วันเวลาปัจจุบัน 23 เม.ย. 2024, 19:44  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 06 ต.ค. 2010, 12:56 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


ทำบุญอย่างไรจึงจะมีสติปัญญาดี?
ดังตฤณ


ถาม – ทราบว่าเคยมีผู้ถวายประทีบแล้วอธิษฐานขอให้มีปัญญา ชาติต่อมาก็ได้มีปัญญาสมใจ แต่ก็มีผู้ถวายมีดโกนแล้วขอให้มีปัญญา ชาติต่อมาก็ได้มีปัญญาสมใจเช่นกันอีก ที่สงสัยคือตกลงถ้าอยากมีปัญญามากควรถวายอะไรกันแน่?

ของถวาย เป็นแค่ตัวตั้งครับ ถวายอะไรจิตก็จับสิ่งนั้นเป็นเครื่องหมายของบุญ ทีนี้ประสงค์ให้บุญบันดาลผลอันใด ผลอันนั้นก็จะปรากฏตามคำอธิษฐาน ส่วนจะช้าหรือเร็ว จะมีคุณสมบัติหรือคุณภาพเพียงใดก็ต้องว่ากันเป็นกรณีไป

บุญเป็น สิ่งที่มีพลังในตัวเอง พอเทียบเคียงได้กับความร้อน เราใช้ความร้อนทำอะไรได้หลายอย่างตามประสงค์ ไม่จำกัดเฉพาะว่าจะต้องเอามาต้มน้ำ เอามาทำให้เสื้อผ้าแห้ง หรือเอามาทำให้อาหารสุก คุณเล็งความร้อนไปที่วัตถุชิ้นไหน วัตถุชิ้นนั้นก็ร้อนขึ้นตามต้องการ

ถ้าหากคุณทำบุญเป็นข้าวของเครื่องใช้ ตั้ง ต้นด้วยความปรารถนาดี อยากให้ผู้รับได้ใช้ประโยชน์จากของชิ้นนั้นๆ ผลโดยตรงคือจะทำให้เป็นผู้มีรสนิยมดี เกิดชาติหน้าวิบากกรรมจะจัดสรรให้เป็นผู้มีสิทธิ์เกิดในบ้านคนรวย และในชาตินี้เองถ้าทำทานด้วยเจตนาเดิมนี้เป็นประจำ ก็อาจปรับฐานะให้ดีขึ้นพอสบายสมควรแก่อัตภาพได้ (แต่จะไม่ให้ผล ใหญ่ เท่าตอนล้างไพ่เกิดชาติใหม่) นอกจากนี้ยังมีอานิสงส์เป็นการลดละความละโมบโลภมาก จิตใจเยือกเย็นลง ได้ความสบายทางใจในปัจจุบันอีกโสด

แต่หากคุณทำบุญเป็นข้าวของเครื่องใช้ชิ้นเดียวกันกับข้างต้น มีความยินดีในการให้เปล่า มีความยินดีที่มีผู้ใช้ของของคุณแล้ว และแถมด้วยการอธิษฐานหวังผลในทางใดทางหนึ่ง ผลของทานก็จะแคบลงมา กล่าวคือไม่ได้ให้ผลแบบเหวี่ยงแหกว้างๆ ทว่าเล็งตรงจำเพาะเจาะจงตามปรารถนา ซึ่งถ้าหากอธิษฐานซ้ำๆจนสั่งสมกำลังบุญมากพอ ก็อาจเกิดผลที่สมน้ำสมเนื้อใน ๓ วันหรือ ๓ ปีได้ ไม่ต้องรอชาติหน้า

กลับมาพูดถึงเรื่องของการทำบุญหวังความมีปัญญา ก่อนอื่นต้องมองว่าปัญญาเป็นสมบัติติดตัว เป็นนามธรรม เป็นคุณภาพของจิตอย่างหนึ่ง ซึ่งโดยรวมแล้วเป็นสิ่งที่ไม่ต้องรอองค์ประกอบมากมายเหมือนข้าวของเงินทอง ภายนอกที่เป็นรูปธรรม เพราะตามธรรมชาติของจิตนั้น ขอเพียงหนักไปในทางกุศลสว่าง ขจัดม่านหมอกความหลงผิด สามารถเห็นอะไรตามจริง ก็เริ่มเกิดปัญญาได้ทันทีแล้ว

ฉะนั้นจึง ไม่น่าแปลกใจ หากทำบุญอย่างสม่ำเสมอแล้วอธิษฐานขอให้สติปัญญาดีขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ก็มักได้ผลกันในเวลาไม่เนิ่นช้าเกินรอเหมือนอย่างอธิษฐานขอเงินทอง

คราวนี้มาดูในคำถาม เกี่ยวกับวัตถุบุญอันเป็นที่ตั้งของการอธิษฐานขอมีปัญญาดี ผมขอแจกแจงรายละเอียดดังนี้
๑) การถวายโคมไฟประดับโบสถ์หรือปักตามทางเดินในวัดให้สว่างไสวเห็นทั่ว

กำจัด จุดอันตรายอันเกิดจากสัตว์ที่แฝงอยู่ในความมืดนั้น เมื่อทำสำเร็จแล้ว เกิดความยินดีแล้วว่าโบสถ์หรือทางเดินวัดสว่างไสวด้วยทานของคุณ จิตจะจับความสว่างเป็นที่ตั้งของบุญ ดังนั้นเมื่ออธิษฐานขอให้ได้เป็นผู้มีปัญญาสว่างไสวเช่นนั้น ก็ย่อมสัมฤทธิ์ผลตามปรารถนา มีปัญญาอันสว่างแจ้ง

เมื่อถวาย ทานด้วยไฟเป็นประจำ ทำมาก ทำด้วยความเข้าใจ ทำด้วยความยินดีว่าวัดจะสว่างเพราะทานของคุณ กระทั่งถึงจุดที่กำลังบุญใหม่เหนือระดับบุญเก่าทางปัญญา ปัญญาของคุณจะดีขึ้นผิดหูผิดตา เมื่อต้องคิดอ่านแก้ปัญหา จิตจะมีลักษณะของความสว่างแจ้ง ผุดความเข้าใจกระจ่างขณะต้องเผชิญกับสถานการณ์ที่ชวนให้คนอื่นรู้สึกมืดมน แปดด้าน

การทำบุญ ในลักษณะนี้ขอแนะนำสำหรับผู้รู้สึกตัวว่ามีปัญญาทึบ คือพอจะต้องแก้ปัญหาอะไรแล้วมืดแปดด้านไปหมด หรือคลำหาจุดเริ่มต้นของทางออกไม่ค่อยเจอ หากทำบุญลักษณะนี้ไปตลอดชีวิต เกิดชาติใหม่ปัญญาจะเรืองรอง คือรู้แจ้งได้ไม่ติดขัด ไม่มีปัญหาอันเป็นมุมมืด หรือยากจะมีจุดอับที่จิตส่องสว่างเข้าไปไม่ถึง นอกจากนั้น ผลของปัญญาที่เกิดจากบุญประเภทนี้มักเป็นไปในทางนุ่มนวล ประนีประนอม ไม่ชอบใช้วิธีแก้ปัญหาแบบหักด้ามพร้าด้วยเข่าอีกด้วย
๒) การถวายมีดโกนเพื่อให้พระโกนศีรษะปลงผม

คิด เกื้อกูลให้พวกท่านโกนหนวดเคราอันเป็นสภาพรกเรื้อดูไม่สบายตา เมื่อเกิดความยินดีว่าพระภิกษุสงฆ์จะได้กำจัดความรุงรังทางกายออกจนเกลี้ยง เกลาโดยง่ายด้วยมีดโกนอันคมกริบของคุณแล้ว จิตจะจับความคมกริบของใบมีดเป็นที่ตั้งของบุญ ดังนั้นเมื่ออธิษฐานขอให้ได้เป็นผู้มีปัญญาคมกล้าเช่นนั้น ก็ย่อมสัมฤทธิ์ผลตามปรารถนา มีปัญญาอันคมกล้า

เมื่อถวาย ทานด้วยมีดโกนเป็นประจำ ทำมาก ทำด้วยความเข้าใจ ทำด้วยความยินดีว่าพระท่านจะมีรูปศีรษะเกลี้ยงเกลาตามพระวินัยเพราะทานของ คุณ กระทั่งถึงจุดที่กำลังบุญใหม่เหนือระดับบุญเก่าทางปัญญา ปัญญาของคุณจะดีขึ้นผิดหูผิดตา พอต้องคิดแก้ปัญหา จิตจะมีลักษณะของสติสัมปชัญญะคมชัด จับจุดปัญหาได้เร็ว เพ่งเล็งเห็นเป้าที่ต้องตีให้แตกได้ชัดถนัด และสามารถฝ่าฟันปัญหาได้หลายชั้นไม่ติดขัด ขบปัญหาได้แตกเป็นเปลาะๆแบบฉับพลัน หรืออย่างน้อยก็ไม่เนิ่นช้าจนสายเกินการณ์

การทำบุญ ในลักษณะนี้ขอแนะนำสำหรับผู้รู้สึกตัวว่ามีปัญญาทื่อ คือรู้ตัวว่าเฉื่อย ใช้สมองกัดปัญหาไม่ได้ลึก เห็นปัญหาทั้งหลายเป็นของยากเย็นแสนเข็ญไปหมด หากทำบุญลักษณะนี้ไปตลอดชีวิต เกิดชาติใหม่ปัญญาจะคมเหมือนดาบซามูไร คือฟันปัญหาฉับๆขาดเป็นท่อนๆไม่ติดขัด ไม่มีกำแพงปัญหาใดแข็งเกินคมปัญญาของคุณทะลวงผ่าน อย่างไรก็ตาม ผลข้างเคียงของปัญญาที่เกิดจากบุญประเภทนี้มักเป็นไปในทางแข็งกระด้าง เทียบแล้วมีแนวโน้มว่าอัตตาจะแรงกว่าปัญญาประเภทแรก และธรรมดาผู้เกิดมาพร้อมปัญญาคมกล้ามักบ้าบิ่น ทะนงว่าไอคิวสูง ชอบข่มชาวบ้านด้วยความฉลาดพลิกแพลงแห่งตน ตรงนี้ก็สามารถทำบุญเพิ่มเติมเพื่อแก้เคล็ด โดยขออาสาพระขัดห้องน้ำห้องท่าในวัด แล้วอธิษฐานให้ตนเป็นผู้มีความอ่อนน้อมถ่อมตัว ไม่ดูถูกดูหมิ่นใครเพราะทะนงในปัญญาอันคมกล้า นี่ก็จะเป็นบุญที่คานกันพอดีไม่ให้เหลิงได้

จิตนั้นมี ความวิจิตรพิสดารนัก ทำบุญอะไรแล้วอธิษฐานก็จะได้ผลตามทิศทางนั้นๆมากบ้างน้อยบ้างเสมอ คุณจะคิดปรุงแต่งบุญให้เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวอย่างไรก็ได้ เช่นซื้ออาหารอร่อยๆไปให้พ่อแม่หรือผู้ทรงศีลสัตย์กิน เมื่อเห็นถูกปากพวกท่าน จนคุณเกิดความปลื้มใจในทานของตนดีแล้ว ก็อาจอธิษฐานขอให้มีปัญญาขบคิดปัญหาได้อย่างเอร็ดอร่อย อันนี้ผลอาจได้เป็นผู้เพลินคิดแก้ปัญหา จำพวกเล่นหมากรุกได้นานๆ ยิ่งคิดยิ่งมัน ยิ่งคันสมอง ยิ่งแตกแขนง ใช้สมองได้ไม่รู้เบื่อ เป็นต้น

ในแง่ของ การทำทานด้วยวัตถุเพื่อหวังปัญญา คงไม่มีอะไรเกินถวายหนังสือธรรมะ สร้างห้องสมุดให้วัด แต่จิตคุณต้องจับอยู่ที่เนื้อหาในหนังสือจนปลื้มจริงๆ พูดง่ายๆคือคุณต้องอ่านก่อน ได้ประโยชน์ก่อน แล้วจึงคิดบริจาค แต่ละคนจะเข้าใจธรรมะไม่เหมือนกัน นับถือแนวคำสอนของพระหรือครูบาอาจารย์ต่างกัน ขอให้เลือกตามที่คุณมีจิตแช่มชื่น และให้แน่ใจว่าหนังสือนั้นนำไปสู่ความเข้าใจที่ถูกที่ตรงจริงๆเถิด (หากไม่แน่ใจ ถวายพระไตรปิฎกฉบับของท่านอาจารย์สุชีพ จะประกันความปลอดภัยสูงสุด หนังสือธรรมะนั้น ถ้าปลื้มผิดๆแล้วเอาไปถวายพระ จะชักนำให้คุณติดอยู่ในแนวทางผิดๆแบบนั้นลึกเกินกว่าจะคะเนถูก)

ที่กล่าวมาทั้งหมดนั้น ความจริงแล้ว คือการทำบุญซึ่งไม่ใช่เหตุแห่งปัญญาโดยตรง เมื่อไม่ใช่เหตุโดยตรงย่อมไม่ให้ผลสม่ำเสมอ ไม่ให้ผลกว้างใหญ่ไพศาลสมบูรณ์แบบ ทางที่ดีขอให้เผื่อทางเลือกสุดท้ายตามคำแนะนำของพระพุทธเจ้าเอาไว้ด้วย

พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า บุคคลบางคน ในโลก นี้จะเป็นหญิงหรือชายก็ตาม จะได้ชื่อว่าสร้างเหตุแห่งการเป็นผู้มีปัญญามาก ก็เมื่อเข้าไปหาสมณะหรือพราหมณ์แล้วสอบถามว่าอะไรเป็นกุศล อะไรเป็นอกุศล อะไรมีโทษ อะไรไม่มีโทษ อะไรควรเสพ อะไรไม่ควรเสพ อะไรที่ทำแล้วเป็นโทษ หรือเป็นไปเพื่อต้องทนทุกข์จนสิ้นกาลนาน อะไรที่ทำแล้วเป็นไปเพื่อประโยชน์เกื้อกูล หรือเป็นไปเพื่อความสุขจนสิ้นกาลนาน

เมื่อไถ่ถามหรือใฝ่รู้อยู่โดยอาการอย่างนี้ ย่อมได้ชื่อว่าเป็นผู้ฉลาดถามในสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด เมื่อเผชิญกับปัญหาให้ขบคิด จิตจะมีลักษณะตื่นรู้ตามจริง ทั้งสว่างไสวและคมกริบ เมื่อค้นคิดจะพยายามตัดตรงเข้าสู่แก่นของปัญหาไม่เนิ่นช้า ใช้ใจชั่งตวงวัดเอาได้ว่าทางแก้ไหนมีน้ำหนักผลดีผลเสียมากกว่ากัน นอกจากนั้นยังมีปัญญามากอย่างสม่ำเสมอ ไม่ใช่ผลุบๆโผล่ๆเอาแน่ไม่ได้เหมือนคนทั่วไป

นอกจากนั้น สำหรับผู้ที่ไม่ต้องการรอผลยาวไกลถึงชาติหน้า พระพุทธองค์ยังตรัสเหตุที่จะก่อให้เกิดผลเป็นปัญญาในปัจจุบัน คือการพยายามตั้งสติระลึกรู้ความเป็นไปต่างๆในร่างกายอยู่เสมอๆ นับตั้งแต่ดูว่าลมหายใจกำลังเข้าหรือออก กำลังยาวหรือว่าสั้น ดูไปๆจนกระทั่งเห็นชัดล่วงเข้าไปถึงกิริยาท่าทางต่างๆ ว่ากำลังนั่งเดินยืนนอนด้วยลักษณะอย่างไร และในแต่ละขณะรู้สึกเป็นสุขหรือเป็นทุกข์ สงบหรือฟุ้งซ่าน ดูเป็นตอนๆไปเรื่อยๆโดยไม่ปล่อยให้จิตเสียกำลังสติไปในเรื่องฟุ้งซ่า นมั่วซั่วทั้งหลาย ในที่สุดก็จะเกิดปัญญาชนิดพิเศษ เห็นแจ้งว่ากายไม่น่ายึดมั่นถือมั่น

ผู้ฝึกสติดังกล่าวนี้ เมื่อเผชิญปัญหา จิตจะมีลักษณะของการรู้แจ้งแทงตลอด ประกอบด้วยกำลังสติสัมปชัญญะเกินสามัญมนุษย์ คือถึงขั้นแก้ปัญหาได้ด้วยญาณหยั่งรู้ลึกซึ้ง ผิดแผกแตกต่างจากธรรมชาติของการคิดนึกธรรมดา คนอื่นใช้เวลาเป็นชั่วโมง ผู้ทรงสติสัมปชัญญะตามแนวทางพระพุทธเจ้าอาจใช้เวลาเพียงพริบตาเดียวก็ได้คำ ตอบออกมาแล้ว

อันที่จริงการฝึกฝนให้เกิดปัญญานั้น จะอาศัยกลวิธีแบบโลกๆก็ได้ ไม่ใช่ว่าจะต้องประกอบการอันเป็นบุญกุศลในขอบเขตของพุทธศาสนาอย่างเดียว เพียงแต่ความฉลาดหรือไอคิวที่เกิดขึ้นโดยปราศจากบุญในพุทธศาสนารองรับนั้น ไม่มีอะไรเป็นประกันว่าส่งขึ้นฟ้าหรือผลักลงเหว โน้มเอียงไปก่อกรรมทำชั่วหรือสร้างคุณประโยชน์ให้แก่โลก เอาความมีใจบุญเป็นฐานหล่อเลี้ยงความฉลาดนั่นแหละครับ จะได้ชื่อว่าฉลาดอย่างประเสริฐสุดแล้ว


ถาม – ทำบุญหรือทำกรรมอย่างไร จะประกันว่าไม่โง่ตลอดไปครับ? ไม่ได้หวังฉลาดเลิศเลอนะครับ ขอแค่ไม่คิดช้า ตามคนอื่นไม่ทันอย่างที่เป็นมาก่อนก็พอใจแล้ว


มองออกมาจาก จุดยอดสุดของพุทธศาสนา มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายต่างตกอยู่ในม่านหมอกแห่งความหลงเขลากันทั้งหมด เพราะเกิดมาด้วยความไม่รู้ โตขึ้นมาด้วยความไม่รู้ และตายไปด้วยความไม่รู้

ไม่รู้ว่าอย่างไร? ไม่รู้ว่าผลแห่งกรรมมีจริง ไม่รู้ว่าการเวียนว่ายตายเกิดมีจริง ไม่รู้ว่าการหยุดเวียนว่ายตายเกิดมีจริง

ที่ ยังคงไม่รู้อยู่เพราะอะไร? เพราะยังติดใจในกาม เพราะยังละความพยาบาทไม่ได้ เพราะยังยึดถือสิ่งไม่เที่ยงว่าเที่ยง เพราะยังหลงยึดสิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนว่าเป็นตัวตน

สรุปโดยย่นย่อคือพวก เราต่างถูกปกคลุมด้วยธรรมชาติอย่างหนึ่ง เรียกว่า ‘โมหะ’ ตราบใดยังมีโมหะ ตราบนั้นยังโง่หลงอยู่ร่ำไป ที่เราพากันฝึกคิด ฝึกแก้ปัญหาในโรงเรียนตั้งแต่เด็กนั้น เป็นแค่การทำให้สมองไม่ทื่อ ทำให้เรียนรู้วิชาได้สูงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้คิดอ่านแก้ปัญหาเฉพาะหน้าได้เป็นคราวๆ แต่หาใช่การทำให้ปัญญาญาณแก้ทุกข์ทางใจได้อย่างถาวรไม่

ไม่มีใครรู้ ได้เอง ว่าความตระหนี่ถี่เหนียว หวงในส่วนเกิน ไม่มีแก่ใจแจกจ่ายให้ทานตามโอกาส ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การหวงในสิ่งที่ไม่ควรหวง ตลอดจนมีจิตใจคับแคบจำกัด ไม่เป็นสุขในสภาพน่าอึดอัดของตนเอง แล้วยังจะต้องไปเสวยภพอันคับแคบอัตคัด คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่คนยากจน

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการฆ่าสัตว์ตัดชีวิต คิดประหัตประหารเพื่อนร่วมทุกข์ด้วยกัน หรือกระทั่งทำร้ายให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยโทสะ เร่าร้อนได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้ร้อน จิตไม่อาจเป็นสุขกับความร้อนของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่จ้องทำร้ายทำลาย ประหัตประหารกันอีก

ไม่ มีใครรู้ได้เอง ว่าการลักทรัพย์ เพ่งจ้องเอาของผู้อื่นมาเป็นของตนโดยไม่ได้รับอนุญาต ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความโลภ กระวนกระวายได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้กระวนกระวาย จึงไม่อาจเป็นสุขกับความกระวนกระวายของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีใจไม่ซื่อ จ้องแต่จะเอาของของกันอีก

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการผิดลูกผิดเมียผู้อื่น ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยราคะผิดๆ ตัณหาจัดได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้ตัณหาจัด จึงไม่อาจเป็นสุขกับตัณหาอันแรงกล้าของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่พาลหน้าด้านที่มีใจสกปรกไร้ความละอาย ไม่สนว่าใครเป็นของรักของหวงของใคร แย่งได้เป็นแย่ง ลักลอบเป็นชู้ได้เป็นลักลอบ

ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการพูดเท็จ การพูดหยาบ การพูดส่อเสียด และการพูดเพ้อเจ้อ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความบิดเบี้ยว ไม่อาจเห็นเรื่องตรงหน้าตามจริง ไม่อาจทราบว่าสิ่งใดควรสิ่งใดไม่ควร เห็นผิดได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้เห็นผิด จึงไม่อาจเป็นสุขกับความมีจิตบิดเบี้ยวของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีความเห็นผิด มองกันผิดๆ จ้องจับผิด ตลอดจนผิดใจกันด้วยเรื่องไม่เป็นเรื่องเสมอๆ

ไม่มีใครรู้ ได้เอง ว่าการกินเหล้า การมึนเมาเคลิ้มหลงอยู่กับยาเสพติดชนิดต่างๆ ก่อให้เกิดผลร้ายมากมาย นับแต่การมีจิตที่เต็มไปด้วยความฟุ้งซ่านจัด รำคาญใจได้เองแม้ไม่ต้องมีสิ่งเร้าให้รำคาญใจ จึงไม่อาจเป็นสุขกับความรำคาญใจของตนเองในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพที่เต็มไปด้วยการเบียดเบียน คือเกิดใหม่ไปรวมอยู่กับหมู่อันธพาลที่มีใจวิปริต ฟุ้งซ่าน อยู่ดีไม่ว่าดี หาเครื่องทำลายสติมาเสพ

และสุดท้าย ไม่มีใครรู้ได้เอง ว่าการมองไม่เห็นตามจริง หลงยึดกายใจอันไม่เที่ยงว่าเที่ยง หลงยึดกายใจอันไม่ใช่เรา ว่าเป็นตัวเรา เป็นของเรา เพียงความไม่รู้ข้อนี้ ก็เป็นรากแห่งผลร้ายทุกชนิดบรรดามี นับแต่การที่จิตขาดอิสระ ต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ไม่ใช่ของของตน เพื่อความทุกข์ เพื่อความเปล่าประโยชน์ในปัจจุบัน แล้วเบื้องหน้ายังต้องไปเสวยภพใหญ่น้อยอีก ด้วยความไม่รู้อีโหน่อีเหน่ ว่าที่ต้องเกิดตายแต่ละครั้ง เป็นผลของกรรมที่ทำไว้แต่ปางใด

การต้อง ปะปนคละเคล้าไปในหมู่พาลบ้าง หมู่บัณฑิตบ้าง ได้ดีบ้าง ตกยากบ้าง เป็นทุกข์ทางใจกับความพลัดพรากบุคคลอันเป็นที่รักบ้าง ตระหนกตกใจกับการมาถึงของมัจจุราชบ้าง ทั้งที่ไม่จำเป็นแต่อย่างใด ไม่น่าจะเป็นความรับผิดชอบของเราแต่อย่างใด นั่นแหละสมควรถือเป็นความเขลาหลงอันดับหนึ่ง ไม่มีอะไรเกินไปกว่านี้แล้ว

การ ไม่รู้จักต้นเหตุแห่งความเดือดร้อน การหลงยินดีในต้นเหตุแห่งความเดือดร้อน นั่นแหละมูลรากแห่งความโง่ที่แท้จริง พวกเราไม่รู้ และไม่อาจรู้ได้ด้วยตัวเอง ต้องพึ่งพามหาบุรุษเช่นพระพุทธเจ้ามาชี้ มาจำแนกแจกแจงกรรม เมื่อศึกษาตามที่พระองค์ชี้แล้ว จึงอาจเข้าใจเป็นขั้นๆ คือ

ความตระหนี่ทำให้โง่แบบทึบ หวงไปหมด ของกูไปหมด

การผิดศีลทำให้โง่แบบไม่รู้ว่าอะไรผิดอะไรถูก เห็นผิดเป็นชอบ เห็นชอบเป็นผิดร่ำไป

การติดยึดอยู่ด้วยอุปาทานว่ากายใจนี้ของเรา ทำให้โง่แบบติดวน ยังหลงมองสิ่งที่ไร้แก่นสาร ด้วยความหวังว่าจะค้นพบแก่นสาร

ฉะนั้น คำตอบว่าทำอย่างไรจะไม่โง่ได้ตลอดไป ก็คือ

๑) เพ่งให้เห็นโทษของความตระหนี่แล้วละความตระหนี่ด้วยทาน

๒) เพ่งให้เห็นโทษของการผิดศีลแล้วละการผิดศีลด้วยการตั้งใจรักษาศีล

๓) เพ่งให้เห็นโทษของการยึดมั่นถือมั่นกายใจว่าเป็นตนแล้วละการยึดมั่นกายใจด้วยการเจริญวิปัสสนา

แค่เริ่มต้น คุณก็จะเริ่มรู้สึกปลอดโปร่ง ความปลอดโปร่งนั่นแหละทางมาแห่งสติ ทำให้คิดเร็วขึ้น ตามคนอื่นทันมากขึ้น

ขั้น ต่อมา คุณจะรู้สึกสว่างอบอุ่นจากภายใน ความสว่างอบอุ่นนั่นแหละส่วนประกอบสำคัญของปัญญาอันรุ่งเรือง ทำให้ฉลาดกว้างขวางขึ้น คิดอ่านเป็นประโยชน์ได้ดีขึ้น

และที่สุดแล้ว ใจที่หลุดพ้นจากต้นเหตุแห่งความเดือดร้อนทั้งปวงอย่างเด็ดขาดนั่นแหละ ความฉลาดขั้นสูงสุด ฉลาดแล้วไม่กลับโง่ลงอีกเลย ซึ่งระดับนั้นพุทธเราเรียกด้วยความยกย่องว่า ‘อรหันต์’ ครับ


โดย ดังตฤณ
ที่มา http://dungtrin.com/


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: Google [Bot] และ บุคคลทั่วไป 24 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร