วันเวลาปัจจุบัน 20 เม.ย. 2024, 07:50  



เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


กฎการใช้บอร์ด


รวมกระทู้จากบอร์ดเก่า http://www.dhammajak.net/board/viewforum.php?f=7



กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ]    Bookmark and Share
เจ้าของ ข้อความ
โพสที่ยังไม่ได้อ่าน เมื่อ: 24 ก.ค. 2010, 13:08 
 
ภาพประจำตัวสมาชิก
ออฟไลน์
อาสาสมัคร
อาสาสมัคร
ลงทะเบียนเมื่อ: 20 ต.ค. 2008, 13:20
โพสต์: 821


 ข้อมูลส่วนตัว


จากหนังสือ "ด้วยรอยยิ้มอิ่มปัญญา อารมณ์ขันพระอรหันต์"
เขียนโดยวีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์ สำนักพิมพ์กรีน ปัญญาญาณ


รูปภาพ



สมัยหนึ่ง หลวงปู่ชอบได้ไปเยี่ยมหลวงปู่ขาวที่วัดถ้ำ้กลองเพล
พอดีวันนั้น เจ้าหน้าที่จากสำนักราชวังแจ้งมาที่วัดถ้ำกลองเพลว่า
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินมาเยี่ยมหลวงปู่ขาวที่วัดในวันนี้


หลวงปู่ชอบได้ยินดังนั้นจึงกราบลาหลวงปู่ขาวกลับวัด
แต่หลวงปู่ขาวไม่ยอม บอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนกันก่อน

หลวงปู่ชอบบอกว่า ท่านคุยกับพระเจ้าแผ่นดินไม่เป็น
หลวงปู่ขาวก็บอกว่า ท่านก็คุยไม่เป็นเหมือนกัน จึงต้องอยู่เป็นเพื่อนกันก่อน


(ตอนนั้นหลวงปู่ชอบและหลวงปู่ขาว ต่างยังไม่เคยเห็นไม่เคยพบเจอกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาก่อนเลยทั้ง คู่ -สมัยก่อนไม่มีทีวี ข่าวสารยังไปไม่ถึงชนบทห่างไกล-)


หลวงปู่ชอบจึงอยู่เป็นเพื่อนหลวงปู่ขาวด้วยในวันนั้น

หลวงปู่ทั้งสองนั่งรอรับเสด็จอยู่ที่เก้าอี้ในวัด

นั่งรออยู่อย่างนั้นจนกระทั่งเวลาเย็น ก็ยังคงคอยอยู่อย่างนั้น

นานจนหลวงปู่ทั้งสองหันมาคุยถามกันเองว่า

"คื่อยังบ่มาจักเทื้อ รอโดนแล้ว" (ทำไมถึงยังไม่มาสักที รอนานแล้ว)

"เห็นแต่ทหารพ่อลูกเนาะ"


พระเณรลูกศิษย์ที่นั่งอยู่ด้วยในที่นั้น เมื่อได้ยินดังนั้น จึงมาบอกกับหลวงปู่ทั้งสองว่า

“ ก็ทหารสองพ่อลูกนั่นแหละ คือพระเจ้าอยู่หัวฯกับสมเด็จพระบรมฯ”

ครั้นหลวงปู่ทั้งสองรู้ความจริงเข้า ก็ถึงกับหัวเราะพร้อมกันทั้งคู่

ลูกศิษย์จึงถามท่านทั้งสองว่า ทำไมถึงไม่รู้ว่าทหารสองพ่อลูกนั่นคือ พระเจ้าแผ่นดินกับพระราชโอรส

หลวงปู่ขาวตอบว่า

"นึกว่าจะมีขบวนแห่นำมา!"

หลวงปู่ชอบตอบว่า

"นึกว่าจะใส่ชฎา!"



รูปภาพ




เรื่องของหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล
หลวงปู่ทองรัตน์ เป็นลูกศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์
ท่านเป็นพระในมหานิกาย ซึ่งปกตินั้น ศิษย์สายหลวงปู่มั่นจะเป็นธรรมยุต


เดิมทีหลวงปู่ทองรัตน์ต้องการจะเปลี่ยนญัตติเป็นธรรมยุติกนิกาย แต่หลวงปู่มั่นไม่อนุญาต
เพราะเห็นว่าหลวงปู่ทองรัตน์มีปฏิปทาการปฏิบัติที่ดีอยู่แล้ว
และท่านเห็นว่าถ้าหากจะเปลี่ยนญัตติเป็นธรรมยุตกันหมด
ต่อไปพระสายมหานิกายอาจจะไม่มีผู้แนะนำการปฏิบัติ
อีกทั้งมรรคผลก็ไม่ได้ขึ้นอยู่กับนิกาย แต่ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของตัวผู้ปฏิบัตินั้น

(ซึ่งเหตุผลนี้ เป็นเหตุผลเดียวกันกับที่หลวงปู่มั่นให้เหตุผลกับหลวงพ่อชา
ตอนที่หลวงพ่อชาคิดจะเปลี่ยนญัตติจากมหานิกายเป็นธรรมยุต)


หลวงปู่ทองรัตน์มีความน่าสนใจมาก เดิมก่อนที่ท่านจะมาบวชนั้น
ท่านเป็นคนที่ค่อนข้างหัวแข็ง มุทะลุ นิสัยออกไปทางนักเลง
พูดจาโวยวายเสียงดัง คำพูดขวานผ่าซาก ทั้งยังตลกโปกฮาอีกด้วย
แต่ก็เป็นคนขยันขันแข็ง ทำงานเอาจริงเอาจัง
เป็นกำลังหลักของครอบครัว
เมื่อมาบวช ท่านจึงยังมีนิสัยในสมัยฆราวาสติดมาด้วย


กิริยาภายนอกของท่านอาจจะดูไม่สุขุมไม่เรียบร้อยเหมือนศิษย์คนอื่น ๆ ของหลวงปู่มั่นนัก
แต่กิริยาภายในนั้น ท่านเป็นคนจิตใจดีมีเมตตาเป็นอย่างมาก
และท่านก็เป็นพระนักปฏิบัติภาวนาที่เคร่งครัด เป็นที่ยกย่องของหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์


เวลาที่ออกเผยแผ่พระธรรม บางคราวหลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์จะพบกับหมู่บ้านที่ชาวบ้านมีมิจฉาทิฏฐิเป็นอย่างมาก
และท่านทั้งสองก็จะมอบหมายให้หลวงปู่ทองรัตน์เป็นผู้จัดการ

หลวงปู่มั่นเคยยกย่องหลวงปู่ทองรัตน์ว่า

"ทองรัตน์...เดี๋ยวนี้จิตของท่านเท่ากับจิตของผมแล้ว ต่อไปท่านจะเทศน์จะสอนคนอื่นก็จงสอนเถิด"

ด้วยกิริยาที่ดูเป็นนักเลงของท่านนี่เองที่ทำให้เรื่องราวของท่านถูกเล่าต่อ ๆ กันมา นับว่าเป็นเรื่องที่สนุกสนานชวนขำอยู่ไม่น้อยทีเดียว


---ค้อนและกบและจดหมายด่าใส่บาตร

หลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์มอบหมายให้หลวงปู่ทองรัตน์ ไปจำพรรษาที่หมู่บ้านชีทวน

เพราะท่านเห็นว่า ชาวบ้านหมู่บ้านนี้ (ฝ่ายที่ไม่ชอบพระกรรมฐาน) มีความรู้ทางปริยัติดีมาก

ด้วยเหตุที่เขาเหล่านี้มีความรู้ทางปริยัติเป็นอย่างดี จึงกลายเป็นมิจฉาทิฏฐิ

ไม่เคารพและไม่เชื่อในพระป่ากรรมฐาน นอกจากไม่เชื่อแล้ว ยังหาทางกลั่นแกล้งพระกรรมฐานอย่างไม่กลัวบาปกรรมแต่อย่างใด

หลวงปู่มั่นและหลวงปู่เสาร์ท่านเห็นว่า

หลวงปู่ทองรัตน์เพียงผู้เดียวเท่านั้นที่จะสามารถปราบพยศ ปราบมิจฉาทิฏฐิของชาวบ้านพวกนี้ได้

พวกชาวบ้านมิฉาทิฎฐิ ได้พยายามกลั่นแกล้งหลวงปู่ทองรัตน์ต่าง ๆ นานา เพื่อขับไล่หลวงปู่ให้ออกไปจากหมู่บ้าน

ครั้งหนึ่ง เมื่อหลวงปู่ทองรัตน์ออกไปบิณฑบาต คนพวกนี้ก็แกล้งท่านโดยการเอา "ค้อนตอกสิ่ว" ใส่ลงในบาตร

เมื่อกลับมาถึงวัด ท่านก็ไม่ได้โกรธเคืองหรือไม่พอใจอะไร

นอกจากไม่โกรธแล้ว ท่านกลับพูดด้วยอารมณ์ขันว่า

"บ่เป็นหยังดอกโยม เขาสิคิดว่า ทางวัดเฮาบ่มีค้อนตอกสิ่ว เขาก็เล้ยใส่บาตรมาให้"


-----------------------------

ต่อมาอีกวันหนึ่ง เจ้าของบ้านที่ใส่บาตรด้วยค้อน ก็นำอาหารห่อใบตองห่อใหญ่ใส่ลงในบาตร

พอถึงวัด หลวงปู่ทองรัตน์ก็จัดแจงแยกอาหาร
แล้วแกะห่อใบตองดู พอแกะออก ก็ต้องตกใจอย่างแรง

เมื่อสิ่งที่อยู่ในห่อใบตองนั้น คือ "กบเป็น ๆ ตัวใหญ่"

กบตัวนั้นกระโดดออกมา ท่านจึงตะครุบเอาไว้ แล้วพูดกับกบอย่างอารมณ์ดีว่า

"โอ้...ถ้าเขาบ่จับเจ้ามาใส่บาตรให้พ่อ เจ้าก็ต้องลงหม้อต้มเขาแล้วเน๊าะ"

แล้วท่านก็ให้เณรนำมันไปปล่อย


---------------------------------------


วันต่อมา ท่านก็ไปบิณฑบาตบ้านเดิมหลังที่ใส่ค้อนใส่กบมาให้ท่าน

เจ้าของบ้านทำท่าทางเหมือนกับแอบขำอยู่ในใจ

แต่หลวงปู่ทองรัตน์ก็แกล้งทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้

แต่ว่าวันนี้ บ้านหลังนี้ใส่จดหมายลงมาในบาตรท่านด้วย

หลวงปู่ทองรัตน์ก็ดูราวกับจะรู้เนื้อความในจดหมายว่าเป็นจดหมายที่กล่าวโจมตีท่าน

พอมาถึงวัด หลวงปู่ทองรัตน์ก็จัดแจงห่มผ้าจีวรอย่างเรียบร้อย

พาดผ้าสังฆาฏิ เรียกพระและเณรทั้งวัดออกมารวมกัน

แบบคล้ายดังจะเตรียมตัวฟังเทศน์จากพระอาจารย์ใหญ่เลยทีเดียว

เสร็จแล้วท่านก็ยื่นจดหมายให้เณรเปิดออกอ่าน

"เอ้า ลูก อ่านอมฤตธรรมแหน่ (หน่อยซิ) อันนี่เทวดาเขาใส่บาตรมา หาฟังยากตั๊ว"

เณรก็เริ่มอ่านจดหมายที่ได้รับมา หลวงปู่ทองรัตน์ก็ตั้งท่านั่งพนมมือ ตั้งใจฟังอย่างสำรวม


"พระผีบ้า เป็นพระเป็นเจ้า ไม่สำรวม ไม่มีศีล ไม่มีวินัย ประจบสอพลอ ขอของจากชาวบ้าน
พระแบบนี้ถึงจะเหาะเหินเดินอากาศได้ ก็ไม่นับถือว่าเป็นพระ ให้รีบออกจากวัดไป ถ้าไม่ไป จะเอาลูกตะกั่วมาฝาก"


พอเณรอ่านจดหมายจบเท่านั้น ท่านก็ยกมือขึ้นเหนือหัวพร้อมกับเปล่งวาจาเสียงดังว่า "สาธุ"

แล้วท่านก็พูดต่อว่า

"เอ้า เอาเก็บไว้ลูก เอาไว้ที่แท่นบูชาเด้อ...โลกธรรมแปดมันมีจั๊งซี่ล่ะ (มีอย่างนี้แหล่ะ) มีลาภเสื่อมลาภ มียศเสื่อมยศ มีสรรเสริญ มีนินทา มีสุขมีทุกข์ ...โอ๋ย...ยย ของดีตั๊วอันนี้ สาธุ พ่อได้ยินแล้ว แก่นธรรม หัวแต่มามื่อนี่ล่ะว้า (เพิ่งจะมาวันนี้แหละ) เอาเก็บไว่ เก็บไว่"


จับ (ไม่) ผิด

นอกจากชาวบ้านบางส่วนที่คอยต่อต้านพระป่ากรรมฐานที่บ้านชีทวนแล้ว

ทางฝ่ายพระสงฆ์ก็มีฝ่ายที่เกลียดชังพระป่ากรรมฐานเช่นเดียวกัน

พระสงฆ์เหล่านี้จึงคอยจับผิด คอยยุแยงตะแคงรั่วให้ชาวบ้านเข้าใจพระป่ากรรมฐานผิด

พระฝ่ายนี้ถึงกับลงทุนให้พระมหาเปรียญรูปหนึ่งปลอมปนมาอยู่กับหลวงปู่ทองรัตน์

เพื่อคอยจับผิดว่าหลวงปู่ทองรัตน์จะทำผิดวินัยข้อไหนบ้าง เพื่อที่จะได้เอาไปฟ้องพระผู้ใหญ่ฝ่ายปกครอง

พระมหารูปนี้คอยจับผิดหลวงปู่ถึงสามปีเต็ม ๆ แต่ก็ไม่พบว่าหลวงปู่ทำผิดวินัยข้อไหนเลย

แม้แต่วินัยข้อเล็กน้อย หลวงปู่ก็ยังไม่เคยทำผิดเลย

จนกระทั่งวันหนึ่ง หลวงปู่ทองรัตน์เห็นพระรูปนั้นคอยนั่งจ้องจับผิดอยู่บริเวณรางปัสสาวะ

หลวงปู่จึงเดินไปนั่งปัสสาวะแล้วบ้วนน้ำลายลงใส่รางปัสสาวะด้วย

พระรูปนั้นอยู่ใกล้ ๆ รางปัสสาวะ เห็นมีน้ำลายบ้วนลงมาในรางปัสสาวะ

จึงร้องดังขึ้นด้วยความดีใจ (เพราะรอจับผิดมาตั้งสามปี) ว่า

"ไหนว่าท่านเคร่งวินัย ทำไมถึงบ้วนน้ำลายลงบนรางปัสสาวะ ไม่รู้หรือว่ามันผิดวินัย"


หลวงปู่ทองรัตน์ตอบกลับไปว่า

"ก็ผมสงสารท่านที่มาคอยจับผิดผมตั้งสามปี แต่ยังไม่ได้อะไร ผมก็เลยทำผิดวินัยให้สมใจท่าน ถ้าท่านว่าผมผิด แล้วที่ท่านซ่อนมีดไว้ใต้อาสนะที่นั่งของท่านนั้น ท่านไม่รู้หรือ ว่าศัสตรานั้นมันคู่ควรกับสมณะหรือเปล่า?"


พระมหารูปนั้นถึงกับหน้าถอดสี ทั้งประหวั่นพรั่นพรึง
นึกไม่ถึงว่า หลวงปู่ทองรัตน์จะรู้วาระจิตของตนถึงขั้นรู้ด้วยว่า ตนซ่อนมีดไว้ใต้อาสนะ


----------------------------------------------

แต่การกลั่นแกล้งหลวงปู่ทองรัตน์ของฝ่ายสงฆ์ที่เกลียดชังพระป่ากรรมฐานยังไม่สิ้นสุด

คราวนี้ถึงกับไปฟ้องพระผู้ใหญ่ฝ่ายปกครองว่า

หลวงปู่ทองรัตน์ประพฤติตนไม่เหมาะสมกับเป็นพระภิกษุ ชอบประจบประแจงเอาใจเพื่อขอสิ่งของจากชาวบ้าน

คณะสงฆ์จึงตั้งกรรมการสอบอธิกรณ์หลวงปู่ทองรัตน์

ซึ่งพระเถระเหล่านี้ก็ได้สอบสวนหลวงปู่ทองรัตน์ทีละข้อกล่าวหา

เมื่อแจ้งข้อกล่าวหาเสร็จ ก็จะถามหลวงปู่ทองรัตน์ว่า "เขากล่าวหามาอย่างนี้ถูกต้องไหม?"

หลวงปู่ทองรัตน์ก็ตอบกลับว่า "โดย ขะน้อย (ขอรับ กระผม)" เช่นนี้ทุกข้อกล่าวหา

พระเถระจึงถามว่า "เมื่อยอมรับข้อกล่าวหาเช่นนี้ จะมีข้อแก้ตัวอย่างไร ท่านทองรัตน์"

หลวงปู่ทองรัตน์ตอบกลับอย่างแสบสันต์ว่า

"ถ้าเช่นนั้นแล้ว ผมขอเรียนถามท่านว่า ภิกขุคือใคร ถ้าแปลออกมาก็แปลว่า ผู้ขอ ไม่ใช่หรือ ที่ขอเพราะไม่มี ถึงขอ ถ้าไม่ขอก็จะหาอยู่กินเอง เขาก็เรียก คฤหัสน์ ญาติโยม เท่านั้นแหละ ถ้าว่าการกระทำของผมผิด จะฆ่าจะแกงผม ผมก็ยอม"

พระเถระ "......................" (อึ้ง เงียบ)

สุดท้ายฝ่ายพระเถระก็ต้องถอยทัพกลับ และยอมรับแต่โดยดีว่า หลวงปู่ทองรัตน์พูดถูก และสิ่งที่ท่านทำก็ไม่ได้ผิดพระธรรมวินัยเลย


หลวงปู่เฒ่าทองรัตน์ เป็นพระอริยะที่หาได้ยากยิ่ง

หากได้อ่านหนังสือ "มณีรัตน์" ย่อมจักทราบถึงปฏิปทาอันเลิศ

หลวงพ่อชา เล่าว่า พระอาจารย์ทองรัตน์

เป็นผู้อยู่อย่างผ่องแผ้วจนกระทั่งวาระสุดท้าย

เมื่อท่านมรณภาพนั้น

ท่านมีสมบัติในย่ามคือ มีดโกนเพียงเล่มเดียวเท่านั้น

หลวงปู่กินรี จันทิโย ศิษย์ต้นรูปแรก

ผู้ใกล้ชิดที่สุดได้เล่าถึงหลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล

ว่าเป็นพระอาจารย์ผู้เฒ่า ที่มีปฏิปทาสูงยิ่ง

ท่านมีความรู้ ความสามารถเก่งกาจเฉพาะตัว

เป็นนายทัพธรรมที่หลวงปู่มั่นท่านไว้วางใจที่สุด

นิสัยของพระอาจารย์ทองรัตน์นี้

ท่านมีความห้าวหาญและน่าเกรงกลัวยิ่งนัก

ซึ่งในบางครั้งกิริยาท่าทางของท่านออกจะดุดัน วาจาก้าวร้าว

แต่ภายในจิตใจจริง ๆ ของท่านนั้นไม่มีอะไร

เรื่องของพระอาจารย์ทองรัตน์ผู้เป็นอาจารย์ของหลวงปู่กินรีนี้มีอยู่มากมาย

เช่น ในคราวหนึ่งซึ่งเป็นขณะที่พระอาจารย์ชา สุภัทโท แห่งวัดหนองป่าพงในปัจจุบัน

ท่านเดินธุดงค์รอนแรมไปตามป่าเขาในเขตจังหวัดต่าง ๆ อยู่นั้น

พอพระอาจารย์ชาได้ยินกิตติศัพท์ของท่านอาจารย์ทองรัตน์

จึงตั้งใจจะไปกราบคารวะและรับโอวาทธรรมจากท่าน ขณะอยู่ที่วัดป่าบ้านชีทวน เขื่องใน

เมื่อพระอาจารย์ชาได้เดินทางมาถึงวัดของท่านอาจารย์ทองรัตน์

จึงได้ปลดบาตร ย่าม และลดจีวรลง เดินเข้าไปในอาราม ตามธรรมเนียม

ในอาคันตุกวัตรทุกประการ

พระอาจารย์ชาได้พบกับพระภิกษุรูปหนึ่ง

ที่พระอาจารย์ทองรัตน์บอกให้มาต้อนรับ

จึงถามว่าท่านอาจารย์ทองรัตน์อยู่ไหน

พระรูปนั้นได้ชี้นิ้วไปอีกทางหนึ่ง

เป็นเครื่องหมายว่าท่านอาจารย์ทองรัตน์อยู่ที่โน่น

ท่านพระอาจารย์ชาจึงวางบริขารแล้วเดินตรงไปหา

ซึ่งขณะนั้นท่านอาจารย์ทองรัตน์กำลังยืนเอามือถือไม้กวาดอยู่

พอไปถึง กำลังจะคุกเข่าก้มลงกราบ

ท่านอาจารย์ทองรัตน์ก็เหลียวมามองหน้าพร้อมกับชิงถามขึ้นก่อนว่า

“ชามาแล้วหรือ”

ทำเอาพระอาจารย์ชารู้สึกแปลกใจที่ท่านกล่าวเรียกชื่อได้ถูกต้อง

ทั้งที่ไม่เคยเจอกันมาก่อน




เรื่องของหลวงพ่อชา

ซึ่งท่านก็เป็นเหมือนลูกศิษย์หลวงปู่มั่นองค์อื่น ๆ

ตรงที่ท่านไม่เคยสั่งสอนลูกศิษย์ให้เชื่อในเรื่องงมงายเลย

ครั้งหนึ่ง มีคุณนายคนหนึ่งเข้ามาหาหลวงพ่อชา

ขอร้องให้หลวงพ่อเสกมนต์คาถาเป่าแก้ปวดให้ตนสักหน่อย

คุณนายบอกว่า

"ดิฉันเป็นโรคปวดขาเจ้าค่ะหลวงพ่อ อยากให้หลวงพ่อช่วยเป่ามนต์ให้หน่อย"

หลวงพ่อชาตอบว่า

"โยมก็เป่าให้อาตมาบ้างสิ อาตมาก็ปวดขาเหมือนกัน"


รูปภาพ




ผู้สงสัยถามไถ่หลวงพ่อชาว่า

"เขาลือว่าหลวงพ่อเป็นพระอรหันต์ ถ้าเป็นแล้ว เหาะได้ใหมครับ"

"แมงกุดจี่มันก็เหาะได้" -----ท่านตอบ

(แมงกุดจี่ - แมลงชนิดหนึ่งอยู่กับขี้ควาย)



อีกครับหนึ่งมีผู้ถามคล้ายๆกันว่า

"เคยอ่านพบเรื่องพระอรหันต์สมัยก่อนๆเขาว่าเหาะได้จริงไหมครับ"

"ถามไกลเกินตัวไป มาพูดถึงตอไม้ที่จะตำเท้าเราดีกว่า" -ท่านกล่าว



รูปภาพ



หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยไปกราบเรียนถามเจ้าคุณนรรัตนฯ
ครั้งหนึ่งมีคนเขาไปลือว่าท่านสำเร็จพระอรหันต์แล้ว
ผมพบท่านโดยบังเอิญที่วัดเทพศิรินทร์ก็เข้าไปกราบท่าน แล้วกราบเรียนถามท่านว่า

“เขาลือกันว่าใต้เท้าสำเร็จเป็นพระอรหันต์แล้วจริงหรือครับ”

ท่านเจ้าคุณนรฯ มองท่านคึกฤทธิ์ และพูดบอกว่า

“เข้ามาใกล้ๆซิ”

พอผมขยับเข้าไปใกล้ ท่านก็ดึงหูผมเข้าไปใกล้ ๆ แล้วกระซิบว่า

“ไอ้บ้า”


รูปภาพ



หลวงปู่หล้า เขมปตฺโต

มีผู้จดหมายถามว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรือเปล่า
และบางครั้งยกยอให้หลวงปู่เป็นพระอรหันต์
หลวงปู่ก็ได้เมตตาตอบจดหมายเขาเหล่านั้น


จดหมายของลูก ๆ นั้น หลวงปู่ได้รับทราบแล้ว

รู้สึกทราบซึ้งในสัมมาวาจาที่ลูก ๆ พูด ที่ลูก ๆ ปรารภ

การที่ลูก ๆ ให้คะแนนหลวงปู่ว่าเป็นพระอรหันต์นั้น

มันเป็นเรื่องของลูกๆ ต่างหาก ไม่ใช่เรื่องของหลวงปู่เลย



หลวงปู่มาตรวจดูในรูปขันธ์ก็เป็นแต่สักว่ารูปขันธ์ไปเสีย

มาตรวจดูในนามขันธ์ก็เป็นสักว่านามขันธ์ไปเสีย

มาตรวจดูผู้รู้ก็เป็นแต่สักว่าผู้รู้ไปเสีย

มาตรวจดูในคำว่าหลวงปู่ก็เป็นแต่สักคำว่าสมมติหลวงปู่ไปเสีย

พระอรหันต์ไม่มีในหลวงปู่เสียแล้ว

เหตุนั้นหลวงปู่จึงไม่ดีใจ เสียใจในเรื่องนี้




อนึ่ง รูปขันธ์ นามขันธ์ ก็ดี

ที่เรียกว่า เรา ๆ เขา ๆ ท่าน ๆ ตลอดถึงจิตใจ และผู้รู้

ถ้าปฏิบัติถูกก็เป็นศีล สมาธิ ปัญญา

เป็นหนทางเดินเข้าสู่พระนิพพาน

เหตุนั้นผู้รู้ในอีต ผู้รู้ในปัจจุบัน ผู้รู้ในอนาคต

จึงไม่ใช่พระอรหันต์

ถ้าทำถูกก็เป็นหนทางเพื่อเข้าสู่พระอรหันต์

ถ้าทำผิดก็ตรงกันข้าม

หนทางเข้าสู่พระอรหันต์กับหนทางเข้าสู่พระนิพพาน

ก็มีรสชาติและความหมายอันเดียวกัน

แปลกกันแต่คำว่าชื่อเท่านั้น


สุดท้ายด้วยเดชพระพุทธ ธรรม สงฆ์

จงเป็นสุขทุกถ้วนหน้าในโลกุตรธรรม

ของบรมศาสดาอยู่ทุกเมื่อเทอญ


รูปภาพ



มีเรื่องจักเล่าให้ฟังครับ คือว่ามีคนเรียนถามหลวงปู่สิม พุทธาจาโร ว่า


“เขาว่ากันว่าหลวงปู่เป็นพระอรหันต์จริงรึเปล่า?


หลวงปู่ท่านตอบว่า


ท่านไม่ได้เป็นพระอรหันต์ดอก ก็ท่านยังหันไปหันมาอยู่เลย

แล้วท่านก็ชี้ไปที่รูปหล่อบูชาของท่าน แล้วบอกว่า

องค์นั้นสิ เป็นพระอรหันต์ เพราะท่านไม่หันไหนเลย



อรหันต์มาแล้วโว้ย !

ในการปฏิบัติสมถกรรมฐานนั้น
เมื่อผู้ที่ปฏิบัติภาวนาจิตใจสงบ ตั้งมั่นเป็นสมาธิได้แล้ว
ถ้าบังเกิดนิมิต (คือเห็นรูป ได้ยินเสียง หรือแม้แต่อาการใดๆ ก็ตาม ในขณะที่จิตสงบนั้น)
แล้วลุ่มหลง...

ธรรมิกของหลวงปู่ตื้อ คือหลวงปู่บุญทัน
ซึ่งหลวงปู่ตื้อเคยเดินธุดงค์อยู่บริเวณเชียงใหม่ด้วยกัน
ท่านทั้งสองจึงสนิทสนมกันดี


สมัยหนึ่ง หลวงปู่บุญทันเร่งความเพียรภาวนาอย่างหนัก
ความรู้ที่ได้จากสมภวิปัสสนา ทำให้ท่านมั่นใจว่า
ท่านได้สำเร็จอรหันต์แล้ว หมดซึ่งกิเลสแล้ว
(ซึ่งจริงๆ แล้วท่านเข้าใจผิด เนื่องมาจากอาการวิปลาสจากการภาวนา
หรือวิปลาสเนื่องมาจากวิปัสสนูปกิเลส)


เมื่อท่านคิดว่าท่านสำเร็จอรหันต์แล้ว
ท่านจึงอยากจะออกไปติดตามหาหลวงปู่มั่น พบว่าท่านอยู่ที่เชียงใหม่
เมื่อเจอหลวงปู่มั่นแล้ว หลวงปู่บุญทันก็เข้าไปกราบนมัสการหลวงปู่มั่น

แล้วจึงกราบเรียนอย่างถ่อมตัวว่า

"สำคัญว่า ...กระผมเดินทางมาทางอากาศ"


หลวงปู่ตื้อซึ่งนั่งอยู่ด้วย
ก็ออกไปยืนแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า
ทำท่าราวกับมองหาหลวงปู่บุญทันบนท้องฟ้า
แล้วพูดด้วยเสียงดังลั่นว่า


"โน่น ! พระอรหันต์ผีบ้า พระอรหันต์โลกีย์

พระอรหันต์เวียนว่ายตายเกิด มาแล้วโว้ย

โน่นเหาะมาแล้ว!"


อรรถาธิบาย

หลวงปู่ตื้อพูดแรงๆ เพื่อยุให้หลวงปู่บุญทันโกรธ
เมื่อหลวงปู่บุญทันโกรธแล้ว ก็จะคลายอาการวิปลาสได้
ซึ่งวิธีนี้เป็นวิธีที่พระอาจารย์ ลูกศิษย์สายหลวงปู่มั่นทั้งหลายใช้กันเป็นปกติ
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี และหลวงปู่ดูลย์ อตุโล
ก็เคยใช้วิธีแบบนี้กับลูกศิษย์ที่ปฏิบัติความเพียรอย่างหนักจนเกิดอาการวิปลาสขึ้น



หลวงปู่ตื้อ อจลธมฺโม

หลวงปู่ตื้อ เป็นศิษย์รุ่นใหญ่ของหลวงปู่มั่น
ท่านเป็นสหธรรมิก (สหายหรือเพื่อนที่ปฏิบัติธรรมร่วมกัน) กับหลวงปู่แหวน
หลวงปู่ตื้อมีนิสัยชอบพูดจาเสียงดัง โผงผาง ถึงลูกถึงคน จิตใจกล้าหาญเด็ดเดี่ยวเหมือนนักเลง
ซึ่งในหมู่คณะลูกศิษย์หลวงปู่มั่น จัดได้ว่า มีลูกศิษย์ ๓ ท่านที่ใจคอคล้ายกันมาก คือ
หลวงปู่ทองรัตน์ กันตสีโล, หลวงปู่ตื้อ อจลธัมโม และหลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท

หลวงปู่ทองรัตน์และหลวงปู่ตื้อ สนิทสนมกันดีเพราะนิสัยคล้ายกัน
(ภาษาวัยรุ่นสมัยนี้ต้องบอกว่า “ท่านแรง” มาก ลองอ่านกันดูล่ะกัน)


ส่วนหลวงปู่เจี๊ยะ เป็นศิษย์รุ่นหลังหลวงปู่ทั้งสองท่านหลายปี
ซึ่งหลวงปู่เจี๊ยะ ก็ให้ความเคารพและสนิทสนมกับพระอาจารย์ทั้งสองเป็นอย่างมาก

ด้วยบุคลิกนิสัยเช่นนั้นเอง
ประวัติการปฏิบัติธรรมของพระอาจารย์ทั้งสาม จึงเป็นไปอย่างสนุกสนาน
โลดโผนโจนทะยาน รวมทั้งเต็มไปด้วยอารมณ์ขันอีกด้วย

วันนั้นที่ข้าพเจ้าถามพระเถระพระป่า (ไม่ขอเอ่ยนามท่าน) ข้าพเจ้าถามว่า.....ดังนี้

..หลวงปู่เป็นพระอรหันต์หรอครับ....

ท่านก็จะตอบว่า..........ดูเอานี่ไงหันซ้ายหันขวา..
แล้วท่านก็.....จะทำท่าหันไปข้างซ้าย...หันไปข้างขวาให้เราดู...

คนถามก็จะอดหัวเราะไปกับท่านไม่ได้ครับ........

แล้วท่านก็เมตตาบอกว่า....ไม่สำคัญที่จะไปถามว่าพระรูปไหนสำเร็จอะไร
เราจะไปกังวลถามทำไม....

เราปฏิบัติเองเรารู้เอง..ไม่ต้องถามคนอื่น...


ทิ้งท้ายท่านเมตตาบอกว่า
แต่บุญที่ทำกับพระอรหันต์ผู้หมดกิเลสนั้นได้กุศลมากเลยทีเดียวนะ....



รูปภาพ



แต่ละวันจะมีญาติโยมมากราบหลวงปู่ ถามธรรมะบ้าง ขอของแจกบ้าง

วันหนึ่งมีกลุ่มชายฉกรรจ์มากราบ พร้อมกับขอเหรียญหลวงปู่
ชายคนหนึ่งก็ถามหลวงปู่ว่า "วัตถุมงคลและของต่าง ๆ ที่หลวงปู่แจก ถ้าเก็บไว้นาน ๆ ไป ของจะเสื่อมไหมครับ ?"

หลวงปู่ตอบว่า "ของไม่เสื่อมหรอก นอกจากเราจะเสื่อมศรัทธาจากของเอง"


----------------------------------------------------------------------


-เราเคยทำเขาไว้

ตอนเด็ก ๆ หลวงปู่เคยตกปลา ขณะปลาติดเบ็ด หลวงปู่สงสารจึงได้แกะปลาออกจากเบ็ดแล้วปล่อยมันทิ้งไป

ต่อมาภายหลังเมื่อหลวงปู่บวชแล้ว ขณะที่นั่งอยู่ในศาลา
เผอิญมีแมวตัวหนึ่งมองเห็นเงาของมันในตาของหลวงปู่
จึงใช้อุ้งเล็บของมันข่วนใต้ตาของหลวงปู่อย่างแรง เลือดไหลอาบหน้า

แล้วแมวก็มาหลบอยู่ข้างหลังหลวงปู่ ทำให้ชาวบ้านหาแมวไม่เจอ

หลวงปู่บอกว่า "ไม่เป็นไร เราเคยทำเขาไว้"

แล้วให้ลูกศิษย์เอาน้ำนมแม่ลูกอ่อนมาหยอดตา และให้ชาวบ้านนำแมวกลับไปเลี้ยงที่บ้าน โดยสั่งกำชับไม่ให้ชาวบ้านรังแกมัน

-------------------------------------------------------------------

-งานแต่งกับงานบวช

หลวงปู่ได้มีกิจนิมนต์ไปบ้านโยมที่ศรัทธาท่านหนึ่ง เขาจัดงานแต่งงานให้กับลูกหลาน

หลวงปู่ก็ไปงานนี้แล้วก็เทศน์ เทศน์ไปเทศน์มา คู่บ่าวสาวคู่นี้ก็เลยล้มเลิกที่จะแต่งงาน และขอจัดงานแต่งเป็นงานบวช

ปู่กับย่า ตากับยายที่มาร่วมงานแต่ง ต่างซาบซึ้งในคำสอนของหลวงปู่ ก็เลยขอบวชตามหลานด้วย


-----------------------------------------------------------------

-สังกัดวัดอะไร

มีชายคนหนึ่งได้มีโอกาสเข้าพบหลวงปู่ ในคราวที่หลวงปู่เดินทางไปกิจนิมนต์
ชายผู้นั้นถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่อยู่วัดอะไรครับ?"
หลวงปู่ตอบว่า "อยู่วัดสองขา" (หมายความว่า อยู่ตรงไหน? ตรงนั้นก็เป็นวัด ตามประวัติท่านพำนักอยู่หลายวัดมาก)


-----------------------------------------------------------------

-เมื่อไรจะละสังขาร

มีญาติโยมที่เป็นลูกศิษย์หลวงปู่ ก็มักจะชื่นชมความอายุยืนของหลวงปู่

และก็อยากจะให้หลวงปู่มีอายุยืนนานไปมาก ๆ ก็พยายามขอให้หลวงปู่มีอายุยืนกว่าร้อยปี

บางพวกก็สงสัยอยากทราบว่า หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร?

ก็เลยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า "หลวงปู่ครับ หลวงปู่จะละสังขารเมื่อไร? บอกได้ไหมครับ?"

หลวงปู่ตอบว่า "ตายวันไหน ก็บอกวันนั้นซี่"

"เกิดบ่อย ๆ ตายบ่อย ๆ สนุกหรือ?"

-------------------------------------------------------------------------------------


-ด่วนพิเศษ

หลวงปู่ท่านเอาของไปแจกที่ภาคใต้ คราวที่ถูกพายุเกย์

ขณะรถที่หลวงปู่นั่งไปนั้นกำลังแล่นไปตามถนนด้วยความเร็วสูงเกินอัตรา

จึงถูกตำรวจจับเพราะฐานที่ขับรถเร็ว หลวงปู่นั่งอยู่ในรถ

ได้ยินการโต้ตอบกัน หลวงปู่ท่านก็เลยพูดกับตำรวจว่า


“วิ่งเร็วยังไง? วิ่งตั้ง ๒ วันแล้วยังไม่ถึงที่แจกของเลย!”

ตำรวจผู้นั้นก็หัวเราะรับ ทำความเคารพหลวงปู่ แล้วก็ปล่อยรถของหลวงปู่ไป

-----------------------------------------------------------------

-สามีของข้าใครอย่าแตะ

มีหญิงคนหนึ่งมาหาหลวงปู่มาด้วยความกลัดกลุ้มใจ ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส
เนื่องด้วยสามีแอบไปมีเมียน้อย ก็มากราบหลวงปู่
แล้วก็เล่าให้หลวงปู่ฟัง

หลวงปู่ก็พูดว่า

“คนไทยนี่ อะไร ๆ ก็ไม่เสียดายหรอก ในโลกนี้ให้หมดนะอามิสน่ะ!

แต่มีข้อแม้ว่า...ผัวดิฉันนะ! ใครแต่ะไม่ได้นะ! เอาตายเชียวนะ!

จะไปนิพพาน จะเอาผัวไปด้วย

ปัทโธ่! เขาไปนิพพาน เขาเอาผัวเอาเมียไปด้วยที่ไหนกัน เขาเอาธรรมะ ไปต่างหากล่ะ!”

------------------------------------------------------------------------

-ฉันเกลียดแม่-

หญิงคนหนึ่งเล่าให้หลวงปู่ฟังว่าเธอเกลียดแม่ของเธอมาก เพราะแม่ไปมีผัวใหม่และแม่ไปรักผัวมากกว่าลูก

หลวงปู่จึงบอกว่า

“แม่ไปมีผัวใหม่ก็เรื่องของเค้าซิ ให้เอาส่วนที่เกี่ยวข้องกับเรา

ที่เขาอุ้มท้องเรามา ๙ เดือน เราตอบแทนได้คุ้มค่าเหนื่อยหรือเปล่าล่ะ!

มารดาบิดานั้นเป็นหลายอย่าง เป็นบุพการีแก่บุตรธิดาด้วย เป็นพรหมของบุตรด้วย

เป็นเทวธรรมด้วย อุปถัมภกธรรมด้วย มารดาบิดาเป็นเนยยะบุคคล เป็นอรหันต์ของลูกสาวลูกชาย

อย่าข้ามสำรับท่าน อย่าข้ามหัวพระ ให้พระทั้ง ๒ องค์ ก่อนให้พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธเจ้าสอนไว้อย่างนั้น”


-----------------------------------------------------------------------

-แย่งกระดูกกัน

หลวงปู่ท่านเปรย ๆ ขึ้นในวันหนึ่งถึงพวกญาติโยมที่ไปเผาศพพระอริยสงฆ์ทั้งหลาย

ก็ชอบที่จะขอพระธาตุกันมาเก็บเอาไว้ มากน้อยแล้วแต่ที่จะหาได้ หลวงปู่ท่านพูดว่า

“ธรรมะมันไม่เอา มันจะเอาแต่กระดูก จะรบราฆ่าฟันกันก็เพราะกระดูก น่าสังเวช!”


แสดงโพสต์จาก:  เรียงตาม  
กลับไปยังกระทู้  [ 1 โพสต์ ] 

เขตเวลา GMT + 7 ชั่วโมง


 ผู้ใช้งานขณะนี้

กำลังดูบอร์ดนี้: ไม่มีสมาชิก และ บุคคลทั่วไป 51 ท่าน


ท่าน ไม่สามารถ โพสต์กระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ตอบกระทู้ในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แก้ไขโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ ลบโพสต์ของท่านในบอร์ดนี้ได้
ท่าน ไม่สามารถ แนบไฟล์ในบอร์ดนี้ได้

ค้นหาสำหรับ:
ไปที่:  
Google
ทั่วไป เว็บธรรมจักร