ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
ในวิกฤต มีโอกาส (พระไพศาล วิสาโล) http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=35143 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | ลูกโป่ง [ 20 ต.ค. 2010, 13:14 ] |
หัวข้อกระทู้: | ในวิกฤต มีโอกาส (พระไพศาล วิสาโล) |
ในวิกฤต มีโอกาส พระไพศาล วิสาโล เมื่อพูดถึงความตาย เรามักนึกถึงความเจ็บปวด ความทุรนทุราย และความพลัดพรากสูญเสียจากสิ่งที่รัก บางคนอาจนึกเลยไปถึงสิ่งลี้ลับดำมืด หรือความทุกข์ทรมานที่รออยู่เบื้องหน้า หลังสิ้นลม ความตายจึงเป็นสิ่งที่น่ากลัวในความรู้สึกของผู้คน จนแม้แต่จะเอ่ยถึงก็ยังไม่กล้า กล่าวได้ว่าความตายเป็นวิกฤตที่ร้ายแรงที่สุดเท่าที่สามารถจะเกิดได้กับคน ๆ หนึ่ง เพราะไม่มีอะไรที่จะเป็นสุดยอดของความพลัดพรากนอกจากความตาย แต่ในทุกวิกฤตย่อมมี “โอกาส” อยู่เสมอ มองในแง่กายภาพ ความตายเป็นวิกฤตที่นำความแตกดับมาสู่ชีวิตก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็เปิดโอกาสให้หลายชีวิตมีลมหายใจยืนยาวต่อไป โดยอาศัยอวัยวะจากผู้ตายมาปลูกถ่ายทดแทน หรืออาศัยความรู้จากร่างของผู้ตาย มาพัฒนาวิธีการเยียวยารักษาโรคร้ายเพื่อยืดชีวิตของผู้คน ใช่แต่เท่านั้น ความตายยังเป็นโอกาสในทางจิตวิญญาณด้วย กล่าวคือเป็นประตูเปิดสู่ภพภูมิที่สูงขึ้น ดังคนโบราณเชื่อว่าหากตั้งจิตให้เป็นกุศลก่อนตายก็จะได้ไปเกิดในสวรรค์หรือ ได้พบพระศรีอาริย์ในชาติต่อไป ถ้าเป็นคนอีสานก็เชื่อว่า จะได้ไปสักการะพระเกศแก้วจุฬามณีเจดีย์บนสวรรค์ ชั้นดาวดึงส์ แต่ถึงแม้จะไม่เชื่อในภพหน้า ความตายก็ยังสามารถหนุนเนื่องให้เกิดการยกระดับทางจิตใจ ได้ตั้งแต่ขั้นสามัญไปจนถึงขั้นสูงสุด คือ การบรรลุอรหัตผล ในพระไตรปิฎกมีเรื่องราวมากมายเกี่ยวกับบุคคลที่บรรลุธรรมขั้นสูง ในขณะที่ความตายมาประชิดตัว อาทิ พระเจ้าสุทโธทนะ พระพุทธบิดา ในวาระสุดท้ายของพระองค์ทรงประชวรหนัก มีทุกขเวทนาแรงกล้า พระพุทธองค์ได้เสด็จไปแสดงธรรมถึง ๗ วัน ๗ คืน ในคืนสุดท้าย ทรงแสดงธรรมเรื่องความไม่เที่ยง พระเจ้าสุทโธทนะทรงพิจารณาตาม และเห็นแจ้งด้วยพระองค์เองว่า สังขารนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ในที่สุดก็ทรงบรรลุอรหัตผลก่อนจะเสด็จดับขันธ์ในคืนนั้นเอง พระติสสะก็เป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้รับทุกขเวทนามากในยามใกล้ตาย มิหน้ำซ้ำท่านยังถูกเพื่อนพระด้วยกันทอดทิ้งเนื่องจากเป็นโรคที่น่ารังเกียจ ท่านถูกปล่อยให้นอนจมปฏิกูลและมีหนองเปรอะเปื้อนเต็มตัว เมื่อพระพุทธองค์ทรงทราบจึงเสด็จมาดูแลท่าน อาบน้ำชำระร่างกายและเปลี่ยนจีวรใหม่ จากนั้นพระองค์ได้แสดงธรรมสั้น ๆ ว่า “อีกไม่นาน ร่างกายนี้ จักปราศจากวิญญาณ ถูกทอดทิ้ง ทับถมแผ่นดิน เหมือนท่อนไม้ อันหาประโยชน์มิได้” พระติสสะได้พิจารณาตามและประจักษ์ด้วยตนเองร่างกายนี้ไม่น่ายึดถือเลย ส่งผลให้ท่านบรรลุอรหัตผลในขณะเดียวกับที่สิ้นชีวิต ส่วนพระสัปปทาสมีประวัติที่แตกต่างออกไป กล่าวคือ ท่านมีความทุกข์มากที่ไม่เคยพบกับความสงบใจเลยตลอด ๒๕ ปีที่บวช จึงตัดสินใจปลิดชีวิตตนเอง ช่วงที่ท่านปาดคอตนเอง ท่านได้สติหันมาพิจารณาความเจ็บปวดอันแรงกล้าที่เกิดขึ้น และเห็นว่าสังขารนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง จิตจึงละวางจากความยึดมั่นถือมั่นในตัวตน ชั่วขณะนั้นเองก็บรรลุอรหัตผลก่อนจะสิ้นลม ความตายนั้นตัดรอนชีวิตและบีบคั้นกายใจก็จริง แต่ในเวลาเดียวกันก็ประกาศสัจธรรมอย่างชัดเจนว่า สังขารนั้นไม่เที่ยง ไม่มีอะไรที่ยึดติดถือมั่นว่าเป็นของเราได้เลย เพราะเอาไปไม่ได้สักอย่าง ส่วนทุกขเวทนาอันแรงกล้านั้นก็ตอกย้ำว่าสังขารนั้นเป็นทุกข์อย่างยิ่ง ไม่น่ายึดไม่น่าเอา เป็นเสมือนครูที่เฆี่ยนตีไม่หยุดหย่อนจนกว่าเราจะเข็ดหลาบ และยอมปล่อยวางสังขารนั้นไปในที่สุด ด้วยเหตุนี้ในยามที่ความตายมาคุกคาม จึงมีโอกาสอย่างมากที่บุคคลจะเกิดปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในสัจธรรม จนละวางความยึดติดถือมั่นในสังขาร เข้าถึงมรรคผลนิพพาน หรือลุถึงอิสรภาพทางจิตวิญญาณได้ ท่านพุทธทาสภิกขุจึงเรียกช่วงเวลาที่ใกล้ตายว่าเป็น “นาทีทอง”ของชีวิต สำหรับคนทั่วไปที่ไกลวัด หรือไม่หวังนิพพานในชาตินี้ ความตายก็ยังเป็นโอกาสให้ได้พบสิ่งดี ๆ เท่าที่ปุถุชนจะหวังได้ เช่น ได้เห็นลูกหลานหรือพี่น้องกลับมาคืนดีกัน เพราะเห็นแก่คนป่วยที่กำลังจะตาย ในทำนองเดียวกัน บางคนที่สร้างความเจ็บช้ำน้ำใจให้ภรรยาจนฝ่ายหลังตีจาก เมื่อเจ้าตัวป่วยหนักจนภรรยาอยู่เฉยไม่ได้ ต้องกลับมาดูแลอย่างใกล้ชิด สามีจึงมีโอกาสเอ่ยปากขอโทษภรรยา และนำไปสู่การคืนดีกันได้ในที่สุด เมื่อถึงคราวจะสิ้นลมสามีก็จากไปอย่างสงบ ทั้ง ๆ ที่ร่างกายใกล้จะแตกดับ แต่ก็มีหลายคนที่ได้พบกับความสงบในยามใกล้ตาย เพราะได้ปล่อยวางภาระต่าง ๆ ในชีวิต ด้วยรู้ว่าไม่มีประโยชน์ที่จะแบกเอาไว้ต่อไป บ้างก็หันมาให้เวลากับลูกหลานและพ่อแม่ ได้รับความอบอุ่นใจ และดีใจที่ได้ทำสิ่งสำคัญในชีวิตก่อนตาย บางคนเมื่อรู้ว่ามีเวลาเหลือน้อย ได้หันเข้าหาธรรมะ เจริญสมาธิภาวนา สร้างบุญสร้างกุศลเต็มที่ จึงพบกับความสุขใจอย่างที่ไม่เคยพบมาก่อน หากไม่มีมรณภัยมาประชิดตัว ผู้คนเหล่านี้ก็คงยังหมกมุ่นกับการงาน แสวงหาเงินทอง วุ่นวายกับภาระต่าง ๆ หาไม่ก็เพลิดเพลินกับความสนุกสนาน จนลืมไปว่ายังมีสิ่งที่ดีกว่าหรือสิ่งสำคัญอย่างอื่นในชีวิตที่ต้องใส่ใจ ใช่หรือไม่ว่าความตายมาเตือนให้เขาหันมาทำสิ่งที่มีคุณค่าต่อจิตใจอย่างแท้จริง รางวัลที่ได้ก็คือความสงบเย็นและความสุขใจที่อาจไม่เคยรู้จักมาก่อน กระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิตก็ยังพบกับความสงบได้ ไม่ทุรนทุรายแม้ทุกขเวทนาทางกายจะบีบคั้นก็ตาม ความตายจึงไม่จำเป็นต้องจบลงด้วยความทุกข์ทรมานเสมอไป มีผู้คนเป็นอันมากที่จากไปท่ามกลางความอาลัย และความปลื้มปีติของญาติที่เห็นคนรักของตนจากไปอย่างสงบและงดงาม มารี คูรี นักวิทยาศาสตร์ชื่อก้อง เคยกล่าวว่า “ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่น่ากลัว มีแต่สิ่งที่ต้องทำความเข้าใจ” ความข้อนี้ใช้กับความตายได้ด้วย ความตายนั้นไม่น่ากลัวเลยหากเราเข้าใจความตายอย่างรอบด้านและทุกแง่มุม จนเห็นว่าความตายไม่ใช่วิกฤต หากเป็นโอกาสอันทรงคุณค่าด้วย ที่มา...นิตยสารซีเครท : Vol.2 No.26 25 July 2009 Joyful Life & Peaceful Death ในวิกฤต มีโอกาส http://www.visalo.org/article/secret255207.htm ภาพประกอบจาก... http://torporpor.files.wordpress.com/2007/01/phc_1.jpg |
เจ้าของ: | ploypet [ 20 ต.ค. 2010, 14:43 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในวิกฤต มีโอกาส (พระไพศาล วิสาโล) |
อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา คือสัจธรรม |
เจ้าของ: | Hanako [ 20 ต.ค. 2010, 15:55 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในวิกฤต มีโอกาส (พระไพศาล วิสาโล) |
นั่นสิ พระพุทธองค์ถึงให้เราระลึกถึงความตายอยู่เสมอ สาธุ สาธุ สาธุ |
เจ้าของ: | กุหลาบสีชา [ 20 ต.ค. 2010, 16:33 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: ในวิกฤต มีโอกาส (พระไพศาล วิสาโล) |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |