วันเวลาปัจจุบัน 24 เม.ย. 2024, 06:18  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:14 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด
เมื่อวันที่ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๙


อวิชชารวมตัว ปกปิดจิตแท้-ธรรมแท้
พระธรรมเทศนากัณฑ์นี้ แสดงในเชิงตอบปัญหาธรรม
แก่พระเถระสำคัญมากองค์หนึ่งในปัจจุบัน มีเนื้อหาและข้อความดังนี้


นี่คือเวลาเริ่มพิจารณาเข้าสู่จุดรวมของกิเลสวัฎฎ์ ซึ่งได้แก่อวิชชา ขณะที่
พิจารณาก็ยังไม่ทราบว่าตัวเองพิจารณาอวิชชา เป็นแต่เพียงคิดว่า นี้มันอะไรนา เป็นข้อ
ข้องใจสงสัยอยู่ตรงนี้ แล้วก็หยั่งจิตลงไปที่นั่น ทำความสนใจในจุดนั้น พิจารณาว่ามัน
เป็นยังไงไปยังไงมายังไง แต่ก็ไปถูกจุด ทั้งนี้เพราะเราไม่รู้ชื่อมันว่าอะไรเป็นอวิชชา
อวิชชาที่แท้จริงกับชื่อมันผิดกันมาก เห็นแต่กระแสของมันกระจายไปทั่วโลก นั้นมัน
เป็นเพียงกิ่งก้าน เหมือนเราไปหาจับโจรผู้ร้าย ไปจับก็จะได้แต่สมุนของมันเท่านั้น จับ
คนไหนก็เป็นสมุนของมัน ๆ ไม่ทราบว่านายมันอยู่ที่ไหน มีรูปร่างหน้าตาเป็นอย่างไร
เพราะไม่เคยเห็นหัวหน้ามัน

จับมากต่อมาก จับเข้าไป ๆ ตีตะล่อมเข้าไป ๆ ที่เรียกว่า ล้อมโจร คือ เจ้าหน้าที่
มีจำนวนมากและก็มีกำลังมาก ต่างคนต่างอาศัยกันรวมกันเข้าก็มีกำลังมาก ล้อมรอบ
จุดที่โจรอาศัยอยู่ จับคนนี้ มัดคนนั้นเข้าไป ๆ เมื่อถูกถาม ตามธรรมดาโจรมันจะไม่
บอกว่าใครเป็นนายของมัน ถ้าใครเป็นโจรก็มัดมันเข้าไปหมดจนไม่ให้มีเหลือสักคนใน
วงล้อมนั้น คนสุดท้ายนั่นนะเป็นนายโจร คนสุดท้ายมันจะอยู่ในที่สำคัญ คือสมุนของ
โจรจะต้องล้อมรอบขอบชิดรักษาไว้อย่างดีทีเดียว ไม่ให้พบหัวหน้าของมันอย่างง่ายดาย

ถูกจับเข้าไปเป็นลำดับ ๆ จนถึงอุโมงค์ที่หัวหน้าโจรหลบซ่อนก็ฆ่าหมดไม่มีเหลือ
ในที่นั้นแล้ว มันก็ทราบชัดกันละที่นี่ ว่าหัวหน้าโจรตัวฉลาดได้ถูกฆ่าให้สูญพันธุ์ไปเสีย
แล้ว อันนี้เป็นแต่เพียงรูปเปรียบ คือจิตที่มีความเกี่ยวข้องกับสิ่งใด มันก็เป็นแขนงของ
ความหลง ไม่ว่าจะหลงทางดีทางชั่ว มันเป็นเรื่องของอวิชชาและกิ่งก้านของอวิชชาทั้ง
นั้น แต่ตัวอวิชชาจริง ๆ มันไม่มี เพราะฉะนั้นอุบายวิธีพิจารณาต่าง ๆ ถ้าจะเทียบอุปมา
ก็เหมือนอย่างเราวิดน้ำเพื่อจะเอาปลา ถ้าน้ำมีมาก ปลาจะมีจำนวนมากน้อยเพียงไร
ก็ไม่ทราบ วิดน้ำออกจนน้ำแห้งลงไปเป็นลำดับ ๆ ปลาก็รวมตัวเข้าไป ๆ ตัวไหนอยู่ที่
ไหนก็วิ่งลงในน้ำ ๆ น้ำก็ถูกวิดออกเรื่อย ๆ ปลาก็รวมตัวเข้าไป ตัวไหนวิ่งไปไหนก็มอง
เห็นเพราะน้ำแห้งลงไปเรื่อย ๆ ผลสุดท้ายเมื่อน้ำแห้งแล้วปลาก็ไม่มีที่หลบซ่อนก็จับตัวปลาได้


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:18 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)

ขึ้นชื่อว่ารูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัสกับอาการของจิตที่คละเคล้ากัน มันก็
เหมือนกับน้ำที่เป็นที่อาศัยของปลา การพิจารณาสิ่งเหล่านี้ก็ไม่หมายจะเอาสิ่งเหล่านี้
แต่จะฆ่ากิเลสต่างหาก เหมือนกับคนวิดน้ำไม่หมายจะเอาน้ำ แต่หมายจะเอาปลาต่าง
หาก การพิจารณาก็ไม่หมายจะเอาสิ่งเหล่านี้ แต่ให้รู้สิ่งเหล่านี้เป็นลำดับ ๆ พอรู้ไปถึง
ไหนจิตก็หายกังวล รู้ทั้งสิ่งที่ไปเกี่ยวข้อง รู้ทั้งตัวเองที่ไปเกี่ยวข้องว่าเป็นผู้ผิดเป็นความ
เห็นผิดของตัว จึงไปหลงรักหลงชังในสิ่งเหล่านั้น ทีนี้วงแห่งการพิจารณาก็แคบเข้ามา ๆ
เหมือนกับน้ำแห้งลงไป ๆ จะพิจารณาในธาตุในขันธ์อะไร มันก็เหมือนสิ่งทั่วไปภายนอก
มันไม่มีอะไรแปลกกันถ้าเป็นด้านวัตถุ พูดถึงเรื่องธาตุก็เป็นธาตุอันเดียวกัน มันมี
แปลกอยู่ที่อาการของจิตแสดงตัวออก แต่เราไม่รู้ก็ไปหมาย อันนี้มันก็ยังเป็นกิ่งก้าน
ของอวิชชาอยู่ แต่มันจะซึมซาบเข้าไปหาส่วนใหญ่ พิจารณาเห็นสิ่งที่มาเกี่ยวข้องชัดเท่าไร
ก็ยิ่งเห็นตัวออกไปเกี่ยวข้องชัดขึ้นทุกที เหมือนกับน้ำแห้งลงไปเท่าไรก็ยิ่งเห็นตัวปลา
ชัดขึ้นทุกที ๆ

การพิจารณาเห็นสภาพทั้งหลายทั้งภายนอกกายทั้งภายในกาย ทั้งในเจตสิก
ธรรมของตัวชัดขึ้นเท่าไร มันก็เห็นจุดของที่อยู่อาศัยของตัวการสำคัญชัดขึ้น ๆ เมื่อ
พิจารณาตะล่อมเข้าไป ความรู้ของจิตมันก็แคบเข้าไป ความกังวลของใจก็น้อยเข้าไป
กระแสของใจที่ส่งออกไปก็แคบ พอกระเพื่อมตัวออกไปเกี่ยวกับสิ่งใดก็พิจารณาเกี่ยวกับ
สิ่งนั้นด้วย พิจารณาความกระเพื่อมของจิตที่ออกไปแสดงตัวด้วย ก็เห็นทั้งสองเงื่อน
รู้เหตุรู้ผลกันทั้งสองด้าน คือด้านที่ไปเกี่ยวข้องสิ่งที่ถูกเกี่ยวข้องหนึ่ง ผู้ไปเกี่ยวข้องหนึ่ง
ปัญญาก็ขยับตัวเข้าไปเป็นลำดับ ๆ

เมื่อเข้าไปถึงตัวอวิชชาจริง ๆ โดยมากนักปฏิบัติถ้าไม่มีครูอาจารย์คอยแนะไว้
ก่อนแล้ว จะต้องไปถือเอาตัวนั้นแลว่าเป็นตัวจริง เพราะทุกสิ่งทุกอย่างได้พิจารณาเห็นชัด
ภายในใจแล้วว่า ได้รู้เท่าและปล่อยวางไปหมดไม่มีสิ่งใดเหลือ แต่ผู้ที่รู้สิ่งทั้งหลาย
นั้นคืออะไรนั่น ทีนี้ก็ไปสงวนอันนั้นไว้ นี่แลที่ว่าอวิชชารวมตัวแล้ว แต่กลับมาเป็นตัวขึ้น
โดยไม่รู้สึก จิตก็มาหลงอยู่นั้น ที่ว่าอวิชชาก็คือหลงตัวเองนี่แหละ ส่วนที่หลงสิ่งภายนอก
นั้นยังเป็นกิ่งก้าน ไม่ใช่เป็นเรื่องของอวิชชาอันแท้จริง


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:19 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)
การมาหลงอันนี้แล มาหลงผู้ที่หลงสิ่งทั้งหลายนี้แล ผู้นี้เป็นอะไรเลยลืมวิพากษ์
พิจารณาเสีย เพราะจิตเมื่อมีวงแคบเข้ามาแล้วจะต้องรวมจุดตัวเอง จุดของจิตที่ปรากฏ
ตัวอยู่เวลานั้นจะเป็นจิตที่ผ่องใส มีความยิ้มแย้มแจ่มใส มีความองอาญกล้าหาญ ความสุข
ก็รู้สึกว่าจะรวมตัวอยู่ที่นั่นหมด สิ่งเหล่านี้ทั้งหมดมันเป็นผลของอะไร ถ้าจะพูดว่าเป็นผล
ก็ยอมรับเป็นผล จะพูดว่าเป็นผลของปฏิปทาเครื่องดำเนินก็ถูกถ้าหากเราไม่หลงอันนี้นะ
ถ้ายังหลงอยู่มันก็เป็นสมุทัย นี่ละจุดใหญ่ของสมุทัย

แต่ถ้านักปฏิบัติมีความสนใจพิจารณาในสิ่งที่เกี่ยวข้องอยู่เสมอแล้ว ไม่มองข้ามไป
ยังไงก็ทนไม่ได้ ต้องสนใจเข้าพิจารณาจุดนั้น เพราะทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เคย
พิจารณาและเคยรู้เรื่องมาแล้วใจก็ไม่สัมผัส จะแยกจิตออกไปพิจารณาอะไรมันก็ไม่
สัมผัส เพราะพอตัวในสิ่งนั้น ๆ แล้ว อาการที่เกิดขึ้นก็เกิดขึ้นจากนั้น จิตที่ปรุงขึ้นมามัน
ก็ปรุงขึ้นจากนั้น สุขที่ปรากฏขึ้นก็ปรากฏจากที่นั่น ความสุขที่ปรากฏขึ้นมามันก็มีอาการ
เปลี่ยนแปลงให้เห็นซึ่งเป็นเหตุให้พิจารณาอีก เพราะในขั้นนี้เป็นขั้นที่ใช้ความสังเกตุมาก
เมื่อสังเกตุความสุขมันก็ไม่แน่นอน เพราะความสุขที่ผลิตจากอวิชชามันเป็นสมมุติ
บางทีก็มีอาการเฉา ๆ บ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ พอให้ทราบว่ามันแสดงอาการไม่สม่ำเสมอ มัน
ค่อยเปลี่ยนตัวเองอยู่อย่างนั้นตามขั้นแห่งธรรมที่ละเอียด นี่เป็นจุดที่นอนใจตายใจ
และยอมเชื่อสำหรับผู้ที่ปฏิบัติด้วยความเข้มแข็ง ด้วยความสนใจอย่างยิ่ง แต่จะมานอนใจ
ในจุดนี้ ติดในจุดนี้ หากไม่มีผู้อธิบายให้ทราบไว้ล่วงหน้าก่อน

ถึงจะนอนใจก็ทนที่จะทราบไม่ได้เหมือนกันถ้าใช้ความสนใจ เพราะมีเท่านั้น
เป็นสิ่งที่ดูดดื่มของใจ เป็นเหตุให้ดูดดื่ม เป็นเหตุให้พอใจในสิ่งที่ปรากฏนั้น เท่าที่เคย
พิจารณามาเป็นอย่างนั้น จนไม่ทราบว่าอะไรเป็นอวิชชา ก็เลยเข้าใจว่าอันนี้แหละที่จะ
เป็นนิพพาน อันสว่างกระจ่างแจ้งอยู่ตลอดเวลานี้แล คำว่าตลอดเวลาในที่นี้หมายถึง
ตลอดเวลาของผู้มีความเพียร มีการชำระซักฟอกกันอยู่เสมอ ไม่นอนใจติดอยู่กับสิ่งนั้น
ถ่ายเดียว ความสงวนก็มาก อะไรจะมาแตะต้องไม่ได้ ระมัดระวังอย่างเต็มที่ พออะไร
มาสัมผัสก็รีบแก้กันทันที

แต่สิ่งที่รักที่สงวนนั้นตนหาทราบไม่ว่าคืออะไร ทั้งที่ความรักความสงวนนั้นมัน
ก็เป็นภาระของจิตอยู่โดยดี แต่ในเวลานั้นมันไม่ทราบ จนกว่าสมควรแก่กาลที่ควรรู้แล้ว
จึงเกิดความสนใจที่จะพิจารณาในจุดนี้ นี่มันคืออะไรนา ทุกสิ่งทุกอย่างเราก็เคย
พิจารณามา แต่สิ่งนี้มันคืออะไรนา ที่นี่จิตก็จ่อเข้าไปตรงนั้น ปัญญาก็สอดส่องเข้าไป
นี้มันคืออะไรแน่นะ อันนี้มันเป็นความจริงหรือยังไม่จริง อันนี้เป็นวิชชาหรือเป็นอวิชชา
มันยังเป็นข้อกังขาสงสัยอยู่นั่นแหละ

แต่อาศัยการพิจารณาทบทวนด้วยปัญญาอยู่ไม่หยุด เพราะเป็นสิ่งไม่เคยรู้ไม่เคย
ประสบมาก่อน ว่าทำไมมันจึงรัก ทำไมมันจึงสงวน ถ้าหากว่าเป็นของจริงแล้วทำไม
จะต้องรักสงวนกัน ทำไมจะต้องรักษากัน ความรักษานี่มันก็เป็นภาระ ถ้าอย่างนั้นอันนี้
มันก็ต้องเป็นภัยอันหนึ่งสำหรับผู้สงวนรักษา หรือเป็นสิ่งหนึ่งที่ไม่น่าไว้วางใจ ทั้ง ๆ ที่ก็
ไม่ทราบนะว่านั่นคืออะไร จะเป็นอวิชชาจริงหรือไม่ เพราะเราไม่เคยเห็นนี่ว่าวิชชาที่แท้
จริงกับอวิชชามันต่างกันอย่างไร วิมุตติกับสมมุติมันต่างกันอย่างไร ปัญญาก็เริ่มสนใจ
พิจารณาละทีนี้

อันนี้รู้สึกว่าพิสดารมาก ถ้าจะพูดตามที่พิจารณามาหรือย่นย่อเข้ามาเฉพาะให้ได้ความ
ตามโอกาสสมควร สรุปกันทีเดียวว่า อันใดที่ปรากฏตัวขึ้นมาให้พิจารณา อันนั้นสิ่งที่
ปรากฏตัวขึ้นมานั้นเป็นเรื่องสมมุติทั้งนั้น นี่หมายถึงธรรมละเอียดปรากฏอยู่ที่ใจ
แม้ที่สุดจุดที่มีความสว่างไสวอยู่นั้นแลคือจุดอวิชชาแท้ กำหนดลงไปที่นั่นด้วยปัญญา
สภาวะธรรมทั่ว ๆ ไปนั่นเป็นสภาวะธรรมอันหนึ่ง ๆ ฉันใด ธรรมชาตินี้ก็เป็นสภาพธรรม
อันหนึ่งฉันนั้น เราจะถือว่าเราเป็นของเราไม่ได้ แต่ความสงวนนี้แสดงว่าเราถือว่าเป็นเรา
เป็นของเราซึ่งเป็นความผิด

ปัญญาสอดส่องเข้าไปว่านี่มันเป็นอะไรแน่ ๆ นะ เหมือนกับว่าเราย้อนมาดูตัวของเรา
เรามองออกไปข้างนอก ดินฟ้าอากาศเราก็เห็น มีอะไรมาผ่านทางสายตาเราก็เห็น แต่
เมื่อเราไม่มองมาดูตัวของเรา เราก็ไม่เห็นตัวของเรา ปัญญาขั้นนี้รวดเร็วมาก ย้อนกลับ
ไปกลับมาดูจุดสุดท้ายหรือวาระสุดท้าย การพิจารณาก็เหมือนกับพิจารณาสิ่งอื่น
ไม่พิจารณาเพื่อถือเอา พิจารณาเพื่อให้รู้สิ่งนั้นตามความจริงของมันโดยถ่ายเดียว

เวลาอันนี้จะดับ มันไม่เหมือนสิ่งทั้งหลายดับ สิ่งทั้งหลายดับเป็นความรู้สึกของเราว่า
เข้าใจแล้วในสิ่งนี้ แต่อันนี้ดับมันไม่เป็นอย่างนั้น มันดับแบบสลายลงไปทันที
เหมือนฟ้าแลบ คือมันเป็นขณะอันหนึ่งที่ทำงานของตัวเอง หรือมันพลิกก็ได้ มันพลิกคว่ำ
แล้วหายไปเลย พออันนี้หายไปแล้วถึงจะทราบว่า นี้คืออวิชชาแท้ละที่นี่ เพราะเหตุว่า
อันนี้หายไปแล้วมันไม่มีอะไรปรากฏมาให้เป็นข้อสงสัย


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:21 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)

สิ่งที่เหลืออยู่ก็ไม่เป็นอย่างนี้ แต่เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์และไม่เคยเห็นก็ตาม
แต่เวลาปรากฏในขณะนั้นมันก็ไม่มีอะไรเป็นที่น่าสงสัย นั่นละภาระมันถึงหมดไป คำว่าเรา
ก็หมายถึงอันนี้เอง หมายถึงอันนี้ยังตั้งอยู่ พิจารณาอะไรก็พิจารณาเพื่ออันนี้ คำว่ารู้
ก็คือเราตัวนี้รู้ คำว่าสว่างก็เราสว่าง คำว่าเบาก็ว่าเราเบา คำว่าสุขก็ว่าเราสุข คำว่าเรา ๆ
ก็หมายถึงตัวนี้เอง นี่ละคือตัวอวิชชาแท้ ทำอะไรต้องเพื่อมันทั้งนั้น พออันนี้สลายไปแล้ว
ไม่มีเพื่ออะไรอีก......หมด

ถ้าจะเทียบอุปมาก็เหมือนก้นหม้อที่ถูกทำลายเสียแล้ว แม้จะเทน้ำลงไปมากเท่าไร
ก็ไม่มีอะไรจะขังอยู่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ปรุงขึ้นมาตามธรรมชาติของขันธ์ ก็ปรุงขึ้นได้
แต่ไม่ติด เพราะภาชนะคืออวิชชาตัวสำคัญมันดับสลายไปแล้ว พอสังขารปรุงพับและ
ดับไป ผ่านไปตามธรรมดา หายไป ๆ เพราะไม่มีที่เก็บ ไม่มีใครเป็นเจ้าของ ธรรมชาติที่รู้
สึกตัวเองว่าไม่มีอะไรเป็นเจ้าของนั้น ก็เป็นความพอตัวของธรรมชาตินั้นอยู่แล้ว นั่นจึง
เป็นธรรมชาติที่บริสุทธิ์แท้ และหมดภาระที่จะระมัดระวังรักษาพิษภัยอีกต่อไป

อวิชชานี้เองที่ปกปิดจิตแท้ธรรมแท้เรื่อยมา จึงไม่เห็นความอัศจรรย์ในหลัก
ธรรมชาติของจิตอันแท้จริง ผู้ปฏิบัติดำเนินมาถึงขั้นหลุมพรางตาจึงหลงยึดว่าเป็นของ
อัศจรรย์ไปเสีย จึงมารักสงวนหึงหวงไว้ มาเข้าใจว่าเป็นเราเป็นของเรา จิตเราสว่างไสว
จิตเราจึงมีความองอาญกล้าหาญ จิตเราเป็นสุข จิตเรานี้รู้ทุกสิ่งทุกอย่าง แต่ธรรมชาติ
อันนี้ไม่รู้ตัวเอง ท่านเรียกว่าอวิชชาแท้ พอกลับมารู้อันนี้ ๆ ก็สลายไป พออันนี้สลายไป
แล้วก็เหมือนเปิดฝาหม้อขึ้นมานั่นเอง มีอะไรอยู่ในนั้นก็เห็นหมด อวิชชานี้เท่านั้นปิดไว้

ความจริงที่เป็นความจริงพิเศษจากสัจจะ คือ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค ก็คือ
ความบริสุทธิ์ นี้เป็นความจริงที่นอกจากสัจจะทั้งสี่ สัจจะทั้งสี่นี้ สองสัจจะหนึ่งเป็นฝ่าย
ผูกมัด สองสัจจะหนึ่งเป็นฝ่ายแก้ฝ่ายดับ ดับอะไรผูกอะไร ก็คือผูกจิตไว้คือมาปกคลุมไว้
แก้ก็คือเปิดออก เปิดสิ่งที่ปกคลุมนั้นให้ได้เห็นความบริสุทธิ์ตามความเป็นจริงของตน
ความจริงนั้นมีอยู่อย่างนั้นแล้ว แต่สัจจะทั้งสองคือ ทุกข์ สมุทัยนี้ มันปิดเหมือนกับฝา
หม้อปิดหม้อไว้ มีอะไรอยู่ในนั้นก็ไม่เห็น มรรคคือข้อปฏิบัติ..เปิด มรรค นิโรธเปิดขึ้น
มาก็เห็นสิ่งที่อยู่ในหม้อนั้นชัดว่าเป็นอะไร ความบริสุทธิ์เป็นของมีอยู่ก็ตาม แต่ถูกสัจจะ
ทั้งสองนี้ปิด และถูกสัจจะทั้งสองที่เป็นฝ่ายแก้นั้นเปิดขึ้นมา นี่ละเปิดก็เปิดให้อันนี้
ผูกก็ผูกอันนี้ปิดอันนี้ไว้ พอเปิดขึ้นมาแล้วก็หมดปัญหา

สัจจะทั้งสองนี้เป็นกิริยาอันหนึ่ง ๆ เป็นสมมุติด้วยกัน มรรคก็เป็นสมมุติ นิโรธก็
เป็นสมมุติ พอทำหน้าที่เสร็จแล้วก็ผ่านไป ทุกข์กับสมุทัยก็เป็นสมมุติ สมมุติทั้งสองแก้
สมมุติทั้งสองนี้ได้แล้ว ธรรมชาตินั้นก็เป็นธรรมชาติตายตัว สิ่งที่เห็นนั้นเรียกวิมุตติ คือ
เปิดให้เห็นวิมุตติคือความบริสุทธิ์โดยหลักธรรมชาติ นี่ละภาระหมดก็หมดตรงนี้ เมื่อ
บริสุทธิ์แล้วไม่เสกสรรปั้นยอตัวเอง ส่วนภายนอกคือโลกธรรมนอก เกี่ยวกับสิ่งภาย
นอกมันห่างไกล โลกธรรมในที่เคยว่าดี ว่าชั่ว ว่าสุข ว่าทุกข์ภานในตัวเองก็หมดปัญหา
ไปกับจุดนี้สลายไป

ถ้าพิจารณามาถึงขั้นนี้แล้วไม่กว้าง ได้อุบายจากครูอาจารย์ที่ท่านเคยรู้เคยเห็น
และผ่านไปอธิบายให้ฟังก็ไปได้อย่างรวดเร็ว แต่สำคัญอย่าไปคาดคะเน ความคาด
คะเนไม่ใช่ทาง อะไรปรากฏก็พิจารณาจุดนั้นสิ่งที่ปรากฏนั้นเป็นลำดับ ๆ และเข้าใจกัน
ไปเรื่อย ๆ นี้เป็นทางที่ถูก และอวิชชาก็หมายถึงธรรมชาติที่อธิบายผ่านมานั่นแลเป็น
อวิชชาแท้ นอกนั้นก็เป็นกิ่งก้านสาขา
เหมือนเถาวัลย์เกิดขึ้นที่นี่แต่เลื้อยไปที่ไหนบ้างก็
ไม่ทราบ ยาวเท่าไรก็เลื้อยไป ๆ เวลาจับถูกแล้วตามเข้ามา ๆ จนถึงลำต้นของมัน ลำต้น
มันอยู่ที่นี่ รากมันอยู่ที่นี่ พอถอนรากขึ้นแล้วก็ตายไปด้วยกันหมด กิ่งก้านสาขาอวิชชา
มันจึงกว้างขวางมากมาย พอถึงอวิชชาจริง ๆ จึงไม่รู้ว่าอะไรเป็นอวิชชา แต่ก็พิจารณา
เรื่องของปัญญาก็พิจารณาเข้าไป ถึงจะไม่รู้ว่านี้คืออวิชชาก็ตาม แต่การพิจารณานั้นมัน
ถูกทางแล้วมันก็เกิดขึ้นเอง เช่นเดียวกับเรารับประทาน ความอิ่มก็แสดงขึ้นมาให้เห็น
ชัดเป็นลำดับ ๆ


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:23 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 30 เม.ย. 2007, 17:21
โพสต์: 4148

อายุ: 0
ที่อยู่: กทม.

 ข้อมูลส่วนตัว www


:b8: :b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:25 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:
(ต่อครับ)

สรุปเรื่องอวิชชาเป็นอุปปัติภพหรือกรรมภพ ก่อภพทำกรรมอยู่ไม่หยุดไม่ถอย
มันก็เป็นเรื่องของวัฏจักรอันเดียวนี้ มันหากก่อภพก่อชาติภายในตัวเองอยู่อย่างนั้น
เรื่องของจิตจะอยู่เฉย ๆ ไม่ได้ มีแต่เรื่องก่อภพก่อชาติอยู่เป็นประจำ ทำงานสั่งสมเพื่อ
ตัวเอง แต่โดยมากจะสั่งสมทางกดถ่วงใจให้ดิ่งลงทางต่ำอยู่เสมอ ที่ว่าทำลายกงกรรมก็
ทำลายตัวนี้แล พอทำลายตัวนี้แล้วมันก็หมดเครื่องสืบต่อก่อภพก่อชาติลงทันที ถึงสิ่ง
ภายนอกที่เคยมาเกี่ยวข้องกับเรามันก็เกี่ยวข้องไปตามธรรมดา ผ่านไปผ่านมาไม่ได้ซึมซาบ
ไม่ได้เข้าตั้งบ้านเรือน ไม่ได้เข้ามาอยู่อาศัยในจุดนี้เหมือนแต่ก่อน เพียงแต่ผ่านไปผ่านมา
ธรรมดา แล้วก็ทราบชัดว่าธรรมชาตินี้ไม่ได้สืบต่อกับอะไร

ความสืบต่อของธรรมชาตินี้เราทราบมาเป็นลำดับแล้ว เมื่อมาถึงขั้นไม่สืบต่อกับ
อะไรก็ทราบ การรู้เรื่องของภพของชาติว่าต่อไปจะเกิดอีกหรือไม่นั้นก็ไม่ต้องไปคาด
คะเน เพราะปัจจุบันนี้บอกอยู่แล้วอย่างชัดเจนว่า เมื่อไม่สืบไม่ต่อไม่ก่อภพก่อชาติภาย
ในตัวเองให้เห็นประจักษ์อยู่แล้ว ก็ไม่มีภพมีชาติอะไรจะสืบต่อไปข้างหน้าอีก เพราะโรงงาน
นี้ได้ถูกทำลายไปแล้ว ไม่มีทางก่อตัวขึ้นมาหรือหรือไม่มีทางก่อเหตุขึ้นมาเหมือนอย่างที่
เคยเป็นมา โรงงานผลิตทุกข์ได้ถูกทำลายโดยสิ้นเชิงแล้ว

ที่ว่าขันธ์ล้วน ๆ ก็หมายถึงตอนนี้ ขันธ์ก็เป็นขันธ์ล้วน ๆ ไม่เป็นกิเลส ถ้าจิตดวงนั้น
ไม่เป็นกิเลส ขันธ์ก็ไม่เป็นกิเลส เป็นแต่เพียงเครื่องมือ ถ้าส่วนใหญ่คือจิตเป็นกิเลส
ขันธ์ทุกขันธ์ก็เป็นกิเลสไปตาม ๆ กัน รูปก็เป็นเครื่องเสริมกิเลสให้พอกพูนภายในใจ
เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็เป็นเครื่องเสริมกิเลสภายในใจทุกอย่าง ถ้าจิตบริสุทธิ์
ขันธ์บริสุทธิ์ตามส่วนของขันธ์ไม่มีอะไรเป็นกิเลส ถ้าจิตเป็นกิเลส ขันธ์ก็เป็นกิเลสวันยังค่ำ
ความจริงเป็นอย่างนั้น

การก่อภพก่อชาติเป็นเรื่องของจิตผลิตตัวเองอยู่อย่างนั้น มันอนอยู่เฉย ๆ ไม่ได้
ลักษณะของจิตที่มีกงจักรเป็นเจ้าของงานหรือเป็นหัวหน้างาน มันจะต้องหมุนตัวอยู่เสมอ
หมุนอะไรก็เพื่อเรื่องของภพของชาติทั้งนั้น พอกงจักรนั้นสลายตัวลงไปก็ไม่มีอะไรจะ
ก่อภพก่อชาติอีกต่อไป จิตที่ท่านรู้แล้ว ท่านก็ออกอุทานในใจ หรือประกาศธรรม
สอนโลกได้เต็มปากเต็มใจ ว่าต่อไปไม่มีภพให้เกิดอีกแล้ว อย่างพระพุทธเจ้าท่าน
อุทานออกมาใน อเนกชาติ สํสารํ เป็นตัวอย่าง เพราะท่านรู้อยู่ในปัจจุบันนั้นไม่มีอะไร
จะมาก่อตัว ดีก็เป็นส่วนดีไม่มาซึมซาบกัน ไม่มาคละเคล้ากัน ชั่วก็เป็นส่วนชั่วไม่ซึมซาบ
หรือคละเคล้ากัน มันไม่วิ่งเข้าถึงกัน คำว่าไม่วิ่งถึงกันก็ไม่ได้บังคับ มันเป็นธรรมชาติ
ของมันเอง เวลามันวิ่งเข้าถึงกันเราก็ไม่ได้บังคับ มันหากมีสื่อของมันวิ่งต่อถึงกันเอง
เมื่อมันขาดสื่อแล้วก็ขาดวรรคขาดตอนของมันเอง

ตามความรู้สึกของกระผมที่พิจารณามานี้ ตอนที่อันนี้จะดับลงไปมันมีขณะบอก
อย่างชัดแจ้งทีเดียว มันเป็นขณะ คือขณะนั้นเราไม่ได้คาดได้ฝัน มันเป็นขณะอันหนึ่งที่
ทำให้สดุดใจ ขณะที่อวิชชาดับมันเป็นขณะอันหนึ่งที่แสดงขึ้น คล้ายกับว่ามันพลิกตัวเอง
เป็นโลกใหม่ถ้าว่าโลกนะ มันเป็นโลกใหม่ มันพลิกพับเดียวอวิชชาก็ดับไปขณะนั้น
แต่ไม่ได้อยู่ในการคาดคะเน ไม่ได้อยู่ในความตั้งใจว่าจะพลิก มันเป็นขึ้นมาเอง อันนี้
เป็นส่วนละเอียดมากสุดวิสัยที่จะกราบเรียนให้ถูกต้องกับความจริงของขณะนั้นได้

การปฏิบัติในศาสนานี้ถ้าปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์จริง ๆ มันก็มีเคล็ดลับอยู่สองคือ
ระหว่างอุปทานของกายกับจิต กายกับจิตเป็นอุปทานต่อกัน จะแยกจากกันนี้เป็นเคล็ดลับ
อันหนึ่ง กับมาเคล็ดลับที่สองอันเป็นจุดสุดท้ายแห่งความสามารถของกระผมที่เป็นขึ้นมา
นอกจากนั้นก็ไม่มีอะไรที่น่าสงสัย

กระผมเคยไปบำเพ็ญอยู่ที่วัดดอยฯ ปัญหาเรื่องอวิชชานี้มันทำให้งงอยู่นาน
เหมือนกัน คือขณะนั้นจิตมันสว่างจนตัวเองเกิดความอัศจรรย์ในความสว่างไสว ทุกสิ่ง
ทุกอย่างที่จะเป็นเหตุให้อัศจรรย์นั้น รู้สึกมารวมตัวอยู่ในจิตทั้งหมด จนเกิดความ
อัศจรรย์ในตัวเองว่า แหม จิตของเราทำไมถึงได้อัศจรรย์ถึงขนาดนี้นะ มองดูกายทั้งกาย
ไม่เห็น มันเป็นอากาศธาตุเสียหมด ว่างไปหมด จิตมีความสว่างไสวอย่างเต็มที่

แต่เดชะนะ พอเวลาเกิดความอัศจรรย์ตัวเองขึ้นมา ถึงกับอุทานในใจในเวลานั้น
ด้วยความหลงไม่รู้สึกตัว ถ้าพูดถึงธรรมะส่วนละเอียดมันเป็นความหลงอันหนึ่ง มันอัศจรรย์
ตัวเอง ทำไมจิตของเราถึงได้เป็นขนาดนี้ พอว่าอย่างนั้นก็มีธรรมะบันดาลขึ้นมา
อันนี้ก็ไม่คาดไม่ฝันเหมือนกัน ผุดขึ้นมาเหมือนกับมีคนพูดอยู่ภายในจิตนี้ แต่ไม่ใช่คนพูด
ผุดขึ้นมาเป็นบท ๆ ว่า "ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพ"ว่าอย่างนั้น


ธรรมชาตินั้นมันเป็นจุดจริง ๆ จุดของความรู้ จุดของความสว่างนั้นมันมีจุดจริง ๆ
ดังอุบายผุดขึ้นมาบอก ทีนี้เราก็ไม่ได้คำนึงว่าอะไรมันเป็นจุด เลยงงไปเสียอีก
แทนที่จะได้อุบายจากคำเตือนที่ผุดขึ้นนั้น เลยเอาปัญหานั้นมาขบคิด จนกว่าได้มา
พิจารณาถึงตอนนี้ ตอนที่ว่าจุดนี้ ปัญหาอันนี้จึงยุติลงไป ถึงได้กลับคืนไปรู้เรื่องที่ว่า
ถ้ามีจุดมีต่อมแห่งผู้รู้อยู่ที่ไหน นั้นแลคือตัวภพได้อย่างชัดเจน ถึงได้ความ อ๋อ
คำว่าจุดว่าต่อมหมายถึงอันนี้เอง แต่ก่อนไม่เข้าใจ มันเป็นจุดจริง ๆ จะอัศจรรย์แค่ไหน
มันก็เป็นจุกของความอัศจรรย์ มันเป็นจุดให้รู้อยู่ พออันนั้นสลายลงไปแล้วมันไม่มีจุด
เพราะจุดมันเป็นสมมุติทั้งนั้น จะละเอียดแค่ไหนมันก็เป็นสมมุติ

ถึงได้เทศน์สอนหมู่เพื่อนเสมอว่า เมื่อเข้าไปถึงจุดนั้นแล้วอย่าไปสงวนอะไรทั้งนั้น
ให้พิจารณาลงไป แม้ที่สุดจิตจะฉิบหายลงไปด้วยการพิจารณาจริง ๆ ก็ขอให้ฉิบหายไป
อะไรจะรับรู้ว่าบริสุทธิ์ก็ให้รับรู้ไป หรือจะฉิบหายไปหมดไม่มีอะไรจะรับรู้ว่าบริสุทธิ์
ก็ขอให้รู้กัน อย่าได้สงวนอะไรไว้เลย ก็เพื่อกันไว้ว่ากลัวจะมาสงวนอันนี้เอง ถ้าหากไม่
เตือนถึงขนาดนั้นแล้วอย่างไรก็ต้องติดขอให้รู้เท่านั้น อะไร ๆ จะดับไปก็ดับไปเถิด แม้ที่สุด
จิตดวงนี้จะดับไปด้วยอำนาจของการพิจารณาก็ขอให้ดับไป ไม่ต้องสงวนเอาไว้ เวลา
พิจารณาต้องลงถึงขนาดนั้น

แต่จะหนีความจริงไปไม่พ้น สิ่งใดที่เกิดสิ่งนั้นก็ต้องดับ สิ่งใดที่จริงเป็นหลัก
ธรรมชาติของตัวเองแล้วก็จะไม่ดับ คือจิตที่บริสุทธิ์นั้นจะไม่ดับ ทุกสิ่งทุกอย่างดับไป ผู้ที่
รู้ว่าดับนั้นไม่ดับ อันนั้นดับไป อันนี้ดับไป ผู้ที่รู้ว่าสิ่งเหล่านั้นดับไปนั้นไม่ดับ จะว่าเอาไว้
ก็ได้ไม่เอาไว้ก็ได้ มันก็รู้อยู่อย่างนั้น ถ้าเราสงวนนี่ก็เท่ากับเราสงวนอวิชชาไว้นั่นเอง
เพราะอวิชชามันละเอียด มันอยู่กับจิต ถ้าสงวนจิตก็เท่ากับสงวนอวิชชา เอ้า ถ้าจิตจะ
ฉิบหายไปด้วยกันก็ขอให้ฉิบหายไป อุปมาเหมือนกับฟันก็ฟันลงไปเลยไม่ให้มีอะไรเหลือ
ให้มันม้วนเสื่อลงไปด้วยกันหมด ขนาดนั้นพอดี

ถ้าหากจะมีการแบ่งสู้แบ่งรับกันอยู่ อย่างไรก็ต้องติดในขั้นนี้แน่ จึงไม่ยอมแบ่งสู้
แบ่งรับเลย เอากิเลสออกให้หมด อะไรจะดับก็ดับให้หมดพอดี ส่วนที่ไม่อยู่ในฐานะที่
จะดับยังไงก็ไม่ดับ พูดง่าย ๆ ก็เหมือนกับว่าโจรมันเข้าไปอยู่ในบ้านนี้ ถ้าเราจะสงวนบ้าน
โจรมันก็อยู่ที่นั่น เดี๋ยวโจรมันก็ยิงป้างออกมาตาย เอ้า ควรจะเผาบ้านทั้งหลังก็เผาเสีย
หากว่าจะปล่อยโจรนี้ไว้ มันก็จะทำลายสิ่งที่มีคุณค่ามากกว่าบ้านออกไปอีก ยอมเสีย
สละเสียบ้านหลังนี้ เอาไฟเผาเข้าไปเลย นี่แหละที่ว่าเผาอวิชชา เอ้า จิตจะดับจริง ๆ ก็ให้
ดับซิ แท้จริงจิตไม่ดับ เมื่อเผานั้นหมดถึงจะรู้ อ๋อ สิ่งที่มีคุณค่ามันอยู่ใต้อำนาจอวิชชา
มันครอบไว้หมด พออวิชชาดับไปพับ อันนี้ก็เปิด แทนที่จะดับไปด้วยแต่ไม่ดับ ถ้าสงวนไว้
แล้วเป็นอันติด ไปไม่รอด


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:27 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


(ต่อ)

ตอนที่พิจารณาจุดนี้เป็นตอนที่พ่อแม่ครูอาจารย์มั่นท่านเสียไปแล้ว กระผมรู้สึกจนตรอก
จนมุมมาก อยู่กับหมู่เพื่อนไม่ติด อยู่กับใครไม่ได้ มันไม่สะดวก มันไม่สนุกพิจารณา
ทางความเพียรภายใน เพราะระยะนั้นจิตมันหมุนจริง ๆ ถึงขั้นหมุน หมุนไม่มีเวลา
ยับยั้งเลย ให้ชื่อในขณะนั้นว่า จิตหมุนเป็นธรรมจักร ไม่ใช่เป็นวัฏจักร หมุนเพื่อจะแก้
ตัวเอง หมุนตลอดเวลา พอถึงที่พอตัวเต็มที่แล้วจิตก็หยุดได้อย่างผิดคาดผิดหมาย

ทีแรกจนเกิดความรำคาญ อื่อ จิตนี้พิจารณาไปเท่าไร ละเอียดเข้าไปเท่าไร แทนที่
ภาระเราจะลดน้อยถอยลงไป เหตุใดจึงกับมีภาระมากมายอย่างนี้ และไม่มีวันมีคืนด้วย
ทำไมจึงเป็นอย่างนี้ มันเกิดความกังวลรำคาญเหมือนกัน ทั้ง ๆ ที่รำคาญอยู่นั้นมันก็
ไม่ถอย มันยังหมุนอยู่ต่อหน้าต่อตานั่นแหละ หมุนเพื่อคุ้ยเขี่ยหาสิ่งที่เรายังไม่รู้ไม่เห็น
หรืออะไรที่ขัดข้องกันตรงไหนมันคุ้ยเขี่ยหาของมัน พอสัมผัสกันพับมันก็จับและติดตาม
กันทันที พอเข้าใจกันแล้วก็ผ่านไปหายไป เอ้า ค้นอีก นี่ถ้าท่านอาจารย์ใหญ่(มั่น)ยัง
อยู่ตอนนั้นก็จะรวดเร็วยิ่งขึ้น

จึงได้สอนหมู่เพื่อน เอ้า เป็นยังไงเป็นกัน ถึงไหนถึงกัน ถ้าเราไม่สามารถแก้หมู่เพื่อน
ได้แล้ว เราจะพาไปหาครูอาจารย์ที่ท่านสามารถแก้ได้ เอาขนาดนั้นเลยกระผม
เพื่อให้หมู่เพื่อนลงใจ เพราะฉนั้นเทศน์บางกัณฑ์จึงไม่ยอมให้อัดเทป เพราะเป็นอย่างนี้
เทศน์กันอย่างเต็มที่ พอเทศน์แล้วหายไปเลย ฟังกันเฉพาะ ๆ ผู้ที่เขาไม่เข้าใจในเรื่องนี้
ก็จะหาว่าอวดดิบอวดดีอะไรไป แท้จริงเราพูดตามความจริง และพูดเพื่อเป็นกำลังใจของ
ลูกศิษย์ว่า เอ้าต้องเป็นอย่างนี้ เอ้าฟันเข้าไปอย่างนี้นะ ว่าอย่างนั้นเลยไม่ผิด ก็เท่ากับ
เอาตัวเราเป็นตัวประกัน เพื่อให้ลูกศิษย์เป็นที่ลงใจตามนั้นว่าไม่ผิด และมีแก่ใจได้หมุน
ตัวลงในความเพียรอย่างเข้มแข็ง ทีนี้ผู้อื่นที่เขาไม่เคยทราบเรื่องราวอะไรของเรา เขาก็
จะหาว่าอวด แทนที่เขาจะเป็นประโยชน์เขาก็กลับเป็นโทษไป หากเราไม่เป็นโทษ
เขาก็อาจจะเป็นต้องได้ระวัง

ฉนั้นบางกาลบางรายที่ควรจะพูดให้ถึงฐานจริง ๆ ก็พูดให้ถึงฐาน ไม่อย่างนั้นผู้นั้น
จะไม่เป็นที่ลงใจได้ จึงต้องหมุนกันอย่างเต็มที่ คล้าย ๆ กับเปิดรับถึงกัน ถึงไหนถึงกัน
ไม่มีอะไรเหลือสักสตางค์ อย่างนั้นก็มี แต่ก็มีเป็นบางกาลไม่มีเรื่อย ๆ แล้วแต่เหตุการณ์
ที่ควรจะเป็นไปแค่ไหน ถ้าลงขนาดนั้นแล้วคนอื่นมาฟังเขาก็จะหาว่าบ้า กระผมเอง
เวลาฟังเทศน์ท่านอาจารย์ใหญ่(มั่น) ถ้าท่านเทศน์ขนาดนั้นแล้วมันถึงใจ เวลาล่วง
ไป ๓ วันนี้คล้าย ๆ กับใบไม้ไม่ไหวติงเลยนะในความรู้สึก ปรากฏว่าบรรยากาศสงบ
เงียบเชียว อำนาจของธรรมะท่านครอบหมด เพราะผู้ฟังก็ตั้งใจฟังอย่างเต็มที่ ผู้เทศน์ก็
ตั้งใจเทศน์อย่างเต็มที่ มันรับกัน พวกเราแม้บอกว่า นี่น่า ๆ มันก็ยังไม่เห็น ก็ชี้ให้คน
ตาบอดดู น่าสังเวชเหมือนกัน

ฉะนั้นกระผมไปอยู่ที่ไหนถ้าไม่ได้กราบท่านอาจารย์มั่นแล้ว นอนไม่ได้ อยู่ที่ไหน
ก็เหมือนกัน แม้ที่สุดจะเดินจงกรมก็ต้องหันหน้าไปไหว้ท่านเสียก่อน ถ้ามีรูปท่าน
เป็นที่หมายของสมมุติก็กราบไหว้รูปของท่าน หากไม่มีอะไรเลยก็เอาคุณธรรมของท่าน
ประกอบเรื่องของสมมุติน้อมนมัสการไป พระคุณของท่านไม่มีวันจืดจาง ประหนึ่งว่าท่าน
ไม่ได้ล่วงลับไป ธรรมชาติอันหนึ่งเป็นอย่างนั้น เหมือนกับดูเราอยู่ตลอดเวลา

นี่บรรดาสาวกท่านที่เห็นหลักความจริงของพระพุทธเจ้าอย่างเต็มใจแล้ว จึงได้
ยอมพระพุทธเจ้า คือยอมในหลักความจริงอันเป็นหลักธรรมชาติ ไม่ได้ยอมในรูป
ในนามอะไร ยอมตามหลักความจริงว่าเป็นเหมือนกันแล้ว ย่อมไม่มีวันจืดจาง
ถึงจะอยู่ใกล้อยู่ไกลกันขนาดไหนก็ไม่มีวันเวลาจืดจาง เพราะความจริงเป็นเหมือนกัน
อย่างที่ว่าท่านนิพพานไปแล้ว ๒๕๐๐ กว่าปี ก็ไม่มีปัญหากระทบกระเทือนกับความจริง
ที่ปรากฏอยู่ในใจเรา นอกจากเป็นกาลของสมมุตินิยมของเวล่ำเวลา หรือของธาตุขันธ์ไป
เท่านั้น แต่หลักความจริงนั้นไม่เคลื่อนที่ เป็นผู้บริสุทธิ์อยู่เช่นนั้น ทั้งที่มีชีวิตอยู่และ
นิพพานไป ก็เป็นผู้บริสุทธิ์ อันนี้เป็นความจริงอันตายตัว ผู้ที่รู้ในหลักความจริงก็ย่อมเชื่อ
ต่อหลักความจริงอันนั้นเหมือนกันหมด เพราะพุทธะแท้ ธรรมะแท้ สังฆะแท้อยู่ที่ใจ ใจที่
บริสุทธิ์แท้คือ พุทธะ ธรรมะ สังฆะโดยสมบูรณ์ ไม่มีกาลสถานที่เข้าไปเกี่ยวข้องวุ่นวาย
เหมือนสมมุติทั่ว ๆ ไป


หากโพสต์ซ้ำของใครก็ขออภัยด้วยนะครับ..
:b8: :b8:


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:34 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
Moderators-1
Moderators-1
ลงทะเบียนเมื่อ: 31 พ.ค. 2009, 02:41
โพสต์: 5636

แนวปฏิบัติ: พอง ยุบ
ชื่อเล่น: เจ
อายุ: 0
ที่อยู่: USA

 ข้อมูลส่วนตัว www


ยังอ่านไม่จบ....โพสต์ไม่เผื่อผู้อาวุโสเลยนะท่าน
อ่านไปตาลายไป....คงต้องใช้เวลาอ่านสักนิด.... :b1:


อนุโมทนา...เจริญในธรรมค่ะ :b8:

.....................................................
"มิควรหวังร่มเงาจากก้อนเมฆ"


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 21:43 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


ขออภัยนะครับ... smiley

รีบ ๆ ไปหน่อย...


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 22:03 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 06 เม.ย. 2010, 09:39
โพสต์: 219

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b8:

.....................................................
.................................................ธ ทรงครองแผ่นดินโดยทศพิธราชธรรม
........................................................พระปฐมบรมราชโองการว่า
.......................“ เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแห่งมหาชนชาวสยาม “

........................ขอพ่อเจ้าอยู่หัว ทรงพระเจริญ มีพระชนย์มายุ ยิ่งยืนนาน พระพุทธเจ้าข้า


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 22:20 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 5
สมาชิก ระดับ 5
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 มิ.ย. 2010, 15:59
โพสต์: 390

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอขอบคุณสำหรับบทความดีดีที่นำมา ขอให้ท่านได้รับสิ่งดีดีกลับไป
มีความสุขกายสบายใจ เจริญในธรรมยิ่งๆขึ้นไป.....สาธุ :b8: :b8: :b8:

.....................................................
บุรุษใดพึงเห็นแดน"โลก" เขาจักอยู่ในแดน"โลก"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"สวรรค์" เขาจักอยู่ในแดน "สวรรค์"
บุรุษใดพึงเห็นแดน"นรก" เขาจักอยู่ในแดน"นรก"

บุรุษใดพึงเห็นแดนทั้งสาม เขาจักพึงสิ้นภพจบแดน...แล


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 18 เม.ย. 2011, 22:23 
 
ออฟไลน์
สมาชิกระดับสูงสุด
สมาชิกระดับสูงสุด
ลงทะเบียนเมื่อ: 25 เม.ย. 2009, 02:43
โพสต์: 12232


 ข้อมูลส่วนตัว


:b8: :b8: :b8:


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 12 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 28 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร