบอก ท่านว่า กินเหล้าเข้าไปแล้วเป็นไงรู้ไหม มันเหมือนหมาอยู่ครึ่งตัว มันเหลือแต่เสื้อ กางเกง ถอดทุกที เจ้าตัวหัวร่อก๊าก แล้วบอกว่า ผมจะต้องมาอีก ไม่มีใครพยากรณ์ผมตรงเผงยังงี้เลย ต้องสั่งแกว่า แกอย่าไปเที่ยวเบ่งกับชาวบ้าน ว่าฉันพยากรณ์ตรงนะ ถ้าหลวงพ่อท่านไม่พูดมา ฉันก็ไม่รู้หรอก จะว่าฉันเก่งยังงี้ยังงั้นไม่ได้ เดี๋ยวเขามากันแล้ว หลวงพ่อไม่มาบอก ฉันก็แย่


เขาถามว่า เมื่อชาติก่อนเคยเป็นอะไรกันมา ตอบเขาว่า วันนี้พูดไม่ได้ ท่านไม่พยากรณ์ ถามท่านแล้วท่าน บอกว่า ไม่เอา แค่นี้พอให้มันเลิกเป็นหมูเป็นหมากันเสียก่อน

......................................

ข้อมูลจาก
เรื่องจริงอิงนิทาน เล่ม ๓
หลวงพ่อฤาษีลิงดำ
ต้องขอโมทนาทุกท่านที่ช่วยเผยแพร่ผลงานของพระพุทธเจ้าหรือ
หลวงพ่อหรือพระอริยเจ้าทั้งหลายในทุกรูปแบบทั้งทางหนังสือและอินเตอร์เน็ต
ขอความเจริญในธรรมจงมีแด่ทุกๆท่านครับ


........................................

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/