ลานธรรมจักร http://www.dhammajak.net/forums/ |
|
หลวงปู่วัน อุตฺตโม : สละชีพบูชาธรรม http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=7&t=33803 |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 |
เจ้าของ: | สาวิกาน้อย [ 12 ส.ค. 2010, 10:15 ] |
หัวข้อกระทู้: | หลวงปู่วัน อุตฺตโม : สละชีพบูชาธรรม |
หลวงปู่วัน อุตฺตโม สละชีพบูชาธรรม หลวงปู่วัน อุตฺตโม เป็นพระสงฆ์ผู้มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักนับตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ ดังความปรากฏใน หนังสือพระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์ ดังนี้ “เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๑๓ ท่านได้รับนิมนต์ไปเจริญพระพุทธมนต์ในงานแต่งงาน ที่หมู่บ้านส่องดาว ตำบลส่องดาว กิ่งอำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร กว่าจะได้กลับวัดก็มืดค่ำ ท่านและพระเณรที่ติดตาม ๗ รูป ได้เดินเท้าไปตามถนน ร.พ.ช. ผ่านทุ่งนาและป่าเขาขึ้นสู่ภูเหล็ก สมัยนั้นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์กำลังถูกเจ้าหน้าที่บ้านเมืองปราบปรามอย่างหนัก จึงห้ามประชาชนเดินในป่าเวลาค่ำคืน ขณะที่เดินมาได้ประมาณ ๔-๕ เส้น ด้วยความมืดพระเณรจึงใช้ไฟฉายส่องทาง เจ้าหน้าที่ทหารเห็นเช่นนั้นนึกว่าเป็นผู้ก่อการร้ายคอมมิวนิสต์” คณะของหลวงปู่จึงถูกสาดกระสุนใส่ในความมืด เสียงดังสนั่นหวั่นไหว แต่เมื่อทหารเข้าไปเคลียร์พื้นที่ในตอนเช้า ก็ไม่พบศพแม้แต่ศพเดียว จึงตามรอยเท้าขึ้นไปบนภูเขา และได้รู้ว่าเป็นคณะของหลวงปู่วัน จึงเข้าไปขอขมาและฝากตัวเป็นศิษย์ด้วยความเลื่อมใสยิ่ง จึงเป็นเหตุให้ท่านมีชื่อเสียงมากในยุคนั้น หลวงปู่วันได้อุปัฏฐาก พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต เป็นเวลาถึง ๕ ปี ระหว่างปี ๒๔๘๘ จนถึง ๒๔๙๒ อันเป็นปีที่ท่านพระอาจารย์ใหญ่มรณภาพ โดยทำหน้าที่ได้อย่างไม่บกพร่อง แม้ว่าจะถูกรบกวนด้วยอาการไข้อยู่เนืองๆ ท่านได้บันทึกถึงเรื่องความเจ็บป่วยว่ามีอาการไข้มาตั้งแต่ช่วงปี ๒๔๘๕ ขณะรอฟังข่าวการสอบนักธรรมอยู่ที่วัดภูเขาแก้ว อำเภอพิบูลมังสาหาร จังหวัดอุบลราชธานี “บางครั้งเป็นหนักถึงกับฉันจะไม่ได้เสียเลย ที่ตัวร้ายที่สุดก็คือไข้จับสั่น การจับสั่นก็สั่นจนกุฏิสั่นสะเทือนไปด้วย หายใจทั้งทางจมูกและทางปากก็ยังไม่พอ ผ้าห่มจะกี่ผืนก็ไม่อุ่น จนอาการไข้อ่อนลงจึงจะรู้สึกอบอุ่นขึ้นมาได้ กำลังก็ลดถอยลงไปวันละมากๆ หากเป็นอย่างนี้สักสิบวัน คงจะนอนติดเสื่อทีเดียว แต่ก็ด้วยเดชะบุญ เป็นไข้จับสั่นอยู่ราว ๔-๕ วันเท่านั้น แล้วจึงเปลี่ยนเป็นไข้ธรรมดาต่อไป” จนกระทั่งมาจำพรรษา ณ วัดป่าสุทธาวาส จังหวัดสกลนคร ในปีเดียวกัน อาการไข้ก็ยังไม่หาย “ระหว่างจำพรรษาที่วัดสุทธาวาส ข้าพเจ้าก็เคยเป็นไข้จับสั่นมาบ้างเหมือนกัน จับไข้ขนาดถึงกับนอนไม่ได้ ต้องลุกนั่งชันเข่า เอาศีรษะก้มลงหายใจให้ถูกกับหน้าอก จึงค่อยทุเลาที่เป็นไข้” หลังจากที่หลวงปู่วันเป็นไข้วันเว้นวันอยู่ประมาณ ๑ เดือน ท่านพระครูบุณฑริกบรรหาร (ทองคำ จนฺทูโม) ซึ่งกลับจากกรุงเทพมหานคร ได้ทราบข่าวการอาพาธ จึงขอยาควินินจากโรงพยาบาลมาให้ เมื่อฉันยาได้สัก ๒-๓ วัน ไข้ก็หายไป แต่ยังต้องต่อสู้กับอาการอาพาธมาตลอด จนถึงปี ๒๔๘๖ ก็ยังมีอาการไข้อยู่ เพราะขาดแคลนยา “ปี พ.ศ. ๒๔๘๖ ข้าพเจ้ายังเป็นไข้อยู่เสมอ ทีหายทีเป็นอยู่อย่างนั้น ทั้งยาแก้ไข้ก็หายาก ไปต้องการยาจากอนามัยอำเภอหรือ ก็ได้ทีละนิดหน่อยเท่านั้น จะฉันยาจนให้อาการไข้หายขาด ก็ไม่มียา” เมื่อขาดแคลนยาแผนปัจจุบัน ท่านจึงรักษาด้วยยาสมุนไพรหลายขนาน แต่ก็ไม่หายขาด เหตุที่ยาหายากก็เพราะเป็นช่วงที่สงครามโลกครั้งที่ ๒ เพิ่งสิ้นสุดลง ในปี ๒๔๘๘ จำพรรษา ณ วัดป่าหนองผือนาใน ซึ่งอากาศบริเวณนั้นทำให้ไม่สบายอยู่เรื่อยๆ แต่ทว่าจิตใจของท่านกลับอิ่มเอิบในธรรมอยู่เสมอและมีศรัทธาในการปฏิบัติเพิ่มขึ้นอีกด้วย “ศรัทธาในธรรมปฏิบัติดูว่าเพิ่มกำลังขึ้นไปโดยลำดับ ถึงแม้ข้าพเจ้าจะได้เป็นไข้อยู่ตลอดพรรษาก็ตาม ความหวั่นไหวต่อมรณภัยก็ไม่มี ตามธรรมดาแล้วอากาศในสถานที่นั้นเป็นอากาศที่หนักต่อธาตุขันธ์ ของผู้ไม่เคยชินต่อป่าดงภูเขาเหมือนกัน ทั้งข้าพเจ้าก็มีเชื้อไข้ป่ามาแต่เดิมอยู่แล้ว แต่ด้วยเดชะบุญคุณของครูบาอาจารย์และคุณของพระพุทธศาสนามาช่วยไว้ ถึงยาจะฉันไม่ค่อยมีก็ตาม ย่อมผ่านพ้นความทุกข์ทรมานนั้นไปได้ โดยมิได้ก่อความเดือดร้อนแก่ตนและครูบาอาจารย์” แม้ต้องต่อสู้กับความเจ็บป่วยและขาดแคลนยาในการรักษา แต่ท่านมิได้ย่อท้อในการทำความเพียร “ถึงอย่างไรก็ตาม ข้าพเจ้าคิดยอมเสียสละชีวิตบูชาพระธรรมวินัยด้วยข้อปฏิบัตินั้น ไข้ที่เป็นก็ไม่ถึงกับร้ายแรง ทำกิจวัตรและความเพียรมิได้ขาด ถ้าไข้ร้อนในก็ให้ผ้าขาวเอาใบหญ้านางหรือใบหมี่มาขยี้ใส่น้ำฉัน ร้อนข้างนอกก็ใช้ทาก็ระงับความร้อนไป ไข้ก็สร่าง ทั้งที่เป็นไข้แต่ก็ทำความเพียรได้กำลังดี” ท่านได้เล่าถึงการปฏิบัติในขณะเจ็บป่วยไว้ในอัตตโนประวัติ ดังความตอนหนึ่งว่า “พึ่งจะได้รู้เห็นตัวเวทนา ในพรรษานั้นเอง ตัวเวทนานั้นเท่าที่เห็นและกำหนดรู้ด้วยใจนั้น ปรากฏว่าเป็นตัวแต่จะคล้ายกับอะไรก็บอกไม่ถูก เมื่อเรากำหนดรู้เห็นได้อย่างนั้นแล้ว ทุกขเวทนาทั้งหลายจะต้องถอนตัวออกจากที่ของมันโดยลำดับ ถ้ากำลังจิตของเรากล้า ทุกขเวทนาจะออกหนีอย่างรวดเร็ว ถ้ากำลังจิตยังอ่อนก็ค่อยๆ ออกหนีไป เมื่อจิตได้เอาชนะต่อทุกขเวทนาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น จิตนั้นจะต้องกล้าหาญในการต่อสู้ทุกขเวทนาเสียจริงๆ พอทุกขเวทนาเริ่มเกิดขึ้นที่ไหน จิตจะต้องรีบวิ่งเข้ากำจัดทีเดียวโดยมิได้รั้งรอเสียเลย จิตขณะนั้นได้สนุกเพลินอยู่กับการต่อสู้ทุกขเวทนา หาได้เกี่ยวข้องกับอารมณ์ภายนอกไม่” หลวงปู่วัน อุตฺตโม จึงเป็นแบบอย่างของพระสงฆ์ ผู้พร้อมสละชีวิตเพื่อพระธรรม มิท้อถอยในการปฏิบัติ แม้ต้องผจญกับทุกขเวทนาจากธาตุขันธ์เพียงใดก็ตาม ควรที่เราชาวพุทธทั้งหลายจะได้ถือเป็นแบบอย่างในความพากเพียร เพื่อสิ่งประเสริฐสูงสุดคือพระนิพพานนั้นเอง หมายเหตุ เนื่องในวาระครบรอบวันคล้ายวันเกิดปีที่ ๘๘ ของหลวงปู่วัน อุตฺตโม ในวันที่ ๑๓ สิงหาคม ๒๕๕๓ ทีมงานนิตยสารธรรมะใกล้ตัว ฉบับไลท์ ขอน้อมกราบหลวงปู่ผู้เป็นเนื้อนาบุญของโลก ด้วยจิตระลึกบูชา (-/-) -------------------------------------------------------- เอกสารประกอบการเขียน “อนุสรณ์งานเสด็จพระราชดำเนินพระราชทานเพลิงศพ พระอุดมสังวรวิสุทธิเถร (พระอาจารย์วัน อุตฺตโม)” วัดถ้ำอภัยดำรงธรรม อำเภอส่องดาว จังหวัดสกลนคร วันที่ ๒๕ เมษายน พ.ศ. ๒๕๒๔. “พระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์” ธรรมบรรณาการเนื่องในงานฉลองพระธุตังคเจดีย์ เจดีย์แห่งพระอรหันต์ และในงานบำเพ็ญกุศลอุทิศถวายครบรอบวันมรณภาพปีที่ ๔๗ พระสุทธิธรรมรังสีคัมภีรเมธาจารย์ (ท่านพ่อลี ธมฺมธโร) ๒๒-๓๐ เมษายน ๒๕๕๑. โดย เทียบธุลี http://www.dlitemag.com/ |
เจ้าของ: | ธรรมบุตร [ 12 ส.ค. 2010, 19:28 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่วัน อุตฺตโม : สละชีพบูชาธรรม |
อนุโมทนา..สาธุ..ด้วยนะครับ..ท่านสาวิกาน้อย |
เจ้าของ: | I am [ 19 ส.ค. 2010, 17:31 ] |
หัวข้อกระทู้: | Re: หลวงปู่วัน อุตฺตโม : สละชีพบูชาธรรม |
ขอโมทนานะครับ สาธุ ๆ ๆ |
หน้า 1 จากทั้งหมด 1 | เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง |
Powered by phpBB © 2000, 2002, 2005, 2007 phpBB Group http://www.phpbb.com/ |