ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=37014 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 |
เจ้าของ: | ชีวิตนี้น้อยนัก [ 01 มี.ค. 2011, 13:38 ] |
หัวข้อกระทู้: | หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม เรื่องโดย...ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา ฐิติขวัญ เหลี่ยมศิริวัฒนา ลูกศิษย์เจ้าปัญหา กับ อาจารย์ ดร.สนอง วรอุไร ผู้เปี่ยมประสบการณ์ทั้งทางโลกและทางธรรม จะสนทนากันเรื่องสิทธิสตรีว่า แท้จริงแล้วในทางธรรมผู้หญิงจะเท่าเทียมกับผู้ชายได้หรือไม่ และการเรียกร้องสิทธิสตรีที่กำลังเกิดขึ้นทั่วโลกนั้น แท้จริงแล้วที่ถูกต้อง ควรทำแค่ไหน อย่างไร ๏ อาจารย์คะ การเกิดเป็นผู้หญิงนั้น เห็นได้ชัดว่าต้องใช้ชีวิตอย่างมีข้อจำกัดมากกว่าผู้ชาย ในทางธรรมแล้ว เพศหญิงไม่เท่าเทียมกับเพศชายจริงไหมคะ จริงลูก ถ้าหมายถึงโลกิยธรรม เพราะตามธรรมชาติแล้วเพศหญิงกับเพศชายนั้นไม่เท่าเทียมกัน เพราะผู้หญิงอยู่ในเพศที่ไม่ปลอดภัย มีสภาวะของจิตอ่อนไหว มีสรีระบอบบาง และรับสิ่งกระทบมาปรุงอารมณ์ได้มากกว่าเพศชาย จึงเสี่ยงต่อการเกิดอันตรายได้ง่าย ทำให้ต้องมีข้อจำกัดในการใช้ชีวิตมากกว่า ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติศีลของภิกษุณีสงฆ์ไว้ถึง ๓๑๑ ข้อ ในขณะที่ศีลของภิกษุสงฆ์ทรงบัญญัติไว้เพียง ๒๒๗ ข้อเท่านั้น ๏ ทำไมล่ะค่ะอาจารย์ เพราะจิตที่อยู่ในร่างกายของเพศหญิงนั้นต้องอาศัยศีลมากกว่า ถึงจะคุมจิตมิให้หวั่นไหวได้เท่าเทียมกับจิตที่อยู่ในร่างของเพศชาย ๏ หมายความว่าจิตของผู้หญิงมีความแน่วแน่และมีพลังน้อยกว่าผู้ชายหรือคะ ไม่ใช่ลูก ตัวจิตเองนั้นมีศักยภาพเท่าเทียมกัน แต่ร่างของเพศหญิงเป็นร่างที่เปิดโอกาสให้จิตรับสิ่งกระทบมากกว่าร่างของเพศชาย จึงต้องอาศัยศีลมากกว่าในการควบคุมกาย วาจา ใจ ของเพศหญิงให้บริสุทธิ์ แต่เมื่อบรรลุอรหัตผลแล้ว จิตของทั้งเพศชายและเพศหญิงจะมีศักยภาพเท่ากัน ๏ ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า ผู้หญิงบรรลุธรรมยากกว่าผู้ชายใช่ไหมคะ ยากกว่า เพราะจิตอยู่ในร่างที่รับสิ่งกระทบมากกว่า ๏ อย่างนี้การเกิดเป็นผู้ชายก็นับว่าโชคดีกว่าการเกิดเป็นผู้หญิงจริงๆ น่ะสิคะ ใช่ลูก โชคดีกว่าในด้านการพัฒนาจิตให้เข้าถึงธรรม เพราะการอยู่ในเพศหญิงนั้นมีข้อจำกัดมาก เช่น ถึงแม้จะเก่งแค่ไหนก็ตาม แต่การดำรงชีพแต่เพียงผู้เดียวสำหรับผู้หญิงเป็นเรื่องอันตราย ดูอย่างพระอุบลวรรณาสิ แม้จะบรรลุอรหัตผลแล้ว แต่ก็ยังถูกนันทมาณพข่มขืน เพราะท่านไปปฏิบัติธรรมอยู่แต่เพียงผู้เดียวที่กุฏิในป่าอัมพวัน ด้วยเหตุนี้ ในพระวินัยจึงระบุไว้ว่า ภิกษุณีห้ามอยู่วัดโดยไม่มีภิกษุสงฆ์อยู่ด้วยเพราะจะไม่ปลอดภัย นี่เป็นเหตุให้พระพุทธเจ้าต้องบัญญัติศีลอีกหลายๆ ข้อสำหรับภิกษุณีสงฆ์ เช่น ภิกษุณีสงฆ์แม้จะบวชมานานเท่าไร หรือบรรลุธรรมขั้นไหนก็ตาม ยังต้องกราบไหว้พระภิกษุที่บวชแม้เพียงวันเดียว ฯลฯ นี่เป็นกุศโลบายย้ำเตือนเพศหญิงให้รู้จักอ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ให้อัตตานำหน้าจนคิดว่าฉันอยู่ได้ด้วยตัวเอง เพราะไม่ว่าใครจะมีความเห็นอย่างไรก็ตาม ตามธรรมชาติที่แท้จริงแล้ว การเกิดเป็นผู้หญิงไม่เท่าเทียมกับการเกิดเป็นผู้ชาย ๏ ถ้าอย่างนั้นการออกมาเรียกร้องสิทธิสตรีที่ทำกันอยู่ทั่วโลก ก็เป็นสิ่งที่ผิดนะสิคะ การเรียกร้องสิทธิสตรีให้เท่าเทียมกับผู้ชาย เป็นสิ่งที่คนทางโลกเขาทำกัน โดยไม่ดูความถูกต้องในทางธรรม เรื่องอย่างนี้ในทางโลกอาจจะเรียกร้องให้เกิดการปฏิบัติที่เท่าเทียมกันได้ แต่ในทางธรรมแล้วย่อมเป็นไปไม่ได้ ๏ เมื่อรู้อย่างนี้แล้ว ผู้หญิงทั้งหลายจะอยากเกิดเป็นผู้ชายหรือเปล่าค่ะ ไม่จำเป็น เรื่องแบบนี้ขึ้นอยู่กับความปรารถนาของแต่ละคน เพราะไม่ว่าจะเป็นชายหรือหญิงก็มีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพียงแต่ก่อนที่จะบรรลุนั้น ความเสมอภาคทางร่างกายมีต่างกัน แต่ความเสมอภาคทางจิตใจเมื่อบรรลุธรรมแล้วมีเหมือนกัน ๏ กรรมอะไรทำให้คนเราเกิดเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายคะ หนึ่ง คือ การประพฤติ สอง คือ ความปรารถนา เหมือนในครั้งพุทธกาล เจ้าหญิงโคปกาเกิดเป็นผู้หญิงแล้วรู้สึกว่าเป็นเพศที่มีภาระและปัญหามาก จึงอธิษฐานขอเกิดเป็นผู้ชาย แล้วทำเหตุให้ถูกตรง ในที่สุดจึงไปเกิดเป็นโคปกเทพบุตรอยู่บนสวรรค์ การทำเหตุให้ถูกตรงสำหรับการไปเกิดเป็นผู้ชาย ก็คือการประพฤติจริยธรรมของการเป็นผู้หญิงให้ถูกตรงตามธรรม เช่น ทำตัวเป็นลูกสาวที่ดี เป็นภรรยาที่ดี เป็นแม่ที่ดี นอกจากนั้นก็ต้องทำจิตให้มีลักษณะแบบผู้ชาย เช่น ทำเรื่องใหญ่ให้เป็นเรื่องเล็ก เพราะถ้าทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ นั่นคือลักษณะนิสัยที่จะทำให้ไปเกิดเป็นผู้หญิงต่อไปอีก ๏ อาจารย์คะ ถ้าผู้หญิงมีศักยภาพที่จะบรรลุธรรมได้ไม่ต่างจากผู้ชาย แล้วทำไมปัจจุบันนี้การบวชเป็นภิกษุณี จึงเป็นสิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาในบ้านเมืองเราล่ะคะ อาจารย์ต้องเท้าความอดีตก่อนว่า ในครั้งพุทธกาล พุทธบริษัท ๔ นั้นประกอบไปด้วย ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก และอุบาสิกา ภิกษุณีรูปแรกของพระพุทธศาสนาคือ พระมหาปชาบดีโคตมี ซึ่งเป็นพระมาตุจฉาหรือพระน้านางของพระพุทธเจ้า แต่กว่าจะได้บวช พระพุทธเจ้าทรงไม่อนุญาตอยู่ถึง ๒ ครั้งจนกระทั่งในครั้งที่ ๓ พระนางมหาปชาบดีโคตรมีทรงปลงผมและนุ่งผ้าย้อมฝาด แล้วเดินเท้าเปล่าจากรุงกบิลพัสดุ์มายืนร้องไห้อยู่หน้ากุฏาคารศาลาที่แคว้นวัชชี พระอานนท์ออกไปเห็นเข้าจึงไปถามไถ่ดู เมื่อได้ความแล้วจึงรับอาสาไปจัดการให้และเข้าไปทูลถามพระพุทธเจ้าว่า เมื่อผู้หญิงปฏิบัติธรรมแล้วจะบรรลุธรรมได้ไหม เมื่อพระพุทธเจ้าทรงตอบว่าได้ พระอานนท์จึงทูลถามต่อว่า แล้วเหตุใดจึงทรงไม่อนุญาตให้พระนางมหาปชาบดีโคตรมีบวช ด้วยเหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชได้ โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องประพฤติครุธรรม ๘ ประการ ซึ่งเป็นข้อปฏิบัติเพื่อวัดใจผู้บวชที่เป็นหญิงว่ามีความมั่นคงต่อพระพุทธศาสนาจริงๆ ๏ ทำไมพระพุทธเจ้าถึงไม่ทรงอนุญาตให้ผู้หญิงบวชได้ตั้งแต่แรกคะอาจารย์ เพราะทรงเกรงว่า หากรับเพศหญิงที่ไม่มีความมั่นคงในพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนาเข้ามาเป็นนักบวชแล้ว อาจเกิดข้อครหาที่จะเป็นอันตรายร้ายแรงต่อการประพฤติพรหมจรรย์ของภิกษุได้ เนื่องจากในสมัยพุทธกาลไม่เคยมีศาสนาใดอนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามาเป็นนักบวชมาก่อน ด้วยเหตุนี้เมื่อทรงอนุญาตแล้วจึงทรงบัญญัติไว้ด้วยว่า การบวชเป็นภิกษุณีนั้นต้องบวชด้วยสงฆ์สองฝ่าย คือทั้งฝ่ายภิกษุณีสงฆ์และฝ่ายภิกษุสงฆ์ ทุกวันนี้ประเทศที่ปฏิบัติตามพระวินัยข้อนี้ได้ มีเหลืออยู่เพียงประเทศศรีลังกา ด้วยเหตุนี้ภิกษุณีในประเทศไทยของเราจึงต้องไปบวชมาจากประเทศศรีลังกา แล้วค่อยกลับมาเป็นภิกษุณีสงฆ์อยู่ที่บ้านเรา แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย ๏ แล้วอย่างนี้ในฐานะชาวพุทธ เราควรจะเห็นด้วยกับการมีภิกษุณีในเมืองไทยไหมคะ ขึ้นอยู่กับสภาวะความรู้แจ้งของจิต หากจิตของเรามีปัญญาเห็นแจ้งแล้ว เราย่อมรู้ว่าไม่ว่าจิตจะอยู่ในเพศชายหรือหญิงก็สามารถบรรลุธรรมได้เหมือนกัน เพราะฉะนั้นจิตจึงไม่มีเพศ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงจึงเห็นด้วยกับการอนุญาตให้ผู้หญิงบวช เพราะรู้ว่าการบวชเป็นเรื่องของจิตที่มีศักยภาพในการบรรลุธรรมได้เท่าเทียมกัน ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เข้าใจนะลูก ๏ เข้าใจแล้วค่ะอาจารย์ ครุธรรม ๘ ประการ (โดยสรุป) ได้แก่ ๑. ภิกษุณีต้องกราบไหว้ภิกษุ แม้มีอายุพรรษาน้อยกว่าเสมอ ๒. ภิกษุณีต้องจำพรรษาในวัดที่มีภิกษุอยู่ด้วยเสมอ ๓. ภิกษุรีต้องเป็นฝ่ายรับการสั่งสอนจากภิกษุเสมอ ๔. ภิกษุต้องปวารณาในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย คือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ ๕. เมื่อต้องอาบัติสังฆาทิเสส (อาบัติหนักรองจากปาราชิก) จะต้องประพฤติมานัตต์ (การเข้าปริวาสกรรม-การอยู่ในบริเวณที่กำจัดและปฏิบัติธรรมเป็นเวลาต่อเนื่องเพื่อลดละกิเลส) ตลอดปักษ์ในสงฆ์ทั้งสองฝ่าย ๖. ภิกษุณีต้องเป็นผู้ศึกษาธรรมและรักษาศีล ๖ ข้อ (เพิ่มข้อห้ามกินยามวิกาลจากศีล ๕) เป็นเวลา ๒ ปี ก่อนจะได้รับการบวชโดยสงฆ์ทั้งสองฝ่ายคือ ทั้งภิกษุสงฆ์และภิกษุณีสงฆ์ ๗. ห้ามมิให้ภิกษุณีด่าว่าภิกษุไม่ว่าในกรณีใดๆ ๘. ห้ามมิให้ภิกษุณีว่ากล่าวสั่งสอนภิกษุ ทั้งหมดนี้เป็นธรรมที่ภิกษุณีพึงสักการะ นับถือ เคารพ บูชาและไม่ก้าวล่วงจนตลอดชีวิต |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 01 มี.ค. 2011, 15:40 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
กรณี...ภิกษุณีนันทญาณี (อดีตแม่ชีรุ้งเดือน สุวรรณ) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=1&t=36106 |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 01 มี.ค. 2011, 16:53 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
อ้างคำพูด: ทุกวันนี้ ประเทศที่ปฏิบัติตามพระวินัยข้อนี้ได้ มีเหลืออยู่เพียงประเทศศรีลังกา ด้วยเหตุนี้ภิกษุณีในประเทศไทยของเราจึงต้องไปบวชมาจากประเทศศรีลังกา แล้วค่อยกลับมาเป็นภิกษุณีสงฆ์อยู่ที่บ้านเรา แต่อย่างไรก็ตาม ทุกวันนี้ก็ยังไม่มีพระราชบัญญัติเกี่ยวกับภิกษุณีสงฆ์ในประเทศไทย ๏ แล้วอย่างนี้ในฐานะชาวพุทธ เราควรจะเห็นด้วยกับการมีภิกษุณีในเมืองไทยไหมคะ ขึ้นอยู่กับสภาวะความรู้แจ้งของจิต หากจิตของเรามีปัญญาเห็นแจ้งแล้ว เราย่อมรู้ว่าไม่ว่าจิตจะอยู่ในเพศชายหรือหญิงก็สามารถบรรลุธรรมได้เหมือน กัน เพราะฉะนั้นจิตจึงไม่มีเพศ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงจึงเห็นด้วยกับการอนุญาตให้ผู้หญิงบวช เพราะรู้ว่าการบวชเป็นเรื่องของจิตที่มีศักยภาพในการบรรลุธรรมได้เท่าเทียมกัน ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เข้าใจนะลูก ขออนุโมทนากับท่านอาจารย์สนอง วรอุไรด้วยค่ะ อย่างไรก็ตาม ผู้สนใจประเด็นเกี่ยวกับภิกษุณี สามารถอ่านจากหนังสือที่น่าสนใจอีกเล่มหนึ่งที่ วัดญาณเวศกวัน พิมพ์แจกเป็นธรรมทานได้ โดยภายในเล่ม ท่านเจ้าประคุณพระพรหมคุณาภรณ์ (ป.อ ปยุตฺโต) ได้ตอบไว้ ในประเด็นสำคัญที่กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า ปัญหาภิกษุณี เป็นปัญหาความรู้ ไม่ใช่ปัญหาความคิดเห็น ตอบ ดร.มาร์ติน : พุทธวินัย ถึงภิกษุณี (ความหนากว่า ๔๐๐ หน้า) |
เจ้าของ: | ปลีกวิเวก [ 01 มี.ค. 2011, 19:34 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
โมทนาสาธุค่ะ |
เจ้าของ: | กบนอกกะลา [ 01 มี.ค. 2011, 20:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
แม้จะเคยทราบมาก่อนแล้วว่า..นามขันธ์ของสตรีเพศมีความไวกว่าเพศชาย...แต่จิต..เท่ากัน แต่วันนี้...ยิ่งลึกซึ่งขึ้นกว่าเดิม... |
เจ้าของ: | ปฤษฎี [ 01 มี.ค. 2011, 21:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
ตอบได้ดีมากเลยครับ ขออนุโมทนา สาธุ |
เจ้าของ: | bluebird [ 04 มี.ค. 2011, 18:58 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
ขึ้นอยู่กับสภาวะความรู้แจ้งของจิต หากจิตของเรามีปัญญาเห็นแจ้งแล้ว เราย่อมรู้ว่าไม่ว่าจิตจะอยู่ในเพศชายหรือหญิงก็สามารถบรรลุธรรมได้เหมือน กัน เพราะฉะนั้นจิตจึงไม่มีเพศ ด้วยเหตุนี้ผู้รู้จริงจึงเห็นด้วยกับการอนุญาตให้ผู้หญิงบวช เพราะรู้ว่าการบวชเป็นเรื่องของจิตที่มีศักยภาพในการบรรลุธรรมได้เท่าเทียมกัน ส่วนใครจะเห็นด้วยหรือไม่ก็เป็นเรื่องของแต่ละบุคคล เข้าใจนะลูก |
เจ้าของ: | ชิโนะซึเกะ [ 04 มี.ค. 2011, 19:37 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
โมทนาครับ |
เจ้าของ: | มนุษย์พเนจร [ 20 เม.ย. 2011, 23:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
อนุโมทนาสาธุค่ะ ชาตินี้จะขอทำที่สุดถึงที่สุด เพราะจิตทุกดวงย่อมถึงฝั่งพระนิพพานได้เช่นกันใช่มั้ยค่ะ |
เจ้าของ: | ธรรมบุตร [ 21 เม.ย. 2011, 01:25 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
อนุโมทนาครับ.. |
เจ้าของ: | ดาราวรรณ [ 08 มิ.ย. 2016, 13:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
กราบสาธุๆๆ |
เจ้าของ: | ลูกหว้า [ 11 ม.ค. 2017, 09:03 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
เจ้าของ: | อุบาสกน้อย [ 29 ธ.ค. 2017, 10:54 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
ขออนุโมทนาสาธุนะครับ |
เจ้าของ: | AAAA [ 28 ต.ค. 2018, 20:13 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
4Aขออนุโมทนาสาธุการค่ะ |
เจ้าของ: | Duangtip [ 17 มี.ค. 2021, 14:26 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หญิง-ชาย ใครว่าเท่าเทียม (ดร.สนอง วรอุไร-ฐิติขวัญ) |
ขออนุโมทนา สาธุๆๆ ค่ะ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 2 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |