วันเวลาปัจจุบัน 18 เม.ย. 2024, 14:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 29 ต.ค. 2010, 18:17 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิกระดับ 19
สมาชิกระดับ 19
ลงทะเบียนเมื่อ: 10 ก.ค. 2009, 23:11
โพสต์: 1044

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


คนเราเกิดมาทำไม เราจะมีวิธีการที่จะบอกให้เขาได้เข้าใจอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร - หลวงพ่อตอบปัญหา

ถ้าจะบอกคนข้างนอกที่ยังไม่ได้เข้าวัดว่า คนเราเกิดมาทำไม เราจะมีวิธีการที่จะบอกให้เขาได้เข้าใจอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร - หลวงพ่อตอบปัญหา

โดย พระภาวนาวิริยคุณ (เผด็จ ทัตตชีโว)
เรียบเรียง จาก รายการหลวงพ่อตอบปัญหา ทาง DMC


Q1: ถ้าจะบอกคนข้างนอกที่ยังไม่ได้เข้าวัดว่า คนเราเกิดมาทำไม เราจะมีวิธีการที่จะบอกให้เขาได้เข้าใจอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร?

Q2: คนที่ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์มีจริง เราจะมีวิธีการอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลอย่างง่ายๆ ได้อย่างไร?
Q3: ถ้าเราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องของเราที่ล่วงลับไปแล้ว เราจะทราบได้อย่างไรว่า ญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้บุญหรือไม่?



คำ ถาม:กราบเรียนถามหลวงพ่อครับว่า ถ้าจะบอกคนข้างนอกที่ยังไม่ได้เข้าวัดว่า คนเราเกิดมาทำไม เราจะมีวิธีการที่จะบอกให้เขาได้เข้าใจอย่างง่ายๆ ได้อย่างไรครับ

คำตอบ:คนเราเกิดมาทำไม ถ้าเราจะตอบตามคติของพระพุทธศาสนาว่า เกิดมาเพื่อกำจัดกิเลสให้หมดไป ทำพระนิพพานให้แจ้ง ผู้ที่เข้าวัด เวลาถูกญาติโยมถามธรรมะ มักจะตอบรวบยอดกันอย่างนี้เลย

ถ้าตอบอย่างนี้ สำหรับคนที่ยังไม่เคยเข้าวัด เขาก็คงบอกว่า “ต่างคนต่างไป กลับบ้านตัวเองดีกว่า”

แต่สำหรับวันนี้ ตอบกันง่ายๆก็แล้วกัน คนเราเกิดมา มีเป้าหมายของชีวิตอยู่ 3ระดับ

1.ภาษาชาวบ้าน ก็บอกว่า มีเป้าหมายบนดิน
2.สูงขึ้นไปอีกหน่อย มีเป้าหมายบนฟ้า
3.เป้าหมายสูงสุดในชีวิตมนุษย์ ไม่ว่าจะนับถือศาสนาไหนก็ตาม โดยธรรมชาติแล้ว คือ เป้าหมายเหนือฟ้า

เป้า หมาย 3ประการนี้เป็นอย่างไร กล่าวคือ ในบรรดาชาวโลกทั่วไปที่ยังไม่ได้เข้าวัด ประการแรก สิ่งที่ควรจะต้องแนะนำเขาอย่างมาก ให้เขารู้ว่า เป้าหมายของเขานั้น คือ ยืนหยัดบนขาตัวเองให้ได้ รับผิดชอบตัวเองให้ได้

พูดง่ายๆ ตั้งฐานะของตัวเองให้ได้นั่นเอง ไม่ทำตัวให้เป็นภาระของใคร จะต้องเลี้ยงตัวของเราให้ได้ มีอาชีพที่บริสุทธิ์ผุดผ่องเป็นสัมมาอาชีวะ เลี้ยงตัวเองให้ได้ ไม่เป็นภาระแก่สังคม

ถ้าเจอใครที่เขายังตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ได้ ก็ต้องคุยกับเขาว่า เป้าหมายชีวิตของคนเรา เกิดมาอย่างน้อยต้องตั้งฐานะของตัวเองให้ได้

เมื่อ ใดที่บุคคลดังกล่าว เขาตั้งเนื้อตั้งตัวได้ มั่นคงขึ้นมาแล้ว ค่อยบอกเขาเป็น ประการที่2 ว่า...เกิดมาเป็นคนนั้น จะแค่ทำมาหากิน เลี้ยงชีพได้ ตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ยังไม่พอ นั่นเป็นแค่เบื้องต้น ชั้นประถม หรือชั้นอนุบาลก็ว่าได้

ถ้าจะให้ดียิ่งขึ้น...เนื่องจากว่า คนเราตายแล้วมันไม่สูญ มันยังมีชีวิตหลังความตาย ยังมีนรกมีสวรรค์อยู่หลังความตายอีก เพราะฉะนั้น นอกจากตั้งเนื้อตั้งตัวให้ได้แล้ว ต้องเตรียมปิดนรกแล้วก็เปิดสวรรค์ให้ตัวเองด้วย

ซึ่งการที่จะบอกใคร ว่า “ให้ปิดนรก เปิดสวรรค์ให้ตัวเองให้ได้”_ถ้าเขายังหาเช้ากินค่ำอยู่ ยังมีปัญหาเรื่องเศรษฐกิจอยู่ เราคุยกับเขาตรงนี้ยังยาก แต่ถึงอย่างนั้นก็ตาม สนับสนุนให้เขาตั้งเนื้อตั้งตัวให้ได้ แล้วพอเห็นว่า มีแววตั้งเนื้อตั้งตัวได้ ก็เริ่มพูด เริ่มแนะให้เขารู้ว่า ชีวิตหลังความตายยังมี แล้วเมื่อเขาเริ่มสนใจ ก็เริ่มขยายความให้เขาฟังว่า “ปิดนรกทำอย่างไร เปิดสวรรค์ทำอย่างไร”

พระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ทรง สอนเอาไว้ ถ้าจะปิดนรกให้ได้นั้น คนเราจะต้องหัดทำใจให้ใสให้เป็น เพราะว่าถ้าใจไม่ใส ใจยังขุ่นล่ะก็ นรกจะเปิดรอท่าอยู่ เอาว่าใจใสเลิกขุ่นกันได้แล้ว สวรรค์จะเปิดรอท่าอยู่

จากนั้น ค่อยขยายความ เมื่อเห็นว่า จังหวะได้ที่แล้ว เขาไม่เดือดร้อนในเรื่องทำมาหากินจนเกินไปแล้ว ก็บอกเขาเลยว่า คนที่จะปิดนรกให้ตัวเองได้นั้น

1.ต้องศรัทธาในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า หรือพูดง่ายๆ หัดฟังเทศน์ ฟังธรรมไว้บ้าง

2.ต้อง หัดรักษาศีลกันบ้าง ถ้าไม่รักษาศีล เดี๋ยวจะไปทำกรรมชั่ว กรรมไม่ดีเข้า วันธรรมดา รักษาศีล5 ให้ได้ เริ่มแรก ทีละข้อสองข้อ หนักเข้า หนักเข้า เข็นให้ครบ 5ข้อให้ได้ ในที่สุดก็จะทำได้

3.มีศีลแล้วยังไม่พอ ต้องรู้จักทำบุญทำทานเสียบ้าง ตั้งแต่โตขึ้นมา เอาแต่ทำมาหากินอย่างเดียว มีแต่เอาผลประโยชน์จากโลกมาใส่ตัวอย่างเดียว มันไม่ได้ มันต้องให้กับโลกบ้าง เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็ชวนเขาทำทาน จะทำทีละน้อย หรือทีละมาก ก็ทำเถอะ จะทำบุญทำทานกับศาสนา หรือจะทำบุญทำทานสงเคราะห์โลก ได้ทั้งนั้น ไม่ว่ากัน ขอให้ทำ

เมื่อเขามีศรัทธาในพระศาสนามาตาม ลำดับ รักษาศีลได้มั่นคงขึ้นมาตามลำดับ รู้จักทำทาน รู้จักเสียสละ รู้จักให้ต่อสังคม ให้กับโลกนี้มาตามลำดับ แล้วเราก็เพิ่มพูนให้เขาไปเรื่อยๆ ชวนมาวัด มาทำสมาธิ มาทำภาวนาเรื่อยๆไป ก็เป็นการเพิ่มพูนปัญญาทางธรรมให้แก่เขา ถ้าทำอย่างนี้มาเรื่อยๆ ปัญญาทางธรรมก็จะเกิด

เมื่อพอมีแววว่า ตั้งเนื้อตั้งตัวก็พอได้พอสมควร มีความเชื่อ มีความมั่นใจในคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพอสมควรแล้ว ประการที่3 ค่อยไปชวนไปนิพพาน เป้าหมายสุดท้าย ไม่ใช่เจอหน้าใครก็ชวนไปนิพพานดะไปเลยล่ะก็ เดี๋ยวจะผิดหวัง เพราะเราหวังผิดๆไป

มองภาพตรงนี้ชัดๆ แล้วค่อยๆป้อนธรรมะไปทีละคำ เหมือนป้อนข้าวป้อนนมเด็กไปทีละคำ ทีละอึก อย่างนั้น เดี๋ยวเขาก็ไปสู่เป้าหมายสูงสุดของชีวิตได้ โดยไม่ยากจนเกินไป

คำ ถาม:กราบเรียนถามพระเดชพระคุณหลวงพ่อด้วยความเคารพครับว่า คนที่ไม่เชื่อเรื่องนรกสวรรค์มีจริง เราจะมีวิธีการอธิบายอย่างเป็นเหตุเป็นผลอย่างง่ายๆ ได้อย่างไรครับ

คำ ตอบ:เรื่องนรกเรื่องสวรรค์เป็นเรื่องที่มีจริง...ก็จริงอยู่ แต่การที่จะอธิบายให้ใครฟัง ให้เขาเชื่อนั้น มันก็ไม่ง่ายนัก เพราะว่า คนที่จะเข้าใจ จะรับฟังได้ง่าย จะต้องเป็นคนที่มีพื้นใจผ่องใสมาพอสมควร

คนที่จะมีใจผ่องใสพอสมควรนั้น ได้แก่

1.เด็ก ตั้งแต่วัยเด็กเล็ก...ตั้งแต่ชั้นอนุบาลเรื่อยขึ้นมา จนกระทั่งชั้น ป.6 เด็กเหล่านี้ยังไม่ได้แปะเปื้อนอะไร ยกเว้นไปอยู่ในสิ่งแวดล้อมไม่ดี ไปเจอยาเสพติดเสียก่อน อันนั้นก็ย่ำแย่หน่อย ถ้าไม่อย่างนั้นแล้ว เด็กๆใจจะใสตั้งแต่แรก เพราะฉะนั้นถ้าจะสอนจะสั่งในเรื่องของนรกสวรรค์ เด็กจะรับได้ง่าย

2.ผู้ใหญ่ที่ยังไม่เคยไปแตะต้องอบายมุข คือ ไม่เคยไปจมอยู่ในวงเหล้า ไม่เคยไปท่องกลางค่ำกลางคืน เที่ยวในแหล่งที่ไม่เหมาะสม ไม่เคยไปจมอยู่ในวงไพ่ อะไรทำนองนี้ ผู้ที่ไม่ได้จมอยู่ในวงอบายมุข ถ้าพูดเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ ค่อนข้างจะรับได้ง่าย เพราะใจมันยังไม่เปื้อน

อย่างไรก็ตาม ในโลกปัจจุบันนี้ เนื่องจากอบายมุขมันก็แพร่กันเสียเหลือเกินแล้ว ก็เป็นหน้าที่ของเรา ที่ไม่ว่าใครใจมืด ใจบอด ใจเปื้อนขนาดไหน เราก็มีหน้าที่จะต้องทำความเข้าใจถูกให้เขาให้ได้ ในเรื่องนรกเรื่องสวรรค์ เพราะว่าถึงอย่างไรเขาก็อยู่ร่วมโลกกับเรา บางทีก็เป็นญาติของเรา เป็นเพื่อนของเรา เรารู้เห็นอะไรดีๆ ก็อยากจะให้เขาได้รู้ได้เห็นความดีนั้นๆ ตามเราด้วย จะไปทิ้งเสีย ได้อย่างไร

ด้วยหัวใจของกัลยาณมิตรที่เปี่ยมล้นอย่างนี้ ก็มีข้อคิดฝากพวกเรา คือ ในการที่จะไปอธิบายแก่ใครให้เข้าใจว่า นรกมี สวรรค์มี ต้องถามตัวเราก่อนว่า “เรามีความเชื่อมั่นในเรื่องนรกเรื่องสวรรค์สักขนาดไหน” ถ้าความเชื่อมั่นตรงนี้ของเรา ยังไม่เต็มร้อย มันก็ยากที่จะดึงใครให้เขาเข้าใจถูกในเรื่องนรกสวรรค์

ทีนี้ ถ้าเรามีความเข้าใจในเรื่องนรกสวรรค์เต็มร้อย มั่นใจเต็มที่ ดังนั้นโอกาสที่เราจะชักชวนใคร ให้เหตุผลกับใครมันก็มากขึ้น

เหตุผล ที่จะนำมาชักจูงเขา เราจะรู้ได้ด้วยตัวเองก็คือ ถามตัวเองว่า “เมื่อก่อนนี้เราก็ไม่ค่อยจะเชื่อเหมือนกัน แล้วทำไมวันนี้เราจึงได้เชื่อ” ถามตัวเองได้อย่างนี้แล้ว เดี๋ยวคำตอบจะผุดขึ้นมาเองอีกเหมือนกัน

สำหรับ หลวงพ่อนั้น เมื่อก่อนนี้ก็สงสัยว่า “นรกมีจริงไหม สวรรค์มีจริงไหม”_ก่อนที่จะบวชนะ เที่ยวตระเวนถามหลวงพ่อ หลวงปู่วัดต่างๆมาเยอะเลยว่า “หลวงพ่อครับ หลวงปู่ครับ นรกสวรรค์มีจริงไหม”

บางรูปท่านก็บอกว่า ท่านก็ไม่รู้เหมือนกัน บางรูปท่านก็บอกว่า มีจริง ยืนยันเลย

เมื่อ ไปถามท่านคำที่สองว่า “หลงพ่อ หลวงปู่ เคยไปเห็นมาหรือ” ท่านก็จะตอบหลวงพ่อชัดเลย บางรูปตอบว่า “ไม่เคยหรอก” ก็ถามต่อว่า “อ้าว...ไม่เคยแล้วทำไมหลวงพ่อเชื่อว่า...มี” ท่านก็ตอบว่า “เพราะพระไตรปิฎกบอก” เมื่อถามท่านว่า “ทำไมหลวงพ่อเชื่อพระไตรปิฎกขนาดนั้นล่ะ” ท่านก็ตอบหลวงพ่อมาว่า “พระไตรปิฎกที่เขียนเอาไว้นั้น ผู้ที่เขียนที่บันทึก คือ พระอรหันต์หมดกิเลสแล้ว ท่านไม่หลอกเราหรอก ท่านไม่รู้จะหลอกเราทำไม”

ก็เป็นเหตุผลที่น่าเชื่อได้ระดับหนึ่ง แต่ลึกๆหลวงพ่อเองก็ยังเชื่อไม่เต็มร้อย เพราะท่านเองท่านก็ไม่เคยไปเห็นมา

จน กระทั่ง อยู่มาวันหนึ่ง มาเจอคุณยายอาจารย์ของเรา คุณยายอาจารย์ มหารัตนอุบาสิกาจันทร์ ขนนกยูง ครูบาอาจารย์ของหลวงพ่อ ของพวกเรา ครั้งแรกที่หลวงพ่อไปเจอ ยังเป็นฆราวาสอยู่ ยังเป็นนักศึกษาอยู่ หลวงพ่อได้โอกาสก็ถามคุณยายว่า “คุณยาย นรกสวรรค์นี่มีจริงไหม” คุณยายตอบชัดเจนเลย “มีซิคุณ” แล้วหลวงพ่อยังไม่ทันถามต่อเลย ท่านตอบเสร็จ มองหน้าอย่างกับรู้ใจ “มีซิคุณ เมื่อยายเข้าถึงธรรมกายใหม่ๆเลย องค์พระชัดใส ยายนี่เข้าธรรมกายไป ไปเยี่ยมพ่อยาย ยายก็อาราธนาพระธรรมกายให้ศีลแก่พ่อ เนื่องจากไฟนรกมันดับชั่วคราว”

“พอ พ่อยายตั้งใจรับศีลเท่านั้น บุญที่เคยทำมาในอดีตชาติ เคยรักษาศีลมา บุญนั้นก็ตามมา บุญที่เกิดจากการให้ทาน การรักษาศีล การทำภาวนา ข้ามภพข้ามชาติตั้งแต่ชาติก่อนๆโน้น มันตามมาทัน พอนึกถึงบุญเก่าออก แล้วก็ตั้งใจรับศีลจากพระธรรมกายใหม่เท่านั้น บุญเก่าบุญใหม่มาประจบกัน บุญนั้นพาพ่อยายพ้นนรกได้”

“และเนื่องจากทำบุญทำทานอย่างอื่นไว้ บ้างอยู่เหมือนกัน ก็มีวิมานเก่าๆ อยู่ในสวรรค์ชั้นต้น พ่อยายก็ได้ไปอยู่บนสวรรค์กับเขาได้เหมือนกัน”

หลวงพ่อได้ยินคุณยายว่าอย่างนี้ นี่เป็นผู้มีศีล แล้วตั้งใจปฏิบัติจริง แล้วไปรู้ไปเห็นมาจริง หลวงพ่อเชื่อท่าน

จึง ถามคุณยายต่อ “ยาย...ถ้าอย่างนั้น อย่างผมนี่ จะมีโอกาสไปรู้ไปเห็นนรกสวรรค์อย่างยายบ้างไหม” คุณยายตอบชัด “ได้ซิคุณ” ท่านสร้างความมั่นใจให้ หลวงพ่อจึงถามท่านว่า “ทำไมจึงได้ล่ะยาย” คุณยายก็บอกว่า “ยายน่ะ...อ่านก็ไม่ออก เขียนก็ไม่ได้ หนังสือไม่ได้เรียน แต่ว่าเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการฝึกสมาธิกับหลวงปู่วัดปากน้ำ พระมงคลเทพมุนี ยายเอาชีวิตเป็นเดิมพันในการฝึกสมาธิ ในที่สุดยายก็เห็นนรกได้ เห็นสวรรค์ได้ คุณน่ะยังหนุ่มยังแน่น การศึกษาทางโลกก็มี เพราะฉะนั้นถ้าคุณตั้งใจฝึกจริงๆ ทำไมจะไม่ได้ เดี๋ยวคุณก็ได้”

ได้ ผู้ที่สามารถเห็นนรกสวรรค์มายืนยัน แล้วยังให้กำลังใจอีก หลวงพ่อเชื่อ แต่เชื่อก็เชื่อ 99% ไม่ครบร้อย แล้วทำยังไงจะครบร้อย ก็มีทางเดียว ลงมือฝึก ทำภาวนาอย่างจริงๆจังๆ แล้วให้ตัวเราเองไปเห็นเท่านั้น มันจึงจะครบร้อย ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่ครบอีกอยู่ดี

แล้วตั้งแต่นั้น มา หลวงพ่อก็ตั้งใจฝึกภาวนาของหลวงพ่อเรื่อยมา จบการศึกษาแล้วหลวงพ่อก็เลยมาบวช นี่ก็ 33-34พรรษาเข้ามาแล้ว ยิ่งบวชยิ่งสนุก ยิ่งบวชยิ่งมั่นใจว่า “นรกมี สวรรค์มี”

แต่ว่านั่น แหละ สำหรับใครที่เขายังไม่เชื่อ มันก็คือยังไม่เชื่อ แต่ว่าอย่างน้อยที่สุดสำหรับพวกเราที่จะไปชวนใคร เราก็ต้องฝึกให้ได้ที่นะ แม้ที่สุดยังไม่เห็นนรก ไม่เห็นสวรรค์ แต่ว่าฝึกแล้วได้ความสว่างข้างใน เราก็พอจะรู้แล้วว่า ถ้าจะไปเห็นนรก เห็นสวรรค์ได้ ก็ต้องเห็นโดยอาศัยความสว่างที่เราฝึกได้นี่แหละ แต่ตอนนี้มันยังไม่มาก ก็ฝึกเข้าไป วันหนึ่งมันมาก ก็เห็นอย่างที่คุณยายท่านเห็น เห็นอย่างที่พระอรหันต์ท่านเห็น...ฝึกต่อไป

เมื่อมีประสบการณ์ เกี่ยวกับเรื่องนรกสวรรค์มากน้อยแค่ไหนก็เล่าให้เขาฟังได้ ถ้าเขามีปัญญาพอ เขาก็รู้ว่า เราไม่ได้โกหก เขาก็รู้ว่าเราตั้งใจฝึกจริง เดี๋ยวก็พอจะคุยกันได้ เมื่อคุยกันได้ ก็ชวนเขาฝึกตามมา วันหนึ่งเขาจะสัมผัสได้ด้วยตัวเอง วันนั้นเขาจึงจะเชื่อ แต่ถ้าพูดกัน พูดให้ปากหักแล้วจะให้เขาเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นไปไม่ได้

คำ ถาม:กราบเรียนถามหลวงพ่อเจ้าค่ะ ถ้าเราทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับญาติพี่น้องของเราที่ล่วงลับไปแล้วนะเจ้าคะ เราจะทราบได้อย่างไรว่า ญาติที่ล่วงลับไปแล้วได้บุญหรือไม่เจ้าคะ

คำตอบ:ตรงนี้คงต้องตอบโดยหลักการก่อน คือ ต้องรู้ไว้ว่า บุญ คือ อะไร

บุญ เป็นธาตุกายสิทธิ์ชนิดหนึ่ง และด้วยความเป็นธาตุกายสิทธิ์ของบุญ ทำให้บุญมีฤทธิ์ต่างๆนานากันไป พอที่จะอุทิศส่วนกุศลให้ถึงผู้ที่ตายแล้วได้รับ แล้วก็มีผลเป็นสุขด้วย

บุญมีลักษณะที่คล้ายๆน้ำอยู่ 2ประการ คือ

1.บุญ นั้นเมื่อเกิดขึ้นแล้ว สามารถรวมตัวกันได้ เหมือนอย่างกับหยดน้ำ หยดน้ำค้าง หยดน้ำฝน หยดลงมาแล้ว มันก็รวมตัวกันได้จนกระทั่งน้ำเต็มโอ่ง เต็มไห เต็มหม้อ เต็มขัน
2.บุญซึ่งเป็นธาตุกายสิทธิ์นี้ สามารถจะไหล หรือสามารถที่จะไปจะมาได้ไกลๆ เหมือนอย่างกับน้ำ เช่น จากภูเขาสูงในภาคเหนือของประเทศไทย เมื่อมารวมตัวกันแล้ว มันก็ไหลลงสู่ที่ต่ำ เช่น ไหลมาเป็นแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วก็ไหลลงอ่าวไทยไป

น้ำ จากที่สูงไหลไปได้ไกลๆ จนกระทั่งถึงทะเลเป็นร้อยกิโลเมตร เป็นพันกิโลเมตร บุญก็สามารถอุทิศให้ไปไกลๆได้ แม้ผู้ที่ต้องการนั้น ผู้ที่เราจะให้เขานั้น อยู่กันคนละโลก

แต่ว่า ถึงแม้เราจะรู้ จะทราบโดยหลักการว่า บุญสามารถส่งไปได้ไกลๆถึงผู้ที่ละโลกไปแล้วก็จริง แต่ว่าก็ต้องรู้อีกว่า เอาจริงๆเข้าแล้ว บุญไหลไปอย่างไร แล้วเข้าไปถึงใจของผู้ที่เราอุทิศให้ด้วยอาการอย่างไร จะรู้จะเห็นได้อย่างนั้น มีทางเดียว คือ ต้องฝึกสมาธิ จนกระทั่งความสว่างภายในของเรามากพอ

อย่ามองว่า เรื่องของการฝึกสมาธิเป็นเรื่องยากก็แล้วกัน หลักสำคัญมีอยู่ว่า ใจของคนเรา เมื่อฝึกจนกระทั่งให้หยุดให้นิ่งได้แล้ว ใจของคนเรานั้นจะสว่าง เมื่อความสว่างภายในเกิดขึ้นมาแล้ว วันหนึ่ง เมื่อวางใจได้ถูกส่วน จะสามารถเห็นบุญได้ว่า “บุญนั้นเป็นสาย”

พุทธองค์ถึงกับทรงตรัสเอา ไว้ว่า บุญนั้น มีท่อบุญเกิดขึ้นทีเดียว พุทธองค์ตรัสเองนะ ใครที่ตั้งใจทำบุญ ทำทาน แล้วก็ทำบุญถูกเนื้อนาบุญ บุญไหลเป็นสายทีเดียว แล้วถ้าเราตั้งใจอธิษฐานไปให้ถึงแก่ผู้ใด ที่เขาละโลกไปแล้ว สายบุญไปจรดถึงกันเลย ก็เหมือนอย่างกับไฟฟ้า จากจุดหนึ่งก็ไปอีกจุดหนึ่งได้ ไหลไปตามสายไฟ แต่บุญไหลไปเอง ไม่ต้องมีสายอย่างกับสายไฟ เป็นสายบุญไปเอง

คุณ ฝึกไปเถอะ แล้ววันหนึ่งคุณก็จะเห็น เห็นแล้วก็จะหมดความสงสัยว่า บุญมีจริง แล้วก็มีฤทธิ์จริง อุทิศไปให้ใครก็ได้จริง ไปดูด้วยตาตัวเองดีกว่า ถ้าหลวงพ่อบอกให้ หลวงปู่บอกให้ ท่านผู้นั้นผู้นี้บอกให้ แล้วเรายังไม่เห็น จะให้เราเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์มันคงยาก เอาว่า “ตั้งใจฝึกสมาธิไป”

วันนี้ ตั้งใจฝึกสมาธิไป แล้วขณะที่ตั้งใจฝึกสมาธิ แม้ตอนนี้ใจยังไม่สว่างพอ ยังไม่นิ่งพอ ยังไม่เห็นบุญ ก็ช่างประไร เราก็ฝึกของเราไปเรื่อย อย่าเพิ่งปฏิเสธเรื่องบุญ อย่าเพิ่งไปปฏิเสธเรื่องความสว่างที่เกิดในสมาธิ เราไม่ปฏิเสธ เรารับฟังเอาไว้ แล้วเราตั้งใจฝึกของเราเรื่อยไป วันนี้ใจยังไม่สว่างพอ ยังไม่เห็น ก็ไม่เป็นไร

เราก็จะได้อะไรเป็น เครื่องตอบแทน...อย่างน้อยก็ได้ความสงบใจมาระดับหนึ่ง พูดง่ายๆ ฝึกสมาธิเรื่อยไป ใจเราไม่ขุ่นมัว ถึงอย่างไรสวรรค์ก็เปิดท่ารอเราแล้ว นรกปิดเรียบร้อยแล้ว จะไปเห็นบุญในตอนวินาทีสุดท้ายที่เราจะลาโลก ก็ยังไม่สาย ตั้งใจฝึกกันไป วันหนึ่งเราก็เห็นบุญจนได้

ถ้าบุญไม่มี จริง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าคงไม่ตรัสเรื่อง บุญ แต่ว่าเมื่อเรายังมองไม่เห็น จะไปโทษใคร ก็ต้องโทษตัวเองว่า เรายังฝึกน้อยไป ก็ให้ฝึกกันไป ชาตินี้ไม่เห็น ชาติหน้าเห็น ก็ยังไม่สาย ตั้งใจฝึกกันไปเถอะ

.....................................................
ตักบาตรทุกวัน....ได้บุญทุกวัน


โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 30 ต.ค. 2010, 06:01 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
สมาชิก ระดับ 8
สมาชิก ระดับ 8
ลงทะเบียนเมื่อ: 05 ส.ค. 2010, 12:21
โพสต์: 637

อายุ: 0

 ข้อมูลส่วนตัว


ขอ อนุโมทนาครับ

หลวงพ่อ ตอบได้งดงามจริงๆ


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 2 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 23 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร