ลานธรรมจักร
http://www.dhammajak.net/forums/

ตอบปัญหาธรรมของหลวงปู่ (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=35295
หน้า 1 จากทั้งหมด 1

เจ้าของ:  ลูกโป่ง [ 27 ต.ค. 2010, 11:07 ]
หัวข้อกระทู้:  ตอบปัญหาธรรมของหลวงปู่ (หลวงปู่ขาว อนาลโย)

รูปภาพ


ตอบปัญหาธรรมของหลวงปู่

หลวงปู่ขาว อนาลโย



การเทศนาสั่งสอนประชาชนพระเณรท่านก็สอนมามากต่อมาก
การโต้ตอบปัญหาข้อข้องใจที่มีผู้มาถาม
ท่านก็ตอบเพื่อความเข้าใจแก่ประชาชนพระเณรมามากต่อมากเช่นเดียวกัน
อันดับต่อไปนี้จึงขอนำปัญหาคำถามคำตอบของท่านมาลงในที่นี่พอประมาณ
โปรดอ่านด้วยความพิจารณาหาสาระซึ่งอาจจะเกิดประโยชน์เท่าที่ควร


:b8: ถาม หลวงปู่ครับ ขอประทานโอกาสถามปัญหาปู่พอหายกังวลบ้าง
ฟังเทศน์ปู่ก็ฟังมามากพอควร
แต่ยังไม่เคยถามปัญหาข้อข้องใจใด ๆ กับหลวงปู่บ้างเลย
จึงขอกราบเรียนถามบ้างว่า ได้ทราบจากเขาเล่าให้ฟังว่า
หลวงปู่เคยสร้างวาสนาบารมีมามากใช่ไหมปู่


:b42: ตอบ จะว่าใช่ก็ใช่ ถ้าจะไม่หาแง่หาเรื่องราวว่าปู่คุยโม้นะ
ส่วนมากโลกมักแส่หาโทษมากกว่าหาคุณธรรมที่ควรหากัน
ปู่จึงไม่อยากคิดและพูดในเรื่องทำนองนี้ กลัวคนเป็นโทษแทนที่จะเป็นคุณ


:b8: หลาน หลานถามเพื่อเข้าใจประดับใจจริง ๆ ปู่
กรุณาโปรดสัตว์ผู้ยากจนเถิด


:b42: หลวงปู่ ถ้าอย่างนั้นก็เชิญถามมา จะเล่าให้ฟังเท่าที่พอเล่าได้


:b8: ถาม ดังที่กราบเรียนถามแล้วว่า
ได้ทราบมาว่าปู่เคยสร้างวาสนาบารมีมามากใช่ไหม


:b42: ตอบ ใช่ เชื่อแน่ว่าได้สร้างมามากพอควร
ทางโลกเคยเป็นเศรษฐีกฎุมพีมามากต่อมาก
ตลอดเคยเป็นพระราชามหากษัตริย์ ก็เคยเป็นมาหลายชาติ
จนไม่อาจพรรณนาให้จบสิ้นในความเป็นมาของตนได้
ฉะนั้น การท่องเที่ยวในวัฏสงสารเกี่ยวกับการเกิดการตายปู่จึงไม่สงสัย
และเบื่อเต็มประตา จึงได้ออกบวชเพื่อแสวงหาความพ้นจากการเกิด - ตาย
อันเปรียบเหมือนเรือนจำขังสัตว์ผู้ต้องโทษ


:b8: ถาม แต่ในชาติปัจจุบันนี้ ทำไมปู่จึงมาเกิดในสกุลชาวนา
ที่โลกปัจจุบันถือกันว่าเป็นสกุลต่ำต้อยด้อยศักดิ์ศรี
ทั้งหน้าที่การงานตลอดผลรายได้ก็ต่ำต้อยน้อยหน้าไม่ทัดเทียมเขา
ไม่สมกับเป็นสกุลที่เลี้ยงหนุนคนทั้งแผ่นดิน
ให้มีซีวิตลมหายใจอยู่ได้ตลอดมาบ้างเลย
ทำไมปู่จึงไม่ไปเกิดในสกุลพ่อค้ามหาเศรษฐีมีเงินมาก ๆ
และไปเกิดในสกุลเจ้านายผู้สูงศักดิ์ ทรงอำนาจวาสนา วาจาสิทธิ์ขาด
คนขยาดกันทั่วดินแดนเล่าปู่


:b42: ตอบ อันสกุลที่ว่าสูงหรือต่ำนั้น
บรรดาสัตว์โลกผู้อยู่ใต้อำนาจกฎแห่งกรรม ย่อมมีทางเกิดได้ด้วยกัน
อย่าว่าแต่ปู่คนเดียวเลย
แม้แต่ภพชาติสูงต่ำนั้นเป็นสายทางเดินของสัตว์โลกผู้มีกรรม
จำต้องเดินต้องผ่านเหมือนกันหมด
คนมีวาสนามากก็ผ่าน คนมีวาสนาน้อยก็ผ่านภพกำเนิดสกุลต่าง ๆ ดังกล่าวมา
เช่นหลานเป็นพระเจ้าฟ้าเจ้าคุณ มีบุญหนักศักดิ์ใหญ่
หลานจากที่นี่ไปกรุงเทพฯ ด้วยเท้าก็ดี ด้วยรถยนต์ รถไฟก็ดี
ด้วยเรือเหาะเรือบินก็ดี หลานจำต้องผ่านดินฟ้าอากาศเย็นร้อนอ่อนแข็งที่สูง ๆ ต่ำ ๆ
ซึ่งมีอยู่ตามรายทางเรื่อยไป จนถึงจุดที่หมายคือกรุงเทพฯ โดยไม่อาจสงสัย
การเกิดในสกุลสูง ๆ ต่ำ ๆ ตลอดภพชาติต่าง ๆ กันนั้น
สัตว์โลกเกิดตาม วาระกรรมของตนมาถึง
แม้จะทรงบุญหนักศักดิ์ใหญ่ แต่เมื่อถึงวาระกรรมของตนที่ควรจะเสวยอย่างไร
ก็จำต้องเสวยตามรายทางคือภพชาตินั้น ๆ เท่าที่ปู่มาเกิดในสกุลชาวนา
ปู่ก็ไม่เสียอกเสียใจ ไม่น้อยเนื้อต่ำใจ
เพราะปู่คือว่าปู่มาเกิดตามวาระกรรมของปู่เอง
ปู่จึงไม่ตำหนิติเตียนบิดามารดาผู้ให้กำเนิด
ตลอดญาติมิตรพี่น้องที่เกิดร่วมและใกล้ชิดสนิทกันว่ามาให้โทษปู่
มันเป็นกรรมของใครของเราดังธรรมท่านสอนไว้ไม่มีผิด ไม่มีที่คัดค้าน
ปู่ยอมรับธรรมท่านอย่างซึ้งใจไม่มีวันถอนเลย
(มีคนแทรกถามในเวลาเดียวกันอีกเยอะแยะ แต่จะไม่ขอแยกบุคคล)


:b8: ถาม ปู่ ก็โลกเขาว่าสกุลชาวนาเป็นสกุลต่ำนี่
หลานถึงไม่อยากให้ปู่มาเกิด อยากให้ปู่เกิดในสกุลสูง ๆ กว่านี้
หลาน ๆ จะได้ภูมิใจ


:b42: ตอบ ภูมิใจบ้า ๆ บอ ๆ อะไร
สกุลชาวนานั้นมันต่ำต้อยที่ตรงไหน
คนทั้งโลกได้อาศัยข้าวในท้องนาของชาวนาตลอดมา
จึงพยุงชีวิตร่างกายมารอดมิใช่หรือ
ที่ถูกตามความจริง ควรชมเชยว่า สกุลชาวนาคือสกุลเลี้ยงโลก
คือสกุลพ่อสกุลแม่ของมนุษย์ทั้งโลก
ด้วยความเป็นคนกตัญญูรู้บุญรู้คุณของสิ่งเลี้ยงดูของผู้เลี้ยงดู
แล้วสกุลชาวนานั้นต่ำที่ตรงไหนลองว่ามาซิ
งานในโลกนี้ งานอะไรจะทุกข์ลำบากยิ่งกว่างานทำนา
คราด ไถ ตกกล้า ปักดำ เก็บเกี่ยว
รักษานาด้วยการเปิดน้ำ ปิดน้ำ ทำคลองส่งน้ำ
ไม่ได้หลับตื่นลืมตาตลอดฤดูกาลทำนา
นับแต่เริ่มลงคราดไถจนถึงตี ถึงฟาดนวด
ตลอดขนขึ้นใส่ยุ้งใส่ฉางอันเป็นวาระสุดท้ายแห่งมหันตทุกข์ของสกุลชาวนา
ใครจะอดจะทน ขยันหมั่นเพียร
บึกบึนยิ่งกว่าชาวไร่ชาวนาชาวสวนเล่า
งานใดที่ดีเด่นพอจะนำมาคุยอวดงานทำนา ทำไร่ ทำสวน
การเพาะปลูกต่าง ๆ ซึ่งล้วนเป็นงานที่ต้องใช้ความอดความทน
ความบึกบึนกว่างานใด ๆ ของโลกมนุษย์
หิวก็ยอมทน กระหายก็ยอมทน ทุกข์ขนาดไหนกับอมอดยอมทน
หลังสู้ฟ้า สู้ฝน หน้าสู้ตมสู้โคลน
ทนร้อนทนหนาวทนแดดทนฝน ชนิดตกนรกทั้งเป็น
กว่าจะได้ข้าวเปลือก เผือกมันมาเลี้ยงคนทั้งโลก
ร่างกายแทบบรรลัย จิตใจเหี่ยวห่อชนิดพูดไม่ออกบอกไม่ถูกทั้งสิ้น
แล้วจะไปชมใครผู้ใดว่าเก่งกว่าพวกชาวไร่ชาวนาเหล่านี้
จะควรตำหนิว่าชาวนาเป็นสกุลต่ำที่ตรงไหน
ถ้าตำหนิว่าเขาต่ำจริง เราคนสกุลสูงและสูง ๆ
ก็อย่ากินข้าวและเผือกมันของเขาซิ มันจะเสียเกียรติ ของคนลืมตนเย่อหยิ่ง
ปล่อยให้ตายเสียจะได้ไม่หนักโลกของชาวนาที่หาข้าวมาให้กิน
กินแล้วไม่รู้จักบุญคุณ ยกย่องส่งเสริมกัน
นี่คือมนุษย์ประเภทลืมตัวมั่วความเย่อหยิ่งจองหองลำพองตน
อย่าถือมาเป็นอารมณ์ ให้หนักใจ
จงถือท่านผู้ดีมาเป็นคติตัวอย่าง
จะไม่เสียทางเดินเพื่อความเป็นคนดีของโลกที่ยังต้องการคนดีอยู่มากมาย
ถ้ามีแต่คนประเภทลืมตัวมั่วสุมกับสิ่งทำลายสังคม
โลกต้องโกลาหลวุ่นวายและฉิบหายวายป่วงได้ไม่สงสัย


:b8: ถาม เท่าที่ปู่มาเกิดในสกุลชาวนาในชาตินี้
ปู่พอใจอยู่หรือ มอง ๆ ดูปู่แล้วไม่เห็นทะเยอทะยานกับอะไรนี่
มากราบเมื่อไร ฟังปู่เทศน์โปรดทีไรเห็นมีแต่ความยิ้มแย้มแจ่มใส
เมตตาสงสารลูกหลานตลอด จึงคิดในใจอยากกราบถามบ้างว่า
ปู่ยังอยากเกิดในสกุลสงกว่าสกุลชาวนาอยู่หรือเปล่า


:b42: ตอบ คราวเป็นฆราวาสมันก็คิดบ้า ๆ
เหมือนโลกตื่นลมเขาเหมือนกันว่าตนเป็นลูกชาวนา วาสนาน้อย
คิดอยากเป็นเจ้าเป็นนายกับเขาเหมือนกัน
อย่างน้อยให้เป็นครูสอนนักเรียนก็ยังดี
แต่เราคนจนหาเลี้ยงแม่เลี้ยงน้อง
พอรู้สึกตัวว่ามีฐานะยากจนไม่มีเวลาเรียนและไม่มีทุนเรียนหนังสือดังนี้แล้ว
ก็หยุดคิด หยุดกังวลใจกับเรื่องนี้
พอมาบวชปฏิบัติธรรมไปเรื่อย ๆ
ความรู้สึกกับธรรมอิ่มซึมซาบเข้าถึงกันวันละเล็กละน้อย
ความที่เคยคิดว่าตนเป็นคนอาภัพวาสนาเป็นลูกชาวนาก็ค่อย ๆ หายไป ๆ
จนกลายเป็นความรู้สึกว่า จะเกิดในสกุลใดก็คือสกุลมนุษย์
ที่ต้องตะเกียกตะกายหาเลี้ยงปากเลี้ยงท้อง
เพื่อความอยู่รอดเหมือน ๆ กันไปเรื่อย ๆ
ตราบเท่าทุกวันนี้ซึ่งแก่มากแล้ว
มันเลยมีความรู้สึกไปคนละโลก
และรู้สึกไปในแง่ที่โลกเขาไม่ค่อยคิดหรือไม่คิดกันเสียแล้วทุกวันนี้


:b8: ถาม คิดอย่างไรล่ะปู่ คณะหลานอยากฟัง ปู่เมตตาด้วย


:b42: ตอบ เพียงแต่ธาตุขันธ์ซึ่งรับผิดชอบมาแต่วันเกิด
รู้เดียงสาภาวะเรื่อยมา แต่ต้นภพชาติ
พอมาถึงเดี๋ยวนี้มันก็รับผิดชอบกันไม่ได้อยู่แล้ว
ว่าไม่ให้หกให้ล้ม มันก็หกก็ล้ม ก็ซัดก็เซ
ก็หกคะเมนเทนเท่ให้เห็นอยู่ทุกเวลาต่อหน้าต่อตา
ต้องเป็นภาระของคนอื่นช่วยดูแลรักษา
ตลอดอิริยาบถจนถึงวันสุดท้ายคือแตกสลายของขันธ์นี้
แล้วจะให้ปู่ทะเยอทะยานเหาะเหินเดินเมฆไปยินดี
อยากได้สมบัติเงินทองสวรรค์วิมานที่ใหนอีก
ซึ่งล้วนแต่เป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา จะพังทลายด้วยกันทั้งสิ้น
ที่ไหนไม่อยู่ใต้อำนาจของกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นี้
ปู่ต้องการและยินดีกับที่นั่นเท่านั้นทุกวันนี้


:b8: ถาม ที่ไม่อยู่ใต้อำนาจของกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา นั้น
มันคือที่ไหนล่ะ ปู่ หลานก็อยากไปเหมือนกันนี่


:b42: ตอบ เพียงแต่บอกให้ไหว้พระสวดมนต์ภาวนาบ้าง
อย่างน้อยเวลาจะหลับนอนยังพากันขี้เกียจ
ก็ที่ นั่น ที่ไม่มีกฎ อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปยึดครองนั้น
ไม่ใช่ที่เป็นที่บรรจุคนขี้เกียจ พระเณรเถรชี คหบดี ขี้เกียจนี่
ถ้าหลาน ๆ ยังขืนขี้เกียจไหว้พระสวดมนต์
ให้ทานรักษาศีล เจริญเมตตาภาวนาอยู่
ก็จะไปเกิดเรื่องกับสถานที่และผู้คนในที่นั่นเข้าอีกก็จะยุ่งกันใหญ่
ฉะนั้น จงพากันพยายามปรับตัวปรับใจให้เข้าสู่ศีล สู่ธรรม
ขจัดความขี้เกียจขี้คร้านออกโดยลำดับก่อนค่อยพิจารณากันใหม่ในขั้นต่อไป


:b8: ถาม คำว่า ที่นั่น ปู่ไม่เห็นบอกหลาน
เห็นบอกแต่จะไปทะเลาะกับที่และคนในที่นั่นอย่างเดียว
ส่วนที่นั่นคือที่เช่นไร
ปู่ยังไม่บอกนี่ หลานกำลังกระหายอยากฟังโปรดด้วยปู่


:b42: ตอบ คือ พระนิพพานอย่างไรล่ะหลาน
ไม่มีสกุลใดเลิศประเสริฐกว่าสกุลคือพระนิพพานนี้
ปู่จึงต้องการสกุลนี้อย่างหนักเรื่อยมา
แต่ตอนนี้ขันธ์ปู่แก่มากแล้วใจปู่ก็คงจะแก่ชราเช่นขันธ์กระมัง
ใจจึงหมดความอยากความต้องการใด ๆ ทั้งสิ้น
รวมทั้งที่ที่เคยต้องการมาก ๆ นี้ด้วย
ทุกวันนี้ปู่ไม่อยากอะไร
ยังมีชีวิตอยู่ปู่ก็ไม่อยาก ตายไปเสียปู่ก็ไม่อยาก
ไปนิพพานเสียปู่ก็ไม่อยาก ใจมันหมดความอยากใด ๆ เสีย
แต่ยังไม่ได้กินได้ดื่มแล้วเวลานี้
จะว่าถูกหรือผิดปู่ก็พูดตามความจริงให้หลาน ๆ ฟัง
จงพากันฟังและพิจารณาด้วยดีนะ

(ปรากฏว่าหลาน ๆ ของปู่เงียบเชียบไปตาม ๆ กัน
ดูอาการอายปู่มาก ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้ขึ้นมา
อายที่ถามท่านแบบเด็ก ๆ เกินไป ปู่เห็นท่าไม่สนิทใจ
จึงหาอุบายพูดเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปทางอื่นเสียบ้าง
เพื่อเปลี่ยนรสเปลี่ยนชาติ แล้วหลาน ๆ ก็วกกลับไปสกุลชาวนาของปู่อีก
เพราะยังไม่หายข้องใจ ที่ปู่เคยเป็นคนทุกข์ลำบากมาแต่เป็นฆราวาส
ไม่น่าจะเป็นผู้ทรงศีลทรงธรรมอันล้ำเลิศอย่างนี้
แต่ทำไมปู่จึงเลิศประเสริฐ เป็นที่เคารพเลื่อมใสของปวงชนมากมายนัก)


:b8: ถาม ถ้าอย่างนั้น คำว่าสกุลสูงหรือต่ำก็ไม่มีปัญหา
หรืออุปสรรคกับนิสัยวาสนาบารมีของมนุษย์และสัตว์ทั่วไตรภพซิ ใช่ไหมปู่


:b42: ตอบ ใช่ คนเป็นคน สัตว์เป็นสัตว์ คนดีเป็นคนดี คนชั่วเป็นคนชั่ว
คนบุญเป็นคนบุญ คนบาปเป็นคนบาป
หากสับปนระคนกันในหมู่มนุษย์และสัตว์ทั่วไตรภพมาดั้งเติม
ไม่มีใครหรือสิ่งใดลบล้างได้
เพราะนั่นเป็นกฎแห่งกรรมประจำสัตว์โลกมาดั้งเดิม
ท่านจึงสอนไม่ให้ประมาทกันและกัน
เพราะคำว่า กรรม เป็นสิ่งละเอียดสุขุมมากเกินกว่าสติปัญญาธรรมดา
และความรู้ วิชา ของสามัญชนทั่ว ๆ ไป
จะพิสูจน์ให้ถูกต้องหรือตรงตามความจริงแห่งกรรมนั้น ๆ ได้


เรื่องเหล่านี้ลึกลับมากสำหรับสามัญชนทั่ว ๆ ไป
มีพระพุทธเจ้าและพระอรหันต์เท่านั้น
สามารถพิสูจน์สาเหตุแห่งกรรมและผลกรรม นั้น ๆ ได้
ดังพระพุทธเจ้าทุก ๆ พระองค์แสดงไว้เป็นแบบเดียวกันอย่างตายตัว
ตามหลักความจริงว่า บาปมี บุญมี นรกมี สวรรค์มี นิพพานมี
นานแสนนานกี่ล้านกัปนับล้านกัลป์
เรียงตามลำดับของพระพุทธเจ้าที่มาตรัสรู้แต่ละพระองค์เรื่อยมา
จนถึงพระ พุทธเจ้า สมณโคดม องค์ปัจจุบันของชาวพุทธเรา
สัตว์โลกก็ยังไม่มีรายใดยอมรับว่ามี
ว่าเป็นตามนั้นด้วยการรู้การเห็นประจักษ์ตน
ทั้งนี้เพราะถูกกิเลสตัวมืดมิดปิดทวารมันปิดหูปิดตาปิดใจไว้อย่างมิดชิด
เหมือนคนตาบอดหูหนวก ไม่สามารถสัมผัสรับรู้สิ่งที่มีอยู่ทั้งหลาย
ด้วยตา ด้วยหูที่บอดหนวกของตนได้
นอกจากโดนเอา ๆ แล้วลูบคลำไปตามประสาของคนตาบอด
ไม่มีอะไรรู้และแยบคายไปกว่านั้น


ดังคนตาบอดโดนต้นไม้หรือต้นเสา หัวตอ เป็นต้น เจ็บไปเปล่า ๆ
ไม่มีทางมองเห็นและเข็ดหลาบได้
ตกไปก็โดนอีกเจ็บอีกอยู่ร่ำไปเพราะตาไม่เห็น
จะเอาอะไรมาแก้ไขการโดนนั้นว่าจะไม่ให้โดนอีกในกาลต่อไป
สัตว์โลกโดนทุกข์ โดนบาปกรรมทั้งหลายที่ตนเข้าใจว่าไม่มีก็เช่นเดียวกัน
ทั้ง ๆ โดนทุกข์ก็มองไม่เห็นทุกข์ และบาปที่โดนว่ามาจากสาเหตุอันใด
เพราะไม่มีปัญญาธรรมมาแก้ให้เห็นและหลบไปได้
จำต้องยอมรับทุกข์กันอยู่ร่ำไป

:b8: ถาม ถ้าอย่างนั้นที่เขาว่าบาปไม่มี บุญไม่มี
นรกไม่มี สวรรค์ไม่มี ตายแล้วสูญ สัตว์ตายแล้วไม่ได้เกิดอีกต่อไป
นั่นก็เพราะกิเลสปิดตาปิดใจเขาละซิปู่
เขาจึงพูดปฏิเสธสิ่งที่มีอยู่เหล่านั้นซึ่งพระพุทธเจ้าองค์เอกตรัสไว้ได้ลง คอ


:b42: ตอบ ใช่ ถูกกิเลสปิด ธรรมท่านมิได้ปิด
ท่านเปิดเผยทุกสิ่งทุกอย่างตามความมีความเป็น
ท่านไม่ลบล้าง ท่านยอมรับสิ่งมีอยู่ทุกสิ่งทุกอย่างโดยตลอด
ทั่วถึงมาตามหลักแห่ง สวากขาตธรรม
ที่ว่าตรัสไว้ชอบแล้ว ๆ ไม่มีอะไรเป็นปัญหา
ที่ทำให้มีให้เกิดปัญหานั้นคือกิเลสทั้งสิ้นต่างหาก
เป็นตัวสร้างปัญหาใส่หัวใจสัตว์โลก
หลานจงเข้าใจเสียแต่บัดนี้ จะได้หมดปัญหาที่กิเลสเสี้ยมสอน
ให้คิด ให้ว่า ว่าธรรมเป็นผู้สร้างปัญหา
ธรรมสร้างเหตุการณ์ต่าง ๆ ธรรมเป็นผู้สร้างทุกข์บนหัวใจสัตว์โลก
ความจริงแล้วมันคือกิเลสตัวแสนปลิ้นปล้อนหลอกลวง
และต้มตุ๋นตัวฉกาจฉกรรจ์ ต่างหาก
เป็นตัวสร้างปัญหาให้ยุ่งเหยิงวุ่นวายไม่มีจบมีสิ้นลงได้จากหัวใจสัตวโลก
หมดปัญหานี้สร้างปัญหานั้นขึ้นมา หมดทุกข์นั้นแล้ว
สร้างทุกข์นี้ขึ้นมา ไม่มีคำว่าหยุดหย่อนผ่อนตัวและพักงานของกิเลส
จอมปราชญ์ผู้เห็นเล่ห์เหลี่ยมกลมารยาของมันจึงกำจัดให้หมดสิ้นไปจากใจ
และตำหนิประจานมันให้โลกได้ทราบและตื่นตัวตื่นใจ
แก้ไขต้านทานความเลวร้ายของมันเรื่อยมา
จนถึงจอมปราชญ์องค์ปัจจุบันคือสมณโคดมของชาวพุทธเรา

:b42: ปู่ถาม คณะหลาน ๆ ยังชอบกินเหล้ากันอยู่หรือทุกวันนี้


:b8: ตอบ กินอยู่บ้างเป็นบางครั้งบางคราวปู่
แต่ไม่กินมากและไม่กินตลอดไป
กินเพียงเพื่อสมัครสมานใจของหมู่เพื่อนและสังคมเท่านั้น ไม่ถึงกับติดมันปู่


:b42: ปู่ถาม ปู่ขอถามหลานที่เป็นกันเองบ้าง คงไม่โมโหให้ปู่กระมัง

:b8: หลาน ถามเลยปู่ พวกหลานไม่นึกโมโหให้ปู่แหละ
นอกจากอาจนึกขบขันและละอายตัวเองในบางตอน
ที่ถูกปู่สับเขกเอาบ้างในฐานะปู่กับหลาน


:b42: ปู่ ปู่จะ ขอถามเล็กน้อยเท่านั้นว่า
เด็ก ๆ เขาไม่กินเหล้า ผู้หญิงที่รักศักดิ์ศรีของกุลสตรี
ตามหลักประเพณีประจำเมืองไทยเรา
เธอไม่คิดอุตริกินเหล้ากันเหมือนผู้หญิงจรวดสมัยปัจจุบันนี้
และคนที่เขาไม่กินเหล้าที่กล่าวมาเหล่านี้
หลาน ๆ ยอมรับว่าเขาเป็นคนดีน่ารัก น่าเอ็นดู น่านับถือ น่าเคารพไหม


:b8: หลาน ยอมรับทั้ง ๓ - ๔ กระทำเลยปู่
แต่น่าหมั่นไส้ผู้หญิงที่ชอบอุตริเป็นนักเลงโตชอบกินเหล้า
เอาเหล้าประดับเกียรติ ชอบหา รบเร้าเย้าแหย่ผู้ชาย
อันเป็นการขายหน้าสกุลราวกับสุนัขหน้าเดือน ๑๑ - ๑๒
(ทางภาคอีสานว่า สุนัขเดือน ๙ ซึ่งเป็นหน้าสุนัขคะนอง)
หมดยางอายไร้คุณค่า ไม่น่ารัก ไม่น่าเอ็นดูบ้างเลย
นอกจากชวนหมั่นไส้และทุเรศ

:b42: หลวงปู่ เอาละ ปู่ไม่ตำหนิผู้หญิงฝ่ายเดียว
เพราะผู้ชายก็มิใช่เทวบุตรอุตตมะมาจากไหน
ผู้ชายก็เป็นคน ๆ หนึ่งเช่นเดียวกับผู้หญิงนั้นแล ผู้ชายผิด ไม่ดีที่ตรงไหน
ปู่ขอพูด ถ้าหลาน ๆ ไม่โมโหนะ
ผู้ชายก็น่าหมั่นไส้ถ้าจะหมั่นนะ แต่ปู่ไม่หมั่นนอกจากสงสารที่เห็นผิดไป


:b8: หลาน พูดเลยปู่ หลาน ๆ บอกปู่แล้วว่าจะไม่โมโห
นอกจากนึกเสียว ๆ เพราะกลัวโดนแผลเป็นเข้าเท่านั้น


:b42: ปู่ถาม หลาน ๆ เคยเห็นพ่อแม่ของเด็กทั้งแผ่นดิน
นำสุราบาร์เบียร์เครื่องดื่มของมันเมามากรอกปากลูก ๆ ป้อนลูกที่เริ่มเกิดใหม่ไหม

:b8: หลาน ไม่เคยเห็นเลยปู่

:b42: หลวงปู่ เมื่อไม่เคยเห็น ลูก ๆ ก็ควรยอมรับว่า
ท่านเป็นพ่อเป็นแม่ที่ดีและฉลาดของคน ของเด็ก ๑๐๐% โดยแท้
ไม่กล้านำสิ่งไม่ดี สิ่งจะทำให้เสียเด็กเสียคนเข้ามากล้ำกรายลูก ๆ เลย
ส่วนพวกเราที่เจริญเติบโตมาแล้ว
ไปเที่ยวเสาะแสวงหากินหาดื่มเครื่องดองของมันเมา
ซึ่งทำลายจิตใจธาตุขันธ์และ คุณค่าของมนุษย์
ตลอดหน้าที่การงานให้ด้อยลงและเสียไป
จนกลายเป็นคนไร้ค่าไม่น่านับถือและปรารถนาของสุภาพชนทั่วไปนั้น
เป็นคนที่น่าตำหนิทีเดียว วัยปู่เปลี่ยนมานานและมากจนแก่ขนาดนี้แล้ว
แต่ใจยังไม่เคยเปลี่ยนจากการตำหนิคนขี้เหล้าเมาสุรา
คนสูบฝิ่นกินกัญชายาเสพติดเลย ยังคงตำหนิอยู่อย่างเดิม


หลานจึงควรระลึกคำพูดของปู่ไว้ภายในใจและพากันนำไปปฏิบัติตามบ้าง
หลานจะเป็นคนเต็มตัวโดยหลักธรรมชาติ
ไม่ต้องมีอะไรมาเสกสรรให้ดีเพราะสิ่งนั้นให้ดี
เพราะสิ่งนี้ดังเขาเสกสรรกันเกลื่อนแผ่นดิน
เช่น เสกสรรปั้นยอว่า คนกินเหล้ามันกล้าหาญดีไม่กลัวใคร
ทั้ง ๆ ที่เคยขี้ขลาดหวาดกลัวเป็นนิสัยมาแต่กำเนิด
นั่นถ้าเป็นหมาก็เป็นหมาที่ไม่รู้จักเสือ
มันจะต้องตายเพราะเสือกินหัวมัน
ถ้าเป็นคนก็เป็นคนที่ไม่รู้จัก ตะบอง ปืน มีด
คนนั้นจะต้องตายเพราะตะบองเพราะอาวุธโดยแท้ไม่สงสัย
คนเมาเหล้ากล้าหาญก็เป็นคนประเภทหมาไม่รู้จักเสือนั้นแล
จึงควรฟังคำสอนของปู่บ้าง
การฟังความอยาก ความทะเยอทะยานไม่มีขอบเขตของตนก็เคยฟัง
และทำตามมันมามากต่อมากแล้ว ผลดีไม่เห็นมี
นอกจากผลชั่วติดตัวและน่าตำหนิอยู่ตลอดไป
แม้ตายไปแล้วยังไม่มีใครขุดคุ้ยขึ้นมาชมเลย


:b8: ถาม กินเหล้ามันเป็นบาปหรือปู่
ปู่จึงไม่อยากให้หลานกินกัน กลัวหลานจะเป็นหมาไม่รู้จักเสืออย่างนั้นหรือ

:b42: ปู่ ตอบ การกินเหล้าหรือของมันเมาตลอดสิ่งเสพ ติด
และเสียคนนั้น มันจะเป็นบุญพาคนให้ดีและพาไปสวรรค์นิพพานอย่างไรกัน
นอกจากเป็นบาปหาบหามไฟนรกมาเผาตนและครอบครัว
ตลอดผู้เกี่ยวข้องโดยลำดับเท่านั้น
ยังจะพากันนึกและรอคอยให้สุรายาเมาพาเป็นคนดี
และพาไปสวรรค์นิพพานอยู่หรือ


จอมปราชญ์ทั้งหลายท่านตำหนิเป็นเสียงเดียวกันมาแต่กาลไหน ๆ ว่า
การกินเหล้าเป็นบาป การกินเหล้าเป็นบาปไม่มีชิ้นดีที่น่าชมเชยบ้างเลยเท่านั้น
ฉะนั้น หลานจงพากันเข้าใจตามที่ปู่อธิบายให้ฟังด้วยความเมตตาสงสารนี่
หลาน ๆ ฟังเสียงใคร ๆ ก็ฟังมามากต่อมากและทำตามเขาจนเสียคน
บางรายจนเป็นเศษมนุษย์หมดคุณค่าสาระโดยประการทั้งปวงไปเลยก็มี


แต่บัดนี้ต่อไปจงพากันใช้ความพินิจพิจารณาฟังเสียงปู่
และนำไปเทียบเคียงกับคำ พูดทั้งหลายที่เคยได้ยินได้ฟังมา
จะมีแง่คิดถูกหนักเบาต่างกันอย่างไรบ้าง แล้วเลือกเฟ้นนำไปปฏิบัติ
เพราะลมปากของปู่เป็นเสียงของกระแสธรรม
ที่ออกมาจากพระทัยที่บริสุทธิ์ของพระพุทธเจ้า
ผิดกับลมปากที่กิเลสราคะตัณหาผลิตหรือปรุงให้กินให้พูดออกมาอยู่มาก
ทั้งมีเหตุมีผลผิดกันราวฟ้ากับดิน


ที่มา... http://www.watpanonvivek.com/index.php?option=com_content&view=article&id=432:-m-m-s&catid=39:2010-03-02-03-51-18

:b48: :b8: :b48:

เจ้าของ:  I am [ 28 ต.ค. 2010, 08:57 ]
หัวข้อกระทู้:  Re: ตอบปัญหาธรรมของหลวงปู่ (หลวงปู่ขาว อนาลโย)

สาธุ ขอโมทนาครับ :b4: :b8:

หน้า 1 จากทั้งหมด 1 เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group
http://www.phpbb.com/