วันเวลาปัจจุบัน 29 มี.ค. 2024, 22:32  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 23:53 
 
ออฟไลน์
สมาชิกใหม่
สมาชิกใหม่
ลงทะเบียนเมื่อ: 11 มี.ค. 2011, 23:38
โพสต์: 1


 ข้อมูลส่วนตัว


คุณค่าที่ธรรมะจำเป็นต่อโลกนั้น ก็เปรียบเหมือนเบรคประจำต่อรถ ชาวโลกที่มีความสามารถสูงเก่งกาจเเต่ขาดธรรมะนั้นมีความเดือดร้อน เหมือนกับรถคันที่ เครื่องยนต์ดี คันเร่งดี เเต่ขาดเบรค
มีคนเคยมาถาม ว่า ถ้าหากปล่อยวางอย่างที่หนังสือเขียนเเนะนำก็เลยไม่ต้องทำอะไรกันเลยหละสิ ข้าพเจ้าจึงตอบว่าเวลาติดเบรคให้เเก่รถในร้านขายเบรค ไม่เห็นมีใครอยากได้เบรคชนิดที่พอ
เหยียบเเล้วรถวิ่งไปต่ออีก4-5เมตร เเล้วค่อยหยุด มีเเต่คนต้องการเบรคชนิดที่เหยียบเเล้วหยุดลงทันที เเล้วผู้ขับรถนั่นหละ ไปเลือกเวลาอันสมควรเเก่การเหยียบเบรคเอาเอง ซึ่งถ้าหากมีใครบางคนตอนกำลังจะเล่งความเร็วรถ ดันไปเหยียบเบรค พอรถเคลื่อนช้าเเล้วไปโทษร้านขายเบรคก็คงได้ขำกันน่าดู นั่นก็คือ เป็นหน้าที่ของคนขับรถจะต้องไปเลือกเวลาอันสมควรเเก่การเหยียบเบรคเอาเอง ไม่ใช่หน้าที่ของร้านขายเบรคที่จะต้องไปลดสมรรถภาพเบรคของตน ฉะนั้นผู้เผยเเพร่ธรรมะควรจะมีหน้าที่เผยเเพร่ธรรมะที่บริสุทธิ์ได้อย่าง เต็มที่ โดยไม่ต้องไปบิดเบือนธรรมะอัน
บริสุทธิ์ที่พระพุทธเจ้าปูเเนวทาง ไว้เพื่อไปเอาใจกิเลสชาวโลก ร้านขายเบรคไม่มีความจำเป็นที่จะต้องลดสมรรถภาพเบรคของตัวเองลงมาเพื่อไป เอาใจคนเบาปัญญาที่ใช้เบรคไม่เป็นฉันใด
ก็ไม่จำเป็นต้องไปบิดเบือนธรรมะ เพื่อเอาใจคนเบาปัญญาที่ไม่รู้จักเห็นคุณค่าของธรรมะฉันนั้น ชายคนหนึ่งมีความเห็นว่าในเมื่อรถยนต์มีไว้สำหรับวิ่งเเละขับเคลื่อน เเต่เบรคนั้นไม่ได้ช่วยให้รถคลับเคลื่อนเลยจึงถอดเบรคออกจากรถ เพราะเห็นว่าไม่มีประโยชน์ไม่มีความจำเป็น ทุกคนที่ฟังเรื่องนี้จะต้องลงความเห็นว่า ชายคนนี้เป็นคนเบาปัญญาอย่างยิ่ง ฉันใด คนที่คิดว่าธรรมะไม่ได้สร้างผลประโยชน์ทางวัตถุเเก่ชาวโลก จึงพยายามกันธรรมะให้ออกจากชีวิตของตน คนคนนี้เป็นคนเบาปัญญาอย่างยิ่งฉันนั้น คนเเรกเบาปัญญา เพราะไม่รู้ว่ารถมีเเต่หน้าที่วิ่งเท่านั้น จะต้องมีหน้าที่หยุดในที่ที่ต้องการด้วย คนที่ 2 เบาปัญญา เพราะว่าไม่รู้ว่าชีวิตของคนเราไม่ได้มีเเต่การหาการได้เพียงอย่างเดียว จำเป็นจะต้องมีการหยุดการพอด้วย เพราะสุขกายเกิดจากมี เเต่สุขใจเกิดจากพอ รถคันที่ไม่มีเบรคที่ดีนั้น ท้ายที่สุดทั้งเครื่องยนต์เเละตัวถังจะพังอย่างไม่มีชิ้นดี จากสาเหตุที่ไม่สามารถหยุดรถได้ คนที่ไม่มีธรรมะก็เช่นเดียวกัน ท้ายที่สุดชีวิตของเขาจะพังอย่างไม่มีชิ้นดี เพราะสาเหตุที่ไม่สามารถหยุดเเละพอได้เมื่อถึงโอกาสอันควรหยุดควรพอ รถยนต์ที่เครื่องยนต์ดีตัวถังดี เเต่ไม่มีเบรคนั้น ไม่มีใครกล้านั่งฉันใด คนที่เก่งทุกอย่างเเต่นิสัยเสียก็ไม่มีใครคบฉันนั้น


เพื่อนผมเป็นผู้เขียนบทความนี้
ผมชอบมากจึงอยากให้ผู้อื่นได้อ่านมั่ง ^^
Credit : ~plarm~
http://www.watkoh.com/forum/index.php?topic=3434.0


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 12 มี.ค. 2011, 01:12 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 4
สมาชิก ระดับ 4
ลงทะเบียนเมื่อ: 07 ส.ค. 2010, 00:17
โพสต์: 255

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


:b42: โลกียะกับโลกุตระมันตรงกันข้ามกัน มันไกลกันเหลือเกิน ในสายตาของคนมืดบอด มันจึงเป็นความยากลำบากอย่างยิ่ง ที่จะบอกให้คนเชื่อ และลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เห็นธรรมและสัจจธรรมตามที่เพื่อนคุณกล่าว ธรรมะนี้มันเป็นปัจจัตตัง จริงแท้ และไม่มีใครเข้าใจแทนใครได้ หรือแม้แค่สามารถอธืบายสิ่งที่เรารู้จากการปฏิบัติให้เขารุ้ตาม
และเข้าใจในสิ่งเดียวกัน บางครั้งเราจึงต้องตัดสินใจเลือกเอาเองว่าเมื่อไรควรพูด และเมื่อไรเราควรหยุดพูด(นิ่งเสีย)
ความจริงแล้ว ธรรมมะมันไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ของพึ่งมีพึ่งเกิดขึ้น มันมีอยู่ตามธรรมชาติอยู่แล้ว แม้พระพุทธองค์ไม่ค้นพบก็ตาม แต่โชคดีที่พระพุทธองค์ทรงค้นพบ และสิ่งที่พระองค์ทรงฝากไว้ก็คือแผนที่ ที่จะทำให้เราเหล่าปุถุชน เดินตามรอยท่านไปสู่ความเป็นอริยชน แต่แผนที่อันนี้ต่างหากกับเป็นเรื่องยากลำบาก ที่หลายคนจะอ่านและทำความเข้าใจมันได้ หรือแม้แต่บางคนแม้อ่านเข้าใจ ก็ยังมีความตั้งใจ มีกำลัง และความอดทน(อินทรีย์)ไม่เข้มแข็งพอที่จะเดินไปให้ถึงจุดหมาย คือความหลุดพ้น(อยู่เหนือทุกข์และสุข) อันเป็นจุดหมายปลายทาง หรือบางคนเข้าใจผิดไปยิ่งกว่านั้น กลัวการหลุดพ้น กลัวการบรรลุธรรม เพราะไปเข้าใจเอาว่า เมื่อบรรลุธรรมแล้ว จะไม่รู้ร้อน รู้หนาว ไม่รู้เปรี้ยวรู้หวาน จะต้องมีชีวิตไปวันๆเหมือนหุ่นยนต์ ในทางกลับกันบางคนอยากเป็นพระอรหันต์ เพราะคิดไปว่าเป็นพระอรหันต์แล้วเป็นผู้มีคุณวิเศษ อยากทำอะไร บันดาลอะไรได้ตามใจนึก ซึงมันไม่ใช่ มันเป็นความเข้าใจผิด สอนกันผิดมาตลอด อย่างที่เพื่อนคุณว่า ถ้าทำความเข้าใจไว้ให้ถูก พระอรหันต์นี้ อากาศร้อนท่านก็ร้อนเหมือนเรานี้ แต่ความร้อนนี้ไม่ทำให้ทุกข์เกิดแก่จิตของท่านได้ก็เท่านั้น ท่านฉันท์ขนมหวานมันก็ยังหวานเหมือนปกติ ความเป็นพระอรหันต์นี้ไม่ได้ทำให้ขนมหวานจืดชืดลงไปเลย เพียงแต่ความหวานของขนม ไม่สามารถสร้างความพอใจ ยินดี แก่จิตของท่านได้ มันเท่านั้นจริงๆ ถ้าท่านเดินข้ามถนน แล้วมีรถฝ่าไฟแดงมาชนท่านท่านก็ตายเหมือนเรานี่แหละ(เพียงแต่เราเรียกว่านิพพาน)
เรานั้นมีปกติเมตตา อยากบอก แต่มันก็มีข้อจำกัดในเรื่องปัจจัตตังเหมือนจะจนปัญญาเอาทีเดียวที่จะบอก แต่อย่างน้อย เราเคยพูดว่าที่สุดแห่งแสงสว่าง เสมอด้วยปัญญานั้นไม่มี และที่สุดแห่งแม่น้ำเสมอด้วยตัณหานั้นก็ไม่มีเช่นกัน ปัญญา จะแก้ปัญหาความมือบอดซึ่งเกิดจากตัณหา ได้หรือไม่นั้น มันไม่ได้อยู่ที่ปัญญาของเราฝ่ายเดียวแล้ว มันอยู่ที่ผู้รับด้วยว่าจะสามารถเข้าใจมันได้หรือไม่ ถ้าเราจะบอกว่าโลกียะกับโลกุตระนั้นมันเป็น[u]แค่หน้ามือกับหลังมือแท่นั้น มันไม่ได้อยู่ไกลอย่างวที่เราคิดกัน มันอยู่ในมือเดียวกันคือจิตนี้ นอกจากนั้น เราจะเห็นถึงโลกุตระได้ ต้องดับอวิชชาลงและสร้างวิชาให้เกิดขึ้น [u]อวิชชาคือห้องที่ปิดไฟ วิชชาคือห้องที่ไฟถูกเปิดขึ้นจนสว่างแล้ว ซึ่งมันเป็นห้องเดียวกัน ซึ่งก็คือจิตของเรานี้ ถ้าใครอ่านแล้วเข้าใจ ก็ขออนุโมทนา ถ้าไม่เข้าใจยังมีความพยายามทำความเข้าใจ...ก็ยังมีความหวัง นี่ก็ใช้เมตตาและปัญญาที่สุดเท่าที่มีแล้ว...../เจโตวิมุติ.


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร