วันเวลาปัจจุบัน 19 เม.ย. 2024, 20:33  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 05 ก.ย. 2011, 16:22 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 02 มิ.ย. 2011, 18:31
โพสต์: 292


 ข้อมูลส่วนตัว


รูปภาพ

พบพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ๑๖ องค์
ที่ภูกระดึง
โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ

.....................................................

เนื้อหาในที่นี้ผมนำมาให้อ่านสองตอนจากหนังสือหลวงพ่อธุดงค์ คือตอน “ไปพักที่ภูเขาภูกระดึง” และ “ไปสายเมืองกาญจนบุรี” ซึ่งทั้งสอนตอนมีความสัมพันธ์กัน ควรอ่านต่อเนื่อง ทั้งสองตอนนี้กล่าวถึงหลวงพ่อได้พบพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ๑๖ องค์ ที่ภูกระดึง สำหรับหนังสือหลวงพ่อธุดงค์เล่มนี้มี ๓๓ ตอน สำหรับท่านที่สนใจลองหาอ่านดูเองนะครับ

.....................................................

ไปพักที่ภูเขาภูกระดึง
โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้คงเป็นวันที่ ๑๔ สิงหาคม ตามเดิม เพราะบันทึกหน้าที่ ๒ ก็ขอคุยถึงเรื่องภูเขาภูกระดึง เสียงแย่นะ บรรดาญาติโยม ลิ้นก็แข็งมาก

ก็เป็นอันว่า หลังจากปักกลดเสร็จ ที่นี่ไม่ควรจะใช้คำว่าปักกลด คือ กางร่มกันน้ำค้าง และก็เป็นภูเขาลึก เป็นถ้ำลึกเข้าไปหน่อยสบายมาก มีธารน้ำเย็นไหลผ่านมีความสะดวก ธารน้ำใสไหลยาว และมีห้องเป็นหับน่าอยู่มาก ท่านอินทกะท่านก็บอกว่า ที่นี่กำลังมีพระธุดงค์อยู่ ท่านบอกว่าตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ถ้ามีความจำเป็น ผมจะมาหาท่าน ถ้าไม่จำเป็น ผมก็จะไปทำงานของผม ก็บอกว่า ตามสบายเถอะ

หลังจากท่านไปแล้ว พวกเราก็เข้าเจริญกรรมฐาน การเจริญกรรมฐาน บรรดาทานพุทธบริษัทถามว่า ทำอะไรบ้าง ก็ขอตอบง่าย ๆ ว่า (๑) อานาปานสติ (๒) มรณัสสติ คำว่า มรณัสสติ หมายความว่า นึกถึงความตายเป็นอารมณ์ เราอาจจะตายที่ตรงนี้ก็ได้ นึกถึงความตายไว้เสมอ หลังจากนั้นก็มี พุทธานุสสติ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นอารมณ์ ธัมมานุสสติ นึกถึงพระธรรมเป็นอารมณ์ สังฆานุสสติ นึกถึงพระสงฆ์เป็นอารมณ์ หลังจากนั้นก็ อุปสมานุสสติ นึกถึงพระนิพพานเป็นอารมณ์ ก็รวมความว่ากรรมฐานทุกบท ก็ทำกันหมด กายคตาสติ ก็ต้องทำ เห็นว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา เป็นวิปัสสนาญาณข้อต้น เป็นสังโยชน์ข้อต้น ต้องทำเป็นประจำ

ถ้าถามว่า คิดอย่างนี้เป็นพระอรหันต์หรือยัง ก็ต้องตอบว่า ถ้าเป็นอรหันต์ก็ไม่ต้องมาธุดงค์กัน อย่านึกว่า เป็นผู้เลิศ ผู้ประเสริฐมากเกินไป เห็นว่า ทำผีเป็นเทวดา นี่เป็นของธรรมดา ๆ ญาติโยมทุกคนที่อ่านหนังสืออยู่นี่ก็ดีหรือที่ฟังเทปก็ตามก็เคยทำให้คนเป็นเทวดามาแล้วนับไม่ถ้วน โดยที่ท่านไม่รู้ นั่นหมายความว่า เวลาที่พระมาบิณฑบาต ท่านไปใส่บาตรพระ เป็นทาน เป็นการถวายทานกับพระสงฆ์ เป็นสังฆทานบุญใหญ่มาก บางท่านใส่บาตรพระเสร็จก็กรวดน้ำที่ตรงนั้น พระเดินไปแล้ว บางท่านก็กลับบ้านมากรวดน้ำ ขณะกรวดน้ำหรืออุทิศส่วนกุศล บรรดาท่านพุทธบริษัท บุญใหญ่ของท่าน มีบรรดาพวกเปรตก็ดี อสุรกายก็ดี สัมภเวสีก็ตาม มาโมทนากันเป็นอันมาก

เมื่อมาโมทนาแล้ว พวกที่มีบุญญาธิการมาหน่อย คือ บาปน้อยหน่อย กรรมเหลือน้อย เขาก็เป็นเทวดาทันทีทันใด เป็นเทวดา เป็นนางฟ้า กรรมเหลือมากนิด กรรมก็ผ่อนคลายไป เขาก็มีความสุข การทำผีให้เป็นเทวดานี่ทำกันเป็นทุกคน คนที่อ่านหนังสือนี่ทำมาแล้วทั้งหมด แต่ก็น่าเสียดายที่บางท่านไม่เคยเห็นผีที่ท่านให้ และหลาย ๆ ท่านที่ได้กรรมฐานได้ทิพพจักขุญาณก็สามารถเห็นได้ เป็นเรื่องที่ไม่ใช่ของแปลก อย่าไปคิดว่าพวกอาตมานี่วิเศษวิโสกว่าใครไม่ใช่อย่างนั้น ยังก่อนดูก่อน

หลังจากฉันข้าวเช้าเสร็จ ตามเทวดาสัญญา ตอนนี้มีนางฟ้ามาด้วย นางฟ้าก็ไม่แปลง เทวดาเขาไม่แปลง เขามาเป็นเทวดาชัด นางฟ้าก็เป็นนางฟ้าชัด ๆ ถ้าถามถึงความรู้สึกว่า เห็นสาวนางฟ้าเป็นอย่างไร ก็ต้องตอบว่า อย่าลืมว่า เธอเป็นผี เธอจะเป็นอย่างไรนั่นไม่สำคัญ สำคัญเรา นึกถึงตัวเราเองเป็นสำคัญว่า ตัวเราจะตาย เวลานี้เรากำลังจะตาย ความตายมีอยู่แค่ปลายจมูก เมื่อเลิกลมหายใจเมื่อไรก็ตายเมื่อนั้น เสือกัดเมื่อไรก็ตาย ช้างกระทืบก็ตาย ขาดอาหารก็ตาย ขาดลมก็ตาย รวมความว่า เราก็นึกถึงแค่ตัวเราว่า ทุกท่านที่มานั่งทั้งหมดนี่เป็นคนมาแล้วทั้งหมด แต่อาศัยที่เป็นคนที่สร้างความดีจึงเป็นเทวดาได้ เป็นนางฟ้าได้

ถ้าญาติโยมจะย้อนถามว่า บรรดาเทวดาที่มานั่งทั้งหมด ๖๐ องค์กว่า มีความดีจากพวกท่านใช่ไหม ก็ต้องตอบว่า ใช่ แต่ต้องถือว่า เป็นความดีของเขาด้วย ถ้าเขาไม่ดี เขาก็ไม่มาขอโมทนา เพราะบุญเดิมของเขาดีมีอยู่แล้ว แต่กรรมบางอย่าง คือ กรรมปานาติบาต เป็นต้น เป็นเหตุให้เขาต้องมาฆ่ากันตายในระหว่างชีวิต ชีวิตยังไม่ถึงอายุขัยก็ฆ่ากันตายเสียแล้ว และต้องรอทนมาจนกว่าพบคณะอาตมา เมื่อรับบุญจากคณะอาตมาไปแล้ว บุญเก่าของเขาก็เกิดขึ้น ของเราก็รวมตัวกัน เขาก็ต้องเป็นคนมีบุญ รวมความว่า ที่เขาเป็นเทวดาได้ เพราะความดีของเขาด้วย ของเราด้วย รวมกัน ถ้าเขายังไม่มีดีหรือดียังไม่ถึงเขา เขาก็ไม่มาหาพระ เขาก็ต้องเร่ร่อนต่อไป

ก็รวมความว่า ที่มาหาพระได้ เพราะว่าเขามีดีแล้ว ดีมาถึงเขาแล้ว ทีนี้ถ้าจะนึกว่า นึกถึงภาพเทวดา นางฟ้า เทวดาไม่เป็นไร นางฟ้าสวย ๆ เห็นหน้าเธอแล้ว ก็มีความรู้สึกว่า สมัยเมื่อเป็นมนุษย์ เธอมีรูปร่างอย่างไร ก็เห็นภาพเดิมของเธอ บางคนก็แก่ตายบ้าง บางคนก็สาวตายบ้าง บางคนก็ตายสมัยเป็นเด็กบ้าง แต่เวลาเป็นนางฟ้า ก็เป็นสาวเหมือนกันหมด เมื่อฉันข้าวเสร็จ โมทนาให้พวกเธอ เธอรับโมทนา มีความสว่างมากขึ้น เธอก็กลับไป

หลังจากนั้นแล้ว ก็ชวนกันเดินเที่ยว จำทิศทางไว้ว่า ป่ารกชัฏขนาดนี้ เราไม่เคยมา เป็นป่ารกมาก เวลานี้ภูกระดึงด้านนั้นก็เป็นป่ารกชัฏมาก แต่ว่าจะบางไปมากแล้ว ยังมีเสือ ยังมีช้างอยู่ เวลานั้นมีสัตว์ทุกอย่าง สิ่งที่น่ารักจริง ๆ ก็คือ กล้วยไม้ กล้วยไม้สวยมาก เกาะอยู่ตามต้นไม้ เดินไปทางทิศตะวันออกสูงขึ้นไปนิดหน่อย ไปเจอะถ้ำ ๆ หนึ่ง ๆ มีพระองค์หนึ่ง ท่านนั่งอยู่ที่นั่นองค์เดียว

พอเข้าไปใกล้ท่าน ท่านก็ลืมตาขึ้น ท่านกำลังนั่งกรรมฐาน ก็นั่งลงกราบท่าน ก็เลยบอกว่า ขอประทานอภัยขอรับ กระผมมารบกวนท่าน ท่านบอกเปล่า ฉันนั่งคอยเธอ ถามว่า คอยทำไม ก็บอกว่า คอยเธอตั้งแต่ก่อนมา ฉันมาคอยอยู่ที่นี่ บอกหลวงพ่อจงแล้ว บอกให้ส่งเธอมาที่นี่ มองไปมองมาท่านก็ยิ้ม ๆ ทีแรกจำไม่ได้แน่ชัด เป็นพระหนุ่มมาก ยิ่งมองไป ๆ แก่ลงไปทุกที ๆๆ เป็นหลวงพ่อปาน

หลวงพ่อมาคอยผมที่นี่หรือขอรับ บอก ใช่ ป่านี้สำคัญมาก เป็นป่าตัดเชือกชีวิตของพวกเธอ เธอรอดจากป่านี้ไปได้ ก็หมายถึงว่า ต่อไปข้างหน้าเธอเอาดีได้ ถ้าเธอรอดไปไม่ได้ เธอไปตามกรรมของเธอ ตั้งใจไว้ให้ดีนะว่า ชีวิตเป็นของไม่เที่ยง แต่ความตายเป็นของเที่ยง การเกิดเป็นมนุษย์ มันเต็มไปด้วยความทุกข์ หาความสุขไม่ได้ จงอย่าอาลัยในชีวิต มันจะตายเมื่อไร ก็ช่างมัน เอาดีเข้าไว้ ดีนั่นคือธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ที่ให้คิดว่า ร่างกายมันไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นแต่เพียงธาตุ ๔ เข้ามาประชุมกัน มีธาตุน้ำ ธาตุดิน ธาตุลม ธาตุไฟ มันปั้นเป็นก้อนขึ้นมา เขาแยกเป็นอาการ ๓๒ ในไม่ช้าก็ตาย

ฉันเป็นอาจารย์ของเธอ ฉันก็ตายมาแล้ว ถามว่า หลวงพ่อเวลานี้อยู่ที่ไหนครับ ท่านบอกว่า เธอถามทำไม เวลานี้ฉันนั่งคุยกับเธอบอก ไม่ใช่ครับ ชั้นที่หลวงพ่ออยู่ ท่านบอก เธอก็รู้แล้ว อยู่ชั้นดุสิตที่เธอไปหาฉัน เธอไปหาฉันอยู่ที่ไหน ฉันก็อยู่ที่นั่น แต่วันนี้ฉันมาคอยเธอที่นี่ เพราะจะบอกเรื่องให้ฟัง ถามว่า เรื่องอะไรขอรับ ท่านบอก เรื่องของอนิจจังของดินแดนนี้มันมีมาก เดิมทีเดียว ในที่นี้เป็นทะเลลึก ภูเขาลูกนี้จมอยู่ก้นทะเลลึกมาก ต่อมาน้ำค่อย ๆ แห้งไป ๆ ทีละน้อย ๆ นับเป็นเวลาล้านปี ยอดเขาลูกนี้ก็โผล่ขึ้นพ้นจากน้ำ บนยอดลูกนี้ในที่โล่งที่ราบจริง ๆ ที่ไม่มีต้นไม้ คือ ต้นไม้ห่าง ๆ นาน ๆ ต้น มีประมาณพันไร่เศษ แต่ว่าที่ที่เป็นป่ารกชัฏนี่สามพันไร่เศษ

ถ้าเธอเดินขึ้นไปข้างบน เธอจะพบกว่าต้นไม้ที่เขาปลูกไว้ มันเป็นระเบียบ นั่นคือคนปลูก ต้นไม้ดอกสีเขียวพันธุ์เดียวกัน อยู่เป็นแถว แต่ละแถว ๆ สวยมาก และก็ยังมีต้นสน ต้นไม้ต่าง ๆ จะมีสระโบกขรณี คำว่า สระโบกขรณี นี่มันเป็นสระที่เขาสมมติขึ้น มีธารน้ำตกไหลไปทางด้านทิศตะวันออก เป็นต้น ของแม่น้ำพอง หรือแม่น้ำอะไรไม่ทราบ อาจจะเป็นที่มาของแม่น้ำพองก็ได้นะ ถ้าจำไม่ผิดนะ ท่านก็เล่าความเป็นมาให้ฟัง

ในที่สุดท่านก็สรุปว่า เธอจงคิดว่า เวลาหลายล้านปี สัตว์นับจำนวนไม่ถ้วนอยู่บริเวณนี้ ตายหมด ตายไม่เหลือ ถูกเขาฆ่าตายก็ตาย ที่ไม่ถูกฆ่าตายก็หมดชีวิตตาย ต่อมา เมื่อสถานที่นี้เป็นดินแดนของคน คนชาวเกาะ คือ เป็นเกาะใหญ่มีความอุดมสมบูรณ์ เป็นพ่อค้าชาวเรือ ต่างคนต่างก็มีความสุข ไปหากินทางเรือกัน เขากลับมาถึงที่เดิม อาหารการบริโภคก็มีความสุขมาก ผลหมากรากไม้ก็มีผักปลาก็ไม่ต้องหามาก เพียงแค่ถือสวิง ถือแห ไปตักเอาข้าง ๆ ชาย ๆ เขา ก็ได้กิน มีความสุข และเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็ตายหมด สุขของเขาไม่สุขจริง สุขในสมัยที่มีชีวิต คือ เอาชีวิตของผู้อื่นมาเป็นชีวิตของตน แต่ในที่สุดตนเองก็ต้องตาย ตายแล้วก็ต้องไปชดใช้หนี้ชีวิตของเขา แต่ที่เป็นเทวดา ที่เป็นนางฟ้าก็มี ขอเธอจงอย่าลืมว่า ที่นี่เขาตายกันมามากแล้ว และเราเอง เราก็ต้องตายตามเขา อย่าลืมความตายเป็นสำคัญ

ท่านบอกว่า หลังจากนี้ไปภัยอันตรายทั้งหลายไม่มีแน่ เพราะว่าเทวดาคุม พวกบรรดาสัตว์ทั้งหลายเห็นเธอ เขาจะทำเป็นไม่เห็น บางทีเขาก็ไม่เห็นจริง ๆ เพราะว่าเทวดากันหน้า แต่ที่นี่มีพระสำคัญ ๆ อยู่หลายองค์ ที่ท่านตัดสินใจมาอยู่ที่นี่อยู่ถึง ๒-๓ พรรษาก็มี ถามว่าท่านอยู่อย่างไรขอรับ ท่านก็เลยบอกว่า บางองค์ก็อยู่อย่างเธอกินข้าวกับเทวดา บางองค์ก็อยู่ด้วยธรรมปีติ เธอจงอย่าประมาท ถ้าพบพระทุกองค์ให้เคารพท่าน ถือว่าท่านเป็นรุ่นพี่ ถ้าหากว่าท่านสอนถือว่าท่านเป็นครู

ถามท่านบอกว่า พระที่จะสอนผิดมีไหม ท่านบอกไม่มีหรอก พระที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด ฉันขอบอกให้พวกเธอทราบว่า เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด ตายจริง เรานึกในใจว่า ตายจริง มาเจอแดนพระอรหันต์เข้าแล้ว ก็ดีแล้ว หลวงพ่อปานบอก ฉันบอกเธอเท่านี้นะ ฉันจะลากลับ แล้วท่านกก็กลับไป พวกเราก็กราบแล้วตามท่านไป ไปถึงวิมานของท่าน เมื่อถึงวิมานของท่าน ท่านเข้าที่แล้วก็กราบลากลับ ก็นึกในใจมาปรึกษากัน ๓ องค์ว่า เวลานี้เราเจอะของดีแล้ว เจอะพระอรหันต์ทั้งหมด พระอรหันต์จริง ๆ ท่าทางน่าจะเรียบร้อย คิดในใจนะ เป็นพระที่มีความสงบเสงี่ยมห่มผ้าห่มผ่อนต้องเรียบร้อย พูดจาเรียบร้อย

แต่ทว่า บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า กิเลสนั่นตัดได้ แต่นิสัยตัดไม่ได้ เรื่องนี้ พวกอาตมาเวลานั้นพลาดไปไม่ได้คิดถึง คิดถึงว่า พระทุกองค์ต้องเรียบร้อย ก็กลับมาที่เดิม เมื่อเวลาประมาณบ่ายสัก ๒ โมงเศษ ๆ นาฬิกาต้องคอยไขตามเวลา ไม่อย่างนั้นเวลาจะพลาด บ่าย ๒ โมงเศษ ๆ ก็มีพระองค์หนึ่ง ถือต้นไม้ต้นใหญ่ถือมาทั้งรากทั้งโคนเสร็จ แบกเดินเทิ่ง ๆๆ เข้ามา ตัวใหญ่มาถึงใกล้ ท่านถามว่า แถวนี้ใครเป็นนักเลงบ้างโว้ย ถ้าเก่งจริงก็มาตีกับกูซิหว่า มึงจะเอาต้นไม้ต้นไหนมาตีกับกูก็ได้ กูใช้ต้นนี้ต้นเดียว ทั้ง ๓ องค์ก็พากันมองหน้า ต่างคนก็ต่างยิ้ม ที่ยิ้มนี่ไม่ใช่อะไร บรรดาท่านพุทธบริษัท ก็ลองคิดดูซิว่า คนตัวเล็กนิดเดียว แบกต้นไม้ขนาดต้นยางมาหนึ่งต้น แล้วก็เอามาทั้งรากเหมือนกับถอนรากถอนโคนมาเลย แล้วก็มาท้าตีกัน

ถ้าเราจะคิดว่า สุครีพ เวลานั้นที่รบกับกุมภกรรณก็ไม่ผิด เพราะว่ากุมภกรรณเวลานั้นรู้ว่าสุครีพมีฤทธิ์มาก มีกำลังมากหลอกให้ถอนต้นพญารัง เมื่อถอนต้นพญารังมาแล้ว กุมภกรรณเห็นว่า สุครีพอ่อนเพลียก็เลยเข้าโจมตีทันที ในที่สุดก็จับสุครีพไป ข้อนี้ฉันใดพระองค์นี้ก็เช่นเดียวกัน ถ้าจะถือว่าเป็นคนเก่ง ก็ต้องเก่ง เพราะว่าถอนต้นพญารังได้ ความจริงไม่ใช่ต้นพญารัง เป็นต้นพญายางไป ต้นยาง ต้นใหญ่มาก ทั้งที่ตัวเล็กนิดเดียว แบกต้นไม้ใหญ่ได้ ถ้าคิดไปทีหนึ่ง อย่างน้อยที่สุดก็ต้องเป็นอรหันต์ขั้นปฏิสัมภิทาญาณ หรือขั้นอภิญญา

แต่พวกอาตมาก็โง่อีกแหละว่า อรหันต์ทำไมต้องมาท้ากันแบบนี้อีกละ ลืมอดีต อดีตที่เคยถูกพระท้ามาแล้ว เมื่อท่านท้า ๒-๓ คำ ท่านเห็นพวกเรายิ้ม ท่านก็วางต้นไม้ ถามว่า พวกมึงหาว่ากูบ้าหรืออย่างไรวะ ก็เลยยกมือขึ้นกราบท่าน ไหว้ท่าน แล้วก็กราบ บอกผมยังไม่เคยคิดเลยครับ คิดแต่เพียงว่า สุครีพโง่กว่าพระยากุมภกรรณ แต่ว่าเวลานี้พวกผมไม่ใช่พระยากุมภกรรณครับ เป็นพระธุดงค์เดินมาเพื่อหาความสุข

ทราบข่าวจากหลวงพ่อปานว่า ที่นี่มีเฉพาะพระอรหันต์ แต่พระแบกต้นไม้ หลวงพ่อปานไม่ได้บอกไว้ เลยถามอรหันต์แบกต้นไม้ไม่ได้หรือวะ ก็บอกว่า การถอนไม้ ทำต้นไม้ให้พรากจากกัน เช่น ตัดกิ่ง ตัดใบ เป็นต้น พระพุทธเจ้าปรับเป็นอาบัติปาจิตตีย์ ท่านบอกว่า นี่กูไม่ได้พรากต้นไม้นี่หว่า กูเอามาทั้งราก ทั้งโคนเสร็จ เอากับท่านซิ กูจะเป็นอาบัติได้อย่างไร ก็ตอบว่า ถึงอย่างไรผมก็ไม่รู้หรอกครับ ในเมื่อพระคุณเจ้าเก่งขนาดนี้ ผมไม่สู้ ต้นยางนี่ผมก็ยกไม่ไหว ท่านบอกว่า เพราะพวกมึงยกไม่ไหวกูจึงมา ถ้าพวกมึงยกไหว กูก็ไม่มา ก็เลยกราบ นิมนต์ให้ท่านนั่ง

ท่านเห็นท่าพวกเราไม่เถียงท่านด้วยวาจาหยาบ ท่านก็นั่ง ก่อนจะนั่งก็ห่มผ้าเรียบร้อยและก็ยิ้ม ก็ถามท่านว่า ขออภัยครับ ท่านอยู่ที่ไหนครับ บอก เออ…ไอ้เรื่องบ้านอย่าถามกันเลยวะ พวกที่อยู่บ้านโน่น เขานั่งแถวโน้น เขามีบ้านอยู่กัน ข้าไม่มีบ้านอยู่หรอก ถามว่า อยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีบ้านอยู่ อยู่กับอะไร อยู่กับต้นไม้ ท่านบอก ไม่ใช่ ต้นไม้ก็ไม่ใช่ ถามว่า เพราะอะไร ข้าตายก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายปี เอาแล้ว พอฟังเท่านี้ก็เริ่มตกใจ นึกแปลก เอ๊ะ พระตายก่อนพระพุทธเจ้าตั้งหลายปีนี่มาได้อย่างไร บอก เท่าที่มานี่ เธอจำได้ไหมว่า การเดินทางที่เร็วนี่ ใครสอนเธอ ก็บอก ไม่มีใครสอนครับ หลวงพ่อจงเป่าหัว ๓ ครั้ง

ท่านถามว่า การท่องเที่ยวไปภพต่าง ๆ ได้ที่เธอทำได้ เพราะอาศัยใครรู้ไหม บอก รู้ครับ ท่านถามว่า ใคร ก็บอกว่า อาศัยหลวงพ่อปานหนึ่ง เป็นองค์ต้น ประการที่สอง เข้าถึงพระพุทธเจ้า ประการที่สาม เข้าถึงพระอรหันต์ องค์ที่สองให้ไปเที่ยวภพต่าง ๆ ได้จริง ๆ นั่นคือ พระโมคคัลลาน์ ท่านก็เลยหัวเราะ รูปทั้งกายเป็นพระโมคคัลลาน์ทันที บอก นี่จำไว้นะว่า ลีลาพระอรหันต์ เมื่อกี้เธอคิดผิด ฉันมาสอนเธอ อย่าไปคิดซิว่า พระอรหันต์จะต้องเรียบร้อยทุกองค์ ดูตัวอย่าง พระสารีบุตรยังขัดเขมรกระโดดข้าม ที่พระพุทธเจ้าบอกว่า พระสารีบุตรเป็นอัครสาวกเบื้องขวา แต่ว่าเคยเป็นลิงมาก่อน และนิสัยลิงก็ติดมา นี่ก็เช่นเดียวกัน พวกเธอก็มานั่งวาดภาพ พอหลวงพ่อปานบอกมีพระอรหันต์มาก ก็คิดว่าต้องเรียบร้อย มันไม่ใช่อย่างนั้น

ก็ถามท่านบอกว่า ถ้าอย่างนั้น ผมอยากจะเป็นพระอรหันต์บ้าง ท่านบอกว่า เป็นได้ จะเป็นอะไรไป ถ้าเธออยากจะเป็นจริง ๆ เว้นไว้แต่ว่าเธออยากจะไม่เป็น เธออยากเป็นพระครูไหม บอกไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นเจ้าคุณไหม ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นสมเด็จไหม ไม่อยากเป็นครับ อยากเป็นสังฆราชไหม ไม่อยากเป็นครับ ท่านถามว่า ทำไมจึงไม่อยากเป็น ก็บอกว่า ที่ไม่อยากเป็น ไม่ใช่มีใครเขาตั้ง เขาจะตั้งหรือไม่ตั้ง ผมก็ยังไม่ทราบ เพราะว่าเกณฑ์วิชาความรู้ความสามารถผมไม่ถึง เอาเป็นแต่เพียงว่า ถ้าเป็นก็ตาย ไม่เป็นก็ตาย เวลานี้มาคิดอย่างเดียวว่า เราจะตาย แล้วเราจะไปไหนกัน บอก เออ…ดีแล้ว เธอคิดว่าจะไปไหน ก็กราบเรียนท่านบอกว่า เวลานี้กำลัง ผมอยู่แค่พรหมครับ ผมก็อยากจะไปพรหม ท่านบอกดี ไปพรหมก็ดี ตั้งใจต่อนิพพานเลยก็แล้วกันนะ

ก็ถามท่านว่า จะตั้งใจต่อได้อย่างไรครับ ในเมื่อผมปรารถนาพุทธภูมิ ท่านบอก เรื่องพุทธภูมิ ก็เรื่องพุทธภูมิซิ นิพพาน ก็นิพพานซิ ถ้าเราบรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระพุทธเจ้า ถ้าเราไม่บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณ เราก็เป็นพระอรหันต์ไป มันไม่มีการจำกัดจำเขต ไม่มีการบังคับอย่าง พระมหากัจจายนะ ท่านก็มาจากพุทธภูมิ ท่านมีบารมีเต็มแล้ว แต่ความจริงท่านไม่อยากจะไปเกิดเป็นพระพุทธเจ้าใหม่ ท่านก็ตัดสินใจลาพุทธภูมิ เป็นสาวกภูมิไป ก็เป็นอาจารย์ของเธอใช่ไหม ก็ตอบว่า ใช่ครับ ที่ท่านสอนด้านปฏิภาณ

แล้วท่านก็ถามใหม่ว่า พวกเธอต้องการอะไรอีก บอก ไม่ต้องการครับ มีความต้องการอย่างเดียวว่า พระที่มีอรหันต์กี่องค์ ท่านบอก ทั้งหมดที่อยู่ที่นี่ ๑๖ องค์ เป็นอรหันต์ทั้งหมด ทั้ง ๑๖ องค์ ถาม จริยา ท่านบอก ที่ฉันมานี่ เพื่อจะให้พวกเธอรู้นะ ถ้าไปพบท่านบางองค์ ท่านแสดงอะไรผิดปกติ อย่าไปนึกแปลกใจนะ ให้เข้าใจว่า ทุกองค์เป็นพระอรหันต์ พร้อมใจไหว้ไว้ และไม่ใช่อรหันต์ปกติ เป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด เธอมานี่ทุกองค์รู้ พร้อมที่จะสอน ทุกองค์ตั้งใจสอนพวกเธอทั้งหมด ฉันจึงมาก่อน มาบอกเธอไว้ อาจารย์ปานท่านไม่ได้บอกให้ครบ ฉันมาบอกเธอ ถามว่า ต้นไม้ต้นนี้ละครับ ท่านบอกไม่ยาก เดี๋ยวฉันจับโยนไว้ที่เดิมก็แล้วกัน แล้วท่านก็จับปั๊บ โดยไปปักที่เดิม ตามรูปเดิม ไปหารอยดินก็ไม่ได้

ก็รวมความว่า หลังจากนั้น ท่านก็ลากลับไป เวลากว่าที่ท่านจะกลับก็ค่ำ ค่ำพวกเราก็จำวัดอีก นอนตามสบาย เช้ากินข้าวเทวดา หนังสือเล่มนี้ควรจะจบ เพราะคนพูดไม่ไหวแล้ว กินข้าวจากเทวดา ตอนสายก็เดินไป เดินไปประมาณสักชั่วโมงเศษ ๆ ก็พบถ้ำ ๆ หนึ่ง พบพระองค์หนึ่ง สวยมาก องค์นี้พระจริง ๆ ยังเป็นมนุษย์อยู่ คือว่าพระโมคคัลลาน์บอก เป็นอรหันต์หมด หลวงพ่อปานก็บอกใกล้ท่าน ท่านก็นั่งเรียบร้อย องค์นี้เรียบร้อยมาก เหมือนผู้หญิง ท่าทางคล้ายผู้หญิง ผ้าผ่อนเรียบร้อยดี เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ถามว่า มากราบทำไหม ก็บอกว่า สุปฏิปันโนครับ พระคุณเจ้าปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบแล้ว ผมก็อยากจะไหว้ อยากจะดีเหมือนพระคุณเจ้า

ท่านบอก ก็ดีได้ไม่เป็นไร วิธีปฏิบัติก็ง่าย ๆ นะ ไม่ยากนะ ครูก็สอนมาหมดแล้วนี่นะ ไม่ต้องเรียนกันอีกก็ได้มั้ง ที่มาหาแก้ข้อข้องใจนิดหน่อย ฉันก็สอนตามเดิม พวกเธอนี่สนใจอย่างเดียวว่า อรหันต์เขาเป็นกันอย่างไรใช่ไหมล่ะ บอก ใช่ครับ ท่านบอก อรหันต์ไม่ได้หมายความว่าต้องเหาะได้ทุกองค์ ไม่ต้องหายตัวได้ทุกองค์ ไม่ต้องแปลงตัวได้ทุกองค์ อรหันต์มีตั้ง ๔ อย่าง สุกขวิปัสสโก เตวิชโช ฉฬภิญโญ ปฏิสัมภิทัปปัตโต

ก็ถามท่านบอกว่า พระที่อยู่ที่นี่ทั้งหมด เป็นปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมดใช่ไหม ท่านบอกว่า ใช่ ถามว่า พระคุณเจ้าฉันข้าวกับอะไรครับ กับเทวดาหรืออยู่ด้วยธรรมปีติ ท่านบอก อยู่ด้วยธรรมปีติ ถามว่า ไม่ไปสงเคราะห์คนในบ้านในเมืองหรือครับ ท่านบอกว่า ไม่ใช่หน้าที่ หน้าที่ของฉันคือ บรรลุแล้วก็อยู่ในป่า คอยพระที่มาในป่า เมื่อไรพระเข้ามาในป่า พวกฉัน ฉันก็สอน ก็เลยบอกว่า เวลานี้ผมต้องการรับคำสอนครับ รับคำสอนอย่างที่ชอบใจมากที่สุด ท่านถามว่า ชอบใจใคร บอก ชอบใจพระคุณเจ้าครับ ดูท่าทางยังหนุ่มมาก ยังไม่แก่ ท่านก็ยิ้ม บอก ชอบใจฉันนะ บอก ครับ

ท่านเลยบอก เธอจงอย่าสนใจในรูป ขึ้นชื่อว่ารูปทั้งหมดเป็น อนิจจัง เป็นของไม่เที่ยง รูปทั้งหมดเป็นปัจจัยแห่งความทุกข์ เป็น ทุกขัง เป็นทุกข์ทั้งหมด รูปทั้งหมดเป็น อนัตตา ตายทั้งหมด พังทั้งหมด อย่าสนใจในรูป จะเป็นคนก็ดี จะเป็นสัตว์ก็ดี จะเป็นนางฟ้า จะเป็นเทวดา จะเป็นพรหมก็ดี มีสภาพจุติทั้งหมด ไม่มีการทรงตัว สภาพที่ทรงตัวมีที่เดียว คือ นิพพาน

จงจำไว้ว่า นับตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป จงอย่าสนใจในรูป เห็นรูปแล้วจงคิด ไม่ใช่เอาตาหลบรูป เอาตาสู้รูป ตาสู้รูป ใจก็สู้รูป ตาสู้รูป ก็หมายความว่า ตาเห็นรูป จงคิดว่า รูปนี้มันเป็นธาตุ ๔ แล้วแบ่งเป็นอาการ ๓๒ เต็มไปด้วยความสกปรกโสโครก ต้องมีความทุกข์เพราะรูป ต้องหาเลี้ยงรูป ในที่สุดรูปก็ตาย ตายแล้วก็มีสภาพเป็นผี เมื่อสภาพเป็นผีแล้ว ไม่สามารถจะเอารูปไปได้ ต้องทิ้งรูปไว้ ไปเสวยสุข เสวยทุกข์ตามธรรมดา ถ้าเธอไม่สนใจในรูป เธอก็เป็นพระอรหันต์ได้ ถ้าเธอยังสนใจในรูปอยู่ เธอก็เป็นอรหันต์ไม่ได้

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย เวลาเหลืออีก ๓๕ วินาที ก็จะหมดเวลา ขอลาก่อน ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธศาสนิกชนผู้อ่านทุกท่าน สวัสดี


.....................................................

ไปสายเมืองกาญจนบุรี
โดย หลวงพ่อฤาษีลิงดำ


ท่านสาธุชนพุทธบริษัททั้งหลาย วันนี้ วันที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๔ อาการทางร่างกายวันนี้ ป่วยมาก เพราะว่าขาบวม หน้าบวม มือบวม บวมทั้งตัว รู้สึกไม่ไว้ในชีวิต ก็มานั่งคิดว่า คืนวันนี้ ถึงแม้เสียงจะไม่ดี ก็จะพยายามพูด พูดเรื่องการไปธุดงค์ แต่ความจริง วันนี้ก็มีเรื่องพิเศษ ที่ ท่านปลัดวิรัช ได้นำเอาประวัติการก่อสร้างต่าง ๆ หลังจากที่รับสมณศักดิ์เป็นพระราชาคณะชั้นราชมาแล้ว ถึงวันนี้สิ้นค่าใช้จ่ายไป ๓๐๓ ล้านเศษ ก็คิดไม่ถึงเหมือนกัน ผลที่เกิดขึ้นมาอย่างนี้ ก็เป็นเพราะบรรดาญาติโยมทั้งหลายสงเคราะห์ นี่เขาคิดเพียงค่าก่อสร้าง ค่าใช้จ่ายอย่างอื่นยังไม่ได้คิด

วันนี้เราก็มาคุยกัน เพราะว่าตอนหลังนี่ เล่มนี้เป็นเล่มตัดเชือก ขอหยุดชั่วคราวสำหรับหนังสืออ่านเล่น เพราะว่าร่างกายทนไม่ไหว มันบวมทั้งร่างกาย ครั้นจะไม่พูดให้จบ ก็เหลือคาสเซ็ทเดียว ก็ต้องพูดให้จบ รวมความว่า เล่มที่ ๒๑ นี่ ตอนที่แล้วมาหยุดที่ ภูเขาภูกระดึง ตอนที่อยู่ภูเขาภูกระดึงนั่น ก็ปรากฏว่า มีพระอรหันต์ที่มีเนื้อมีหนัง ๑๖ องค์ เป็นปฏิสัมภิทาญาณทั้งหมด ก็มีโอกาสได้ศึกษาธรรมะจากท่าน วิธีปฏิบัติจากท่านทั้ง ๑๖ องค์


แต่ความจริง พระอรหันต์ท่านอยู่แบบสบาย ๆ ไม่ต้องนั่งเครียด นั่งเคร่งอย่างพวกเรา พวกเราต้องเครียด พวกเราต้องเคร่ง ท่านอยู่แบบเป็นสุข เดินไปเดินมาบ้าง นั่งบ้าง นอนบ้าง ตามสบาย ๆ ของท่าน แล้วท่านก็ไม่กวนใคร จะหาว่าเป็นการรังแกสังคม เขาเรียกกันว่าอะไร กินของสังคมเปล่า ๆ ท่านก็ไม่ได้กิน พวกท่านกินข้าวจากเทวดาบ้าง แต่บางองค์ก็อยู่ด้วยธรรมปีติ สิ้นเวลา ๗ วันบ้าง ๑๕ วันบ้าง แล้วก็ออก

ก็ได้ศึกษาความรู้จากท่าน และวิธีปฏิบัติ แต่ความจริง วิธีปฏิบัติแต่ละท่านที่สอน ไม่ยากเลย ท่านสอนแบบง่าย ท่านบอกว่า การปฏิบัติที่เป็นแบบยาก ๆ น่ะมันไม่ถูก ทำแบบนี้ ๆ เหมือนกันหมด องค์ไหนก็องค์นั้น สอนเหมือนกันหมด ถามว่า ถ้าจะเป็นปฏิสัมภิทาญาณจะทำอย่างไร ท่านก็บอกว่า ไม่ยาก ก็ทำตามนี้แหละ อย่างที่พวกเธอทำนี่ ก็เดินแนวเข้าหาปฏิสัมภิทาญาณเหมือนกัน แต่ว่าไม่ได้ถามท่านว่า ชาตินี้เราจะเป็นอรหันต์หรือเปล่า ไม่ได้ถามท่าน ท่านอาจจะรู้ ท่านบอกว่า ถึงแม้ว่าเธอไม่ถาม ฉันก็ทราบ ถ้าเธอถาม ฉันก็ไม่ตอบ


ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าก็สุดแล้วแต่คน ทาง ถึงแม้ว่าจะไม่ไกล ท่านบอกว่า ไปประเดี๋ยว ใจก็ถึง แต่คนนั้นเขาไม่ไป อีกกี่วันก็ไม่ถึง กี่ปีก็ไม่ถึง ทางถึงแม้ว่าจะไกลแสนไกล ถ้าตั้งใจไป หรือไปจริง ๆ เดินไปทุกวัน ก็ใกล้เข้าทุกที การบรรลุอรหันต์ผลถึงปฏิสัมภิทาญาณก็ไม่ใช่ของยาก เป็นของง่าย ๆ ท่านว่าอย่างนั้นนะ

เลยถามท่านองค์หนึ่ง ถามท่านว่า ที่พระคุณเจ้าหรือพระเดชพระคุณบอกว่า มันง่าย เคยนำวิชาความรู้นี้ไปสอนชาวบ้านบ้างหรือเปล่าใน ๑๕ องค์เงียบ นั่นแสดงว่าทั้ง ๑๕ องค์ไม่เคยไปสอนใคร อีกองค์ยกมือขึ้น ฉันเคยไปสอนแล้ว เมื่อฉันได้อรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ แต่ความจริง เวลานั้นฉันได้แค่เพียงนักธรรมตรี เพราะฉันอยู่ที่วัด ได้แค่นักธรรมตรี และออกธุดงค์ การธุดงค์ก็มาขึ้นกับหลวงพ่อปานเหมือนกัน ไปเจอะลูกศิษย์อาจารย์เดียวกันเข้า หลวงพ่อปาน ท่านก็แนะนำให้ฝึกธุดงค์อยู่ ๓ เดือน อย่างพวกเธอนี่แหละ แบบอุกฤษฏ์ การฝึก ๓ เดือนนั้น ท่านฝึกแผนกปฏิสัมภิทาญาณโดยตรง ความจริงฉันก็ไม่รู้ เมื่อครบ ๓ เดือน ท่านมั่นใจแล้ว ท่านก็ปล่อยออกปฏิบัติ เมื่อมาปฏิบัติธุดงค์ อยู่จริง ๆ ได้ ๓ ปี อยู่ในป่าเลยไม่กลับบ้านไม่กลับเมือง ๓ ปี จึงได้บรรลุอรหันต์พร้อมปฏิสัมภิทาญาณ

หลังจากเมื่อเป็นพระอรหันต์แล้วก็คิดว่า ที่สำนักของเราก็เป็นนักบุญ นักศึกษา นักปฏิบัติ อยากจะบรรลุมรรคผลกัน แต่ว่าหลักสูตรที่สอนกัน มันไม่เข้าขั้นการบรรลุมรรคผล เพราะคนแต่ละคนที่มาทำ ต้องพอใจเรื่องยาก ๆ และครูสอนก็ต้องสอนแบบยาก ๆ อารมณ์ด้านจิตใจไม่ค่อยสนใจกันนัก จึงได้กลับไปสำนักของท่าน เมื่อไปถึงแล้ว ก็ไปอธิบายให้เขาฟัง พออธิบายเสร็จ บรรดาท่านทั้งหลายเหล่านั้นบอกว่า ท่านออกไปจากวัดนี้จบแค่นักธรรมตรี พวกผมเป็นนักธรรมเอกบ้าง กำลังเรียนอภิธรรมบ้าง จะเอาควายมาสอนม้า มันสอนไม่ได้หรอกคุณ กลับเข้าป่าไปตามเดิมเถอะ เมื่อโดนเข้าแบบนี้ ก็เลยต้องกลับ สอนไม่ได้

ก็ถามท่านว่า ในฐานะที่ท่านเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ท่านไม่รู้ก่อนหรือว่า ไปแล้วเขาจะไม่รับ ท่านบอก ท่านรู้ แต่อยากจะลองดูว่า ความรู้ของเราจะตรงตามความเป็นจริงไหม อาจจะเป็นอุปาทานก็ได้ แต่เมื่อเอาเข้าจริง ๆ ความรู้สึกของเราก็ตรงตามความเป็นจริง ก็พอใจ มีความพอใจเกิดขึ้นก็กลับมาที่เดิม มาอยู่ที่ตรงนี้ ฉะนั้น ถ้าเธออยากจะเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณจะเป็นชาตินี้ หรือชาติไหนก็ตาม เพราะการปฏิบัติความดี มันสืบเนื่องกันทุกชาติ ไม่ใช่ทำชาตินี้ ตายแล้วหายไป ชาติหน้าเกิดใหม่ทำใหม่ เริ่มต้นใหม่ ไม่ใช่อย่างนั้น มันต่างคนต่างติดต่อกันทุกชาติที่เรียกว่า ติดต่อสร้างบารมีต่อกัน

ก็เป็นอันว่า ได้รับการศึกษาแล้ว ก็อยู่กับท่านในสถานที่นั้น คราวนั้นอยู่จริง ๆ ๔ เดือน ปฏิบัติร่วมด้วย ฟังคำอธิบายด้วยรู้สึกชื่นใจมาก และการปฏิบัติก็ไม่มีการเคร่งเครียด เพราะท่านคอยเตือนอารมณ์ใดที่ท่านให้ตั้งใจทำ ก็ทำตามนั้น เมื่อเป็นที่พอใจของท่านแล้ว ก็ย้ายไปสู่อารมณ์อื่นที่ท่านต้องการอีก เมื่อย้ายไปแล้วความจริงอารมณ์แรก ถ้าทำได้จริง ๆ และมีอาการทรงตัว อารมณ์ภายหลังก็ไม่หนักนัก เพราะใช้อารมณ์อย่างเดียวกัน เปลี่ยนแต่ลีลาเท่านั้น หากว่าท่านทั้งหลายอยากจะถามว่า ที่ท่านสอนนั้น สอนอย่างไร ก็ขอตอบว่า ไม่ตอบให้ทราบ

ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะมันจะไปขัดกับคนหลายคนที่เขากำลังสอนกัน ก็มีสำนักหลาย ๆ สำนัก ที่กำลังปฏิบัติอย่างเคร่งเครียด เขาทำถูก ไม่ใช่เขาทำผิด แต่ว่าอารมณ์เท่านั้นแหละ บรรดาท่านพุทธบริษัท อารมณ์ที่ปฏิบัติเท่านั้นเอง ที่ตึงเกินไปหรือว่าหย่อนเกินไป ใช้อารมณ์ถูกต้องหรือไม่ถูก ตรงเป้าหมายไหม หรือว่าเฉียดเป้าหมาย

เป็นอันว่า อยู่กับท่าน ๔ เดือนเศษ ก็จะลาท่านกลับ ท่านก็บอกว่า ฉันรู้สึกพอใจมากที่คุณทั้ง ๓ ทำทุกอย่างตามที่ฉันสอน และก็มีผลทุกอย่างตามที่ฉันสอน แต่ว่าจงอย่าลืมตัว จงอย่าคิดว่าเราเป็นพระอรหันต์ เวลานี้ยังไม่ใช่พระอรหันต์ เป็นแต่เพียงว่า เรียนรู้วิธีการพระอรหันต์เท่านั้น ให้กลับไปวัด ไปทำเสมอ ๆ ไปสู้กับคน คำว่า สู้กับคน ก็หมายถึงว่า สู้กับอารมณ์ กลับไปถึงวัด พวกคุณจะถูกชาวบ้านโจมตี พระด้วยกันจะโจมตี จงทำอารมณ์ให้สบาย ขณะที่อยู่ในป่ามีอารมณ์เยือกเย็นฉันใด เมื่อเข้าไปถึงอารมณ์ที่ไม่ต้องการ ไม่ต้องใจของเรา

ให้มีอารมณ์เยือกเย็นฉันนั้น ทำให้เหมือนกับอยู่ในป่า ป่าหรือบ้าน ให้มีสภาพเหมือนกัน ป่าสงัด แต่อยู่ในวัด ก็ต้องสงัดเหมือนป่า อยู่กับชาวบ้านก็ต้องสงัดเหมือนป่า
คิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกไม่มีอะไรเหลือ คนที่พูดให้ขัดคอเรา ไม่ถูกใจเรา เขาเหล่านี้ก็ตาย เขาเคยพูดอย่างนี้มานับอสงไขยกัปไม่ถ้วน และเขาก็ลงนรกนับไม่ถ้วน เขาไม่เข็ด ปล่อยเขาไป อย่าไปโต้เถียงเขา ถ้าโต้งเถียงเขา เขาจะโกรธมาก เขาจะบาปมากขึ้น เราก็ทำเฉย ๆ เสีย บรรดาท่านพุทธบริษัท เป็นอันว่า ขอลาท่านกลับ


เวลากลับ ก็เดินทางแค่ ๓ วัน ก็ถึงวัดหน้าต่างขาไป ๒ วัน ขามา ๓ วัน จากวัดหน้าต่าง พอเข้าไปถึง ก็ไปหาหลวงพ่อจง กราบท่าน พอเห็นหน้าท่านก็ยิ้ม พอกราบท่านลืมตาขึ้นมาบอกว่า อย่างไรล่ะ ฉันว่าแล้ว ไปต้องเจอะของดี สิ่งที่ดุ ๆ ทั้งหมด นั่นก็คือ พระอรหันต์ พวกเสือสางนางไม้ไม่น่ากลัว พวกที่น่ากลัวคือพระอรหันต์ การที่ไปอยู่ที่นั่นดีไหม พวกเราคิดอะไรไม่ได้เลย คิดนอกลู่นอกทาง รุ่งเช้าพบหน้ากัน ท่านยิ้ม ท่านบอก เมื่อคืนนี้พลาดไปหน่อยนะ แต่ไม่เป็นไร เป็นของธรรมดา ก็กราบท่าน บอก จริงขอรับ คิดนอกลู่นอกทางไม่ได้

หลวงพ่อจงเลยบอกว่า การปฏิบัติ ถ้าอยู่กับคนรู้ เราจะมีความระมัดระวังมากขึ้น ถึงแม้ว่าเราจะไม่บรรลุมรรคผลแบบท่าน ถึงท่านก็ตาม แต่ว่าอย่าลืมว่า เชื้อสายเก่าท่าน ที่เราได้มาก็เหมือนกับอาหารหล่อชีวิต เราค่อย ๆ คิดตามท่าน ค่อย ๆ ปฏิบัติตามท่าน ไม่ชาตินี้ก็ชาติหน้า มันต้องถึง ท่านเลยบอกว่า ฉันคิดว่า อาจจะเป็นชาตินี้มากกว่า ถ้าเธอไม่เลิก

แต่บรรดาท่านพุทธบริษัท ฟังตรงนี้แล้วก็อย่าเพิ่งคิดนะว่าอาตมาเป็นอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ ยังไม่ได้บอก เพราะว่าการกลับมาวัด กลับมาเรียนหนังสือที่กรุงเทพฯ ภาระอื่นก็หนัก กรรมฐานก็อ่อนไปหน่อย หย่อนไปนิด แต่ไม่เลิก เวลาที่ทำได้จริงก็คือ เวลานอน กับเวลาทำวัตร เวลานอน ว่างจากการดูตำรา ก็ใช้อารมณ์พิจารณา เวลาทำวัตรเช้า ทำวัตรเย็น เวลานั้นใช้กำลังเต็มที่ ปากก็สวดไป ใจก็นึกไป ตามภาษาบาลีที่สวด ภาษาบาลีที่สวด ถ้าแปลได้มีประโยชน์มาก เป็นวิปัสสนาญาณเยอะแยะ สอนไว้ได้ดีมาก

ก็รวมความว่า หลังจากนั้นมา รุ่งอีกปีหนึ่ง ก็นัดกันว่า หลังจากสอบไล่เสร็จเดือน ๔ แล้ว เดินทางเข้าป่าต่อไป การไปเป็นเปรียญของเราไม่มีประโยชน์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าการเรียนเปรียญไม่ใช่หมายถึง มรรคผล พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงแนะนำว่าการเป็นเปรียญชั้นนั้น ชั้นนี้ จะมีมรรคผลเท่านั้นเท่านี้ ไม่ใช่อย่างนั้น ถ้าเราเป็นเปรียญ ๙ ประโยค เราก็ไม่ใช่พระอรหันต์ ถ้าบังเอิญไม่ได้ปฏิบัติ และแถมไม่ใช่ผู้ทรงฌานเสียด้วย ดีไม่ดี จะกลายเป็นมิจฉาทิฐิไป เอาอย่างนี้ดีกว่า เราเรียนกันแค่พอรู้ภาษาบาลี พอรู้บ้าง เล็ก ๆ น้อย ๆ ให้รู้ว่าภาษาบาลีเป็นอะไร มุ่งมั่นปฏิบัติดีกว่า ก็ชวนกันออกเดินทางธุดงค์ต่อไป

หลังจากกลางเดือน ๔ เสร็จแล้ว พอแรมค่ำหนึ่งเดือน ๔ ก็เดินทางเข้าหาหลวงพ่อจง ขึ้นธุดงค์ใหม่ หลวงพ่อจงหัวเรา ฮิ ๆๆๆ ท่านถามว่า จะไปไหนปีนี้ บอก ปีนี้จะไปทิศตะวันตกครับ ท่านบอกว่า เออ..ก็เจอะอีกแบบหนึ่งนะ คราวนี้ไปเจอะ ๒ แบบ ถามว่า แบบอะไรครับ ท่านบอก ฉันไม่บอกหรอก เธอไปก่อนก็แล้วกัน เธอรู้เอง ตอนนี้ บรรดาท่านพุทธบริษัทอย่าลืมว่า ผู้พูดกำลังป่วยมาก ร่างกายก็บวม ขาก็บวม มือก็บวม หน้าก็บวม ปากก็บวม มันอาจจะตายขณะที่พูดนี้ก็ได้ แต่ขอยืนยันว่า ถ้ายังไม่สิ้นลมปราณเพียงใด ปากพอใช้ได้ แต่เสียงไม่เป็นเรื่องแล้ว คนคัดลอกคาสเซ็ทนี่คงจะแย่เต็มที ก็ตัดสินใจว่า ต้องไป จะพบแบบไหนก็เอากัน

ก็ลาท่านไป เดินออกไปทางจังหวัดสุพรรณบุรี ไปข้ามที่ประตูน้ำบางยี่หน และเดินเลาะคลองไปถึง จำชื่อไม่ได้ ใกล้ ๆ บางใหญ่ ก็ข้ามฟาก ตัดไปพระแท่นดงรังระหว่างไปที่พระแท่นดงรัง ก่อนที่จะถึง ก็ไปถึงศาลาหลังหนึ่ง เขาปลูกอยู่กลางทุ่ง มันเป็นป่าละเมาะ ก็ปักกลด เมื่อปักกลดเสร็จมองบนศาลา เห็นกลดเยอะ มีกลดตั้ง ๑๐ กลดกว่า มีบาตร มีกลดเยอะแยะวางอยู่ ก็สงสัยว่า ที่นี่คงมีพระธุดงค์มาพักมาก และเวลานี้ท่านไปไหน อาจจะเข้าไปอาศัยวัดต่าง ๆ เพื่อพักอาศัยชั่วคราวก็ได้ จึงทิ้งกลด ทิ้งบาตรไว้ แต่ความจริงไม่ใช่อย่างนั้น พอปักกลดเสร็จตามระเบียบของการธุดงค์ ปักกลดแล้วห้ามถอน จะเป็นตายร้ายดีอย่างไรก็ตาม ห้ามถอนเด็ดขาด

ก็เป็นอันว่า เมื่อปักกลดเสร็จ อาบน้ำเสร็จ บ่อน้ำอยู่ใกล้ ๆ ก็มีชาวบ้าน ๓-๔ คนมา ยกมือไหว้ด้วยความเคารพ บอก ท่านขอรับ อย่าปักกลดที่นี่เลยขอรับ ถ้าปักกลดจริง ๆ นิมนต์ไปปักกลดใกล้ ๆ บ้านผม หมู่บ้านผมอยู่ที่โน้น ห่างจากนี่ไปประมาณหนึ่งกิโลเมตร เป็นหมู่บ้านหลายหลัง ถามว่าทำไมล่ะ โยม เพราะตามธรรมดาพระปักกลดแล้วถอนไม่ได้ โยม มันเป็นระเบียบ โยมก็เลยบอกว่า อย่างนี้หลายองค์มาแล้วครับ

ท่านเห็นกลดบนศาลาไหม บอกว่า เห็น ถามว่า พระไปไหน เธอก็บอกว่า พระนี่ เสือกินหมด ถามว่า เสือกินที่ไหน บอกว่า ปักกลดที่นี่แหละครับ ที่ท่านปักนี่แหละ เสือก็มาลากพระไปกิน พวกผม ตอนเช้ามาใส่บาตร ไม่เห็นพระ เห็นแต่รอยเลือด และรอยเสือ ก็เข้าใจว่า เสือเอาไปกิน ก็เอากลดเอาบาตรไปเก็บไว้ และพระคุณเจ้าก็เช่นเดียวกัน ทั้ง ๓ องค์ เกรงว่าจะไม้พ้นความเป็นเหยื่อเสือ ก็บอกว่า โยม ไม่เป็นไร เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน อาตมาปักแล้วถอนไม่ได้ ก็ขอยอมตายอย่างพระพวกนั้น ถ้ามันจะตาย ถ้ามันจะไม่ตาย ก็ไม่ตาย ถ้ามันตาย ก็ตาย ตามใจชอบ

เมื่อโยมเห็นว่าไม่ถอนจริง ๆ โยมก็เลยบอกว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน คืนนี้พวกผมจะมาประมาณ ๑๐ คน จะนอนอยู่ป่าละเมาะโน้น ถ้าบังเอิญเสือมาจริง ๆ ให้ท่านเคาะฝาบาตร ผมจะจัดการเก็บเสือเอง แล้วญาติโยมก็กลับ หลังจากนั้นก็เอาน้ำมะตูมมาถวาย ถึงเวลาหัวค่ำ ญาติโยมกลับแล้ว ก็เจริญกรรมฐาน ก็ไม่มีอะไร เดือนหงายจัด เพียงแค่แรม ๒ ค่ำ เดือน ๔ เดือนยังหงายอยู่ แต่ว่าเวลาตอนตี ๒ บรรดาท่านพุทธบริษัท นอนตื่นขึ้นมา ตามเวลาเจริญพระกรรมฐาน ปรากฏว่า เจ้าเสือใหญ่ขนาดม้า มันยืนขาวสง่าอยู่ใกล้กลด มันก็ดม ฟุดฟิด ๆ ไปรอบ ๆ กลด

มันจะหาทางเข้าในระหว่างกลด แต่เข้ามาไม่ได้ ผ่านสายอัพโภกาศไม่ได้ มันเดินรอบ ๆ ไป สัก ๒-๓ รอบ แล้วมันก็เดินออกไป แล้วก็กลับมาใหม่ ทำอย่างนี้ ๓ ครั้ง ถ้าบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลายอยากจะถามว่า เวลานั้นมีความรู้สึกอย่างไร ก็ขอตอบว่า ความรู้สึกเวลานั้นก็คือ ตั้ง เมตตญ จ สพพโรฯ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ ครูบาอาจารย์ทั้งหมด แผ่เมตตาจิต และคิดว่า ถ้าเสือกัดเราคราวนี้เสือกัดปั๊บทันที เราขอไปนิพพาน ร่างกายมันจะตาย หรือไม่ตายก็ตาม ขอไปนิพพานอย่างเดียว ก็ภาวนา นิพพาน สุขํ จิตเป็นสุข เสือทำท่าอย่างไรก็ช่าง หลับตาไปเลย ไม่ยอมมองเสือ ใจไปโน่น ใจไปทอดท้ายอยู่พรหม ไปมองดูภาพเสือ มันฟุดฟิดโฟไฟของมัน ตามเรื่องตามราวในที่สุด เสือก็กลับไป

พอตื่นขึ้นเช้า อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ญาติโยมก็นำภัตตาหารมาถวาย ญาติโยมเห็นเข้าก็ดีอกดีใจบอกว่า เจ้าประคุณเอ๊ย หลายองค์แล้วไม่พ้นจากเขตเสือ ญาติโยมก็ถามว่า เมื่อคืนเสือมาหรือเปล่า บอก มา แต่มันไม่ทำอะไร มันเดินวนมาวนไป วนไปวนมา มันดูดกลิ่นฟิด ๆ แล้วมันก็กลับไป โยมก็ดีใจ คิดว่าเป็นพระที่มีดี เมื่อถวายข้าวเสร็จ ก็นิมนต์อยู่ ๓ วัน ขอทำบุญ ๓ วัน ก็รับโยม แต่ว่าก็มีคืนแรกคืนเดียวที่เจ้าเสือมากวน คืนที่ ๒ คืนที่ ๓ ไม่มี

หลังจากวันที่สามแล้ว ตอนบ่ายก็ถอนกลด เดินไปอีกพักหนึ่งก็เจอะลาน ๆ หนึ่ง มีหมู่บ้านไม่ไกลนัก ตอนนี้ยังไม่พ้นหมู่บ้าน เห็นเป็นบริเวณดี ก็เลยปักกลด มีหนองน้ำใกล้ ๆ ปักกลดเสร็จ อาบน้ำอาบท่าเสร็จ ญาติโยมก็มา ปรากฏวา ที่นี่ คนเก่งภาษาบาลีมาก ญาติโยมที่มาคุยเรื่องของพระ รู้เรื่องดีทั้งหมด ญาติโยมผู้ชาย ญาติโยมผู้หญิงรู้ดีหมด จนกระทั่ง ญาติโยมสาว ๆ ที่ยังเป็นโสด ก็รู้เรื่องพระดี แต่ว่า มีแปลก ในสถานที่อื่นไม่เหมือนที่ตรงนี้ คือ ญาติโยมสาว ๆ เวลาคุย แกใช้ตาแบบเจ้าชู้ ไอ้ลีลาแบบนั้น ใช้เป็นปกติ เผลอไม่ได้ เผลอเป็นใช้ แกตั้งใจมาหลายสาว ก็นึกในใจว่าที่นี่มันเป็นอย่างไร

ก็หันไปถามท่านอินทกะ ถามว่า ที่นี่ทำไมสาว ๆ พวกนี้ จึงสนใจแสดงท่าทางแบบนี้ ท่านก็เลยบอกว่า คนผู้ชายที่นี่ส่วนใหญ่เป็นพระธุดงค์ และก็มาที่นี่ มาสึก เพราะสาว ๆ ประเภทนี้ มากมายเหลือเกิน ไม่ว่าชุดไหนก็ชุดนั้นสึกแน่ เหลือแต่พวกท่านอีก ๓ องค์เท่านั้นแหละ จะสึกหรือไม่สึก ก็เลยบอกว่า ยังไม่สึก เพราะว่าที่นี่ไม่มีแม่น้ำ ตามปกติชอบอยู่ใกล้แม่น้ำ ถ้าที่นี่มีแม่น้ำ มีเรือจอด มีเรือพายแจวก็จะสึก นี่หาแม่น้ำไม่ได้ ท่านอินทกะท่านก็ยิ้ม ท่านบอกว่า น้ำใจอย่างไรเล่า เขามีน้ำใจตั้ง ๔-๕ คน นั่งเพ่งมอง แล้วก็ช้อนตามอง ตะแคงมอง มองแล้วก็ยิ้มให้ ทำไมไม่สนใจกับเขา

ก็บอกว่า สนใจแล้ว ตั้งแต่เห็นเธอเดินมาก็สนใจ ท่านอินทกะก็ถามว่า สนใจแบบไหน ก็เลยบอกท่าน บอกว่า สนใจแบบ คนพวกนี้ไม่ช้าก็แก่ เมื่อยังไม่แก่ก็มีทุกข์ ทุกข์อารมณ์ที่ไม่รัก ทุกข์จากอารมณ์ที่รัก ทุกข์จากความเหนื่อยยากจากการงาน ทุกข์ในอาชีพต่าง ๆ ทุกข์ทุกอย่างที่มันเข้ามาถึง และร่างกายมันก็ไม่เป็นสาระ มีอาการ ๓๒ สกปรกโสโครก ข้างนอกถึงแม้จะขัดสีฉวีวรรณอย่างไรก็ตาม มันก็ไม่สะอาดพอ ฝุ่นละอองก็แปดเปื้อน ถึงแม้จะทาขมิ้นให้เหลือง โดยมากสมัยนั้น เขาชอบทาขมิ้น กับแป้งผสมกัน มันทั้งขาว ทั้งเหลือง ความจริงก็น่าดูเหมือนกัน

ก็รวมความว่า พักอยู่ที่นั่น ๒ คืน เป็นอันว่า หลุดจากเปล่าที่นั่นไป ตามคำอาราธนา เมื่อหลุดไปแล้ว ก็เข้าพระแท่นดงรัง เข้าไปมนัสการพระพุทธเจ้าที่นั่น ที่เขาบอกว่า พระพุทธเจ้านิพพานที่นั่น แต่ความจริงไม่ใช่ ใช่หรือไม่ใช่ก็ไม่สำคัญ เราถือว่า ที่ตรงนี้เป็นที่ชาวบ้านยอมรับนับถือว่าพระพุทธเจ้านิพพานตรงนี้ เมื่อเรากราบลงไปเราก็กราบพระพุทธเจ้า เราไม่ได้กราบหิน นึกถึงพระพุทธเจ้า ว่า พระพุทธเจ้าท่านดีขนาดไหน เป็นอัจฉริยมนุษย์ เป็นลูกกษัตริย์ และเป็นผู้เลิศในการบรรลุมรรคผล ไม่สามาระจะมีบุคคลใดสามารถสู้ได้ มนุษย์ก็ดี เทวดาก็ดี พรหมก็ดี ไม่สามารถแตะต้องได้ ความรู้ดีเลิศ ตัดกิเลสได้อย่างประเสริฐ มีความสามารถเป็นพิเศษ ยังนิพพาน

แล้วเราล่ะเรา ไม่ช้าเราก็ตาย ที่พูดนี่นึกถึงตอนนั้นนะ นึกตอนนี้ ยิ่งใกล้หนักเข้าไป เพราะตอนนี้มันบวมทั้งแขน ทั้งขา ทั้งตัว ทั้งหน้า และอาจจะตายภายในวันสองวันนี้ก็ได้ หรือยังไม่ตาย ก็ไม่ทราบ รับรองไม่ได้นะ ก็ต้องรีบพูดไว้ ทั้ง ๆ ที่กำลังป่วย เกรงว่าถ้ามันจะตายเสีย ประเดี๋ยวเล่ม ๒๑ มันจะไม่จบ ก็เป็นอันว่า ไปไหว้ท่าน แล้วก็ปักกลดที่นั่นหนึ่งคืน หลังจากนั้นก็เดินเข้าดงต่อไป เดินเข้าดงต่อไปก็เข้าป่า คราวนี้ไม่พบใครแล้ว เข้าป่าชัฏ

ตามที่มีความต้องการก็ไปเจอะภูเขาลูกหนึ่ง สูงมาก แต่ความจริงเมืองกาญจน์นี่ ภูเขาเยอะแยะบอกไม่ถูก แต่เขาลูกหนึ่งแปลกสูงหน่อยหนึ่ง และก็มีแสงสีเขียวออก ก็แปลกใจ ก็คิดว่า ที่นี่อาจจะมีอะไรดีพิเศษ ก็เลยพากันปักกลด ถ้าถามว่าในฐานะที่เรียนกับพระปฏิสัมภิทาญาณแล้ว ทำไมไม่ใช้ญาณเป็นเครื่องรู้ ก็ขอตอบว่าญาณเป็นเครื่องรู้เขาใช้เฉพาะเวลากัน เวลาที่มีความจำเป็นจริง ๆ เขาไม่ใช่กัน ดูตัวอย่าง พระมหากัสสป ที่เสียท่าพระอินทร์ ก็เพราะไม่ได้ใช้ พระอรหันต์ เขาไม่ใช้กันป้วนเปี้ยนไปหรอก ไม่เหมือนพวกทรงฌานโลกีย์ พวกทรงฌานโลกีย์ คล้าย ๆ กับเด็กรุ่นหนุ่ม หรือนักมวยหัดใหม่ อยากจะเก่งไปไหนก็ทำท่าจะชกอยู่ตลอดเวลา พระอรหันต์ก็เหมือนกับแชมป์โลก ไปไหนก็เดินเฉย ๆ

สำหรับคณะอาตมานั้นไม่ใช่พระอรหันต์ แต่ว่าเป็นลูกศิษย์พระอรหันต์ก็ทำลีลาคล้าย ๆ กับอาจารย์ อาจารย์สอนมาแบบไหน ทำแบบนั้นตามปกติ คือ ไม่ฝ่าฝืนคุณงามความดีของอาจารย์ อาจารย์ ก็คือ หลวงพ่อปานด้วย หลวงพ่อจงด้วย หลวงพ่อเนียมด้วย หลวงพ่อโหน่งด้วย อย่างนี้เป็นต้น โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หลวงพ่อสด วัดปากน้ำภาษีเจริญ อาตมาก็เคยไปเรียนกับท่าน ท่านก็สอนดี ความเข้าใจของท่านถูก ท่านสอนถูกตามความเป็นจริง แต่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัทชายหญิง สำคัญผู้รับเท่านั้นแหละ รับไปแล้วจะเข้าใจถูกหรือเข้าใจผิด อันนี้ไม่ทราบ

เป็นอันว่า ปักกลดเสร็จ ก็ถึงเวลาพอดีเข้าพักผ่อน นอน เริ่มนอน ในตอนต้น พักผ่อนอาการเหนื่อย ถึงเวลาหัวค่ำก็เจริญกรรมฐานก็ไม่มีอะไร บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย ขณะที่เจริญกรรมฐาน ทุกอย่างก็เป็นไปตามปกติหมด ไม่มีอะไรน่าหนักใจ

เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ดูเวลาเหลือเวลาอีก ๕๐ วินาที ขอลาก่อน สวัสดี


.....................................................

ถ้าท่านต้องการรู้เรื่อง ผี เทวดา นรก เปรต อะไรทำนองนี้
ก็อ่านเรื่อง ตายแล้วไปไหน....


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=38902

ถ้าต้องการทราบประวัติของหลวงพ่อฤาษีลิงดำ ตั้งแต่สมัยเด็กๆ จนบวชพระ
ก็อ่านเรื่องประวัติหลวงพ่อปาน....


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=38701

หรือถ้าสนใจเรื่อง อดีตชาติของหลวงพ่อ
และประวัติของชาติไทยว่ามีความเป็นมาอย่างไร
ก็ติดตามอ่านในหนังสือเรื่อง เรื่องจริงอิงนิทานพิเศษ....


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=39139

และถ้าท่านใดสนใจในการปฏิบัติธรรมและอยากทราบว่า
หลวงพ่อฤาษีลิงดำท่านเป็นพระอริยเจ้า เมื่อไร ด้วยวิธีใด อย่างไร
ก็อ่านจาก หนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า....


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=39343

ถ้าท่านสนใจเรื่องการธุดงค์ของหลวงพ่อฤาษีลิงดำในตอนต้นๆ
เชิญอ่านจากหนังสือหลวงพ่อธุดงค์ได้ที่....


http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=6&t=38486

.....................................................

ความจริงแล้ว เรื่องราวของท่านมีอีกมาก สำหรับท่านที่ไม่เคยอ่าน ค่อย ๆ ตามอ่าน ผมมั่นใจว่าท่านไม่ผิดหวังแน่นอน ขอความเจริญในธรรม จงมีแด่ทุก ๆ ท่านครับ

.....................................................


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 08 ก.ย. 2011, 11:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 7
สมาชิก ระดับ 7
ลงทะเบียนเมื่อ: 03 ต.ค. 2010, 09:11
โพสต์: 597


 ข้อมูลส่วนตัว


อนุโมทนาสาธุๆ ขอบพระคุณค่ะ :b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร